651003 อำนาจ 3 และพลังสร้างสรรของพระอรหันต์ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 57
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/15SdgDzYjOH2wcm9MC25rFAAbz58x1qqhJ1tJxxMq2-k/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1I5G9IYO3Xj3nhEoQs0nwvgSXykRa28RN/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/fWzRttLkSi/
และ https://youtu.be/J3rjNRl8kO8
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์น้ำท่วม
พ่อครูว่า… ขอประกาศข่าวให้เปี๊ยกเขาหน่อย ใครที่จะไปร่วมเป็นจิตอาสากำลังออกไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม มีข้าวของ หยูกยาไปแจกเขา ใครที่เห็นว่า เป็นความสำคัญที่ต้องรีบไปช่วยกัน ให้ไปรวมกันที่ศีรษะอโศก ตอนนี้เขาก็ทำงานกันอยู่ทุกวัน เพราะน้ำมันท่วม จะอยู่อีกหลายวัน ดีไม่ดีจะเป็นเดือนเอา ช่วยกัน เปี๊ยก ตายแน่ โก้ ฟ้าร่มเย็น กี้ เห็นทุกข์(ผญบ. ศีรษะอโศก ) ฯลฯ เขาก็อยู่ที่นั่น ศิษย์เก่าชาวอโศกใครไปได้ก็ไปนะ เปี๊ยกเขาขอแรงพวกเรา คนที่ไม่ใช่ชาวอโศกไปก็คงจะไม่ลงรูปลงรอย ถ้าได้ใช้ผสมที่มีก็ได้ไปร่วมกัน
วันนี้ อาตมาตั้งใจ ว่าจะ พูดถึงความเห็นของอาตมาความเข้าใจของอาตมา หรือความรู้ของอาตมา ซึ่ง สาธยายมาตลอดเวลา เรื่องของความเป็นประชาธิปไตย แล้วอาตมาก็อ้างว่า ประชาธิปไตยที่อาตมาพูดเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า
อาตมาศึกษามาทางธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นเป็นระดับ 8 ผู้ฟังธรรมะที่อาตมาพูด อาตมาบรรยายต่างๆนานาคงพอเข้าใจเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆตามลำดับ เพราะว่ามันเป็นความรู้ โลกุตรธรรม ที่ไม่ใช่ธรรมดาเป็นเรื่องที่พิเศษ
คนอย่างพระพุทธเจ้า กว่าจะเรียกว่าตรัสรู้ ได้สั่งสมบารมีเกิดชาติแล้วชาติเล่าเป็นล้านๆ ชาติ ศึกษาความเป็นอยู่ของคน ความมีชีวิตของคน กับความเป็นอยู่ของสังคม ความมีชีวิตของสังคม ที่ร่วมตั้งแต่วงแคบ ไปจนกระทั่งวงกว้าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนต่างๆ ไป จนกระทั่งถึงห่างไกลที่จะไม่มีพลังงานไปเชื่อมต่อได้ สิ้นสุดพลังงานรีเลชั่น เกี่ยวไม่ได้แล้ว สามัญอย่างนั้นจริงๆ
พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องคนกับเรื่องสังคม อาตมายืนยันมาไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว ศึกษาเรื่องนี้จนสูงสุดจบ จบความเป็นคน จบความเป็นสังคมก่อน แล้วก็มาจบความเป็นคน ว่า คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ก็รู้แจ้งรู้จริงว่าคนก็คือสังขารปรุงแต่งกันเท่านั้น ไม่ใช่ตัวเราตัวเขาอะไรเลย และท่านก็สามารถจะรู้พลังงานจิต มันปรุงแต่งกันอย่างไร เข้าใจตามปฏิจจสมุปบาท ชัดเจนว่ามันเกิดอยู่เพราะความโง่ เมื่อฉลาดขึ้นมาก็รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณแยกมันเป็นนามรูปศึกษา
แล้วก็จับนามรูปมาปฏิบัติให้เป็นอายตนะให้มีผัสสะเป็นปัจจัยขึ้นมาปฏิบัติก็เป็นอายตนะ มีผัสสะ มีอายตนะ ตัวอายตนะ นั่นแหละคือตัวที่จะมุ่งเข้าไปแยกรู้ เจาะละเอียดเข้าไปรู้ก็คือเวทนา อาการ ที่มันปรุงแต่งขึ้นมาเป็นเวทนา ตัวเวทนา และมีตัวเหตุสำคัญคือตัณหา อุปาทาน เป็นพลังงาน 2 ชนิด
พลังงานตัณหาคือพลังงานกิเลสที่มันเคลื่อนตัว อุปาทานคือ พลังงานกิเลสที่มันเกาะตัว เป็น static กับ Dynamic 2 ตัว รู้จักหน้าสองตัวนี้ แล้วก็กำจัดตัณหาอุปาทาน ด้วย วิธีจรณะ 15 วิชชา 8 กำจัดได้อย่างจริงเลย ไปตามลำดับๆ เอาศีล เป็นหัวข้อหลัก ตั้งต้นมาแต่ละข้อๆๆ กิเลส จะรู้ได้ด้วยการกระทบสัมผัส รู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วกำจัดกิเลสด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยความรู้ เป็นตัวปราบความโง่ พูดภาษาไทยง่ายๆ ใช้ความรู้เป็นตัวปราบความโง่ ความรู้ที่จริงเกิดขึ้นมา เห็นจริง รู้จริง ถึงความโง่ แล้วความโง่หายไปเลย ความโง่หมดไปเลย ความฉลาดชนะ แล้วก็ลบล้างพวกนั้นไปเลย แม้จะเป็นผู้ชนะแล้ว มีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงแล้ว ก็ไปรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสูงสุด ว่าสังขารทั้งปวงเป็นองค์ประกอบของธาตุรู้ ธาตุต่างๆตั้งแต่ธาตุที่เป็นอุตุ พีชะ มาเป็นจิต แสดงบทบาทเป็นกรรมแล้วก็สั่งสมเป็นธรรมะ เท่านั้นเอง เป็นธรรมนิยาม 5
อาตมาก็สรุปอธิบายไว้แค่นี้ก่อน ในเรื่องของธรรมะ อันเอก
วันนี้ตั้งใจที่จะเอามาพูด โดยการร่างไว้เลยนะ ขออ่านเลยละกันจะได้ไม่สับสน
ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ผู้ไม่มีความรู้ในรายละเอียดที่ครบถ้วน ก็จะแสดงความไม่รู้ (โง่) ของตนอยู่ ก็เป็นธรรมดา
อำนาจ 3 อำนาจ คือ
-
อำนาจประชาชนแท้
-
อำนาจของคณะบุคคลที่ยึดอำนาจขึ้นมาเองในแต่ละยุคแต่ละโอกาส
-
อำนาจกษัตริย์
1.อำนาจประชาชนแท้ คือของประชาชน จริงๆ จะมีมากมีน้อยก็ตามจริง รวมกันแล้วเป็นอำนาจมวลของประชาชน แน่นอนก็มี 2 ข้าง เสมอ มีฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายค้าน เป็นธรรมชาติ
-
อำนาจของคณะบุคคลที่ยึดอำนาจขึ้นมาเองแต่ละยุค แต่ละโอกาส อำนาจของประชาชนยังมีแยกเป็นคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย
-
อำนาจกษัตริย์ ถ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็เป็นเผด็จการ 100% ถ้ากษัตริย์ทุกวันนี้ก็นิยมเป็นกษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกันแล้ว ทั่วโลกก็นิยมอันนี้กันหมดแล้ว ไม่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ทีนี้ ประเทศไทย มีอำนาจทั้ง 3 อย่าง มีครบอยู่ในความเป็นคน ในความเป็นประเทศ มีอำนาจ 3 อย่างนี้ครบตามธรรมชาติ (เรื่องนี้คนจะยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ)
1.อำนาจประชาชนแท้ ในความเป็นประชาธิปไตยไทย ที่เป็นอยู่ปัจจุบันหรือเป็นสามัญมาตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ประชาธิปไตยไทยมีอำนาจ 3 อย่างนี้ 1. อำนาจประชาชนแท้ก็มีอยู่ตลอดเวลา จากคนแต่ละคนที่แสดงออกแล้วก็มีผล ทำให้สังคมมีความสามัคคี ขอยืนยันว่าจะทำให้เมืองไทยนี้มีความสามัคคี
ความสามัคคี เงื่อนไขหรือคำอธิบายของความสามัคคี ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ หรือ ต้องมีความขัดแย้งกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเป็นธรรมดาธรรมชาติของสัจจะ เพราะว่ามันเกิดภาวะ 2 หน่วยขึ้นแล้วในโลก แล้วก็ภาวะ 2 นี่แหละ หรือ เทฺว ก็ต้องมีปรมาณู 2 หน่วยขึ้นมาแล้ว เทฺว แปลว่า สอง คือลบกับบวก หรือเพศชายกับเพศหญิงตามธรรมดา
-
อำนาจของคณะบุคคล ที่รวมตัวกันยึดอำนาจขึ้นมาแล้ว ใช้อำนาจนั้นมาบริหาร ซึ่งอำนาจบริหารก็มีได้ 2 แบบ คือแบบที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ก็มีแบบต่างๆตามอิสระหลายแบบ กับแบบที่เรียกว่า คอมมิวนิสต์ ซึ่งถือว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะว่ามีหมู่คณะยึดอำนาจไปใช้ แล้วก็ยึดอำนาจไปใช้แบบเผด็จการ เผด็จการตามความเห็นของคณะนี้เท่านั้นเป็นใหญ่ โดยประชาชนในคณะนี้ไม่มีกษัตริย์แล้ว
-
อำนาจกษัตริย์ ถ้ากษัตริย์มีอำนาจเต็มโดยคุมอำนาจของประชาชนได้เด็ดขาด ก็คือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ ถ้ากษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ ก็จะเป็นราชประชาสมาสัย
ราชประชาสมาสัย คำศัพท์นี้เป็นของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงบัญญัติขึ้นมา คือมีพระเจ้าแผ่นดินกับประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นคำแปลง่ายๆ พระเจ้าแผ่นดินกับประชาชนต้องพึ่งพากัน ต้องไปด้วยกันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ต้องไปด้วยกันทั้งคู่ คือกษัตริย์กับประชาชนนี่แหละ ต่างช่วยกันบริหารประเทศ
ประเทศก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า แล้วก็บริหารช่วยกันไปกับกษัตริย์ด้วย แล้วก็ประชาชนด้วย ช่วยกันบริหารประเทศโดยมีกฎหมาย หรือมีระบบวิธี บัญญัติกันขึ้นมา ที่เกิดโดยอัตโนมัติก็มี กำหนดกฎเกณฑ์ที่แท้ก็มี อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน นี่ก็เป็นรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสว่า อยู่กันอย่างอะลุ่มอล่วย หรืออยู่กันอย่างสงบอบอุ่น
ซึ่งก็มีกฎหมายนี่แหละ และกฎหมายกษัตริย์ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยทั้งนั้นที่จะใช้ได้คือเห็นด้วย
ข้อที่ 4 อำนาจประชาธิปไตยของไทย ที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบของปัญญาหรือที่ทั้งกษัตริย์และประชาชน ล้วนหรือต่างก็มีความรู้ความฉลาดที่เข้าใจความจริงของภาวะ 2 หรือ เทฺว แท้ๆ เข้าใจความจริงอย่างถูกต้องแท้ในความเป็นคน คือมนุษย์ผู้มีจิตเจริญ หรือผู้มีจิตสูง จะมีความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจอย่างผิวเผิน
จึงเป็นอยู่กันด้วยความขัดแย้งอันพอเหมาะ สังคมที่มีคุณธรรมแบบนี้จึงจะอยู่กันด้วยความขัดแย้งอันพอเหมาะ ซึ่งย่อมเป็นธรรมชาติของภาวะ 2 ที่ต้องเป็นลบกับบวก อย่างไรๆธรรมชาติหรือว่า สัจจะที่มีคนและก็มีวัตถุ เป็นภาวะ 2 ขึ้นมาสังขารปรุงแต่งร่วมกันอยู่อย่างสนิทเนียนจนกลายเป็นร่างมนุษย์หรือเป็นร่างพืช หรือแยกกันอยู่เป็นดินน้ำไฟลม ก็มีภาวะสองทั้งนั้น วิทยาศาสตร์ทางโลกอย่างเช่นไอสไตน์เขาก็ค้นพบความสูงสุดก็มีภาวะ 2 มีบวกกับลบ แล้วก็ขยายกันจนเป็น Space and Time of Continuum ภาวะปฏิสัมพันธ์กันอยู่
คนมีปฏิภาณปัญญาจึงอยู่กันอย่างอนุโลม ปฏิโลม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เฉลี่ยกัน เสียสละกันบ้าง แบ่งแจกกันบ้าง ให้คนนั้นได้คนนี้ได้ คนเสียสละจึงเป็นคนมีปัญญา
และถ้าสังคมที่มีคนเสียสละมีปัญญา สังคมนั้นก็สงบ ถ้าคนมีความเอาเปรียบมีความฉลาด เฉโกสูงกว่า สังคมนั้นก็อยู่ลำบาก เป็นสังคมที่เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเหมือนที่ทักษิณทำ ขอยกตัวอย่างตัวตนบุคคลอย่างไม่ไว้หน้า คือทำให้เห็นเป็นตัวอย่างยืนยัน ก็อ้างอิงจบไปในตัว ใครไม่เข้าใจก็ไปศึกษาเอา เขามีประวัติ มีเรื่องราวหลักฐาน มีหมด
อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เสียสละแบ่งปันด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ภาษาว่า ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว สภาวะจริงของคนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจะลดความมีตัวตนหรือความเห็นแก่ตัวได้จริง จึงเป็นคนจริงที่ไม่เห็นแก่ตัว โดยมีการลดละกิเลสที่เป็นเหตุแห่งความเห็นแก่ตัวออกไปจากจิต แล้วมีทฤษฎีที่กำจัดกิเลสออกจากจิตได้จริง ซึ่งมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้สอนไว้
ซึ่งยังใช้ได้เป็นโลกุตระแท้ๆโดยเฉพาะคนไทยที่ศึกษาศาสนาพระพุทธเจ้า และยังมีศาสนาพระพุทธเจ้าอยู่ มีพระอรหันต์ แล้วคุณไม่รู้จักแล้วว่าพระอรหันต์คืออะไรทุกวันนี้เขาไม่รู้ อาตมาก็ยืนยันว่า อาตมาเป็นพระอรหันต์ ชาวอโศกเป็นอรหันต์กันไม่ใช่น้อย แต่คนไม่รู้ ไปเข้าใจอรหันต์แบบมหาบัว แบบเทวนิยม หลับตา ก็เสื่อมทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่
มีพระอริยบุคคลมีพระอรหันต์จึงมีพระ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สังคมที่มีอาริยะชน เป็นอาริยกะไม่ใช่มิลักขะ สังคมนั้นจึงเป็นสังคมประชาธิปไตยที่มีความขัดแย้งกันพอหมด ซึ่งจะไม่รุนแรง เพราะจะมีความพอเหมาะ พลังงานที่ขัดแย้งกันประมาณนี้ จะเกิดพลังงานสร้างสรร กระทบกันพอเหมาะ มีกระแสกับแรงเคลื่อนแต่ไม่รุนแรงได้ขนาดของมัน
-
มี static กับ Dynamic เป็นพลังงาน ที่มันต้องเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาไม่เที่ยงหรอก แล้วจะมี 2 อย่างคือนิ่งกับเคลื่อน ช่วยกันอยู่ มีพลังงานทั้ง 2 ชนิดนี้ จิตวิญญาณก็มี 2 ชนิดเหมือนกัน มีสมถะกับวิปัสสนา เป็นประธาน สองอย่างนี้ เทฺว 2 อย่างนี้ควบคุมกายคือองค์ประกอบของสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งหมด เท่าที่พลังงานหมู่นั้นจะอยู่ ในความสามัคคี หรืออยู่กันได้อย่างสมสัดส่วน ที่ดุลย์กันไปมา ไม่ร้อนไม่แรงแต่อบอุ่น มีภูมิสมดุล ดุลได้อย่างสมสัดส่วน