651024 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1mhif2KS5LqtQlDzOdjlR4cGSRJddhO-oUEQjxlWOeAs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1WAzH0rWGw7LiCBUxB6DOI2_L6rEPl2nn/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/3UT9ssJd0xg
และ https://fb.watch/gma-JM03iU/
พุทธไม่ควบคุมจิตแต่ให้จิตสว่างแจ้งด้วยปัญญา
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ก่อนเข้ารายการ ได้สนทนากับเพื่อน มีคนสรุปคำของพ่อท่าน แล้วแชร์กันไป ก็มีผู้รู้ที่แย้งมา
คำที่พ่อท่านเสนอไป บางทีก็สั้นไม่ได้ขยายความ คือ พ่อท่านบอกว่า คนเราจะเจริญได้ต้องอบรมจิต ต้องควบคุมจิต พวกที่ปฏิบัติธรรม สายต่างๆ พวกสายพระป่าก็บอกว่าต้องอบรมจิตควบคุมจิต อีกแป๊บนึงบอกว่าจิตเป็นอนัตตาจะไปควบคุมบงการไม่ได้ ซึ่ง มันก็ถูกกันไปคนละแง่มุม ในแง่มุมที่ควบคุมไม่ได้เป็นอนัตตาก็มี และมีสิ่งที่พ่อท่านได้สอน ความเป็น 2 ส่วน เป็น อนุปคัมมะ จริงๆแล้ว การควบคุมจิต อบรมจิต เบื้องต้นมันควรจะควบคุมได้ใช่ไหมครับ ถ้าควบคุมไม่ได้จิตมันก็ต้องปล่อยไปตามกิเลส จนสุดท้ายจิตมันเที่ยงแท้ ไม่ต้องไปควบคุมเลย รายการของเราจะเข้าสู่เรื่องนี้กันดีไหมครับ
พ่อครูว่า… คำว่าควบคุม “ควบคุมจิต” กับคำว่า “อบรมจิต” หรือ “ฝึกฝนจิต” หรือ “เรียนรู้จิตอย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์”
_สู่แดนธรรม… ผมคิดว่า ผู้คอยเพ่งโทษ จะคอยฟังว่า อธิบายให้เป็นอนัตตาถึงจะยอมฟังพ่อท่าน
พ่อครูว่า… ดีมาก เอาจุดที่ชัดๆให้ยอม ไม่ให้ยอมหรอกให้คุณเข้าใจ คุณใช้ศัพท์ว่า ให้ยอม ก็เป็นภาษาของพวกควบคุม แต่ถ้าเผื่อว่าใช้ภาษาไม่ใช่ยอมหรอก แต่ อ้อ..สว่างแจ้งด้วยปัญญา นี่คือ ความบริบูรณ์สัมบูรณ์ เป็นการเรียนรู้ที่ได้รู้แจ้งด้วยปัญญา ประเด็นนี้แหลมคมมาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สำเร็จด้วยปัญญาอันยิ่ง สัมมัปปัญญา มันบริบูรณ์ด้วยปัญญาอันยิ่งไม่ใช่เป็นการ Command ไม่ใช่การควบคุม ไม่ใช่การบังคับ ไม่ใช่การกำหนด เหมือนอย่างจะพูดให้กว้างๆ วันนี้จะให้ความรู้อันหนึ่งสำหรับความกว้าง สำหรับองค์รวมที่ใหญ่ ที่เล็ก
อย่างเล็กคืออย่างประเทศไทย ใช้ปัญญา ประเทศไทยใช้ปัญญาบริหารสังคม เปรียบเทียบกับจีน ขณะนี้ จีนประสบผลสำเร็จอยู่ประมาณหนึ่ง ใช้ปัญญาบริหาร เมืองไทยก็ใช้ปัญญาบริหาร แต่ลึกซ้อนเข้าไป จีนนั้นใช้ปัญญาบริหารและมีกึ่งควบคุม Commandด้วย
ส่วนไทยนั้นใช้ปัญญาบริหาร อย่าง อิสรเสรี จุดนี้ที่ต่างกัน นักรัฐศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ฟังดีๆ ประเด็นนี้ ซึ่งยังไม่เข้าไปหาคำว่าเศรษฐศาสตร์ เพราะเศรษฐศาสตร์จะซ้อนไปอีก
เอาความหมายตามConcept ตามที่คนเขาถือนะ ว่าเศรษฐศาสตร์หมายถึงอะไร เป็น Concept ของเขาไป เพราะคนทั่วไปเข้าใจกัน อาตมาจะลงไม่ถึงบัญญัติพยัญชนะของเศรษฐศาสตร์ เพราะมันจะกลับกันอีก
_สู่แดนธรรม… ตอนนี้อยู่ในวาระการควบคุม
พ่อครูว่า… ใช่ เป็นเรื่องควบคุมจิต กับ อบรมจิตหรือหรือฝึกฝนจิต ฝึกฝนเรียนรู้ แล้วก็เกิดปัญญาอันยิ่งบริบูรณ์ ปัญญาอันยิ่ง คำนี้ มันเป็นความรู้ที่รู้แล้วก็หมดปัญหา รู้อย่างหมดสงสัยหมดข้องใจ หมดปัญหา หมดความข้องสงสัย หมดความไม่กระจ่าง หรือว่ายังเหลือเศษ ความไม่รู้ หมดเลย หมด ไม่มีเหลือเศษความไม่รู้ นี่คือความจบ หรือว่าปัญญาอันยิ่ง ในความหมาย
มันเป็นธาตุรู้ หรือว่าความรู้ความฉลาดที่ รู้อย่างไม่มีความเป็น 2 แล้ว รู้อย่างความเป็นหนึ่งเดียว ใครจะมีอะไรมาเป็น 2 ทำความเข้าใจให้ได้หมด
_สู่แดนธรรม… อย่างที่เขามีปัญหามาค้านอย่างนี้ เขาถือว่าเขามีความเป็น 2 จากเรา
พ่อครูว่า… มีความเป็น 2 กับเรา แล้วเราทำความเข้าใจให้ได้หมด เป็นแต่เพียงว่าเราทำความเข้าใจให้เขาไปแล้ว อธิบายแล้ว ใช้สมมติบัญญัติภาษาไปหมดแล้ว แล้วเขาเข้าใจได้เท่านั้น เขาเข้าใจต่อจากเราที่ใช้สื่อภาษาไปกับเขา จบแล้วหมดแล้ว ไม่มีอีกแล้ว 1
2 มันจบตรงนี้นะ เขาก็หมดปัญญาจะรู้ต่อ ไม่มีปัญญาจะรู้ต่อ รับอยู่ก็ได้ หรือไม่รับอย่างคุณว่าก็ได้ ไปถึงตรงนั้นแล้วเขาผลัก อย่างนั้นเขาเรียกว่า มีอัตตามานะ ถ้าเขาไม่มีอัตตามานะก็คือ อ้อ…เขาไม่รู้ต่อแล้ว แต่เขาศรัทธาเลื่อมใสอยู่ คนนี้ไปต่อ แต่คนที่บอกว่า ว้า.. ไม่ใช่แล้ว แล้วเขาก็วนไปหาโลกเก่าของเขา เขาจะไม่เปิดต่อ ไม่เปิดจิตต่อ เขาจะจบที่ตัวกูของกู
_สู่แดนธรรม…แสดงว่า เขาก็ไม่เข้าถึงอนัตตาเป็นอัตตาของเขาเอง
พ่อครูว่า… บัญญัติเป็นอนัตตาของเขาอยู่ แต่คนนี้เขายังไม่ทะลุทะลวงความเป็นอนัตตาที่แท้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาอาจจะมีอนัตตาของเขาบางส่วน เขาไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่ถือเป็นตัวเป็นตนของเขา เขาก็เชื่อในอันนั้นของเขา แต่มันเป็นระดับหยาบ สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปก็ถึงขีดหนึ่ง เขาก็ตันแล้ว เขาไม่ไปต่อ ตันตรงนี้แล้ว เขาเอาอัตตามานะของเขามาปิดประตู มาปิดประตูโลกของเขา โลกของเขาก็จบอยู่แค่นี้ วนอยู่แค่นี้ ถ้าขีดเส้นก็คือกะลาครอบอยู่แค่นี้ ไม่ออกจากนี้แล้ว นี่แหละเรียกว่า โลกียะ คือมันไม่เปิดตลอด มันไม่รับไปตลอด แล้วก็ทำความเข้าใจหรือว่าทำความบรรลุธรรมให้ต่อไปได้เรื่อยๆ เขาขีดวงกลมของเขา เขาขีดความจบของเขาอยู่ในเขตเรียกว่า โลกียะที่แท้จริง เพราะฉะนั้น คนนี้จะไม่เข้าใจอะไรต่อได้เลย นี่คือ ความหมายที่เราพูดกันไปอันนี้ว่า
จิตอนัตตา ไปควบคุมไม่ได้ เขาว่างั้นนะ เราก็ไม่ได้ควบคุม แต่เรารู้ความเป็น 2 ความเป็น 2 นี่แหละ ยากที่สุดในโลก
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านพูดเข้าใจง่ายดีนะครับ แต่ก็เข้าใจยาก
พ่อครูว่า… เข้าใจยากสำหรับคนไม่มีปัญญา
ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2
พ่อครูว่า… มาเข้าสู่คำอธิบายที่ว่า ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2
พูดมานานหลายทีแล้วเรื่องนี้ แล้วก็ยังจะพูดไปอีกต่อ อายุ 100 กว่าปีก็คงต้องพูดเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องต้น และเป็นเรื่องปลาย จบ ในโลกนี้มีแต่ 2 กับ 1 กับ 0 นี่แหละเป็นเป้าหมายหลัก คือ 3 เส้า ที่ต้องศึกษา
ถ้ารู้แจ้งรู้จริง ทำ 0 ได้ ทำ 1 ได้ อย่างเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว คุณก็อยู่กับ 2 อย่างอาศัย 1 และจบด้วย 0
_สู่แดนธรรม… เราอยู่กับ 0 เรา มีความเป็น 0 นี่แหละเป็นที่อาศัย
พ่อครูว่า… มีความเป็น 1 เป็นที่อาศัย มีความหยุดความไม่ต่อมันก็ 0 แล้วก็อยู่กับ 2 กับคนอื่นอนุโลมปฏิโลมอยู่กับโลกด้วย 2
_สู่แดนธรรม… นี่คือถ้ามันง่าย มันก็ง่ายอย่างนี้ แต่มันไม่ง่ายอย่างนี้
พ่อครูว่า… มันไม่ง่ายอย่างที่พูด ผู้ที่พูดได้ทำได้ ก็จะสามารถช่วยคนอื่นได้ แต่ถ้าผู้ที่ไม่รู้ บางคนอาจจะพูดได้แต่วน วนไปแล้วก็เมา วนหนักเข้าๆ ก็เมา เพราะตัวเองก็วน ซับซ้อนไม่รู้ว่าเข้าหรือออก ไม่รู้ว่าออกหรือเข้า ไม่รู้ว่าบนหรือล่าง ปนกันไปใหญ่ ก็จะเละ โดยที่ตัวเอง ผู้ที่ไม่รู้ว่า ตัววน เพราะว่าตัวเองสามารถขยายไปไกล แต่วนนะ เขาก็เลยไม่เมา
ถ้าเขารวบความวนนั้นเข้ามาให้ใกล้เข้า ตอนนี้ล่ะ เขาเวียนหัว อ้วกแตกเลย เขาจะเมาเขาจะรู้ว่า เขาเอง เขาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว
สภาพ 2 มันจะเร็วเข้าเร็วๆๆ จนกระทั่งคุณเมา อะไรเว้ย ไม่รู้เรื่องเว้ย นี่ขนาดทำมือให้ดูนี้ยังช้านะ แต่คุณก็จะพยายามจับสภาพ 2 นั่นแหละ สภาพ 2 ก็จะหมุนจนกระทั่ง ไม่รู้เรื่องแล้ว เมา
_สู่แดนธรรม… สรุปแล้วจะต้องแยกแยะมี 2 ฝ่ายให้ได้ ใช่มั้ยครับ
พ่อครูว่า… ขยายเพิ่มขึ้น
เทวะ ออกสำเนียง เดวะ ไม่รู้ว่าถูกผิดหรือไม่ แบบไทยๆ เทวะแบบไทยๆ จะใส่จุดหรือไม่ใส่จุดก็ช่าง เทฺว
คือ 2 ทวิ หรือโท แจกวิภัชเป็นทเวยะ ได้
คำว่า 2 คำนี้ สภาวะ 2 นี้ เริ่มต้น ในโลก ที่รู้กัน เข้าใจกันง่ายๆก็คือ บวกกับลบ เป็นเรื่องของพลังงานในระดับอุตุนิยามหรือในเรื่องของวัตถุธรรม ไอน์สไตน์ค้นพบสภาวะ 2 อันนี้ แล้วก็ปรุงแต่งกัน เรียกว่า สัมพัทธภาพ สัมพันธ์กันปรุงแต่งกัน Relative จนกระทั่งถึง continuum มันชักจะเป็นสันตติ มันชักจะไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว มันนิ่งแล้ว แต่จริงๆมันปรุงแต่งกันอยู่ในนั้น อย่างนิ่งๆ continuing ออกมาเป็นปัจจุบันที่ช้าลง ยืดออกมาก็จะเห็นสภาพที่มันปรุงแต่งกันได้ง่ายขึ้น ชัดเจนขึ้นๆ
เพราะฉะนั้น ในสภาพของวัตถุ เราเรียนง่าย เพราะว่าเรามันเป็นนายมันได้ง่าย มันไม่มีตัวมันเอง พลังงานทางวัตถุหรือตัวตนของวัตถุดิน น้ำ ไฟ ลม เราจับมันมาจัดการ จับดิน น้ำไฟ ลม จับตัวตนของวัตถุ มันไม่ยึดตัวตน มันไม่มีตัวตน
มาถึงขั้นพีชะ มันมีชีวะของมันเอง มันเริ่มมี I S H 3 เส้าแล้ว เริ่มมีตัวประธานคือตัวมันเอง แล้วมีพลังงานบวก พลังงานลบ
_สู่แดนธรรม… อย่างนี้ถือว่า มีตัวตนแล้วใช่ไหมครับ แต่เป็นแค่ตัว ยังไม่ใช่ตัวตน
พ่อครูว่า…ใช่เริ่มมีตัวตน ได้ มันไม่ใช่ตัว แต่มันยังไม่ใช่ตน ตัวนี้ภาษาไทย ตนก็ภาษาไทยได้ แต่มาจากพยัญชนะบาลีเลย ตะ นะ เลย แต่ ตัวนี้ก็มาจากภาษาบาลีเหมือนกัน ตะ วะ แต่ว่า ตะวะกับตะนะ ตะนะ เป็นตัวตนที่แข็งแน่น ใช้พยัญชนะวรรค ส่วน ตัว ใช้ ว ตุวังๆ ตว แยกกัน
ตุวังๆ มึงๆกูๆ แยกกัน มาใช้เศษวรรค ย ร ล ว เป็นตัวที่ 4 ออกนอกของ 3 เส้า เป็นพลังงานที่แยกตัวตนออกไป เริ่มแแยกตัวตนออกไป
_สู่แดนธรรม… พืช มีตัวตน ไม่แน่นถึงขั้นถึงตน
พ่อครูว่า… ใช่ ไม่ยึดตัวตนทีเดียว คำว่า เป็นชีวะในระดับพืช มันก็ยึดตัว ในตนของมัน ยึดตัวเอง อย่างเป็นตัวเอง เป็นตัวกูของกูขึ้นมาเริ่มมา แต่ยังไม่ยึดมากจนกระทั่ง ใครมาแตะไม่ได้ ใครมาเบียดเบียนไม่ได้ อาฆาตมาดร้าย มีวิบาก ยัง คือพืชนี่ เริ่มเป็นชีวะแล้ว มีธาตุรู้ เริ่มมี I แล้ว มีตัวตนแล้ว มีตัวกูของกูขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ยึดมั่นถือมั่น ยึดแต่แค่ตัวเอง ไม่ไปยึดไม่มีพลังเข้าไปถือสาอันอื่น
เพราะฉะนั้น ถ้าเรากินพืช เราเด็ดพืช เราฆ่าพืช ไม่มีกรรมไม่มีวิบาก ไม่ต้องเวียนวนมาใช้หนี้บาปใช้หนี้บุญกัน ตรงนี้แหละเป็นเรื่องที่สุดยาก ในเทวนิยม จะไม่เข้าใจในเรื่องต้องเวียนวนมาใช้หนี้บาปหนี้บุญ ในเทวนิยมในศาสนาที่เป็นพระเจ้า ไม่รู้เรื่องกรรมเรื่องวิบาก ไม่รู้เรื่องการใช้หนี้บาป ใช้หนี้บุญอะไรเลย ใช้หนี้กุศลอะไรกันเลย ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเขาจะยากที่จะมีเรื่อง บุพเพสันนิวาส การเกิดหมุนเวียนมาใช้หนี้กรรมวิบากชาติแล้วชาติเล่า เขาจะไม่รู้
ฉะนั้นมันไม่แปลกประหลาดหรอกในขณะนี้ ละครของหนังใหญ่หรือซีรีย์ที่มันไปชนะในระดับประกวดโลกตอนนี้ บุพเพสันนิวาส 2 มันชนะรางวัลที่ 1 เลย ของโลกเลย มันไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเรื่องใหม่ มันเป็นเรื่องที่ทำให้คนเขาตาพองโต ทึ่งเลย มนุษยชาติเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ โลกเทวนิยมโลกข้างนอกเขาเริ่มเปิดแล้ว ละครหนังเรื่องที่ไปประกวดบุพเพสันนิวาส 2 ไปชนะมานี่ มันกำลังเบิกตาชาวโลกขึ้นมา
_สู่แดนธรรม… ผมว่าจริงๆแล้วชาวยุโรปก็มีพื้นฐานนี้อยู่บ้าง
พ่อครูว่า… คนมันพยายามที่จะต้องรับรู้อะไรที่เกิดขึ้น ในสิ่งที่มนุษย์เป็นได้ ลึกๆสัญชาตญาณหรือว่าปฏิภาณของคนเขาก็รู้ เอ็ง เป็นอย่างนี้มีอย่างนี้ด้วยเหรอ ข้า จะต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ ข้ารู้หรือไม่รู้เป็นหรือไม่เป็น ข้าไม่รู้ มันต้องมีอย่างนี้ด้วยหรือ มันเริ่มต้นจุดประกาย ตัว อัญญธาตุ
เพราะฉะนั้น อัญญธาตุ คือธาตุใหม่ ธาตุรู้ ที่โลกเขายังไม่ค่อยรู้ ไทยจะเริ่มแพร่ ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรม จะค่อยๆเริ่มแพร่ๆๆ ไปเรื่อยๆ
เขาเรียกคำอย่างเท่เลยว่า Soft Power จริง มันไม่ใช่ Hard Power มันไปอย่างนิ่งๆเย็นๆเป็นแบบโรแมนติกอิซึ่ม จะไม่ไปอย่างซาดิสซึ่ม จะไปอย่างโรแมนติกอิซึ่ม มันรับง่าย ซาดิสซึ่ม มันรับไม่ง่ายหรอก
เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตในระดับซาดิสซึ่มแล้วยังอีกนาน นาน พวกนี้จะแก้ไขได้ยากได้นาน จะเปลี่ยนแปลงยาก นาน
_สู่แดนธรรม… ขอกลับมาตรงที่มนุษย์มีรากหรือสัตว์ก็มีรากเป็นตัวเป็นตนของฉัน ตอนนี้พ่อท่านถึงคำนี้แล้วครับ
พ่อครูว่า… ราก ความเป็นตัวเป็นตนของฉัน เมื่อเป็นชีวะ มันจะมีชีวะ หยั่งราก ภาษาบาลีว่า มูลกาหรือมูลกะ ถ้ากะคือเอกพจน์ กา เป็นพหูพจน์
จะมีมูล เริ่มตั้งแต่ 1,2 จะมี 2 เสมอ เมื่อพูดกันระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ แต่ต้องทำความเข้าใจให้สามารถทำความเป็น 1 ได้ ทำเป็น 0 ได้ นี่คือผลสำเร็จ
เพราะฉะนั้น ต้องพูดถึงความเป็น 2 3 4 5 6 ปรุงแต่งกัน แล้วจะอนุโลมปฏิโลมอยู่ด้วยกันให้ได้อย่างไร กับ กลับมาเป็นตัวตนเอง ถ้ากลับมาเป็นตัวตนเองก็คือ มาอยู่กับตัวเราเองก็เป็นหนึ่งได้
พวกสุดโต่ง ในความเป็นหนึ่ง ก็จะอยู่แต่ผู้เดียวไปผู้เดียว นั่งผู้เดียว เดินผู้เดียว กินผู้เดียว อะไรแต่เพียงผู้เดียว เอ็งก็ตายผู้เดียว แล้วเอ็งก็ต้องปลูก ต้องฝัง ต้องขุด ต้องกิน เลี้ยงตัวเองผู้เดียว เอ็ง จะมาอาศัยธรรมชาติน้ำมันสุดโต่ง ซึ่งมันอยู่ไม่ได้หรอกมันเป็นไปไม่ได้ อย่างพวกเชน เขาก็อาศัยธรรมชาติ ดีไม่ดีบิณฑบาตคนอื่นด้วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่เอ็งจะอยู่คนเดียวจริงๆ อยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นในความเป็นชีวะ แล้ว มันมีตาย ส่วนความเป็นอุตุ เป็นวัตถุนั้นไม่มีตาย มันมีแต่เสื่อมสลายไปเฉยๆไม่มีคำว่าตาย ไม่มีเกิด ไม่มีตาย คำว่า ชีวะ มีเกิดกับตาย อุตุนิยาม มันยังไม่มี มันมีแต่เปลี่ยนแปลงไป หมดความเป็นสภาพแล้วก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ตัวตนด้วยนะ หมดความเป็นสภาพ หมดความเป็นสภาวะ
_สู่แดนธรรม… ที่นี่ผมจะถามแทน ผู้ชมรายการ เพราะบางทีผมก็อาจไม่เข้าใจ กำหนดคนละอย่างกับพ่อท่าน ผมอยากรู้ว่าพ่อท่านพูดคำว่าเป็น 2 ผมก็นึกถึงความเป็น 2 ที่มันตรงกันข้ามกัน มันใช่อันนี้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ด้วย เอาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ ท่านแบ่งไว้ 3 Choice อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม เป็น 3 เส้าใหญ่ๆ
อุตุ พีชะ จิต ทีนี้ในอุตุก็ตาม ก็ต้องเกี่ยวกับสอง ในพีชะ ก็เกี่ยวกันกับสอง ในจิตก็เกี่ยวกันกับสอง ทั้งนั้นตลอด
_สู่แดนธรรม… อุตุ ถ้ามันไม่เกี่ยวกับใครก็เป็นธาตุของตัวมันเอง
พ่อครูว่า… ใช่แต่มันไม่มีตัวมันเอง มันมีธาตุของตัวมันเองแต่มันไม่มีตัวของมันเอง เป็นตัวกลางๆใครมาเปลี่ยนแปลงมันมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามผู้ที่มีอำนาจมาเป็นแปลง ผู้ที่มีพลังงานเหนือกว่ามาเปลี่ยนแปลง ให้พลังงานตัวตนตัวสภาพ พลังงานที่เหนือกว่าก็ไปเปลี่ยนแปลงพลังงานที่ด้อยกว่าได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน
_สู่แดนธรรม… ตัวอย่างชัดๆนะครับ อุณหธาตุ ธาตุไฟ บางทีมันจะไปเข้ากับธาตุลม มันก็ต้องมีเหตุ บางทีมันไม่เข้ากับธาตุลม มันถูกถ้าตื่นมาเบียดเบียน มันก็ต้องอาศัย 2 อย่างมาปรุงแต่งกันใช่มั้ยครับ
พ่อครูว่า… ใช่ ไปกับลม จนมาเป็นตัวตนของน้ำ มาเป็นตัวตนของดิน มันก็เป็นแปลงสภาพ สรุปแล้วมันปรุงแต่งกับธาตุสองธาตุตั้งแต่บวกกับลบ ขั้นอุตุ
ทีนี้ อุตุนิยาม มันมีบวกกับลบเท่านั้น มันไม่มีความเป็นชีวะ มันก็ไม่มีชีวะไม่มีเกิดไม่มีตาย จนกระทั่งมันสามารถที่จะมายึดตัวตนของมันเป็นชีวะ มันก็มีเกิดมีตาย
เพราะฉะนั้นพืช เริ่มเกิดเริ่มตาย แต่ มันไม่ได้ยึดตัวตนของมัน เกิดก็เกิด เกิดได้มีเชื้อให้เกิดมันก็เกิดได้ หมดเชื้อไม่ให้มันเกิดมันก็สลายเป็นอุตุ เท่านั้น ยังไม่มีนามธรรม
เพราะฉะนั้นเมื่อ ธาตุหรือชีวชาติของพีชะ ชีวะ การเกิดของพืช ของพีชะ จึงเป็นชีวะที่ เกิด ตาย อย่างไม่มีความอาฆาตมาดร้ายหรือผูกพัน ไม่มีรักไม่มีชัง
เพราะฉะนั้น ชีวะที่ตาย กับหมดความเป็นชีวะ ตาย ไม่ผูกพัน ในธาตุของชีวะ ในระดับพืชมันมีเชื้อ เชื้อเกิดของมัน เพราะฉะนั้นถ้าเชื้อของมันหมดฤทธิ์ สลาย มันก็สูญสลายเป็นอุตุ แต่เชื้อของมันยังรักษาเชื้อชีวะของมันไว้ได้ พร้อมจะเกิด ในชีวะของพืช มันก็เกิดแล้วก็จะพยายามพัฒนาให้เป็นจิตเหมือนกัน
_สู่แดนธรรม… ตรงนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังยาก
พ่อครู… ยังยาก ยังข้ามขีดนี้ไม่ได้ หรือแม้แต่พุทธะก็ตาม คนไหนอธิบายเก่งช่วยอาตมาด้วยเถอะ ไก่ตัวพี่ ที่สามารถที่จะรู้ประเด็นนี้ แม้เป็นไก่ตัวพี่ในประเด็นเดียวนี้ก็ได้
_สู่แดนธรรม… ผมเหมือนได้ฟังว่านักวิทยาศาสตร์เขาก็รับรองว่า พืชที่จะเปลี่ยนแปลงพลังงานมาเป็นสัตว์มันมีคำศัพท์ของมันอยู่
พ่อครูว่า… จริงๆมันข้ามมา แม้แต่เชื้อชีวิตของมัน จากพืชข้ามมาเป็นสัตว์ แม้จะเป็นสัตว์เซลล์เดียวเริ่มต้น มันเป็นความรู้ที่ละเอียดลึกมากเลย
เขาเรียก nich แล้วมีสิ่งที่จะเกาะอยู่กับ nich ถ้ามันหมุนมันเคลื่อนก็ไปกับมัน แต่มันไปไม่ออก จนกว่า nich จะหลุดออกมาจากที่มันติดอยู่กับ มันหลุดออกมาเขาจะเกิด 2 ตัวแล้ว วงใหญ่นี่มันจะมีมากมีน้อย มีไซโตพลาสซึมอยู่ในนั้น มันก็ไม่เกี่ยวมัน ตัวใครตัวมันมันเป็นของมัน หลุดออกมามันก็เป็นตัวของมัน แม้อยู่ในวงวนของโพรโทพลาสซึม ที่มันหุ้มอยู่ในกรอบของมัน มันก็จะเป็นอิสระของมัน
_สู่แดนธรรม… ความรู้อย่างนี้พ่อขุนรามคำแหงจึงประดิษฐ์เลข ๑ ไทยขึ้นมาใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… จาก 0 แล้วมีจุดที่ขยายออกมาจาก 0 เป็นปลายเปิดของหนึ่ง ๑ มันจะวนไปอีกกี่รอบเป็นล้านรอบหลายล้านรอบก็ตาม มันก็มีปลายเปิดไปเรื่อยๆ Infinity ไม่มีที่จบ
เพราะฉะนั้น คนเรียนรู้ได้ระหว่าง คุณก็จับกรอบ ตีกรอบปริเฉท เอาแต่ละปริเฉทๆ เอามาศึกษาแล้วก็จะรู้รายละเอียดของมัน แล้วคุณจะทำตัวจบกับตัวขยาย ในกรอบของคุณนี่แหละ แล้วก็ทำกรอบของคุณให้จบ ขยายมาถึงขีดนี้แล้วก็จบนะ เป็น 0 นะไม่ใช่เป็น ๑ ขยายไปไม่รู้จบยังเมื่อกี้นี้ แต่ขยายออกมาแล้วเป็น 0 วน อยู่ในกรอบเก่าแล้วเข้าไปหาในในไปหาไม่ได้ก็วนออกมาข้างนอก วนออกมาข้างนอกไม่มีที่ออกไปอีก ก็วนเข้าไปหาข้างใน นั่นคือกรอบ
ผู้รู้อย่างนี้สามารถทำความจบ ความเป็นอรหันต์ให้แก่ตัวเองได้ เพราะรู้กรอบแห่งขอบเขตที่ตัดตัวเองจะจัดการได้ จะให้มันเกิดหรือให้มันดับ ถ้าไม่เกิดไม่ดับ มันก็วน ก็รู้ความวน คุณจะวนไปเต็มรูปเท่าไหร่จะถึงจุดหนึ่งจุดตัวเอง จนกระทั่งขยายไม่ออกแล้ว มันจะคืออะไร แค่ไหนก็ตามแล้วก็ขยายออก ขยายออกแล้วก็เข้า เข้าแล้วก็ออก ถ้าคุณไม่รู้จักจุดจบคุณจบอรหันต์ไม่ได้ ถ้ารู้จุดจบเมื่อไหร่ อ๋อ..อย่างนี้เองหรือ ก็เกิดปัญญาอันยิ่ง ทำความจบให้แก่กรอบของตัวเองได้
เพราะฉะนั้นอรหันต์ในโสดาบัน ก็จบในกรอบประมาณนี้ เช่น 3 เส้าในสังโยชน์ มีคำว่า กาย วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส 3 ความหมายนี้ครบเครื่อง
-
กายคือภาวะสอง วิจิกิจฉา รู้อย่างสัมมาทิฏฐินะ