650926 กาละเทศะฐานะนี้ พลเอกประยุทธ์ควรเป็นนายกต่อ รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 56
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1Lyho5sZkqZ7HdKEk3DlTsacPelK-c0AXqW73m6y_J1g/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1HrEMruJzedO6G-6zDnIN00F6tUElyHW9/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/AHQBCDWXHY4
และ https://fb.watch/fNmaBaOF27/
_สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ในสังคมไทยก็นับเป็นวันแรก เป็นการล้างท้องงานกินเจ สำหรับชาวอโศกเรา จัดก่อน 1 วัน วันนี้เป็นวันที่ 3 เมื่อถึงเดือนกันยายนตุลาคม บ้านราชฯ มีธรรมชาติที่จะเกิดน้ำท่วม
ประวัติการเลือกที่ดินมาสร้างหมู่บ้านราชธานีอโศก
ตอนพ่อท่านรับสถานที่นี้มาสร้างหมู่บ้าน ทำไมเลือกที่น้ำท่วมครับ
พ่อครูว่า…ต้องเล่าประวัติ คือที่ดินผืนนี้อาตมาไม่รู้ว่าเจ้าของที่ดินเก่าคือคุณหนึ่งฟ้า เขาพยายามยกให้เรา อาตมาก็ไม่ได้รับง่ายๆ เขาก็มายกให้หลายที เราก็เลยรับไว้ แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร จนกระทั่งอาตมาอายุได้ 60 เราก็เคยไปมาบ้าง ดูนิดๆหน่อยๆ จนอายุ 60 ก็เลยมาเลือกที่ตรงนี้กันเป็นการฉลอง เราเรียกว่า เป็นการฉลองสมาธิ สมาธิสมโภชน์ ศีลสมโภชน์เราจัดที่สวนลุม พ. ศ. 2524 ครั้งนี้ 2537 ก็มาจัดสมาธิสมโภชน์ที่นี่ ตอนนั้นถนนหนทางยังไม่ค่อยดีเป็นขี้โคลน ติดฝั่งแม่น้ำมูน ไปจัดการริมฝั่งแม่น้ำมูล
ที่ 20 ไร่ได้เขาบริจาคมาตอนนั้น ก็รับไว้เองไม่ได้คิดจะทำอะไร ก็สามารถเป็นพุทธสถานได้ สันติอโศกยังแค่ 10 กว่าไร่ ตอนแรกมีแค่ 2-3 ไร่ คุณสันติยายกให้ ตั้งสันติอโศกแล้วค่อยซื้อเพิ่ม ตอนนี้ก็ได้ 10 กว่าไร่ ขยายไม่ออกเพราะมันแพงลิบ กว่าที่ข้างเคียงอีก เราอยู่ที่ไหน ที่แพง
ทีนี้ บ้านราช พอ พ. ศ. 2537 ฉลองสมาธิสมโภชกับคุณธำรง ก็ว่าอยู่ข้างบนก็พออยู่กันได้ไม่ใช่มีแต่ที่น้ำท่วม ก็มารังวัดกัน เสร็จแล้วก็แบ่งกัน ใครจะสร้างบ้านใครจะทำอะไรต่ออะไรขึ้นมา พอเริ่มสร้างขึ้นมา ตอนแรกๆอาตมายังไม่ได้ไปอยู่ ก็มี 7 ดาว ดาวเพ็ญ ดาวนา ดาวริน ดาวพร ดาวเย็น มี 7 🌟 ก็มีคนไม่ได้ชื่อดาวคนเดียวคือ ฝั่งบุญ นอกนั้นชื่อดาวหมด
ก็มาร่วมกันบุกเบิกอยู่ทำ เราเรียกบ้านตู้รถไฟ ที่มันเป็นห้องแถวแรกอยู่ ทางด้าน ต้นฉำฉา ขึ้นมา ตรงนั้นตอนนี้เป็นสวนสองโภชน์ ปลูกต้นหมากรากไม้
จนกระทั่งขยับขึ้นมาข้างบนอีก ก็ปลูกบ้านได้ก็ปลูกไป สุดท้ายเราก็ซื้อที่เพิ่ม ได้ที่ 200 กว่าไร่ ตอนนั้น เหมาจากศาล ขายทอดตลาดแล้ว เราก็ไปซื้อมา 7 ล้าน 200 กว่าไร่ เราก็เลยได้ที่เป็นหลักเลย เป็นที่ผืนใหญ่ เราก็ซื้อเติมไปอีก ตอนนี้มีพันกว่าไร่ ราชธานีอโศก มีพื้นที่พันกว่าไร่
เสร็จแล้วเราก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นมา ก็ค่อยมีคนมาอยู่สร้างบ้านเรือน เราจะเรียกว่าคุ้ม คุ้มกลาง เสร็จแล้ว หนึ่งฟ้า เขาก็ไปหาทุนมาสร้างอาคารหลัก แต่ก่อนนี้ เราจะอยู่เฮือนเผิ่งกันเป็นหลัก แล้วก็ค่อยๆมีเฮือนโสเหล่ มีบ้านเป็นคุ้มต่างๆ รวมๆ แล้วมี 300-400 หลังคาเรือน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่นะ
จนกระทั่ง ผู้ใหญ่จรูญ ที่อยู่คำกลาง เขาเข้าใจและศรัทธาพวกเราทั้งที่แกเป็นคริสต์ ก็พยายามเดินเรื่อง ให้พวกเราตั้งเป็นหมู่บ้านจนได้ เป็นหมู่บ้านทางนิตินัย หมู่ 10 ตำบลบุ่งไหม ก็เลย เป็นหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่บ้านมีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเป็นหลักเป็นฐาน ก็บริหารขึ้นมา
อาตมาก็จะมาอยู่จริงๆ ก็คงปีอะไร แต่ก่อนไปๆ มาๆ อยู่ที่สันติอโศก ปฐมอโศกนานกว่าที่อื่น จนกระทั่งมาพักอยู่ที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีที่พักโดยเฉพาะชั้น 4 ก็อยู่ไปอยู่มาอยู่มาอยู่ไป มันก็เจริญไปพัฒนาไป ระยะเวลาจาก 2537 จนถึงปีนี้ กำลัง 28 ปี
พัฒนากันมาเร็วนะ จากพื้นที่ที่มีแต่น้ำท่วม ที่มีแต่ไม้อุ่มไม้พุ่มๆ ไม้ยืนต้นไม่ค่อยมีเลย มีต้นหว้าหรือต้นยางบ้าง เราก็ไม่ได้ทำอะไรกับป่ายาง เราก็ได้อาศัยเป็นไม้หลักของชุมชนเรา เราก็เลยปลูกต้นหมากรากไม้เพิ่มขึ้น ทำสวนทำไร่ทำนา จนกระทั่งกลายเป็นหมู่บ้านที่ คิดว่าในอนาคตจะเป็นหมู่บ้านตัวอย่างที่เจริญ เพราะมันเป็นตัวอย่างที่มีคุณธรรมของพระพุทธเจ้าขั้นสาธารณโภคี ซึ่งเป็นสาราณียธรรม 6
คำว่าสาราณียธรรม 6 เป็นสุดยอดของสังคมพระพุทธเจ้า ที่ลงตัวที่สุด ที่สมาชิกคนในสังคมที่เป็นสาราณียธรรม 6 ได้ เช่น สมัยพระพุทธเจ้าเป็นได้ในวงสงฆ์ ต้องมีคุณธรรมทางจิตเป็นหลัก ก็คือ
สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เรียกว่า พุทธพจน์ 7 ที่เป็นคุณสมบัติ 7 อย่างอยู่ในจิตใจมนุษย์ มีมากมีน้อยเจริญมากเจริญน้อย แต่ก็ต้องเจริญได้ขีดนึง รวมกันอยู่เป็น ทิฏฐิสามัญตา แล้วก็มีศีลสามัญตา
สังคมพุทธของชาวอโศก ตั้งแต่เริ่มมา ตั้งแต่อาตมาเริ่มทำงานมาจะเป็นสังคมที่ทั้งหมู่บ้านมีศีล ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่เป็นพื้นฐานหลัก 3 ข้อ ของชาวอโศก ตั้งต้นมาจนถึงบัดนี้
ส่วนลักษณะสาธารณโภคีมันเกิดเองโดยอัตโนมัติที่มันบอนทูบีของมันอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนั้น โดยไม่คิดจะวางแผนมาก่อน
จริงๆแล้วอโศกตั้งแต่เริ่มต้นเกิดมา มาจองป่าช้า ป่าช้าที่ศีรษะอโศกกับป่าช้าที่ไพศาลี 2 แห่ง ไปจองป่าช้า แล้วก็สร้างหมู่บ้านขึ้นมาชุมชนขึ้นมาก็เลยกลายเป็นศีรษะอโศกกับศาลีอโศก เสร็จแล้วเราก็มาสร้างสันติอโศก จำได้ว่า พ.ศ. 2519 เราถือว่าเราเกิด 2519 ที่จริงศาลีอโศกและศีรษะอโศกเกิดก่อน แต่เรายังไม่นับ เรานับวันเกิดของชาวอโศกคือ 2519 คือปี 2518 ลาออกจากมหาเถรสมาคม เราก็เลยตั้งหลัก ถือว่าสันติอโศกเป็นแหล่งกลาง
เสร็จแล้วก็พัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งเห็นว่า โอ้ สันติอโศกมันชักแคบ มันขยายไม่ออกแล้วมันไปไม่ได้ ที่มันแพง ไปหาที่อื่นเถอะ จนไปซื้อได้ที่นครปฐมที่เป็นปฐมอโศก ทุกวันนี้ ได้ 47 ไร่
มีความคิดตรงกันกับคุณจำลอง ว่าคนสนใจมาฟังธรรมฟังเทศน์กันทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ชื่นชมกัน ก็ดูที่มันจะขยายไม่ออกตอนนั้นยังมีไม่กี่ราย ก็เลยคิดว่าจะหาที่ให้มันขยายออกกว่านี้ ก็เลยได้ที่ปฐมอโศก 47 ไร่แรก ซื้อได้ แล้วก็ตั้งปฐมอโศก เจตนาตั้งชื่อเลยว่าปฐม เป็นอโศกแห่งแรก และไปเกิดที่นครปฐมด้วยมันก็เลยสอดคล้องกัน เราก็เลยได้หลักว่า จะชื่อว่าอโศก ถ้าเผื่อว่าเรามีที่ต่อไป ก็จะเอาชื่อของจังหวัดกับคำว่าอโศกมาผสมกัน ถึงได้เกิดที่ต่างๆ เกิดขึ้น มีสีมาอโศก ที่นครราชสีมาเป็นต้น ศาลีอโศก ศีรษะอโศก จนกระทั่งมันไม่เป็นอโศกทีเดียว เช่น ดินหนองแดนเหนือ
ก็ค่อยๆเกิดขึ้นมาเป็นชุมชนชาวอโศกกระจัดกระจายอยู่ทุกวันนี้ มีหลักๆประมาณ 9-10 ที่ เป็นชุมชนที่เป็นสังคมที่เป็นหลักอยู่จริงๆเลย ตอนนั้นก็มีย่อยๆอยู่ประปรายไปหลายสิบชุมชน เกือบ 50 ชุมชนนับเป็นเศษเล็กเศษน้อย เอาที่ดินเป็นหลัก มีที่ดินเยอะ เพราะว่าที่ดินเป็นของส่วนกลางทั้งหมดไม่มีใครมีสิทธิเป็นเจ้าของ เพราะว่าเรามีกองทัพธรรมกับสมาคม สมาคมธรรมสันติกับมูลนิธิกองทัพธรรม เป็นองค์กรกลางองค์กรใหญ่ นอกนั้นก็มีองค์กรเล็กน้อยที่เป็นนิตินัยบ้าง แต่ว่าองค์กรหลักก็มี มูลนิธิธรรมสันติ กับกองทัพธรรมมูลนิธิ
สมบัติทรัพย์สินเงินทองเป็นของมูลนิธิทั้งหมด แล้วก็บริหารในลักษณะสาธารณโภคี คือไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีเจ้าหน้าที่ดูแล เหมือนกับกองคลัง ของประเทศ ใครจะเบิกก็ไปทำงานก็มีคณะกรรมการ จัดการประชุมกัน อนุมัติทำกันไปมาตลอด
จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 50 ปี ก็ได้พัฒนาความแนบเนียน ความละเอียดละออความแนบเนียนซับซ้อนขึ้นมาจนกระทั่งมันเรียบร้อยง่ายงามดีมากเลยทุกวันนี้ลงตัวดีมากเลย แพรคติคอล มาก จนกระทั่งได้ความลงตัวที่มันบริบูรณ์ ถือว่าเป็นความลงตัวบริบูรณ์แล้ว 50 ปีที่ได้พัฒนาสังคมพวกเราขึ้นมา มีแต่จะทำอย่างไรให้แต่ละมิติของสังคมสาธารณโภคี แต่ละมิติให้มันเจริญงอกงามขึ้นไปได้เท่านั้น มันอยู่กันอย่างลงตัวดีมากเลย เป็นการรวมตัวของสังคมกลุ่มที่มี สาราณียะ อยู่กันอย่างเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็อยู่กัน แบ่งลาภที่ได้มาโดยธรรม ลาภธัมมิกา ก็เอามากินใช้ร่วมกันรวมกันเรียกว่าสาธารณโภคี
อีก 2 ข้อก็คือศีลสามัญญตาทิฏฐิสามัญญตา
สู่แดนธรรม… พ่อท่านเห็นว่า เกิดเองตามธรรม แต่ไม่ได้วางแผน
พ่อครูว่า… ไม่ได้วางแผนเลยเป็นไปตามธรรม ธรรม ที่อาตมาพาให้ปฏิบัติแต่แรกอาตมาไม่ได้มีความรู้ตามหลักวิชาของพระพุทธเจ้าหลอก เพราะอาตมาเป็นคนเรียนน้อยมีแต่ของเก่าค่อยๆฟื้นขึ้นมา ก็จับหลัก ศีลสมาธิปัญญาเท่านั้นเป็นหลัก
ศีลสมาธิปัญญา นี้ ขยายยาวเต็มที่ก็เป็น จรณะ 15 วิชชา 8
จรณะ 15 มีศีลเป็นหลักเป็นตัวไขเลย แล้วมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นตัวประพฤติ ผลจากการประพฤติก็ค่อยๆเกิดเป็น สัทธรรม 7 แล้วก็สังเคราะห์ขึ้นไปเป็น ฌาน ไปจบที่ฌานที่สมาธิ เรียกว่าสมาหิโต
เพราะฉะนั้นตัวปัญญาเป็นตัวยาดำที่จะต้องมีความรู้แทรกแซง หยาบ กลาง ละเอียด ทำงานร่วมด้วย ขาดปัญญาไม่ได้ ศาสนาพุทธขาดปัญญาไม่ได้ และต้องรู้ว่า ปัญญาคืออะไร
ปัญญาของพุทธเป็นโลกุตระเป็นแนวคิดของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ได้เป็นโลกียะ โลกุตระตัวที่เป็นเครื่องตัดสินที่สุดว่าอะไรคือโลกุตระก็คือ
โลกุตระนั้นคือ รู้ดี ว่า สุขทุกข์เป็นมายา สุขทุกข์เป็นของปลอมของไม่เที่ยงเป็นของอนัตตา เป็นของที่คนหลง แล้วก็ ทำตนให้อยู่เหนือสุขทุกข์ จนกระทั่งจิต ทีนี้ เป็นปรมัตถ์เลย จิต มีเวทนาหรือมี ความรู้สึก ทำให้เป็นความรู้สึกอุเบกขาได้ ไม่ขึ้นกับสิ่งแวดล้อมกระทบสัมผัสไม่ว่าจะเป็นเชิง กาม เชิง อัตตา สำเร็จ จิตเป็นกลาง ไม่ใช่เดินทางสายกลางอยู่นะยังไม่มีที่จบไม่ใช่
จิตเป็นกลาง มีวิธีปฏิบัติเพื่อให้จิตเป็นกลาง ถ้าขยายความอีกจะนาน วิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิด ลดกาม ลดอัตตา ลดกาม ลดอัตตา จนกระทั่งเหลือน้อยที่สุดเป็นรูป หมดสองข้างเรียกว่าหมดอัตตา หมดสองฝ่าย
รวมแล้วศีลเป็นตัวหลักสมาธิคือ อปัณณกปฏิปทา 3 สมาธิคือ ฌาน 4 ส่วน ฌาน 8 อีก 4 อรูป เป็นตัวขยายประกอบแต่จริงๆแล้วฌาน 4 เป็นตัวหลัก แล้วก็มีตัวธาตุรู้ก็คือเรียกว่าปัญญา เป็นตัวที่ รู้ตลอด รู้ทุกสิ่งทุกอย่างรู้การประสานรู้การผลักการดูด รู้ภาวะสอง คือการผลักการดูด และจัดการการผลักการดูดให้นิวตรอน ให้เป็น อนุปคัมมะ ให้เป็นจิตที่เหนือ 2 สภาพเ ป็นสามเส้า มีประธานกับบวกลบหรือภาวะ 2 ปุริสภาวะ กับ อิตถีภาวะ อยู่ด้วยกันเป็นสามเส้า
สามเส้านี้ เป็นสามเส้าของสังขารข้างในเรียกว่า อัตตา สามเส้าของอัตตา ที่เรียกอย่างสรุปว่า มีรูปนามและก็มีประธาน จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ใน ปฏิจจสมุปบาท
เร่ิม ปฏิจจสมุปบาท คือไม่รู้อวิชชา ไม่รู้สิ่งที่มันปรุงแต่งเป็น สามเส้า เรียกว่าสังขาร 3 วิญญาณแล้วก็รูปนามปรุงแต่งกันอยู่
ตัวต่อจากสังขาร วิญญาณ นามรูป นามรูป เป็น 2 1 และ 1 กับ 2 ไม่ได้แยกกัน ที่เรียกว่า นามรูปไปด้วยกัน ทำไมต้องเรียกสองเสมอ
เพราะธรรมชาติของความเป็นจิตนิยามต้องมี 2 ต้องมีนามรูปเสมอ ถ้าไม่มีนามรูป ดับนามเสียแล้ว มีแต่รูปอย่างเดียวมันไม่ใช่คนแล้วมันไม่รู้เรื่องไม่มีธาตุรู้
เพราะฉะนั้นการที่จะไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่คิดไม่นึก เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส และเป็น ทิฏฐิ ของ ฤาษี เดียรถีย์ มันเป็นการทำผิดธรรมชาติ ธรรมชาติต้องรู้อย่างตื่นตลอดเวลาหรืออย่างตื่นรู้อย่างเต็มรู้อย่างครบกายวาจาใจ รู้ครบเลย เอาไปสังเคราะห์เป็นสติสัมโพชฌงค์ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์วิริยะสัมโพชฌงค์ ต้องรู้องค์รวมที่มีอย่างสมบูรณ์แบบ
สรุปสามเส้า ประธานรูปงนาม หรือ วิญญาณและมีนามรูปรวมกันเข้าเป็นอายตนะ นี่เป็นการขยายปฏิจจสมุปบาท
สังขารคือคนไม่รู้เรื่อง อวิชชา เริ่มต้นศึกษาก็จะเริ่มรู้เป็น อภิสังขาร ผู้ที่จะเข้าใจสังขารให้ดียิ่งขึ้นก็เริ่มตั้งแต่ วิญญาณนามรูป แล้วมาเริ่มสังเคราะห์กันประชุมกันขึ้นมามันจะเป็นอายตนะ อายตนะนี้ ก็เป็นผัสสะ ก็คือคำว่า กาย คือ องค์ประชุมที่แยกกันไม่ได้
ผัสสะหรือกาย เป็น คำใช้แทนกันได้เลย ถ้าไม่มีอายตนะ ไม่มีกาย แม้มีผัสสะแล้ว คุณไม่รับรู้อะไรก็คือคนที่ดับสัญญา อสัญญีสัตว์หรือพวกพืช ไม่รับรู้ภายนอกเพราะจิตตกไปเป็นพืช เป็นมนุษย์พีชะ ไม่รับรู้
พระพุทธเจ้ามาสร้างจิตวิญญาณให้มีธาตุพื้นที่รู้ความไม่รับรู้ พระพุทธเจ้ามาสร้างจิตนิยาม ใมห้เป็นพีชนิยาม พีชนิยามคือ พลังงานจิตที่ รู้ แต่ไม่รับเป็นตัวเป็นตน จะเรียกว่าไม่รู้ไม่ได้แต่มันไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรารู้ก็สักแต่ว่ารู้ว่ามันเป็นอันนั้นอันนั้น อันนี้เป็นตัวหมดสุขหมดทุกข์ นี่แหละคือตัวยอดของความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ความหมดสุขหมดทุกข์หมดความเป็นคู่เป็นหนึ่ง เพราะเรายังมีชีวิตเราจึงต้องเป็นหนึ่งแต่เราทำเป็น 0 ได้ไม่ตรงกันกับอะไรเป็นสุขเป็นทุกข์นี่คือ 0 ทุกข์คือ 2
คนที่ทำสุขอย่างเดียวเป็นหนึ่ง เขาก็ไม่เอาทุกข์แต่มันไม่ได้มันต้องมี อาการของสุขก็คืออาการที่คุณชอบคุณพอใจ หยาบหรือน้อยก็แล้วแต่ จะเล็กจะน้อยที่สุดขนาดไหน คุณจะไม่เอาไม่ได้ คุณก็เรียกมันไม่ถูกสภาวะ แต่คุณจะเอาให้มันน้อยๆคุณก็พยายามหาวิธี แต่วิธีไหนมันก็ได้ น้อย ชั่วคราวไปเดี๋ยวมันก็ปรุงแต่งขึ้นมามันไม่เที่ยง
สามเส้า กาละ เทศะ ฐานะ ที่ยิ่งใหญ่
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านพูดคำคมมา แต่ผมฟังไม่ทันแต่ผมก็ประทับใจว่า ตั้งจิตให้รับรู้ในสิ่งที่ไม่รับรู้ ใครฟังไม่เป็นจะไปตีความว่าทำให้จิตไม่รับรู้ไปเลย แล้วไปหลงผิดว่า ถ้ายังมีตัวรู้อยู่มันจะไม่ได้นิพพาน ทิฏฐิ เขาเป็นเช่นนั้นนะที่อาจารย์ผมสอนมา ตราบใดที่ยังมีตัวรู้เขาว่าไม่พ้นตัวบนตนก็ต้องปรับตัวรู้
พ่อครูว่า… นั่นแหละคือคนโง่อวิชชา แต่ต้องรู้ยิ่งเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 คือเอาความมีกับความไม่มี อาศัยความมีกับความไม่มี ไม่มีก็คือ 0 มีก็คือ 1 เป็น 1 กับ 0 รู้ความมีความไม่มีเราทำความไม่มีและความมีให้อยู่ได้ นี่คือ คนทั้งหลายอาศัยโลกสมุทัยกับโลกนิโรธ ที่ยังปรุงแต่งกันอยู่ ก็รู้กัน 1 มีเหตุปัจจัยโลกสมุทัยกับโลกนี้รอด โลกนิโรธคือ 0 โลกสมุทัยคือ 1 หรือนิรันดรเท่าไหร่ก็ได้ที่สามารถรู้เหตุปัจจัยที่คุณควรจะรับ คุณควรจะรับก็อยู่ที่สถานะของแต่ละคนที่จะสามารถรับสิ่งนั้นได้ อาตมาก็เลยขยายสามเส้าจากประธานนามรูป
สามเส้า เล็กที่สุดเป็นใหญ่ที่สุดคือ กาละ เทศะ ฐานะ สามเส้าที่ใหญ่ที่สุดขยายลงไป
กาละคือ รวมทั้งหมดเลยคือสิ่งที่เคลื่อนอยู่ในมหาจักรวาลและเอกภพนี้คือ กาละ คือยุคสมัยคือเวลา คือความเคลื่อนไปอยู่เสมอไม่มีความหยุดความเที่ยงแล้วก็ยึดเอาที่เก่าไว้ไม่ได้ กาละ ยึด เอาที่เก่าไม่ได้และไม่ถอยหลัง
เทศะคือ สิ่งที่ค่อนข้างจะเข้าใจยาก เทศะ อาตมาแปลสั้นๆให้เป็นหลักว่า กาละคือเวลา เทศะคือ ภูมิประเทศ ฐานะคือ ภูมิธรรม เวลา ภูมิประเทศ ภูมิธรรม เป็นตัวภาษาหลักแล้วค่อยขยายความว่า เวลาคือ ยุคสมัย กาละ หรือความเคลื่อนไหวเสมอไม่เที่ยงไปยึดเอาที่เก่าไม่ได้ อันนี้ถือว่าเป็น รูป กาละถือว่าเป็นรูป
เทศะ กับ ฐานะ เร่ิมมีนามธรรม เข้าไปเกี่ยว เทศะคือ ภูมิประเทศ คือ สถานที่และองค์ประกอบทั้งหมด จะมีสัตว์มีคน ดาวดวงนี้ยังไม่ถึงขั้นมีคนมีแต่สัตว์มีไดโนเสาร์ก็ว่าไป จนกว่าจะเกิดเป็นลิง พัฒนามาเป็นคนก็ว่าไป
เทศะ เริ่มมี 2 มี 3 มี 4 เริ่มเป็นตัวสังขารแล้ว แล้วฐานะ มาย่อที่บุคคล เล็กสุดก็มายอดจบลงที่ตัวบุคคลฐานะของแต่ละบุคคล หรือภูมิธรรม
ในองค์ประกอบของ เทศะ จะมีองค์ประกอบของความแตกต่างกันไม่มีอะไรไม่แตกต่างกัน เทศะ คือองค์รวมของความแตกต่างกันตลอดเวลา เมื่อใด สามเส้า กาละ เทศะ ฐานะ หรือประธานนามรูป สามเส้านี้ อยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว แล้ว เป็นคราวๆ เป็นระยะๆ มันไม่ได้เที่ยวอยู่เดิมหรอก จะสงบจังเลยมันก็ไม่เที่ยง มันก็สงบได้เป็นคราบคราว
เพราะ 1 ก็คือ 1 และ 2 มันก็คือ 2 จะให้มันเป็นตัวเดียวกันไม่ได้ 1 มันก็ต้องเป็น 1 2 มันก็เป็น 2 แต่ทั้งสองอย่างมัน คือตัวมี พยายามรวมกันให้เป็น 0 เพราะฉะนั้น 0 1 2 ถึงเป็น สามเส้า ที่เอาไปตั้งโลโก้ ของพรรคการเมืองของชาวอโศก พรรคสัมมาธิปไตย
เพราะฉะนั้น 1 ก็เป็น 1 2 มันก็เป็น 2 จะให้เป็นตัวเดียวกันไม่ได้ 1มันก็เป็น 1 , 2 มันก็ต้องเป็น 2 ที่นี้มันอยู่ที่คนที่จะมีจิตวิญญาณเอามารวมกันด้วยความเฉลียวฉลาดหรือปัญญา ก็เข้าใจด้วยปัญญาที่รู้ความจริงว่า อ๋อ 1 ก็ 1 , 2 ก็ 2 แล้วมาหาจุดร่วมที่มันเป็น1 ให้ได้ เพราะยังไงมันก็ต้องแตกต่างกัน คนสองคนที่เป็นแฝดก็ไม่มีทางเหมือนกันหมดหรอก ก็จะต้องหาจุดร่วมกันให้ได้ ร่วมกันได้ จบ เป็นความจริง หรือ จริงๆแล้วมันร่วมกันได้ไม่ได้ด้วยปัญญา แต่มันอยู่อย่างจำนน ทั้งนั้นแหละประเทศที่ไม่มีความรู้เรื่องสัจธรรมพวกนี้ดีๆมันอยู่กันอย่างทะเลาะกันตลอด อย่างใหญ่อย่างหลวง เพราะฉะนั้นคนที่จะไปบริหารเป็นประธานาธิบดีเป็นนายกฯมีงานมากเลยคนพวกนี้ ไม่เหมือนชาวโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า จะอยู่กันยังไม่ยากเท่าไหร่
ขอ ยกตัวอย่าง มายังประเทศไทย เหมือนยุคนี้ เป็นตัวอย่างที่เกิดความสงบเรียบร้อยดีมาก ต่างประเทศเขายกให้เป็นที่หนึ่งเลย แต่เขายังไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ เขายกให้เป็นที่ 3 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 10 เขาถือว่าสวิตเซอร์แลนด์สงบที่สุดก็ตามใจ
ใช่ สวิตเซอร์แลนด์สงบที่สุดสงบกว่าประเทศไทยก็ใช่ แต่มันเป็นแบบสมถะ มันไม่ได้สัดส่วนที่ทันสมัย ที่อะไรต่างๆนานา
ยกตัวอย่างที่ทันสมัยที่สุด ประเทศไทยไม่สร้างอาวุธ นี่เป็นประเทศที่ทันสมัยที่สุด ไม่ใช่ประเทศไทยไม่มีความรู้ในการสร้างอาวุธไม่ใช่ ประเทศไทยมีความรู้ในการสร้างอาวุธ จะสร้างก็สร้างได้ แต่ประเทศไทยไม่เคยพัฒนาการสร้างอาวุธเป็นโล้เป็นพายเลย
แม้แต่ปืน มีแต่ปืนไทยประดิษฐ์ ก็ไม่ได้มีมาตรฐานอะไร ไม่มีโรงสร้างอาวุธปืน แม้แต่ทางการเองของรัฐบาล กรมสรรพาวุธก็ไม่ได้สร้างเป็นหลักเลย ซื้อจากที่อื่นมาศึกษาใช้งานมาปรับปรุงซ่อมแซม เอาไว้ใช้ประมาณหนึ่ง
เพราะฉะนั้นมาถึงยุคนี้จะเห็นได้ชัดว่า ยุคที่บริหารด้วยพลเอกประยุทธ์ 8 ปี ดูรายละเอียดลึกในสังคมไทยจะมีรายละเอียดที่นักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ จะต้องมาศึกษาอย่างลึกซึ้งสำคัญมากเลย ขออภัยต้องพูดตรงนี้
เพราะอะไร เพราะมีธรรมิกราช 2 องค์เกิดขึ้นมาในประเทศไทยจนถึงยุคนี้ ขอสรุป จึงนำพาให้ประชาชนคนไทยมีภูมิธรรมมีปัญญามีปฏิภาณ เกิดการพัฒนาจิตวิญญาณ แล้วก็อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข แต่แน่นอนต้องมีตัวขัดแย้งตัว Nuisance ธรรมชาติไม่มีอะไรไม่แตกต่างความแตกต่างมีอยู่นิรันดร ถ้า 2 อันมีความแตกต่างกันทั้งนั้น
มาสรุปลงตรงที่คำว่า ฐานะ คือจิตวิญญาณ ฐานะคือภูมิธรรม ซึ่งเป็นของแต่ละบุคคล เท่าที่จะมีปัญญาฉลาดแค่ไหน ถ้าฉลาดสุด ก็คือ รู้ภาวะสองของโลกีย์กับโลกุตระที่จริง
ฉะนั้นคำว่าฐานะ ก็เหมือนกับนาม เวลา กาละคือรูป ฐานะคือนาม เทศะคือนามรูป เทศะคือ 0 กับ 1 เทศะคือ ความต่างที่อยู่ร่วมกันได้ด้วยความสามารถของภูมิปัญญา หรือทำจิตวิญญาณให้เจริญ หรือ สามารถควบคุมได้แล้วก็ จำทนกันอยู่ อยู่คนเดียวจำนน หรือจำทนก็อยู่กันไป นี่คือสภาวะที่อาตมาสรุปสังคมต่างๆ อย่างสั้นที่สุด ถ้าจะพูดให้ยาวก็ทำ thesis ไปได้อีก 100 เล่ม ปริญญาเอก 100 เล่มน้อยไป
ตรงนี้อยากจะขยายความรู้ของประชาชนทุกคนนี้ ความรู้ของประชาชน เอาคนที่ถือว่าเป็นนักศึกษา ที่เป็นพหูสูต อย่างเช่นด็อกเตอร์ไตรรงค์ กับด็อกเตอร์เสกสกล
ดร.ไตรรงค์ถือว่าเป็นดอกเตอร์ที่คนยอมรับนับถืออย่างมาก แต่ดร.เสกสกลนี้ คนยังไม่นับถือเท่าไหร่หรอกใช่ไหม ก็บอกว่าเรียนดอกเตอร์มาเหมือนดร.เฉลิม อยู่บำรุง แต่ไม่ใช่หรอก ด็อกเตอร์เสกสกล แกก็เรียนจริง แกเรียนอย่างมีความรู้และเอามาใช้
ขอเอา ข้อเขียนของ ที่เขาพริ้นท์ออกมา
_’แรมโบ้’ ยกซูเปอร์โพลชูจุดเด่น ‘บิ๊กตู่’ แก้ความขัดแย้ง-แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
25 กันยายน 2565
‘แรมโบ้’ เห็นด้วย ผลสำรวจซูเปอร์โพล ประชาชนมองจุดเด่น ‘นายกฯประยุทธ์’ แก้ปัญหาขัดแย้งของคนในชาติ-แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ย้ำมีความตั้งใจแก้ไขปัญหา ขอประชาชนเข้าใจ อย่าฟังกลุ่มและพรรคการเมืองที่เห็นต่าง ไม่หวังดีต่อประเทศ เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว
25 ก.ย.2565 – นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับผลสำรวจความคิดเห็นซูเปอร์โพล ถึงจุดเด่นนักการเมืองในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่ามีจุดเด่น แก้ปัญหาขัดแย้งของคนในชาติ ร้อยละ 35.3 และ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน ช่วงวิกฤต ร้อยละ 37.5 ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนได้รับรู้ถึงความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาให้คนในประเทศ ทั้งความขัดแย้งของคนในชาติ รวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชน
พ่อครูว่า… โพลสุ่มมา ได้ถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ที่คนเขารู้เข้าไปถึงผลงานที่พลเอกประยุทธ์ทำงาน ไม่ว่าจะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ความขัดแย้งทักษิณทำไว้สูงมาก ใช้ทุนรอน ใช้อำนาจเก่า ความเป็นนายเก่า ต่างๆนานา รวนไม่หยุดเลย แล้วก็ ลงทุนลงแรงทำอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะดึงอำนาจคืนมาให้ได้ ตนเองจะเรียกว่าหมดสิทธิ์หมดแล้ว น้องสาวก็หมดสิทธิ์ไปเอง ถูกกรรมวิบากของตัวเองขจัดออกไปไม่มีใครทำ ตัวเองทำเองทั้งนั้น เสร็จแล้วยังเหลือลูก ลูกชายก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย คนกลางไม่เอาถ่านเรื่องนี้ ก็พยายามปลุกคนสุดท้อง อุ๊งอิ๊งขึ้นมา ก็เล่นด้วย คงจะไม่มีทางไปก็เลยให้พ่อปั่น ก็ขึ้นมาถูกปั่น เขาก็พยายามๆๆ
มันเป็นธรรมชาติของสังคม เขาต้องทำ เพราะเขายังไม่ตายเขาก็ดิ้นไป ยิ่งเขามีหลักของชีวิตว่า เขาแพ้ไม่เป็น ทักษิณเขาพูดเขายืนหยัดยืนยันตัวนี้ ถึงเกิดความขัดแย้งในชาติยังไม่มีหยุดจากตัวหลักจริงๆก็คือทักษิณ ทีนี้ ดร.เสกสกลก็บอกว่า
_ (ต่อ)นายเสกสกลยังระบุว่า ตั้งแต่นายกฯประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศ สถานการณ์ความขัดแย้งลดลง แม้ว่าจะมีกลุ่มที่เห็นต่างออกมาเคลื่อนไหวก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยของประเทศ อีกทั้งได้พยายามแก้ไขปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศได้มาก ประชาชนส่วนใหญ่ให้การยอมรับ โดยเฉพาะนโยบายที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย
“ตนเองขอยืนยันว่านายกฯประยุทธ์ มีความจริงใจที่จะแก้ไขทุกปัญหาของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง รวมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศ และได้แสดงให้เห็นแล้วว่านายกฯประยุทธ์สามารถทำได้ดี แม้ว่าจะยังมีความขัดแย้งอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ตนเองมองว่าไม่เท่ากับตอนก่อนที่นายกฯประยุทธ์จะเข้ามาบริหารประเทศ
ขณะเดียวกันตนเองเชื่อมั่นว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประทศได้เข้าใจการทำงานของนายกฯประยุทธ์ว่า ทุ่มเทเสียสละตั้งใจทำงานไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง และขออย่าฟังจากกลุ่มเห็นต่างและพรรคการเมืองที่ชอบออกมากล่าวหา โจมตีนายกฯประยุทธ์และรัฐบาล เพราะคนเหล่านั้นตนเองมองว่าไม่หวังดีกับประเทศชาติ หรือประชาชน มีแต่หวังผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
พ่อครูว่า… ที่จริงพรรคเพื่อไทย ควรจะเปลี่ยนว่าพรรคเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวเองเพื่อตัวตน ตั้งชื่อว่าพรรคเพื่อตัวเองหรือเพื่อตัวตนถูกที่สุด หรือจะให้ชัดๆก็คือพรรคพวกกู เหมาะที่สุด ถูกที่สุดเลยของทักษิณ เพราะฉะนั้น อย่าไปฟังเสียงเหล่านั้นนะ เขามีแต่หวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองทั้งนั้น
“ตนจึงเชื่อผลซูเปอร์โพลว่า พลเอกประยุทธ์ มีจุดเด่นชัดเจนที่สุดในเรื่องแก้ปัญหาความขัดแย้ง ต้องการให้คนไทยมีความสามัคคี ไม่แตกแยกทะเลาะกันเหมือนรัฐบาลในอดีต และตนยังไม่เห็นว่า นายกฯคนที่จะมาแทนในวันข้างหน้า จะมีใครสามารถแก้ไขความขัดแย้งได้เด่นชัดเท่าพลเอกประยุทธ์ ณ ขณะนี้ ณ วันนี้และวันข้างหน้าและในอนาคตตนก็ยังมองไม่ออกและมองไม่เห็นจริงๆว่า ใครจะทำหน้าที่เรื่องนี้ได้ดีเท่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดตามข้อเท็จจริงเหมือนผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของซูเปอร์โพล”นายเสกสกล กล่าว
พ่อครูว่า… นี้ก็เป็นแนวความคิดหนึ่งในการบริหาร เขาบอกว่าต้องให้ประชาชนแตกแยกขัดแย้งจะได้บริหารง่าย ถ้ามันรวมตัวเป็นหนึ่งรัฐบาลอยู่ไม่รอด รัฐบาลไม่มีผลงานไม่มีอำนาจ ต้องให้มันขัดแย้งกัน รวมตัวกันไม่ติด
อาตมาเคยพูด ถ้าสมมุติว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ได้มาเป็นผู้บริหาร แล้วคุณคิดว่าคนไหนเป็นตัวตายตัวแทน จะเอาอุ๊งอิ๊งหรือด็อกเตอร์สมคิด จุรินทร์ หรือ เอาอนุทิน พอไหวไหม ขอดูการทำงานคนละ 5 ปี 10 ปี 20 ปีกันมาทั้งนั้น หรือ คุณอภิสิทธิ์ หรือ จะให้คุณชวน เป็นนายกอีกสมัยคุณชวนจะเอาใหม่ คุณชวน เป็นนายกมาแล้ว 2 สมัยเป็นประธานสภาอีก 2 สมัย เขายุ ให้เป็นนายกอีก จะเอาไหม ไม่มีใครคิดให้ คุณชวนมาเป็นนายกอีกสมัยดีไหมแทนพวกนี้ ยังไม่เคยมีใครระบุขึ้นมา
สู่แดนธรรม.. แค่เสนอตัวเลือกก็ไม่มีใครสู้พลเอกประยุทธ์
พ่อครูว่า… ก็ทำงานมา 8 ปี เขาพยายามทำพลังงานทาง Social ไม่ใช่พลังงานแท้ของประชาชนที่มาออกเสียง โพล เขาก็มีกลุ่มคนของเขาแนวคิดมันจะใกล้ๆกัน ไปสุ่มเอาคนใกล้ๆกัน ไปเอาคนที่ไม่รู้จักมาน้อย มันก็มีกลุ่มคนประมาณหนึ่ง แต่ละโพล ก็มีแนวคิดคนกลุ่มนั้น เพราะฉะนั้นเอาความเห็นของโพลเป็นหลักไม่ได้
จะเห็นได้ชัดว่า พลเอกประยุทธ์ทำได้ดีในเรื่องลดความขัดแย้ง
_ดร.ไตรรงค์ ยก 4 เหตุผล ทำไม ‘พล.อ.ประยุทธ์’ เหมาะเป็นประธานการประชุม APEC 7 สิงหาคม 2565 ไทยโพสต์
ดร.ไตรรงค์ ชี้ถ้าไม่มีอคติกันในทางการเมืองแล้วผู้นำของรัฐบาลไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเห็นว่าท่านได้รับความเชื่อถือจากนานาประเทศด้วยเหตุผล 4 ประการ จึงเหมาะเป็นประธานการประชุม APEC
7 ส.ค.2565-ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง #APEC #ประเทศไทย กับ #พลอประยุทธ์ ระบุว่า การประชุมเอเปค (APEC) ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพนั้น จะมีความสำคัญต่อชื่อเสียง ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะ APEC แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า เป็นการประชุมภายใต้กรอบความร่วมมือ เพื่อส่งเสริม #การค้า #การลงทุน #การท่องเที่ยว และความร่วมมือในมิติด้านอื่นๆ ทั้งการ #พัฒนาทางด้านสังคม #การพัฒนาด้านการเกษตร #การร่วมมือป้องกันและช่วยเหลือกันและกัน ยามประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติทุกรูปแบบ การร่วมมือกัน #สนับสนุนบทบาทของสตรี และ #ลดการกดขี่ทางเพศ และการร่วมมือแลกเปลี่ยนกันและกันทางการ #พัฒนาด้านสาธารณสุข เป็นต้น (ขอเสริมเกร็ดความรู้เล็ก ๆ นะครับว่า APEC นี้มีมา 33 ปีแล้วนะครับ กำเนิดเกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532)
ปัจจุบัน APEC มีสมาชิกถึง 21 เขตเศรษฐกิจได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ไทย เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี บรูไน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก เปรู และ ชิลี ทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจมีประชากรรวมกันถึง 2.8 พันล้านคน มีรายได้ประชาชาติ (GDP) รวมกันมากกว่า 59% ของGDP ของโลก สัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับสมาชิกAPEC มีสูงถึง 69.8% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศที่ไทยมีกับทุกประเทศทั่วโลก
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การประชุมดังกล่าวยึดหลักฉันทามติ (Consensus) ความหมายคือ ทุกข้อตกลงต้องทำด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับใคร ทุกเขตเศรษฐกิจมีความเท่าเทียมกันหมด โดยมุ่งเปิดกว้างเสรีทางการค้าการลงทุนให้มากขึ้น มีอุปสรรคให้น้อยลง (เช่น ช่วยให้การแซงชั่น (Sanction) ด้วยเหตุจูงใจทางการเมืองจะได้มีน้อยลง) ส่วนความร่วมมือด้านอื่นๆ ก็แล้วแต่จะตกลงกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ #ห้ามหยิบยกประเด็นทางการเมืองขึ้นมาพูดในที่ประชุมอย่างเด็ดขาด
ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จึงเหมาะเป็นประธานการประชุม APEC
อดีตนายกฯจากพรรคอนุรักษ์นิยมของอังกฤษ จอห์น เมเจอร์ เคยกล่าวเตือนสติ นายกฯ รุ่นน้องจากพรรคเดียวกันคือ นายบอริส จอห์นสัน ว่า “ผู้นำทางการเมืองที่ประชาชนขาดความเคารพนับถือในบ้าน จะมีอิทธิพลสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีนอกบ้านได้อย่างไร” (สามารถอ่านข้อมูลเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ในบทความของผม หัวข้อ “เรียนรู้จากอังกฤษ : ไม่ยกย่องคนที่ไม่สมควรยกย่อง” ที่ https://www.facebook.com/TrairongSuwankiri/posts/pfbid02kFsnrXucY1awn9HTDdg7MfBfkBDdk737eh5vdJRrZPZwMwTm6WUo5Dh4qFAjdFwLl)
สำหรับผู้นำของรัฐบาลไทยคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น ถ้าไม่มีอคติกันในทางการเมืองแล้ว จะเห็นว่าท่านได้รับความเชื่อถือจากนานาประเทศด้วยเหตุผลหลายอย่างคือ
1) การชุมนุมทางการเมืองเพื่อคัดค้าน พ.ร.ก. นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในปี 2556 – 2557 นั้น ผู้มิได้อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์จะไม่มีทางทราบว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมซึ่งเป็นปฏิปักษ์กันทั้งสองฝ่าย ได้เตรียมอาวุธร้ายเพียงใดเพื่อจะเข่นฆ่ากันและกัน (ทั้งๆ ที่ผู้นำการชุมนุมของทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่รู้ก็ได้)
การตัดสินใจทำการ #รัฐประหารเพื่อระงับความรุนแรงที่อาจจะนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมือง ในปี พ.ศ.2557 นั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นและสมเหตุสมผล แม้เป็นการเปลี่ยนรัฐบาลโดยการใช้อาวุธ เข้าบังคับมิใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธี แต่ต่างประเทศส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจดี โดยเฉพาะ เพราะเขาเคยเห็นความป่าเถื่อนในการบุกทำลายการประชุม ผู้นำของอาเซียนที่พัทยาเมื่อปี พ.ศ. 2552
เมื่อผมไปประชุมกับผู้นำ 47 ประเทศที่กรุงวอชิงตันตามคำเชิญ ของประธานาธิบดีโอบามา (OBAMA) ในปี พ.ศ. 2553 (ขณะที่พวกเสื้อแดงกำลังยึดสี่แยกราชประสงค์และประตูน้ำเอาไว้) ผู้นำประเทศต่างๆ หลายประเทศได้แสดงความห่วงใย (Concern) ต่อการชุมนุมที่ค่อนข้างจะรุนแรงในประเทศไทย ที่น่าแปลกใจตรงที่ท่านเหล่านั้นบอกผมว่า พวกท่านรู้ด้วยว่าใครอยู่เบื้องหลังความรุนแรงทั้งหลาย ตั้งแต่ที่พัทยา (พ.ศ. 2552) จนถึงการชุมนุมในปี พ.ศ. 2553
แม้แต่ท่านประธานาธิบดีโอบามาเอง ได้พูดกับผมถึงความห่วงใย และแสดงความเห็นใจต่อ นายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของประเทศไทย ที่ต้องเจอวิกฤตการณ์เช่นนั้น จนไม่สามารถมาประชุมกับ 47 ประเทศในหัวข้อเรื่อง “การหยุดการแพร่ขยายการใช้ปรมาณูเป็นอาวุธ (Nuclear Security Summit) ดังนั้นเมื่อเกิดการรัฐประหารนำโดย พล.อ.ประยุทธฯ จึงเห็นได้ว่า ไม่มีใคร(ต่างประเทศ) ออกมาประณามอย่างจริงจัง เหมือนที่พวกเขากระทำต่อประเทศเมียนมา เมื่อมีการรัฐประหารโดยท่านนายพล มิน อ่อง ลาย
2) ปัจจุบัน ท่านพล.อ.ประยุทธ์ #เป็นนายกรัฐมนตรีตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 (แม้จะนับเฉพาะเสียง ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งก็มากกว่า 50% ถูกต้องตามหลักสากลของประชาธิปไตย) นักการเมืองบางฝ่ายอาจจะประณามว่า เป็นการสืบทอดอำนาจของฝ่ายรัฐประหาร เพราะคนร่างรัฐธรรมนูญมิได้เขียนให้รัฐธรรมนูญของไทย เป็นเหมือนของประเทศอังกฤษ แต่ที่ผมเคยไปเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดของสหรัฐฯและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ ศาสตราจารย์ ที่สอนเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญต่างก็สอนเหมือนกันว่า ระบบการเมืองการปกครองของประเทศไดก็ต้องเขียนให้คล้องจองกับบริบทของประเทศนั้น เหมือนอย่าง นางอังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) อดีตนายกฯของเยอรมัน เคยพูดไว้ว่า “สหรัฐอเมริกาจะเอามาตรฐานของระบบการเมืองของตนเองไปบอกว่าดีกว่าระบบการเมืองของประเทศจีน ย่อมไม่ได้เพราะบริบทหลายอย่างแตกต่างกัน” (ผมว่าคุณ Nancy Pelosi น่าจะฟังเอาไว้บ้างนะครับ)
3 )ตลอดระยะเวลา 8 ปี ทั้งในฐานะนายกฯ จากการรัฐประหารและนายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่เคยมีใครจะมาสงสัยในความซื่อสัตย์สุจริตของ พล.อ.ประยุทธได้เลย #ไม่เคยโกงไม่เคยกิน เหมือนอดีตนายกฯ หลายๆ คน ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้
4) ผลงานการ #สร้างความก้าวหน้าให้กับประเทศในหลายๆทาง ที่ประสบความสำเร็จเห็นได้เป็นประจักษ์แก่ชาวโลก เช่น ความสามารถในการนำประเทศและประชาชนประสบความสำเร็จ ในการต่อสู้กับ COVID-19 จนได้รับการยกย่องว่า มีความสำเร็จสูงเป็นลำดับที่ 5 ของโลก ความมั่นคงทางการเงินเป็นลำดับที่ 14 ของโลก ด้านการต่างประเทศก็แสดงบทบาทความเป็นกลางไม่เข้าข้างช่วยฝ่ายใดในปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆของโลก การสามารถเปิดสัมพันธภาพทางการทูตกับซาอุดิอาระเบียได้สำเร็จสวยงาม ทั้งๆ ที่มีหลายๆ คนก่อนหน้านี้ได้พยายามกันมาแล้วแต่ไม่สำเร็จ การวางพื้นฐานสำหรับอนาคตของประเทศโดยการมีนโยบายให้มีพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่แสนจะเย้ายวนให้มาลงทุน การพัฒนาการคมนาคมระบบรางที่รุ่งเรือง มากกว่ายุคใดๆ กทม.เมืองที่สวยงามน่าอยู่กว่าเดิม การช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาโดยนโยบายการประกันรายได้(แม้จะเป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์แต่ถ้านายกไม่ผลักดันด้านการเงิน โครงการก็จะเกิดผลใดๆขึ้นมาไม่ได้เลย) ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดผู้มาประชุมจะได้เห็นและประทับใจ
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือผมอยากชวนให้พวกเราถอยหลังกลับมาสักหนึ่งก้าวและมองอะไร อะไร ในภาพใหญ่ครับ แน่นอนถ้าเราดูภายในประเทศของเราตอนนี้ เราจะเห็นการเมืองแบบเห็นประโยชน์ของพรรคฯ มากกว่าผลประโยชน์ของประเทศ ทำให้มีการด่าทอ สาปแช่ง หยาบคาย อย่างที่พวกเราได้เห็นได้ฟังในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ต่างชาติ (ส่วนใหญ่) เขาคงไม่ได้คิดเช่นที่ฝ่ายค้านคิด ผมทราบจากแหล่งเชื่อถือได้ของกระทรวงการต่างประเทศว่า จะมีผู้นำคนสำคัญๆ หลายคนยินดีจะมาประชุม APEC ในครั้งนี้ ไทยจะช่วยให้โลกคลายความตึงเครียดลง ลองปิดตาเห็นภาพว่า ถ้าการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน งานคงจะกร่อยผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจะหายไปขนาดไหน
#หมายเหตุ ผมเองยังมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงได้เป็นประธานการประชุมเอเปค (APEC) อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากเถียงกับ #พวกศรีธนญชัยในหมู่นักกฎหมายกำมะลอ ครับ #รูปประกอบไม่สะท้อนถึงเนื้อหาทั้งหมด นะครับ เป็นภาพจากปี 2553 ที่ผมต้องไปร่วมการประชุมกับ 47 ประเทศในหัวข้อเรื่อง “การหยุดการแพร่ขยายการใช้ปรมาณูเป็นอาวุธ (Nuclear Security Summit) แทนท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครับ
ผมขอเรียนว่าความเห็นที่ลงในเฟซบุ๊กเป็น #ความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคปชป.แต่อย่างใด
หลัก 4 ของประชาธิปไตยโลกุตระ
พ่อครูว่า… จริงๆแล้ว ประชาชนต่างหากที่ทำปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลเก่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำตามแผนผังของสังคม แต่พฤติกรรมจริงๆคือประชาชนทำรัฐประหารทำการปฏิวัติ ไล่พวกนี้ออกไป ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปไขความจริงออกมาให้มากๆ จนประชาชนรับรู้ได้ทั่วประเทศ ผู้รู้มาแฉความจริง ตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2557 ลากไส้ออกมา มันสมบูรณ์แบบที่จะรู้ไส้รู้พุง
ที่ประชาชนใช้ เป็นการใช้สันติวิธีและนายกประยุทธ์มารับไม้ต่อจากประชาชนไป แต่ดรไตรรงค์ ยังคิดว่าเป็นการใช้อำนาจของพลเอกประยุทธ์รัฐประหาร จึงอาตมาพูดนี้เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งเป็นสภาวะจริงของรัฐศาสตร์
นี่คือความเห็นของคนสองคน Doctor เสกสกลกับไตรรงค์ ที่อาตมาก็ร่วมอยู่ในสังคมไทยประเทศไทย และอยู่ในความรู้รอบตัวของความรู้สังคมประเทศ ความรู้ของโลก
องค์รวมของพฤติกรรม สังคมไทยวันนี้ จริง เสียงดังของพวกฝ่ายค้านโดยเฉพาะสื่อสารมวลชนสมัยนี้ Social Media มันแรงมาก และคนตั้งหน้าตั้งตาจะค้าน มันก็ขยันที่จะทำมาก ส่วนคนพื้นฐานธรรมดาของมวลประชาชน อยู่เฉยๆ ไม่ต่อต้าน ไม่แสดงออกอะไร ก็อยู่ไปด้วยความสงบเรียบร้อย มันก็อยู่ได้ ถ้ามันเดือดร้อนสิ ประชาชนส่วนใหญ่จะลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน แต่ก็แสดงถึงเนื้อแท้ของ ฝ่ายค้านส่วนน้อย แม้จะแสดงแรงเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่ได้กระเทือนพื้นฐานจริงๆ ของประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่นั้นเขานิ่ง เขายอมรับเหตุการณ์ เขายอมรับสังคม ยอมรับความเป็นจริงของสังคมที่มันเกิดอยู่เป็นอยู่ ด้วยการสังขารโลก สังขารธรรม มันอยู่ด้วยกันอย่างดีแล้ว มันดีด้วยประการทั้งปวงอย่างที่ดร.ไตรรงค์ยกขึ้นมาบ้าง ที่จริงมีเยอะ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ทำลิสต์มา 60 กว่ารายการ ที่เป็นผลงานของพลเอกประยุทธ์
เพราะฉะนั้น ในวาระแค่ 8 ปีที่ทำงานมานี้ อาตมาก็ว่าเกิดมาในยุคนี้ ก็รู้จักนายกมา อาจไม่รู้จักคนแรก เพราะปฏิวัติตั้งแต่ 2475 อาตมาเกิด 2477 ก็จะมารู้จริงๆในยุคจอมพลแปลก นาน คุมอยู่นาน พลเอกถนอม ประภาส ใครต่อใคร จอมพลสฤษดิ์ ก็รู้ ไล่เปรียบเทียบผลงานพฤติกรรมพฤติการณ์ของผู้บริหาร ซึ่งอาตมามีความรู้แบบพระพุทธเจ้ามา
อาตมาเริ่มต้นรู้ตั้งแต่ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม มานายควง อภัยวงศ์ จนถึงพลเอกประยุทธ์ ก็พอรู้พอเข้าใจตามประสาอาตมา รวมแล้ว 29 คน อาตมาก็ว่า นายกประยุทธ์นี้ เท่าที่ความรู้อาตมามี ว่า เป็นผู้บริหารประเทศ ในประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยความรู้เป็นทฤษฎีที่อาตมาเข้าใจก็คือ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี้ดีที่สุด
อาตมาสรุปเลยว่า ประชาธิปไตยที่ดีที่สุด มี 3 และ 4 ประเด็นหลัก
-
ไม่มีตัวตน ไม่มีความลำเอียงอะไรเลย เป็นกลางที่สุด
-
ซื่อสัตย์ ซึ่ง 2 อย่างนี้ยิ่งใหญ่มาก เป็นแกนของประชาธิปไตย
-
ปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาโลกุตระ ปัญญาของพระพุทธเจ้า