651031 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1ID_kqkfUGYO94LwiudFuqO8iaTHCMLioyETJ5V28VOQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/15I-stIQ_MkizGaShzKsi0r5VVb6AzxuE/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1337325036805212
และ
จะรู้จักอัตตาของพระเจ้าได้ดีต้องมีสุริยเปยยาล 7
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก
ผมเข้าใจของผมครับว่า อัตตาคือพระเจ้า นักปราชญ์เกิดจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า คนวรรณะต่ำเกิดจากพระบาทของพระเจ้า คือพระผู้สร้าง ซึ่งต้องเป็นเจ้าของคืออัตตา พระพุทธเจ้า ให้ปฏิเสธอัตตาคือปฏิเสธพระเจ้านั้นเอง พระองค์จึงไม่ให้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า
ในแสงเงินแสงทองข้อที่ 4 ทำไมต้องให้ศึกษาเรื่องอัตรา ให้สัมปาทา มันไม่ขัดแย้งที่ให้เรามาลดอัตรากันหรือ พ่อถามว่าพ่อท่านอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้าง ผมก็บอกว่า ให้รู้จักอัตราเป็นที่อาศัย ให้รู้ว่ามันมียางที่ผิดหรือยังที่ถูก
ข้อที่ 5 ทิฏฐิ ถ้าเข้าใจ อัตตาที่ถูก สิทธิก็จะถูกไป
พ่อครูว่า… คำว่าอัตตาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ก่อนจะไปเรื่องอัตตา ขอขี่ม้าเลียบค่ายก่อน คำว่าอัตตานี้ ภาษาสันสกฤตคือ อาตมัน ขยายความเป็นความยิ่งใหญ่ก็กลายเป็น ปรมาตมัน คืออัตตาอันยิ่งใหญ่ก็คือพระเจ้า อัตตา คือผู้สร้างใหญ่อำนาจใหญ่จริงๆ
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้ สุริยเปยยาล 7 เสียก่อน ถ้าคนใดที่จะมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เรียนรู้ว่า หัวใจของศาสนาพุทธคือมรรคมีองค์ 8 ต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์แล้วก็ดับเหตุแห่งทุกข์ โดยมรรคมีองค์ 8 ได้มั้ย อย่างนี้ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ ต้องผ่าน สุริยเปยยาล 7 ต้องได้พบมิตรสหายดี พบสัตตบุรุษ พบครูผู้สัมมาทิฏฐิแท้ๆ เสียก่อน แล้วก็ได้ฟังธรรม จากท่าน ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์ ให้เกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ สัทธรรมบริบูรณ์ ถ้าไม่บริบูรณ์มันก็ไม่ชัดเจนถ่องแท้ ไปไม่ได้
ไปไม่ได้ตรง สุริยเปยยาล ข้อที่ 7 โยนิโสมนสิการ จะทำใจในใจของตนไม่ถ่องแท้ ไม่โยนิโส ไม่ถูกต้องไม่ละเอียดไม่แยบคาย ไม่ลงไปถึงที่เกิดเลย จะเป็น อโยนิโส จะ โยนิโสมนสิการไม่ได้จะไม่เข้าถึงโยนิโสมนสิการ
เพราะเหตุใน 6 ข้อ คุณไม่ได้ดำเนินมาเลย สุริยเปยยาล 6 ข้อเบื้องต้นคุณไม่ได้ทำอะไรเลย โยนิโสมนสิการก็เปะป่ะๆไปมิจฉาทิฏฐิไป จะไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จะไปทำใจในใจ
เช่น ไปนั่งหลับตาทำจิตให้จิต ทำจิตให้เป็นฌาน สมาธิ มันออกนอกรีตนอกทางศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ได้นั่งหลับตา ทำฌานทำสมาธิ ศาสนาพุทธมีแต่ลืมตาทำโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นโลกุตระ รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีสติสัมปชัญญะเต็มที่อะไรอย่างนี้
ซึ่งมันผิดไปหมดเลย ทุกวันนี้พูดกันแล้ว เหมือนอาตมาบ้าอยู่คนเดียวไปขวางโลกอยู่ทำไม เขามีพระอรหันต์เต็มประเทศ มีทำเนียบพระอรหันต์ตั้ง 50-60 รูปโพธิรักษ์เป็นใคร จะไปล้มล้างอะไรใครได้
อาตมาไม่ได้ล้มล้างหรอกอาตมาพูดความจริงเปิดเผยความจริง สาธยายความจริงให้รู้ว่าพวกคุณหลงทางแล้วเธอเป็นอะไรกัน ก็พูดความจริงซื่อๆไม่ได้ลงโทษ แต่สงสาร ก็ต้องพูดความจริงสู่ฟัง ฟังอาตมาบ้างมี ปรโตโฆษะ บ้าง คุณไม่ ปรโตโฆษะ เป็นน้ำชาล้นถ้วย ก็จบ กลายเป็นโจรทำลายศาสนา พระพุทธเจ้าให้ฆ่า หอก 100 เล่มเช้ากลางวันเย็นก็ยังดื้อดึงดันไม่ตาย เรียกว่า เป็นผู้ที่ คง (ภาษาอีสานแปลว่าเหนียว ) พวกอยู่ยงคงกระพัน จริงๆ
ซึ่งอาตมาก็จำเป็นที่จะต้องสาธยาย ไล่ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ย้อนไปย้อนมาอยู่นี่แหละ แม้แต่แค่พูดถึงจรณะ 15 วิชชา 8 เขาก็มึนแล้ว ก็บอกว่าไปเรียนรู้ทำไม ไปนั่งหลับตาอย่างเดียวก็ได้เป็นอรหันต์.. คือ คำบรรยายศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดตั้งไม่รู้กี่พระสูตร มีละเอียดพิสดารมากมาย เขาตีทิ้งหมดเลย เขานั่งหลับตาอย่างเดียว ถ้ามันง่ายอย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะมานั่งสอนให้มันเมื่อยทำไม คุณเอ๋ย 45 พรรษาพระไตรปิฎก 45 เล่ม โอย ช่างกระไร ฉลาดน้อยจริงๆ ไม่อยากบอกว่า โง่หรอก ทำไม ทำไมฉลาดน้อยกันจริงๆเลย พูดไปพูดมาแล้วก็ว่าแต่เขา ข่ม ดูถูก ชี้ว่าเป็นเรื่องผิดตลอดเวลามันเป็นเชิงข่มอยู่ตลอด ไม่รู้จะพูดอย่างไร
ถ้าพูดดีก็ยกตัวเองพูดถึงตัวเองพวกตัวเอง พูดพวกตัวเองว่า มันดี มันถูก แล้วมันก็จริงอีก ชาวอโศกเป็นอริยกะ ส่วนพวกท่านทั้งหลาย ขออภัยเธอก็ยังเป็น มิลักขะอยู่ ยังเป็นพวกเถื่อน เถื่อน อย่างตาบอดตาใสเถื่อนอยู่ในป่าคอนกรีตด้วย ส่งเสริมป่าคอนกรีตระเนระนาดเลย
ซึ่งในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัสไว้ว่าเราไม่ต้องการความเจริญก้าวหน้าอย่างนั้นอย่างที่โลกเขาก้าวหน้า มันก้าวหน้ามากเกินไป ก้าวหน้า อย่างที่เรียกว่ามันทำช่องว่างระหว่างคนก้าวหน้ากับคนถอยหลัง โดยไม่อยู่ที่เนื้อแท้ของสาระชีวิต ไปหลงความปรุงแต่งขององค์ประกอบ ที่มันมี ช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ งอกเงยออกไปตกแต่งเป็นลิเก โอ้…เป็นงิ้ว เป็นลิเกกันมากเกิน จนไม่รู้จะพูดอย่างไร ออกนอกเหตุปัจจัยที่สำคัญของชีวิต ไปมีแต่เครื่องประดับอาภรณ์ตกแต่ง ที่โลกเขานำพาไปแล้วก็โง่ตามเขา
เราปฏิบัติธรรมเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ารู้แก่นแท้เนื้อแท้ของชีวิตและว่า เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มันถูกหลอกมานานไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ กว่าจะรู้สาระสัจจะของชีวิต
พระพุทธเจ้าย่อไปที่ปัจจัย 4 นอกนั้นเป็นองค์ประกอบ เป็นบริขาร เป็นองค์ประกอบที่ไม่มากมายอะไร ไม่ได้ยุค กาละ เทศะ ฐานะ มันเปลี่ยนไปเราก็ไม่ได้ปฏิเสธ เราก็พอใช้ ใช้คอมพิวเตอร์กับเขาบ้าง แว่นตาเราก็ใช้ เพราะมันก็ช่วย เราก็ไม่ได้ปฏิเสธซะทีเดียว แต่เราก็ไม่ได้ไปหลงบ้า ต้องไปกันใหญ่เลย เขาหลอก เอาขี้หมูขี้หมามาทาสี ใส่น้ำตาลก็กิน ขี้หมา ผสมน้ำตาลไป เละ จะเรียกว่าฉลาดไปอย่างไรก็ไม่ได้
อาตมาก็ตำหนิก็ตำหนิแรง ชมก็ชมมากไม่ได้ ชมมากก็เข้าเนื้อเข้าตัว เพราะมันจัดสรรแล้ว คนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามาเป็นคนจนได้ เป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนเจริญ เป็นคนอยู่เหนือโลกเป็นคนโลกุตระ ช่วยเหลือโลกอยู่ไม่ได้ไปทำลายโลกเลย ไม่ได้ชี้ชวนให้คน หลงโลกหลงโลกีย์อะไรเลย คนแบบนี้มีน้อย แล้วชมทีไรก็ชมตัวเอง
พูดสิ่งที่ผิดสิ่งที่แก้ไขถล่มทลาย ซึ่งมันก็มีมาก ซึ่งมันก็เลี่ยงไม่พ้น พูดไปก็ ได้แต่ว่าคนอื่นเพราะคนอื่นเขาผิด ผิดเยอะ ถูกน้อย แล้วก็พวกถูกก็เป็นพวกตัวเองอีก มันเป็นสัจธรรมที่ดิ้นไม่ออก มันเป็นสัจจะของมันอย่างนั้น ก็จำเป็น ว่าไป เรื่องที่จะให้พูดเรื่องอะไรนะ
_สู่แดนธรรม… เรื่องอัตตา ที่พระพุทธเจ้าให้เป็นพิเศษ
พ่อครูว่า… ที่จริงเราจะไปปฏิเสธไม่ได้ ในสุริยเปยยาลสูตร ข้อที่ 4 ที่ให้รู้จัก อัตตา
คนจะรู้จักอัตตา ต้องพบสัตตบุรุษ พบ มิตรดี สหายดี ซึ่งคือใคร มิตรดีสหายดี จับปัญญาน้อยหรือปัญญามาก ศรัทธาหรือปัญญา จับให้ปฏิบัติศีลก่อนเลย เฮ้ย มาหาอโศก ต้องไม่กินเนื้อสัตว์นะไม่มีอบายมุขนะ คือศีลดังนั้นเลยต้องจัดการศีลก่อนแล้วจะเห็นว่ามิตรสหายดีเขามีหลักเกณฑ์ของชีวิตมีหลักปฏิบัติคือศีล ปฏิบัติศีลนี้มันเจริญ ก็จะเกิดฉันทะ เกิดความยินดีเป็น สุริยเปยยาล ข้อที่ 3 อ้อ ถ้าไม่พบมิตรดีก็ไม่ไปพบนิพพานก็จะไปเรื่องแฟชั่น เรื่องยินดีที่จะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เละเทะไปหมด แต่มาที่นี่ไม่ใช่ให้ลดด้วย ให้เรียนรู้เท่าทันมันด้วย เอ้ ดีแฮะ ชัด ยินดี มิตรดี ปฏิบัติศีลและเกิดความยินดีจึงรู้จัก อัตตา
เป็นอันที่ 4 ถึงได้รู้จักว่าตัวเรานี่แหละคือ อัตตา เรามันเกิดมาพร้อมอวิชชา คนทุกคนเกิดมาพร้อมกับอวิชชาไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณ ไม่รู้นามรูปไม่รู้อายตนะ ไม่รู้ผัสสะ อายตนะ ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ แล้วก็ศึกษาแก้ไขปรับปรุง ปรับปรุงชาติตัวเองให้เป็น นิพพัตติ อภินิพพัตติ ไม่ได้ไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะไม่ได้เรียนรู้จากสัตบุรุษ
ผู้มาเรียนตามสัตบุรุษอย่างพวกชาวอโศก มาเรียนตามอาตมาที่เป็นสัตบุรุษ พูดอย่างไม่เก้อเขินไม่อายไม่ มังกุเลย มันเป็นความจริงพูดความจริงชัด พูดจนหมดเนื้อหมดตัวไม่ได้ปกปิด
เหมือนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ก็บอกว่า เรานี่แหละเป็นพระพุทธเจ้า เราเป็นผู้ที่รู้เนื้อยิ่งกว่าใครๆ ถ้าจะว่าพูดใหญ่แล้วไม่มีใครพูดใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า อาตมาพูดใหญ่ก็ชี้ลงไปในตัวเองบ้าง ซึ่งมันไม่มีใคร ขออภัย ไม่มีใครเท่าพี่จะเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ มันก็เลย ไก่กระจอกงอกง่อยพวกนี้ ก็เลยบอกว่า เอ็งมาจากไหนเป็นใคร อาตมา ชาตินี้ไม่มีใครเป็นครูบาอาจารย์มีธรรมะของตัวเองมาตั้งแต่ชาติก่อน เขาก็บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาจากไหน เราก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เราไม่ได้มีความคิดคำพูดสักนิดเลยว่าเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็บอกว่า เราหลงตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งมันไม่ใช่ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นผู้ใด ไม่ได้พบสัตบุรุษ แล้วจะไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ลงนรกอเวจีหมด
ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 จึงรู้ทันอัตตาพระเจ้า
_สู่แดนธรรม… โดยเฉพาะข้อแรก สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ชัดเจน
พ่อครูว่า… พูดมาถึงตรงนี้ มาลง สัมมาทิฏฐิ 10 จะได้รู้จักอัตตา ใครมีอัตตา ใครรู้จักและมีวิธีปฏิบัติเพื่อล้าง อัตตา
ผู้จะรู้จักวิธีล้าง อัตตา คือผู้ที่จะเริ่มปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มันมีตัวขยายที่สัมมาทิฏฐิ 10
สัมมาทิฏฐิ10
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) คำว่ามีผลมีอานิสงส์คือต้องเป็นโลกุตระด้วย
๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) หรือศีล รู้ว่าศีลหรือวิธีปฏิบัตินี้เป็นโลกุตระ
๓. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) หรือการภาวนา แล้วเขาก็รวมไปถึงทั้ง สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ทั้ง ผลวิบากของกรรมที่ทำแล้ว 2 อันนี้เป็นภาวนา
สำนวนโบราณสังเวยที่บวงสรวงแล้ว แปลเป็นไทยง่ายๆว่าคุณได้กระทำการปฏิบัติ แต่ก่อนนี้เข้าใจเรื่องเทว เทวนิยม ก็บวงสรวงเทพเจ้า คุณก็ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะให้เข้าตาพระเจ้า เข้าตาเทพเจ้า คุณได้ปฏิบัติแล้ว และ พระพุทธเจ้า ไขเลยว่า สุกตทุกฎานังฯ
๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) เป็นผลเป็นวิบากของกรรม ไม่ใช่เกิดจากการบวงสรวงพระเจ้าอะไรเลย ให้พระเจ้าชอบใจยินดีและจะได้สนับสนุนไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นของตนเองทั้งสิ้น นี่ ในข้อที่ 4
๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .
๖. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ .
ผู้ที่รู้โลกนี้ โลกนี้คือโลกแห่งอัตตา โลกหน้าคือโลกเจริญ สัมโพธิปรายนะ โลกหน้าคือโลกที่เจริญไปสู่เบื้องหน้าคือโลกโลกุตระ ใครแยกโลกนี้โลกหน้า ว่า โลกนี้คือโลกโลกีย์ คุณสำทับลงไปได้ โลกหน้าคือโลกแห่งความรู้ อัญญธาตุ เป็นปรโต เป็นความรู้อื่นที่เป็นความรู้ใหม่เป็นโลกุตระ เข้ามาให้เรียนรู้ ทำโลกให้ขึ้นสู่โลกใหม่ ดาวดวงเก่าเป็นดาวโลกีย์ ดาวดวงใหม่เป็นดาวโลกุตระเป็นดาวฤกษ์ที่ดับตัวเองได้ด้วย ดาวของพระพุทธเจ้านี้สุดยอดทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นต่อจากนั้นสัมมาทิฏฐิ ที่เพราะแม่มี พ่อมี เกิดลูกทางจิตวิญญาณ
๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา) . . .
๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) . .
เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไปแปลว่าบุญคุณของพ่อมีแม่มี มันเป็นเรื่องโลกีย เขาเข้าใจไม่ถึงเรื่องปรมัตถ์ ที่เป็นพ่อแม่แบบสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกของปรโลก ที่เป็นโลกุตระเขาแยกไม่ออก
๙. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) . . .
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถทำให้เกิดแม่ ที่เป็นสิริมหามายา มีลูกเป็นสิทธัตถะ มีพ่อบิดาเป็นปัญญา แม่เป็นศีลพ่อเป็นปัญญา ช่วยให้เกิดลูกเป็นสิทธัตถะคือ ผู้ที่มีตัณหาอันสำเร็จแล้ว
อาตมานำพยัญชนะมาแปลเป็นสภาวะขยายอธิบายลงไปให้พิสดาร ฟังดีๆเถอะฟังธรรมะจะมา ตั้งใจฟัง ไม่ใช่เรื่อง Magic ไม่ใช่เรื่องลึกลับ มีแต่จะรู้กระจ่าง มีแต่จะรู้ว่าพยัญชนะเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง มันเป็นอย่างนี้เองหรือมันจะง่ายมันจะเข้าใจได้
_สู่แดนธรรม… โดยทั่วไป ไปศึกษาธรรมะกันแบบฮาโลวีน ต้องลึกลับ ต้องมีอะไรที่เป็น Magic ที่แท้แล้ว ที่พ่อท่านยกเรื่องสัมมาทิฏฐิ 10
พ่อครูว่า… นี่ยังยกเว้นข้อที่ 10 นะ เพราะข้อ 10 หมายถึงอาตมา
๑๐. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) (พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๗)
_สู่แดนธรรม… ในข้อที่ 10 นี้ก็ตาม เป็นบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระพุทธเจ้าทรงสอนทุกข้อใน 10 ข้อ ทรงปฏิเสธความเป็นพระเจ้า
พ่อครูว่า… อาตมาเขียนเรื่องพระเจ้า บรรยายจิตเจตสิกรูปนิพพานทั้งหลายเหล่านี้ ความรู้ธรรมะเหล่านี้ ก็ วิจารณ์พระเจ้า แล้วก็พยายามทำให้คนเข้าใจ อาตมาระมัดระวังมากพวกสายที่บูชาพระเจ้ายกย่องพระเจ้า เขาจะหาว่าเราไปข่มพระเจ้าไปทำลายพระเจ้าเขามันก็เลี่ยงไม่ค่อยได้ สักวันหนึ่งคงเจอคดีนี้ เขาคงมายิงใส่สักวัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงมันเลี่ยงไม่ได้ เราต้องพูดความจริง
เป็นเรื่องยากที่กว่าจะรู้ว่าเราเป็นอัตตา ที่จริงมันเป็นสังขารปรุงแต่งมันเป็นอนัตตาทั้งนั้น เราไปหลงยึดถือปรุงแต่ง จนกลายเป็นเรื่องตัวกูของกู เป็นเรื่องแย่งชิงอยู่ในโลกนี้ เป็นตัวละครบุพเพสันนิวาส ไม่ใช่แค่ 2 แต่เป็น 3456 เป็นล้านภาคแล้ว ไม่รู้กี่ล้านภาคแล้ว แต่มันก็จริงมันจะเกิดไปวนเวียนอยู่อย่างนั้นเป็นนิยายของโลก ชัดแล้วชัด เป็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่องของวิบากทั้งสิ้น
เข้าสู่ประเด็นเลย กรรมนี่คือGod ผู้รู้จัก สุกตทุกฎานังผลังวิปาโก เข้าใจว่า กรรมดีกรรมชั่วเป็นผลเป็นวิบากที่เราทำเอง เราก็เกิดวนแล้วชาติแล้วชาติเล่าไม่รู้กี่ชาติ ก็เพราะ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก กรรมเป็นของของตน ตนเองเป็นทายาทของกรรม กรรมพาเกิด พาเป็น สั่งสมเป็นเผ่าพันธุ์และอาศัยกรรมนี่แหละเป็นนิยายบุพเพสันนิวาส อยู่ล้านๆๆๆๆ เรื่อง
_สู่แดนธรรม… แสดงว่าพ่อท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธพระเจ้า
พ่อครูว่า… พระเจ้าคือกรรม เป็นพระเจ้าที่เรารู้จักกัน กรรมเป็นของตนรู้จักกัน อ้อ Good Morning My God ก็เจอกันอยู่ สวัสดี เฉยๆ ไม่ได้ไปดูถูก หรือตีตัวเสมอ
ก็เจอกันอยู่ สวัสดีกันอยู่ แล้วก็รู้จักกันกับพระเจ้าของอาตมา แต่พวกที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันพูดกันไม่รู้เรื่อง
_สู่แดนธรรม… ในสมัยอดีตที่ผมเคยฟังเทศน์ธรรมะพ่อท่าน ผมฟังเรื่องที่พ่อท่านบอกว่า พระอรหันต์นี่แหละจะรู้จักความเป็นพระเจ้าที่ดีที่สุด ผมก็รู้สึกว่าใช่หรือ พระอรหันต์จะไปเกี่ยวกับพระจันทร์
พ่อครูว่า… พระเจ้าก็คือธาตุวิญญาณที่เขายกย่องเรียกว่าพระจิต พระจิตหรือพระจิตวิญญาณ ก็ถูกไม่ผิดหรอก ถ้าจิตวิญญาณคุณไม่ไปหลงว่าเป็นของคนนั้นเป็นของคนนี้ คุณก็ศึกษาสิ พระเจ้าก็คือพระจิตวิญญาณก็เป็นอันเดียวกัน พระเจ้าหรือพระจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีพระบริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ
จิตวิญญาณจริงๆนั้นบริสุทธิ์จากกิเลส เมื่อผู้ที่มีจิตรู้ว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ เป็นพระจิตเป็นพระวิญญาณ เป็นธาตุรู้ที่ปรุงแต่งกันอยู่ เมื่อไม่มีกิเลสมันก็ฉลาดมันก็รู้ว่า อ๋อ มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นอนัตตา แต่เมื่อมันได้จิตนิยาม มันได้เกิดมาเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้อวิชชา จนกระทั่งสำรอกอวิชชาออกหมด เหลือแต่จิตสะอาดบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ก็คือจิตวิญญาณที่เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วก็รู้ตัวว่า จิตไม่มีตัวตน
ก็ทำตัวเองให้สลายตัวตนได้ สลายธาตุจิตนิยามเป็นอุตุนิยามได้ แม้ไม่ถึงขั้นอุตุนิยามมันจะมีขั้น พีชนิยามก็คือกระทำ กรรมนิยาม ก็กระทำทำให้ตัวเองมีชีวิต พีชนิยาม
พีชนิยาม ปรุงแต่งกันเป็นอภิสังขารชนิดหนึ่ง อุตุนิยาม ก็เป็นอภิสังขารชนิดหนึ่งเข้าใจสังขารทั้งหมดเลยแล้วก็เข้าใจได้กระทำได้ ผู้เป็นอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม และคงไว้ซึ่งจิตสะอาดบริสุทธิ์
_สู่แดนธรรม… ในการกระทำนี่คือ ท่านกระทำอย่างกรุณาธิคุณ
พ่อครูว่า… ก็ทำได้เอง เป็นอมตะบุคคลแล้ว พระอรหันต์ผ่านวิมุติแล้วเป็นอมตะบุคคล มีแต่กรุณาธิคุณ เพราะฉะนั้นจะยังชีวิตอยู่เกิดอีกกี่ชาติชาตินี้ชาติหน้าชาติโน้น ตนเองนั้นสบายแล้ว ตนเองรู้วิธีตนเองพ้นทุกข์ตนเองไม่ทำชั่ว ตนเองมีแต่ทำแต่ดี มีแต่ความกรุณามีแต่การกระทำรับใช้ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นตามที่ตนเองได้ตนเองมีตนเองเป็น เป็นการมีกตัญญูกตเวทีต่อศาสนา หรือ เป็นผู้ที่มีสิ่งที่ดีก็เอาสิ่งที่ดีไปแจก เอาสิ่งที่ดีไปเผยแพร่ไปเผื่อแผ่ผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้สิ่งที่ดี เพราะเกิดมาแล้วไม่มีอะไรที่จะทำดีกว่าสิ่งนี้ คุณจะไปเรียนวิชาอะไรในโลกจะจบด็อกเตอร์ Post Doctor ไปอีกกี่ใบ กี่ขั้นต่อกี่ขั้นก็ช่าง มันไม่สู้อันนี้เลย พระพุทธเจ้าจบดอกเตอร์มา 18 สาขาวิชาในตักศิลายุคนั้น ท่านไม่เอาเลยท่านมาเอาอันนี้อันเดียว พูดมาไม่รู้กี่ที
ในอาหาร 4 ก็มีความเป็นพระเจ้าให้เราจัดการ
_สู่แดนธรรม… พระอรหันต์ที่บำเพ็ญโพธิสัตว์โดยเป็น พีชธาตุ ก็เท่ากับพระอรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์ย่อมเป็นพระเจ้า เท่าที่ท่านอยากเป็นนิรันดร์
พ่อครูว่า… ถูก คนที่เป็นนริศวรพูดได้ดี นริศวรมาเกิด สามารถใส่อะไรดี
ผู้ที่เข้าใจการปรุงแต่งของธาตุ 2 สังขารปรุงแต่งของธาตุ 2 เป็นธาตุบวกธาตุลบ ตั้งแต่ระดับของอุตุนิยามของไอน์สไตน์มาก็ได้ คือคนที่พบธาตุบวกลบก่อนไอสไตน์ก็ตาม มันก็เป็นธาตุวัตถุ จนกระทั่งบวกลบนี้มีชีวะเป็นเจ้าของ เริ่มเป็น พีชะ มีบวกลบปรุงแต่งโดยที่ตัวเองยึดเป็นประธาน ยึดบวกลบนั้นตัวเองเป็นประธาน แต่ยังปรุงแต่งได้แค่ cyclic ของพีชะของวงวน ของกรอบ ของตัวเองเป็นตัวเองรู้ได้แค่นั้น แล้วก็วิวัฒน์พัฒนามาเป็นจิตนิยาม ทีนี้ ปรุงแต่งได้พิสดารมาก ทีนี้ก็มีบาปมีบุญ มีนรก มีสวรรค์ มีทุกข์ มีสุข มีอะไรเละเทะเลย จิตนิยาม
มันมาเป็นจิตนิยามเสร็จแล้วก็ด้วยอวิชชา อวิชชาพาเกิดทั้งนั้นเลย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่าน มาย้อน เรียนรู้ว่ามันมาจากอะไร กว่าจะมาเป็นอวิชชาขนาดนี้ ย้อนศึกษาจนไปรู้ที่เกิด โยนิโส จนหยั่งไปถึงที่เกิดต้นธาตุต้นธรรม อ้อ ที่แท้ก็คือความไม่รู้ อวิชชา เป็นต้นธาตุต้นธรรม
แล้วที่ความไม่รู้นี่ก็คือไม่รู้ว่า เมื่อมันเกิดมาแล้วมันมีธาตุ 2 ปรุงแต่งกันเรียกว่า สังขาร จนกระทั่งพัฒนามาเป็นจิตนิยามมีวิญญาณ เมื่อเป็นวิญญาณแล้วจะเรียนรู้วิญญาณได้ด้วยอะไรก็ได้ด้วยนามรูป เพราะวิญญาณอาศัยนามรูป ในปุตตมังสสูตร ข้อที่ 4 ยืนยัน
“พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ แบบ[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า”
พ่อครูว่า… เช้า 100 เล่มก็หักหมด กลางวันอีก 100 เล่มหอกก็หักหมด เย็นอีกร้อยเล่มหอกก็หักหมด หมดแรงนอนแผ่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
โจรที่ ถูกแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นก็หมายถึงพวกอยู่ทั้งวัน วันหนึ่งมันมีแค่เช้ากลางวันเย็น กลางคืนไม่ทำงานด้วยนะ เอาแค่ตอนกลางวัน มันก็มีแต่ทุกข์ๆๆ เพราะถูกหอกแทง เป็นโจรที่ถูกหอกแทง เหมือน ผู้ทำผิด ศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ โพธิรักษ์ใช้หอกปาก มุขสตี แทงด้วยหอก ร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็นและนอนแผ่หมดแรง แต่โจรก็ยังหน้าตาเฉยทุกวันนี้ เอาแต่แค่ประเด็นนั่งหลับตาปฏิบัติ มันเป็นโจรทำลายศาสนา เขาก็หาว่าเราไปว่า อ้าว ก็มันผิดจะไม่ว่าได้อย่างไรมันไม่ถูกต้อง เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ยังเป็นโจรหน้ามึนเป็นโจรปึ๊ก เป็นโจรไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ไม่ชี้ อะไรวะ อาจารย์อั๊วสอนนั่งหลับตาทั้งนั้น เอ็งมาจากไหน จริงๆนะ..มันเป็นอย่างนี้ท่านผู้ชมทั้งหลาย
มันก็ได้รับแต่ทุกข์เท่านั้นไม่มีอื่นเลย เมื่อเป็นโจรแล้วก็ทุกข์ ถูกผู้รู้อย่างอาตมาทิ่มแทงด้วยหอก ถ้าหากอาตมายังไม่ตาย อาตมาก็จะทิ่มหอกอยู่อย่างนั้น เช้ากลางวันเย็นจริงๆ อาตมาไม่ได้ปฏิบัติผิดจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เลย
หอกนี่แทงเล่นเดียวก็ทุกข์มากแล้ว ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญา ทำไมพระราชาให้เจ้าหน้าที่มาประหารเรา มาแทงเรา นี่พูดอย่างสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระราชามีสิทธิ์ที่จะดูแลประชาชน เห็นประชาชนที่ไม่ดีก็ประหารเสีย ประชาชนที่ดีก็เอาไว้เป็นธรรมชาติของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พวกที่เป็นธรรมราชาจะเป็นอย่างนั้น
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
ผู้ที่สามารถกำหนดรู้นามรูป วิญญาณนี้แยกเป็นนามรูปได้ด้วยวิชชา แต่แยกเป็นเทวะภาวะสอง มีสิ่งที่ถูกรู้กับผู้รู้ ผู้รู้คือปัญญากับวิชชา สิ่งที่ถูกรู้คือโจร คือผี คือซาตาน คืออัตตา คืออวิชชา รู้อวิชชาของตน
วิชชาจะรู้อวิชชาของตน ตนโง่ จะกว่าจะรู้ว่า อวิชชามาก่อน แต่ก่อนแต่ไรไหนมาชื่อคนใช้ค่าโลกธรรมวัดคน เป็นโลกธรรมทั้งนั้นเลย เขาใช้โลกธรรมวัดคนว่า เจริญศรีหรือไม่เจริญทั้งนั้นเลย ซึ่งเป็นการลงโลกียลงโลกธรรม เมื่อเข้าใจโลกธรรมแล้วก็จะรู้ว่าบ้าๆบอๆ ภูเขาปั่นไปกับลาภยศสรรเสริญสุข
พูดมาถึงตรงนี้ อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เกิดมาก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เสร็จแล้วได้บำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าด้วย เจริญทุกอย่างเลย ฉะนั้นท่านจึงเป็นพระพุทธเจ้าที่มีพระปัญญาธิคุณ แล้วก็ไม่เป็นอื่นก็ยังเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่นั่นแหละ ก็มีภูมิธรรมปัญญาธิคุณ เป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยทำงานให้โลกด้วย บริหารเอาให้เจริญ เอาให้ประเทศตัวเองเจริญ เยี่ยมยอดเลยแล้วก็พาให้ประเทศอื่นเยี่ยมยอดไปได้อีก แต่พระองค์ไม่ทำ พระองค์ทิ้งเรื่องโลกีย์อย่างไม่เสียดาย ทิ้งโลกียะ หมดเกลี้ยงเลย ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถึงแม้แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้ามคธ ก็ยอมเคารพธงชาติ เพราะศาสนาฮินดูเขารู้จักพระพุทธเจ้ากันมา เขาเป็นพราหมณ์กันมาเขารู้ว่าพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้วจะต้องมาเกิด มาอุบัติ และมีคนพยากรณ์ว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้วท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าได้จริงทุกคนจึงเคารพ เพราะฉะนั้นแคว้นใหญ่ แคว้นโกศล แคว้นมคธยกให้หมดแล้ว ท่านจะยังอยู่ ท่านก็ยิ่งใหญ่กว่าใคร นี่ขยายความให้ฟัง แต่ท่านไม่ดำเนินงาน ท่านไม่เอาพระเจ้าแผ่นดิน ท่านทิ้ง ถอดเครื่องมุรธาภิเษกของพระเจ้าแผ่นดินทั้งหมดเลยมานุ่งผ้าบังสุกุล ถ้าคลุกขี้ฝุ่นขี้ฝอยผ้าห่อศพ เดินพระบาทเปล่า
ซึ่งมันไม่เหมือนยุคนี้ที่ยังแบกลาภยศสรรเสริญอยู่เลยในเถรสมาคม สรรพคุณอะไรไม่รู้สึกรู้สา พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ามากมาย ทำไมท่านทิ้งได้ คุณเองคุณมีเศษทองเท่าหนวดกุ้ง ของท่านมีทองเท่าหัว ท่านโยนทิ้งหมด
ลักษณะตรีมูรติของพระเจ้ามี ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ
_สู่แดนธรรม… รายการนี้พ่อท่านสอนเรื่องการสลายอวิชชา โดยวิชชา คนที่ยังไม่พ้น เขาย่อมมีความทุกข์อยู่ทุกเมื่อเพราะวิญญาณอาหาร พระพุทธเจ้าให้รู้การแยกนามรูป คนเราถ้าไม่มีอิสระในการแยกนามรูป จึงเป็นไปกับนามรูปที่มีอวิชชา อวิชชาก็เลยเป็นเหตุให้มีทุกข์อยู่ทุกเมื่อ
พ่อครูว่า… อาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณหาร เมื่อรู้รูปนามของวิญญาณแล้ว ถึงรู้จักในการพัฒนาตนด้วย กวฬิงการาหาร พัฒนาตน เมื่อมี ผัสสาหาร
มีผัสสาหารก็จะเกิด มโนสัญเจตนาหาร คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจรูปนาม ด้วยวิชชาไม่ใช่อวิชชาอยู่ รู้ว่าวิญญาณนี้มันจะต้องเรียนรู้ด้วย กวฬิงการาหาร การกินอาหารนี่แหละ มันมีกิเลส อ่านกิเลสจากการกินอาหาร
เมื่อคุณผัสสะ ในขณะการกินอาหาร เหมือนมหาบัว หากได้เรียนผัสสะ เอาหมากพลูเข้าปากเคี้ยว ก็รู้ว่านี่มันกามตัณหานะ เราก็มีเจตนามโนสัญเจตนาต้องการแต่กามๆๆหนอ
ถ้ามหาบัวได้ พิจารณาอย่างนี้เห็นอย่างนี้รู้อย่างนี้ว่านี่กามหรือ กามนี้ละก่อนนะ เป็นตัณหาหยาบเบื้องต้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์เลยนะ อ้อ เราติด เรายึดอยู่แค่นี้หรือ โลกนี้ มีสวรรค์อยู่แค่กินหมากพลูแค่นี้หรือ มหาบัวไม่รู้ ไม่ได้พิจารณา ถึงไม่รู้รูปนาม จึงไม่รู้จักวิญญาณ ผัสสะตลอดวันตลอดคืน กลางคืนนอนหลับ กลางวันก็เคี้ยวอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดปาก แล้วก็หลงสวรรค์ สุข อยู่อย่างนี้ สุขหนอๆๆ หลงสุข นิรันดรเป็นสุขนิยม ไม่รู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ไม่รู้ว่า มันเป็นอริยสัจนะ ทุกข์กับสุขมันเป็นอันเดียวกัน
เรียนรู้ทุกข์ มันง่ายกว่าพระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้เรื่องทุกข์ให้มาเรียนรู้ได้ก็เป็นอริยะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่ติดยึดเป็นอุปาทาน ขึ้นมาก็เป็นตัณหาเป็น Dynamic อุปาทานเป็น Static ใครเคยได้ฟังแล้วอาจจะฟังซ้ำซึ่งก็จะเข้าใจไปได้เรื่อยๆ
มีความเจริญ 5 ประการจากการฟังธรรม ด้วยการได้รู้ได้ฟัง สิ่งใหม่ เข้าใจสิ่งเก่าเข้าใจได้เพิ่มขึ้นทิฏฐิก็เปลี่ยน จนกระทั่งหลุดพ้นได้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง
ผู้ที่สามารถพิจารณาอาหาร โดยเฉพาะพูดถึงอาหาร 4 แค่นี้แหละ ไม่ต้องไปเรียนรู้ไกล พระพุทธเจ้าย่อที่อาหารคือคำข้าว ก็เมื่อไหร่มันก็ต้องอยู่กับการกิน กิเลสมันก็อยู่ที่ปาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสครบ ถ้าไม่เรียนรู้รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสครบว่ากิเลสอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่จบ จะจบได้ต้องรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างนี้เอง มันเกิดจากตัวนี้ แล้วทุกคนต้องกินเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องกินเป็นพระอรหันต์ก็ต้องกิน ถ้าไม่บรรลุมันก็ต้องเป็นทาสมันอยู่ตลอดกาล
_สู่แดนธรรม… กินด้วยความเป็นทุกข์ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… จะว่าทุกข์ มันก็ขนาดนั้น มันเป็นภาระ การกินก็ต้องเป็นภาระ ภาราหเวปัญจขันธา กินให้ขันธ์ 5 มันต่อไปได้ มันจำเป็น เป็นธรรมชาติ ไม่ได้กินเพราะอร่อย ไม่ได้กินเพราะระเริง กินเพราะทนกิน ผู้ที่อยู่กับอาตมาจะรู้ว่าอาตมาไม่ได้แกล้งเลย มันเป็นการลากสังขาร จะเข้าใจด้วยพฤติกรรมจริง ไม่ใช่เรียนรู้จากพยัญชนะ คนที่อยู่รอบข้างทั้งหลายแหล่ ในการกิน จะเห็นว่าอาตมากินด้วยความทุกข์ ซึ่งพูดไปแล้วมันก็น่าเกลียด ที่จริงมันก็ไม่ทุกข์ถึงขนาดนั้นหรอก ไม่ได้ทุกข์หยาบคาย ฟังแล้วเหมือนจะตาย ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาให้มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ทุกข์และสัมภาระวิบากของพระโพธิสัตว์
_สู่แดนธรรม… เขาจะบอกว่าเป็นตนเองเป็นอรหันต์แล้วจะมาทุกข์ทำไม
พ่อครูว่า… คำว่าทุกข์เป็นบัญญัติให้พวกคุณรู้ อาตมาจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อาตมาสูงสุดคืนสู่สามัญ พูดให้คุณรู้ว่าทุกข์ ถ้าหากจิตใจอาตมาทุกขนาดนั้นอาตมาอกแตกตายแล้ว ถ้าหากอาตมาเป็นอย่างนั้นจริง แต่อาตมาพูดให้พวกคุณฟัง ว่ามันเป็นภาระ ภาราหเวปัญจขีนธา
_สู่แดนธรรม… ผมเคยคิดอยู่คนเดียว ผมเคยเข้าใจว่า ความหมายของคำว่า ทุกข์ ไม่ใช่มุ่งหมายไปที่ทุกขเวทนา ที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งความทุกข์ แต่ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าหมายความ มันกว้างกว่านั้น
พ่อครูว่า… เกิดขึ้นมา ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ มันเป็นความทนได้ยาก มันเป็นความไม่เที่ยง แต่เราไปยึดถือหนัก มันก็เลยทุกข์ทรมาน มันเป็นอาการของจิตเป็นอาการของเวทนา เป็นอาการของความโง่ของความหลงของคุณ เพราะฉะนั้นเวทนาของคุณจึงเป็นก้อนทุกข์ใหญ่โตเลย ผู้รู้แล้วก็จะรู้ว่าอ้อ…ทุกข์ ไม่มากมายอะไร แค่นิดนึงก็ไม่เอาไว้
ตั้งแต่หยาบมา ท่านก็เลิกมาแล้วทุกข์หยาบ กระทั่งทุกข์เหลือน้อยลง จนกระทั่งเหลือน้อยมาก กลับไปเป็นสมมุติ เราหมดแล้วทุกข์ ปรมัตถ์หมดแล้ว เรายังมีขันธ์ 5 อยู่ก็ต้องทุกข์ไปกับขันธ์ 5 ทุกข์ไปกับโลก
ทีนี้ก็ยิ่งทุกข์ก็คือไปกับการช่วยคนอื่น คนอื่นเขายึดถืออย่างนี้เราก็ช่วยได้อย่างนี้ แก้ความทุกข์ให้เขาไป ก็จะไปรับรู้ความทุกข์ของคนอื่นก็แก้ไขช่วยเขา เพื่อที่จะชี้ให้เห็นทางออก
_สู่แดนธรรม… แสดงว่าความสิ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าที่สอน มันมีนัยยะที่ลุ่มลึกมาก
พ่อครูว่า… ไม่มีทุกอย่างมันหมดเลยมันหมดจนกระทั่งสลายจิตนิยามไปเป็นดินน้ำไฟลมเลย
_สู่แดนธรรม… ผู้ที่สิ้นอวิชาพ้นอวิชชาแล้ว ก็จะต้องขอบอกว่า ยังเป็นทุกข์อยู่ ถึงแม้ว่าท่านจะพ้นทุกข์ อริยสัจ 4
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นจะอยู่กับคนที่มีกิเลสมาก มันก็ต้องช่วยเขาหนัก เป็นภาระหนัก มันก็ทุกข์หนัก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนในโลก อรหันต์ไม่หนักเข้าใจอย่างที่อาตมาพูด โพธิสัตว์จึงจะเข้าใจอย่างที่อาตมาพูด พวกที่สุดโต่งไปทางอรหันต์อย่างทางเถรสมาคม ศาสนาพุทธที่เป็นเถรวาท ไปทาง พระมหากัสสปะไม่ค่อยมีปัญญาจึงพูดยากมากเลย ที่จะเข้าใจ พูดยากมาก แต่ก็จำเป็นจะต้องพูดถึงอะไรก็ต้องพูดเพราะมันเป็นสัจจะเป็นความจริง ยิ่งยาก ก็ยิ่งจำเป็นที่จะให้เขาหมดความยากนี้บ้าง เบาบางความยากลงไปบ้าง ให้รับรู้ขึ้นมาบ้าง
เพราะฉะนั้น อาตมาทุกวันนี้ ถ้าได้บรรยายธรรมะ อาตมาจะมี อภิปโมทยังจิตตัง ถ้าไม่ได้บรรยายธรรมะก็จะเขียน ก็ อภิปโมทยังจิตตัง บ้าง คือมีชีวิตอยู่กับธรรมะนี้ให้เอาไว้เอาธรรมะไว้ นอกนั้นไม่มีอะไรก็กินกับนอน กินก็ในเวลากินก็จนกว่าจะเสร็จสู่สนามรบจบ แล้วก็นอน นอนแล้วคลายเหนื่อย นอนพอแล้ว ก็มาทำงานก็กินกับนอน กินกับนอน วนเวียนอยู่แค่นี้ทุกวันนี้
_สู่แดนธรรม… พ่อท่าน เขียนหนังสือเรียกว่าหาทุกข์ใส่ตัวไหมครับ
พ่อครูว่า… มันไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกมันเขียนหนังสือแสดงธรรมด้วยหนังสือ เป็นงาน เป็นภาระประจำ
_สู่แดนธรรม… เป็น อาหารปริเยติทุกข์ ทุกข์ ต้องแสวงหาทำงาน
พ่อครูว่า… ไม่ได้ทุกขเวทนาอะไร เป็นทุกที่ต้องแสวงหาอาหารที่ต้องอาศัย อาหารที่เป็นประโยชน์แก่โลกมนุษย์ อยู่ก็มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
_สู่แดนธรรม… พ่อท่าน พูดค้างไว้เรื่องสัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 10
พ่อครูว่า… พูดไปก็ยกย่องตัวเอง ขยายความก็ได้ ข้อที่ 10 มันมีนัยยะลึกซึ้งสำคัญอยู่ในนั้นคือ
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
เป็นหน้าที่ที่จะต้องเอามาประกาศให้ผู้อื่นรู้ตามเป็นหน้าที่ ทำหน้าที่ในข้อที่ 10 นี้ อาตมาไม่ทำอาตมาก็บอกว่าอาตมาไป สยังอภิญญา อาตมาก็ผิดสิ อาตมาก็ไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าสิ อาตมาอธิบายโลกนี้โลกหน้าได้ไหม ให้สู่โลกุตระได้ไหมแล้วมาปฏิบัติได้ไหม เลิก ออกจากโลกโลกีย์ ละโลกธรรม ถึงลาภยศสรรเสริญสุข คุณทิ้งมาได้หรือเปล่า ถ้าคุณอยู่ คุณมีลาภมากกว่านี้ไหม
_สู่แดนธรรม… น่าจะมีบ้านมีรถแล้วครับ
พ่อครูว่า… ทุกวันนี้ไม่มี บ้านหรือเฮือนเฮือ อยู่กี่คนน่ะ หลังใหญ่เบ้อเร่อเลย
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศสัจธรรม ถ้าไม่ทำงานอันนี้ก็ผิดเลยใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ผิด อาตมาเป็นประกาศกของพระเจ้า พระเจ้าคือพระพุทธเจ้าของเราไม่ใช่พระเจ้าลึกลับ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้มีตัวตนบุคคลจริง เอามาประกาศไม่ใช่สิ่งลึกลับซึ่งเหนือชั้นกว่าพระเจ้าที่เป็นสิ่งลึกลับ พระเจ้าไม่เคยปรากฏตัว
จริงๆแล้ว พระเจ้าไม่ใช่ใครหรอก พระเจ้าก็คือพระศาสดาเอง ตัวพระศาสดาเองก็คือพระเจ้า พระเจ้าไม่รู้กรรมวิบาก พระศาสดา ของสายเทวนิยมสายพระเจ้า ไม่รู้จักกรรมวิบากไม่รู้จักอัตตาไม่รู้จักกรรมของตัวเอง ตัวเองสร้างกรรมวิบากของตัวเอง จนกระทั่งมีความรู้มีความดีมีความจริง สูงไปจนกระทั่งได้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นศาสดา ของตนเองทั้งสิ้นแต่ตนเองไม่รู้ตนเองว่า ตัวเองมี สุกตทุกฎานังกัมมานังผลังวิปาโก ไม่รู้ว่ากรรมวิบากที่ตัวเองสร้างสมสิ่งที่ดี สิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เป็นความจริงมาได้ด้วยตนเอง มาขนาดนี้จึงได้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นศาสดา เขาไม่รู้เรื่อง
_สู่แดนธรรม… มองในแง่ดีว่า ท่านลดความมีตัวตน
พ่อครูว่า… ไม่ใช่หรอกจริงๆแล้วท่านไม่รู้ ท่านอวิชชา ความรู้นี้เป็นความรู้ที่สูงจริงเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งละเอียดซับซ้อนมากเลยนะ แล้วก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้นเอามาประกาศแล้วแม้แต่ปราชญ์อื่นๆก็ยกให้เป็นศาสดา จึงเป็นเจ้าหมู่คณะแม้แต่เป็นปราชญ์เป็นปุโรหิตต่างๆก็ต้องมายอมยกให้เป็นศาสดาได้ มันก็จริง แต่ท่านไม่รู้บาปไม่รู้กรรม ไม่รู้อัตตา ไม่รู้ความเป็นตัวตนสั่งสมมาเอง สั่งสมกรรมวิบากมาเอง ไม่รู้ว่าทำกรรมอย่างไรจึงเกิดมาเป็นอย่างนี้โดยไม่รู้อัตตาว่า ที่แท้มันไม่มี
อัตตามันคือสังขารธรรมเท่านั้น มันเป็นอนัตตาแล้วก็ลงว่าจิตวิญญาณยิ่งใหญ่เป็นนิรันดรไม่ใช่ ถ้าสามารถแยกน้ำรูปแยกเป็นเทวดาแล้วก็ศึกษาให้มีผัสสะ ให้มีเวทนา มีอายตนะ แล้วก็แจก ทำอายตนะของตน เรียนรู้อายตนะของตนให้ได้ ว่า อ้อ.. มันเป็นตัวกิเลสตัวแฝงอยู่ในนี้ อายตนะ มันก็คือความปรุงแต่งของสังขารนั่นแหละ ความปรุงแต่งของธาตุสองนั่นแหละรูปนาม ปรุงแต่งกันอยู่แล้วก็เป็นสวรรค์เป็นนรกเป็นสุขเป็นทุกข์ก็อยู่ตรงนี้ ติดสุขความทุกข์ก็เลยอยู่ด้วยมันแยกไม่ออก ต้องไม่เอาสุขไม่เอาทุกข์ ทิ้งหมดเลย ไม่สุขไม่ทุกข์จึงเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้
คนไม่สุขไม่ทุกข์มันเป็นอย่างไร ก็คือพระอรหันต์ไง ท่านไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ท่านเลิกความสุขความทุกข์แล้ว ยึดอะไรก็สุขอวิชชา ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์ หยุดเมื่อไหร่ก็ทุกข์ มายึดเมื่อไหร่ก็สุข ก็ทั้งทุกข์ทั้งสุข มันอยู่ที่ความยึดก็ไม่ยึดเท่านั้นแหละ ก็รู้ว่ามันเป็นเทวะมันเป็น 2 อย่างบวกลบ จะบวกอันนั้นเป็นลบ อันไหนเป็น ปัสสาสะ ก็ได้ เป็นสิริมหามายาแล้วก็ชัดเจนความบวกความลบความเป็นหน้าเป็นหลังก็ชัดเจน
_สู่แดนธรรม… ตอนที่พ่อท่านบอกว่าพระอรหันต์คือคนที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ คนไม่เข้าใจก็จะไปบอกว่าท่านคงเป็นคนเฉย
พ่อครูว่า… นี่แหละคนที่เป็นพระอรหันต์นี่แหละ ยิ่งมี กายปาคุญญตา มีจิตปาคุญญตา คือ คล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่เฉื่อย กายกรรม ความปรุงแต่งในเรื่อง นัจจะ คีตะ วาทิตะ อย่างเช่นโพธิรักษ์นี่แหละคือคน กายปาคุญญตาเพราะจิตปาคุญญตา เป็น มุทุภูตธาตุ มีทั้งความแววไว เบา ง่าย อยู่ในตัวหมดเลย มุทุลหุตามุทุตา
_สู่แดนธรรม… จิตใจมันมีอิสระจากตัวถ่วงใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ จะเป็นคนมีปัญญา จะเป็นคนมีพระกรุณา มีความเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่ช่วยคนอื่น ปัดโธ่โธ่ แต่ก่อนโง่เกิดมาแล้วมันเห็นแก่ตัว หลงเห็นแก่ตัวแล้วโทษแก่คนอื่นเยอะแยะ จนกระทั่งไม่เป็นโทษแล้ว เมื่อไม่เป็นโทษแล้วก็ต้องเป็นคุณแก่ผู้อื่นสิ ไปไหนก็ได้ เกิดเป็นอัตภาพแล้ว ถ้าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็ทำได้แล้ว คุณมีกตัญญูกตเวทีต่อศาสนาต่อพระพุทธเจ้า โอ้…. คุณได้อันนี้ก็เพราะศาสนา คุณได้อันนี้ก็เพราะพระพุทธเจ้า ก็ช่วยกันหน่อยสืบทอดต่อพระพุทธศาสนา ช่วยคนตาดำๆ ให้เขาได้รู้ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วจะไปอย่างไร รู้จริงแล้ว อ้อ… อย่างนี้เองเกิดมา รู้จบ พอรู้จบก็จะรู้ว่า โธ่เอ๋ยชีวิตก็เท่านั้น
คนเอ๋ยคนเราก็เท่านี้ ไม่เห็นมี สิ่งใดจะใฝ่หา กินกามเกียรติเก่งโก้ในโลกา
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านก็ทำเป็นร้องเพลงไปอย่างนั้นใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ก็สบายๆ อภิปโมทยังจิตตัง อาตมาก็ไม่มี อโศก แล้วไม่หลงระเริงอะไร
_สู่แดนธรรม… ทางสายวัดป่าบอกว่า อรหันต์จริงจะต้องรู้ว่าเกิดมาอีกก็ไม่มีทุกข์อริยสัจ 4 แล้ว
พ่อครูว่า… ชาตินี้มันก็ไม่มีทุกข์อริยสัจ 4 แล้วเกิดมาอีกก็ไม่มี มันก็มีแต่ทุกข์ที่เป็นสมมุติ เป็นภาระเท่านั้น
-
ปัจจุบันเราก็ไม่ทุกข์
-
เราก็ไม่ได้ทำชั่วทำบาปไม่ทำอะไรที่เป็นโทษภัยแก้โรคแก้ไขเลย
-
เราก็เป็นประโยชน์จริงๆ เราจะไปทิ้งของเสียของดีทำไม ไม่ใช่ของเสียของดีทั้งนั้นเลย เราก็เอาของดีไปแจก ๆๆๆ มันไม่ใช่ความเสียหายอะไรเลย