651017 โลกุตระคืออะไร และประชาธิปไตยคุณภาพ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 59
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1aB2OurvFYVCHncAguIUmZmaRKbicfIYnPjaGpmg7MYU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1IpGQwTkgdv4nNPwk5NPCdTsgqhENAv0z/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/gcYWyIYjgk/
และ https://youtu.be/_9runhWle5k
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก เขามีการทดลอง … คนแต่งชุดดำกับชุดขาวชุดลูกบาส ให้ผู้ชมที่ดูคลิป นับว่า คนชุดขาวจะชู๊ตได้กี่ครั้ง ปรากฏว่าคนก็นับแต่คนชุดขาว เพ่งแต่คนชุดชาว เขาตอบว่านับแต่ 16 ครั้ง ต่อมาผู้วิจัยก็เฉลยว่า สาระสำคัญผมไม่ต้องการทราบเรื่องนี้ อยากทราบว่าในขณะที่ทุกคนกำลังชุลมุน มีผู้ชายคนหนึ่งแต่งชุดหมีเข้ามา ใครเห็นบ้าง ปรากฏว่าคน 50% ไม่เห็น เพราะคนส่วนใหญ่จ้องมองแต่คนชุดขาว สิ่งเหล่านี้ปรากฏในความเป็นจริง แต่ทำไมคนเกิน 50% ถึงไม่รู้สึกว่ามันเข้ามาปรากฏในวิญญาณการรับรู้เลยครับ ที่ผมเอาเรื่องนี้มาเล่า ให้เห็นว่าพ่อท่านสอนเรา ในเรื่องให้ตาเห็นภาพ ดูนะมัดระวังเรื่องการรับทราบ เพราะว่ามันมีในขณะที่เราเห็นภาพแต่ไม่มีวิญญาณไปรับรู้ มันก็เกิดเรื่อง เช่นนักบิน เกิดอุบัติเหตุเพราะมองไม่เห็น อุปสรรค พ่อท่านจึงให้ความสำคัญในเรื่องสติ การลืมตา มีสติ ขณะลืมตายังเกิดเรื่องใด แล้วถ้าไปนั่งหลับตาจดจ่ออยู่ในใจอย่างเดียว มันจะไม่ครบ
วันนี้ผมได้สอบถาม ก่อนเข้ารายการ ว่าพ่อท่านเขียนเรื่องอะไรอยู่ พ่อท่านบอกว่าจะเขียนเรื่องโลกุตรธรรม จึงจะขอนำท่านผู้ชมได้ฟังคำอธิบายจากพ่อท่านเรื่องโลกุตรธรรมที่พ่อท่านเตรียมไว้ จะมีความสำคัญ อย่างไรกับการลืมตาและหลับตา
จุดแบ่งของโลกีย์กับโลกุตระคืออะไร
พ่อครูว่า…ก็ลองอ่านที่อาตมาเขียนเมื่อกี้นี้แล้วก็ไขและขยายไป ขยายความไป อธิบายไป ต่อจากอันนี้ ที่เขียนขึ้นมาเมื่อกี้นี้
อาตมาเขียนโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรม คือ ธรรมะที่อยู่เหนือความเป็นโลกปุถุชนปกติ เป็นคุณธรรมขั้นพิเศษ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง โลกปุถุชนปกติสามัญธรรมดาทั่วไป คือ ปุถุชน ในโลกสามัญทั้งหลาย ก็จะอวิชชาเป็นธรรมดา อวิชชาเป็นธรรมดาสามัญปกติ จะไม่รู้จัก จะไม่รู้โลกุตรธรรมนี้ง่ายๆ เป็นอันขาด
พูดถึงตรงนี้แล้ว อยากจะขอแวะ วันนี้นะ อาตมาแต่ก่อนแต่ไร ก็ไม่เคยดู วันนี้อาตมากดดูที่ใน tiktok มี Comment โอ้โห อาตมาอ่านไม่หมดเลยนะ ใครอ่านอยู่เป็นชั่วโมงไม่หมดเลยนะ ด่า อาตมาทั้งนั้น ด่า ทุกตัวเลย อย่างดีที่สุดแค่ว่า ไอ้คนนี้ใคร พระหรือนี่ นอกนั้นด่าเลย ด่าหยาบๆคายๆทุกตัวเลย อาตมากดดูเป็นชั่วโมงยังไม่หมด อาตมาจนยอมแพ้เมื่อย อาตมาเกิดมาในโลกนี้ทำงานมาตั้ง 50 กว่าปี วันนี้ที่ได้กดดูรู้ว่า โลกนี้เป็นอย่างนี้จริงๆมันก็ให้คำตอบแก่อาตมาได้จริงที่สุดอีกด้วยว่า
โลกยุคนี้ในประเทศไทย เป็นประเทศเมืองพุทธศาสนาพุทธ ที่พุทธมีโลกุตระธรรมที่ตรัสรู้ด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งไม่ใช่โลกียธรรม มีศาสนาเดียวที่มีโลกุตรธรรมในโลก แล้วก็เกิดได้แล้วก็เสื่อมไป แล้วก็มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก มันเสื่อมจนหมดไปจากโลก มีพุทธันดรไปแล้ว ถึงยุคที่ควรเกิด ที่จะเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีกสักองค์ แล้วก็มาประกาศศาสนาโลกุตรธรรมขึ้นใหม่ เป็นคราวๆช่วงๆ
_สู่แดนธรรม… การด่าเช่นนี้ พ่อท่านมองว่าอย่างไร
พ่อครูว่า… ก็ทำให้เห็นว่าโลกนี้มันหมดโลกุตรธรรมจริงๆ แล้วเข้าใจผิดได้ว่า คนที่มีโลกุตรธรรมนี้เป็นคนชั่ว คนที่มีโลกียธรรมทำจัดจ้านด้วย ซับซ้อนเลวร้ายด้วย อย่างทักษิณ เขากลับยกย่องว่าดี นั่นแหละเป็นเรื่องจริงที่เขาเองเขาก็ซื่อสัตย์นะ เขาก็ซื่อต่อความรู้ความเข้าใจของเขา จริงของเขา ซื่อต่อความจริงความรู้ของเขา อาตมาเองไม่ได้ลบหลู่เขานะ อาตมาเห็นความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้นของคน ในยุคนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้นโลกปุถุชนก็จะอวิชชาเป็นธรรมดาสามัญ คือปุถุชนทั้งหลาย ก็จะล้วนนิยมชมชอบอยู่กับอารมณ์โลกีย์ เป็นตัวเลวที่สุดคืออะไร คือความสุข
อารมณ์โลกีย์ที่เลวที่สุดนั่นคือ ความสุข ฟังดีๆนะอาตมาพูดไม่ได้หยาบนะ เป็นคำจริงที่พูดออกมา สื่อให้เห็น มันเป็นตัวมายา ความสุขเป็นมายาของทุกข์เป็นตัวซับซ้อน ใครที่หลงติดสุขมากเท่าไหร่ก็คือ คนนั้นมืดไปกับความทุกข์ มืดไปกับอวิชชาที่ไปหลงความทุกข์เป็นความสุข เพราะสุขกับทุกข์มันเป็นตัวเดียวกัน เป็นสภาพเดียวกัน
เพราะฉะนั้น คนที่มืดเมามัว โมหะ อยู่กับความสุข นี่แหละ หลงยิ่งติดสุขจัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำความเลว ความชั่วด้วยกิเลสของตนเองได้มากเท่านั้นเท่านั้น ยิ่งได้สมใจกิเลสตน ก็ยิ่งเป็นสุข เป็นซาดิส เป็นมาโซคิส หนักเข้าไปใหญ่เลย เช่น
ยกตัวอย่าง จะชัดเจน เป๊ะเลย
-
เลว เพราะได้ฆ่าคน เป็นสุข เขาจะเป็นสุข เขาจะฆ่าคนได้หน้าตาเฉยเลยนะและเป็นสุข มีผลสำเร็จ ได้ฆ่าคน ได้ฆ่าสัตว์ เป็นสุข นี่คือเลวแล้ว
-
ได้โกงเขา ได้ทุจริต สมใจ ได้มามากๆ อย่างทักษิณ โกงไม่พอพี่เอาน้องเอาลูกเอาหลานมาโกงต่อ โกงได้สมใจแล้วก็เป็นสุข หยิ่งผยองด้วยว่า เก่ง อย่างนี้ คือเขาจริงใจนะ เขาสุขจริงๆนะที่เป็นผลสำเร็จของเขา ใครจะว่าโกงอย่างไรก็พูดไป ข้าได้เงิน ข้าได้ทรัพย์ ข้าไม่รู้ว่าพฤติกรรมของมนุษย์ ใครจะว่าเลวว่าชั่วว่าดี ฉันไม่รู้ มันเป็นอวิชชาอย่างสนิท มืดสนิทเลยนะ
-
ได้สัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็งภายนอก ก็เป็นสุข
อันที่ 1 การฆ่าเป็นสุข อันที่ 2 ได้ทุจริต ได้โกง เป็นสุข อันที่ 3 สัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงเป็นสุข
อันที่ 3 นี้ยากกว่า อันที่ 1 และอันที่ 2 รู้ยากกว่า และก็เลิกยากกว่า รู้ยากกว่า เลิกยากกว่า อันนี้เป็นโลกุตระเพียวๆ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
ส่วนการฆ่ากับการทุจริตนั้นยังพอพูดกันได้ โลกีย์ก็พอพูดกันได้ เข้าใจกันได้ว่า มันเลวนะไม่ควรทำ การฆ่าไม่ควรทำ แต่เขาก็ยังฆ่ากันอยู่ ยิ่งเจริญนะ เขาว่าเขาเจริญ ระดับโลก ไม่ใช่ระดับประเทศเท่านั้น เป็นระดับโลก ฆ่าคนอื่นจนคนอื่นกลัวเลย ไอ้นี่มือฆ่า อย่าไปตอแยกับมันยกให้มันเป็นเต้ยเลย ยกให้มันเป็นเจ้าโลกเลย แล้วเขาก็นึกว่าเขาเป็นเต้ยแล้วเขาเป็นเจ้าโลกแล้ว แล้วเขาก็หลงแย่งชิงตำแหน่งนี้กันอยู่ ใช่ไหมในโลก สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์สร้างสิ่งที่มันจะประหารได้ ตูมเดียวหมดประเทศเลยอะไรอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นประเทศเล็กประเทศไทยใหญ่ไหนก็ตามแต่ ถ้าขี้โกงแล้วจะต้องทำอย่างนั้น เช่นเกาหลีเหนือ ไม่ใช่ประเทศใหญ่อะไรแต่ ก็สร้างเต็มที่เลย คุณภาพของอาวุธระเบิด ปรมาณู เอาให้คุณภาพสุดยอดเลยอะไรอย่างนี้ นั่นแหละมันส่อแสดงให้เห็นว่าคนเรานี้..
ข้อที่ 1 คือการฆ่า ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ฆ่ามนุษย์ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เขาจะเห็นว่ายิ่งใหญ่
อันที่ 2 คือขี้โกง ทุจริต โกงได้โดยคนที่ทำอะไรเขาไม่ได้ ทุจริตอย่างที่ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เขาเก่งที่สุด เขาก็ว่ายอดที่สุด ต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ด้วย ทั้งหัวสมองหลบเลี่ยง ทั้งหลอกล่อ แล้วก็มีอำนาจบาตรใหญ่ ถึงแม้ว่า รู้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ นั่นโลกียะ โลกธรรมดารู้กันทั่วไป แล้วก็เห็นด้วย พอเข้าใจ แล้วพยายามไม่ให้มี แต่มันก็มีเป็นโลกอยู่นั่นแหละ แล้วเขาก็ไม่รู้ตัวว่า เขาแย่งกันที่จะทำ 2 เรื่องนี้เต็มๆอยู่
ส่วนเรื่องที่ 3 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสพติดแล้วเป็นสุข เป็นโลกุตระแท้ๆ ยิ่งไม่รู้เรื่องเลย อย่างพวกเราชาวอโศก ข้อ 1 ไม่ทำ ข้อ 2 ไม่ทำ ข้อ 3 ก็เลิกละได้ โลกุตระ เลิกละได้
เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนที่ฉลาดที่สุด คนอโศก
_สู่แดนธรรม… เขาจะด่าก็ด่านะ
พ่อครูว่า… เขาด่าเลย คุณอะไรนะ เขาบอกว่า นี่พระหรือ พระอะไรวะ บางเจ้าก็บอกว่าพระเถระสมาคมเขาไล่ออกมาแล้วอะไรอย่างนี้ ไปโน่นเลย เพราะว่าเถรสมาคมก็ไม่รู้เรื่องโลกุตระแล้วทำโลกุตระไม่ได้ นี่ก็พูดจริงๆนะไม่ต้องมาพูดไม่ได้ใส่ไคล้ใส่ความ ไม่ได้พูดผิดเลย ไม่ได้บาปเลย แต่คนฟังดีๆเถอะแล้วจะเข้าใจอาตมาผิด หาว่าอาตมาไปว่าสิ่งที่เขาผิดอยู่นี่ว่าถูก เขาจะไปหลงนึกว่าเถรสมาคมหรือโลกียนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มันจะเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น อาตมาเกิดมาในยุคนี้เป็นยุคโลกุตระเสื่อม ตามที่พระเจ้าตรัสไว้ในอานิสูตร กลองอานกะ มันได้ถูกเปลี่ยนเป็นกลอง เก๊ แล้วไปยึดกลองเก๊ กลองหลอก ว่าเป็นกลองจริง
เพราะฉะนั้นเอาเนื้อแท้ของกลองอานกะ เอาเนื้อแท้มาใส่เข้าไปแทนที่ สถาปนาขึ้นใหม่ เขาก็ยังเห็นว่า มาทำลายของเขา มาทำลายกลองเก๊กลองปลอมของเขาไป มันยิ่งชัดเจนเลยว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ พยากรณ์เอาไว้นั้น ศาสนาพุทธพระเจ้าที่บอกว่า 5,000 ปี นี่มัน 2,500 ปี ถ้ามันไม่เสื่อมครึ่ง กึ่งของศาสนาของท่าน แล้วมันจะเมื่อไหร่ แล้วมันก็เป็นสภาพจริง มีปรากฏการณ์จริงมีสิ่งที่เกิดจริง เป็นปรากฏการณ์ที่แท้จริงที่มนุษย์เขาเป็นจริงๆ มันก็ยืนยันชัด
อาตมาไม่ได้ตกใจ ไม่ได้แปลกใจ ไม่ได้ท้อแท้ ไม่ได้กลัวได้ยั่นอะไรหรอก เพราะอาตมารู้ความจริงทั้งนั้นเลย ที่มันเป็น อาตมาดูคอมเม้นของพวกที่คนทั้งหลาย ก็จะยิ่งชัดเลยว่าโอ้โห อาตมาทำงานมาถึง 50 ปี 50 กว่าปีแล้วทำงานศาสนาโดยตรงไม่ทำอย่างอื่นเลย อาตมาทำงานศานา ฟื้นคืนโลกุตรธรรม แต่ไม่ใช่ว่าล้มเหลว อาตมาไม่ล้มเหลวก็ได้พวกเราชาวอโศกขึ้นมา จนกลายเป็นกลุ่มหมู่ชาวอโศก เป็นชุมชน หมู่บ้านชาวอโศก ที่มีกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ที่เป็นเมืองพุทธ เป็นชุมชนที่สาราณียธรรม แล้วก็เป็นผลสำเร็จที่มีความเป็นอยู่ได้เป็นสาราณียธรรม ที่พูดนี้อาตมาพูดอิงหลักอิงธรรมพระพุทธเจ้าเองสัจธรรม ไม่ได้พูดลอยลม ไม่ได้พูดไม่จริง ไม่พูดไม่มีที่อ้างอิง แต่อาตมาพูดยังมีที่อ้างอิงยืนยันได้ เอหิปัสสิโก มาสัมผัสได้มาพิสูจน์ได้ คุณมีภูมิพอจะมาพิสูจน์มาสัมผัสหรือไม่ล่ะ มีภูมิพอก็จะมาสัมผัสว่าชาวอโศกตรงตามที่พระเจ้าตรัสสาราณียธรรม 6
อยู่กับชนกลุ่มนี้เขาจะอยู่กันด้วย เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างญาติธรรม อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง อย่างเครือญาติ สมบัติมี สินทรัพย์มี มีอะไรก็มารวมกันแบ่งกัน กินแบ่งกันใช้ ไม่ได้ยึดติดว่าเป็นของตัวของตน ไม่ได้คิดอะไรหรอกถ้าว่าอันนั้นแพงกว่าอันนี้ อันนี้ถูกกว่าอันนั้น จะต้องถอนกันไปถอนกันมา ไม่มี แบ่งกันกินแบ่งกันใช้เสียสละด้วย
คนนี้ควรจะได้กินได้ใช้อันนี้ เพราะว่าเป็นคนที่ควรจะได้ก่อน ให้ก่อน อ่อนแอกว่าเป็นต้น หรือมีคุณธรรมสูงกว่า หรือมีอายุยาวอายุมากแล้ว ควรจะได้ก่อนอะไรพวกนี้ เป็นผู้ที่มีปัญญาทาง คุรุกรณะ มีสังคหะ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไป แบ่งแจกกันเสียสละกันไป
อวิวาทะ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ชาวอโศกนี้ไม่มีวิวาท ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ตำรวจไม่ได้มาทำหน้าที่ ไม่เดือดร้อนตำรวจเลย อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีมีชุมชนสาธารณโภคี สาราณียะ มาตลอด ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องตำรวจ มีแต่คนข้างนอกเข้ามา เรื่องร้ายแรงอะไร เราสู้ไม่ได้หรอกต้องอาศัยตำรวจนั่นค่อยว่ากัน แต่ในเรื่องของชาวอโศกเองทะเลาะกัน ไม่เคยจะต้องเดือดร้อนตำรวจเลยนะ
ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเป็นปรากฏการณ์จริงในสังคมยุคนี้ อยู่เป็นเอกีภาวะ สามัคคียะ พร้อมเพรียงกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นมวลหนักแน่น อยู่กันอย่างแข็งแรง ใครจะมาล้มล้างยาก ใครจะมาตีแตกยาก เพราะว่ามันถึงขั้นจิตวิญญาณ
โดยเฉพาะสาธารณโภคียุคนี้ที่อาตมานำมาสถาปนาลงไปในสังคมของฆราวาส ที่อาตมาพูดแล้วว่า คนหาว่า อาตมาอวดเก่งกว่าพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้าได้ในวงสงฆ์ ทำมาถึงฆราวาสไม่ได้ สาธารณโภคีทำสาราณียธรรมพร้อมเลย มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วลาภที่ได้โดยธรรม ลาภธัมมิกา เอามารวมแบ่งกันกินกันใช้ ไม่ถือเป็นของตัวของตน ซึ่งมันเป็นสุดยอดจิตวิญญาณแล้ว แล้วก็ปฏิบัติตัวเองตาม ทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา นี่คือสาราณียธรรม 6
ซึ่งทุกวันนี้ชาวอโศกปฏิบัติถึงเลย มีพฤติกรรมของสาราณียธรรม 6 ยังยืนยันพิสูจน์ได้เลย และคนก็มาทำวิทยานิพนธ์เยอะไปเป็นร้อยๆคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปริญญาโท ปริญญาเอก ในเรื่องสาราณียธรรม ก็ไม่ถึงขั้นสูงสุดแต่ว่าไปทางสาราณียธรรม มีทั้งเรื่องเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรือสุดท้ายสาธารณโภคี ก็พยายามมาทำ
เรื่องโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า อาตมาพยายามแยก แบ่งอธิบายให้ชัดเจน ความรู้ความฉลาดของคน มันยังอยู่ในกรอบของโลกีย์ ยังไม่ออกจากโลกีย์มาสู่โลกุตระ
จุดแบ่งของโลกีย์กับโลกุตระก็คือ โลกียะนั้นจะเอาแต่เรื่องของดีและชั่ว ตามสมมติโลกียะ ส่วนโลกุตระนั้น ดีและชั่วก็เข้าใจ เอาด้วย ต้องประพฤติดี อย่าไปทำชั่ว ตามโลกสมมุติเขา รู้ด้วย ทำสำเร็จด้วย และยังมีพิเศษคือโลกียะยังไม่มีคือ มารู้จักสุขจักทุกข์
โลกียะรู้แต่ดีกับชั่ว แล้วก็พยายามเป็นคนดี อย่าเป็นคนชั่ว ส่วนโลกุตรธรรมนั้นทำด้วยเป็นคนดีอย่าเป็นคนชั่วด้วย และพิเศษคือ อย่าหลงสุขหลงทุกข์ ละวางสุข ละวางทุกข์
ชัดเจนว่า สุขไม่ใช่ตัวยิ่งใหญ่สุดคือตัวผี ตัวซาตาน ที่มันใช้เหลี่ยมหน้ามาบังหลอกคน ที่จริงมันเป็นทุกข์ แต่มันเอาสุขมาบังหน้า เอาสุขมาออกหน้า เอาสุขมาหลอกคน จนกระทั่งพระเจ้าหลง
พระเจ้าของศาสนาเทวนิยมหลงสุข เป็นสุขนิยม ไม่เข้าใจเรื่องทุกข์ ไม่รู้จักซาตาน ไม่รู้จักไซตอน ไม่รู้จักและไม่ศึกษา ตั้งหน้าตั้งตา เสพแต่สุข ไล่ล่าสุข เอาแต่สุข ใครได้สุขคนนั้นก็คือ คนยิ่งใหญ่ คนที่ได้มากที่สุดก็คือ พระเจ้า จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้สุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังเข้าใจกันยากมาก โดยเฉพาะทางเทวนิยมที่ติดสุข ถ้าจะมาพูดถึงเรื่องสุขทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นเรื่องของอภิธรรมที่แท้ ต้องแยกจิตเจตสิก
และเจตสิกที่พระพุทธเจ้าท่านแยกละเอียดลงไปถึงขั้นความรู้สึกคือ เวทนา แยกเวทนา แบ่งลงไปเป็นเวทนา 108
วันนี้มาพูดถึงเวทนา 108 ให้ชัดๆดีๆแล้วจะพอเข้าใจ
ถ้าคนไม่เข้าใจเวทนา 108 เป็นชาวพุทธเป็นนักปฏิบัติธรรม ไม่เข้าใจเวทนา 108 แล้วก็ทำเวทนา 108 นี้ ไม่สำเร็จ
เวทนา 108
-
เวทนา 2
-
เวทนา 3
3. เวทนา 5 -
เวทนา 6
-
เวทนา 18
-
เวทนา 36
-
เวทนา 108