650919 ธรรมิกราชแจกแจงสังขารในปฏิจจสมุปบาท รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 55 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1r497IkY5GDww8tnOin60fOJLG16E3H8AUFMHobf4IgE/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://docs.google.com/document/d/1wpA71O857vFJ-9zMeK3NMl4-U7FP6co-MLhwTwkN69Q/edit?usp=sharing ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/fE7ScOhG1I/ และ https://youtu.be/YPLmMSYekwA _สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ความรู้ที่พ่อครูสอนเราคือความรู้ที่กำจัดเครื่องขวางกั้น คือนิวรณ์ เพื่อให้จิตเราทำกุศลได้อย่างไม่มีสิ่งขวางกั้น เป็นการทำเพื่อมวลมนุษยชาติ หลัก 4 ประการของนักการเมืองโลกุตระ ที่พ่อท่านบอกว่า การจะไปรับใช้ประชาชน มวลชน มีหลักการอะไรบ้าง เป็นผู้ที่ไม่มีความยึดถือตัวตน ชนะเล่ห์กลด้วยซื่อสัตย์ ปฏิบัติรับใช้ประชาชนจริง ยิ่งให้ยิ่งทวีสมรรถนะ ทั้ง 4 ข้อนี้มีความสำคัญอย่างไร พ่อครูว่า… มีความสำคัญมาก ที่กล่าวมา 4 ข้อนั้น ไม่มีตัวตน ซื่อสัตย์ ทำงานรับใช้ประชาชนมีสมรรถนะมีความสามารถ คำว่าไม่มีตัวตนเป็นคำใหญ่คำจบ ตัวเริ่มต้น เริ่มต้นต้องรู้จักอย่ามาเห็นแก่ตัว อยากทำอะไรตั้งแต่เริ่มต้นรู้ตัว ทำได้มากได้น้อยเท่าไหร่ก็ต้องรีบทำ อย่าทำด้วยความเห็นแก่ตัว นี่คือ เมื่อไม่มีตัวตนก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวตน แต่ ตอนแรกเครื่องมันยังมีตัวตนอยู่ก็อย่าทำให้มันมีความเห็นแก่ตัว เป็นตัวภาคปฏิบัติเริ่มต้น จะต้องซื่อสัตย์ ต้องเอาจริง ไม่เอาจริงไม่ได้หรอก ธรรมะพระพุทธเจ้า เหลาะๆแหละๆไม่มีทางได้ ไม่มีเลย ไม่ได้ผล ต้องเอาจริงๆ ตรงๆ ซื่อๆสัตย์ๆ ซื่อสัตย์ อย่าเหลาะแหละ เมื่อไม่มีตัวตน ซื่อสัตย์ทำให้ตรง สองอันนี้แล้ว ทำงาน ทำไปทำไม เมื่อไม่มีตัวตนก็ทำเพื่อผู้อื่น ก็เพื่อมวลประชาชน เพื่อคนอื่นๆไป เราก็เป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ คนอื่นเขาก็ได้รับประโยชน์จากเรา เราไม่อยากได้หรอกแต่มันเป็นคุณค่าของเรา เพราะเราเป็นคนทำประโยชน์ เขาก็ได้ ใครๆก็ได้ประโยชน์จากเรา เช่น เราเป็นคนปลูกพืชผักอะไรขึ้นมา แล้วเราอาศัยกินใช้ของเราเอง เราไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ไม่เป็นภาระใคร แถมเราทำได้มากมาย ให้คนอื่นเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นให้ผู้อื่นได้กินได้ใช้ด้วยอย่างนี้เป็นต้น แม้เราไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติประพฤติเป็นรูปธรรมปลูกผักปลูกพืช แต่เราทำงานด้านพฤติกรรมประพฤติดีเป็นตัวอย่างที่ดี อยู่ในสังคม คนอื่นก็ได้รับจากเราเหมือนกัน คิดดี มีจิตที่ดี มีปัญญาที่ดี มีโลกุตรธรรมที่แท้ มันก็ยิ่งดีใหญ่ เสร็จแล้วคนเหล่านี้ คุณรู้ดี ทำดีเป็นดีแล้ว คุณต้องมีความสามารถ มีสมรรถนะมีเรี่ยวแรงมีกำลังมีจิตใจ มีกระจิตกระใจที่จะทำๆๆ ขยันหมั่นเพียรอย่าขี้เกียจ รู้พักรู้เพียรสมรรถนะนั้นก็เกิดประโยชน์ ไม่ใช่มีสมรรถนะแต่เรามีนั้นเราก็ไม่ได้ทำ อยู่เฉยๆผ่านวันผ่านคืน ผ่านกาละไป อีกไม่นานก็ถึงหลุมฝังศพ แล้ว ตายแล้วเขาไม่ได้ทำพิธีให้เราเหมือนอย่างควีน ที่กว่าจะฝังกันยิ่งใหญ่จริงๆเลย กำลังถ่ายทอดกัน พระพุทธเจ้าท่านพยายามตัดเรื่องพวกนี้ ให้มีพิธีการน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่มีอะไรมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องของสังคมมนุษยชาติพูดไปก็เท่านั้นมันก็ต้องอาศัยเพราะติดยึดกันไปเป็นธรรมดา นี่ก็ขยายความพอสมควรแล้ว พ่อครูว่า… อาตมาจะเริ่มต้น sms ธรรมมิกราชสององค์ในยุคนี้ _ใบแพร… กราบพ่อมาด้วยความเคารพบูชายิ่ง เมืองไทยเราโชคดีที่มีพระธรรมิกราช เกิดขึ้นพร้อมกัน 2 องค์ในยุคนี้ พ่อพูดว่า ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆนะ พ่อครูว่า เขาพูดมาเก่าแก่แล้ว อาตมาบอกความจริงเท่านั้น ความจริงว่าธรรมิกราชเป็นอย่างไร คนมีปัญญาเขาพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริง มีพฤติกรรมมีปรากฏการณ์จริง มีหลักฐานที่ทำให้คนเช็คตรวจสอบดู ธรรมคุณมีความรู้เท่าไหร่ ตรวจสอบดู ธรรมิกราชคือผู้มาแสดงธรรม มาปรากฏการกระทำทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในธรรมะ แล้วก็เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรมนี่แหละ ทำอย่างไม่มีตัวตน ทำอย่างซื่อสัตย์ ทำอย่างเพื่อประชาชน มีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถ ทำได้ผลจริงๆ ก็บอกซะให้เต็มที่เลยว่าธรรมิกราชคือในหลวงรัชกาลที่ 9 กับอาตมา พูดกันให้เต็มเต็ม ไม่ต้องมังกุ เหนียมๆอายๆหรอก มันเป็นเรื่องจริง ความจริง ก็ได้ทำมาแล้ว มีสิ่งที่จริงไหม มีหลักฐานยืนยัน มีปรากฏการณ์ มีธรรมะแล้วออกไปให้บุคคลและบุคคลปฏิบัติ เกิดเป็นคนที่มีคุณธรรม ที่เรียกว่าโลกุตระ แล้วโลกุตระคืออะไร คุณมีความรู้เท่าไหร่ล่ะ นี่มันใช่ไหมล่ะ อาตมาภาคภูมิใจที่สามารถเอาโลอุตรธรรมมาให้พวกคุณปฏิบัติจนกระทั่งเกิดถึงขั้น สาราณียธรรม 6 มีสาธารณโภคี ได้ถึงขนาดนี้ ยืนยันธรรมะของพุทธเจ้าว่าเป็นจริงได้ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าทำได้จริงๆ เกิดจริงเป็นจริง นี่แหละเรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปฏิบัติตามคำสอนได้ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิมุติ จริงๆ _ใบแพร่(ต่อ)…ย่อเล็กลงมาอีกมุมหนึ่งของแผ่นดินไทย สู่แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ของชาวอโศก ที่มีพระธรรมมิกราชอีกองค์หนึ่ง คอยดูแล อบรม สั่งสอน ขอย้อนกลับไปสู่อดีตเมื่อ ๔๐ กว่าปีที่ผ่านมา ผู้ที่ได้เกิดมาในยุคนั้นก็นับว่าเป็นลูกคนโตที่ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ ได้รับการอบรมสั่งสอน อย่างเข้มงวด ท่านจะสอนตั้งแต่พื้นฐานเรื่อง กิน อยู่ หลับ นอน ซึ่งก็อยู่ในหลัก อปัณณกปฏิปทา ๓ แต่ในยุคนั้นพ่อจะไม่ลงลึกเหมือนปัจจุบัน พ่อจะเน้นให้ สังวร สำรวม กายภายนอก อย่างเรื่องกิน จะสอนว่า กินอย่างไร? เคี้ยวอย่างไร? ไม่ให้มีเสียงดับ จั๊บๆ การดื่มน้ำให้นั่งดื่ม อย่างมี สติ เดินอย่างไร? พ่อเปรียบเทียบ อย่าเดินเหมือนอีแร้งกระพือปีก เหมือนม้าดีดกระโหลก นั่ง ยืน นอน กายกรรม อย่างไร? ที่มีคุณลักษณะสมบัติของผู้ดี คนดี พ่อเคยพูดว่า ท่านเกิดมา นับชาติไม่ถ้วน และหนึ่งในปางนั้นท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ ผู้ที่ได้เกิดร่วมกับท่านในปางนั้น ได้เป็น ข้าบาทบริจาริกา คงจะเคยได้หมอบ คลาน กันมา ได้รู้จักการมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ และในที่ประชุมชน แม้การตากผ้า ก็ให้เอานอกทับใน การอาบน้ำให้นั่งอาบ อย่าให้ได้ยินเสียงราด โครมๆ การปัสสาวะ ก็ให้นั่งอย่ายืน ท่านเปรียบเทียบเหมือนหมาเวลาฉี่มันจะยืนยกขา การเข้าส้วมต้องทำความสะอาดทุกครั้งที่ใช้ ได้เขียนป้ายติดไว้ที่หน้าห้องน้ำว่า งานที่ควรทำก่อนอื่นใด คือ งานล้างส้วม (มหาตมะคานธี) การบ้วนน้ำลาย การขากเสลดก็ให้สังวร ระวัง ไม่ใช่จะทำตรงไหนก็ทำ เพราะบางทีอาจมีเชื้อโรค จะไอ จะจาม ก็ควรป้องปาก ปิดจมูก อย่าให้เสียงดังได้ยิน ๓ บ้าน ๘ บ้าน พ่อสอนตลอดว่าอย่าทิ้ง กายนอก ต้องมีสติระลึกรู้ตัวไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด เราเป็นอาริยชน ไม่ใช่ปุถุชนแล้ว กายนอกสมมุติทำไปพร้อมกับกายใน ปรมัตถ์จะเชี่อมประสาน สอดคล้อง จากหยาบไปหาละเอียด เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย สถานที่แห่งนี้ คือ แผ่นดินพุทธ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราขาดจิตสำนึก ขาด หิริ โอตตัปปะ ก็จะเนิ่นช้าในการปฏิบัติธรรม ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่า ปัจจุบันมีพี่น้อง เกิดตามมา น้องน้อย น้องเล็ก น้องใหม่ ครอบครัวเราใหญ่ขึ้น พ่อเราปัจจุบันก็อายุมากนักแล้ว ท่านเลื่อนภูมิธรรมสูงขึ้น ปัจจุบันท่านสอนระดับ มหาวิทยาลัย จะให้กลับไปสอน ระดับ อนุบาล ประถม เหมือนรุ่นพี่ๆ ไม่มีเวลาแล้ว ก็ตกเป็นหน้าที่ของพี่ๆ บ้าง และน้องๆ ก็ต้องเพิ่ม อิทธิบาท ๔ ให้ยิ่งๆ ขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าประมาท ในโทษภัยอันมาประมาณน้อย กราบพ่อค่ะ ลูกใบแพร พ่อครูว่า… ก็ดี เรียงลำดับได้ดีเก็บเอามาพูดเท้าความถึง เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ผ่านมา 40 50 ปี (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _SMS วันที่ 16-17 กันยายน 2565 ทานมัยที่เป็นบุญคือฆ่ากิเลสและไร้ความหวัง _วันชัย สหมโนธรรม : เมื่อปีพ.ศ ๓๓-๓๔-๓๕ เดือนส.ค วันเกิด ๒๔ ส.ค ผมเหมาร้าน “มังสวิรัติ” ทั้งสามที่ สาขาสะพานควายเปาโล,สันติอโศก,ช.ม.ร จตุจักร แจกฟรีครับ (อยากบอก) ๕๕๕ พ่อครูว่า…ก็เป็นสิ่งที่ดีเป็นทานมัย การทำทานอย่างมีอานิสงส์มีประโยชน์ เราทำทางไร้ประโยชน์มีแต่โทษ ทุกวันนี้การทำทานมีแต่โทษ ก็ทำทานแล้วมีแต่ภพมีแต่ชาติ ทำทานไม่เป็นโลกุตระ ทำทานแล่วมีภพ มีชาติ มีสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ (คือ ตายแล้วจะได้เสวยในชาติต่อไป) หรือ ตั้งจิตความหวัง การทานแล้วตั้งจิตว่า เราทำทานแล้วเราจะต้องได้อะไรอันนี้แค่นี้ก็ผิดแล้ว แต่เดี๋ยวนี้โอ้โห อ้าว ทานแล้วก็มากรวดน้ำมาย้ำไว้ ทานแล้วขอให้ได้โน่นได้นี่ คำสอนของ พระพุทธเจ้า มันเพี้ยนผิดไปหมด อิมินาสักกาเรนะฯ ท้าวความมาเป็นบุญคุณใหญ่ยิ่ง เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ทาน ก็ไม่มีอานิสงส์ ศีล ก็ไม่มีอานิสงส์ไม่ต้องพูดถึงสมาธิออกนอกรีต ไปนั่งหลับหูหลับตา ไม่รู้ว่าพุทธเจ้าไปสอนนั่งหลับตาเป็นสมาธิไว้ตรงไหน อานาปานสติพระพุทธเจ้าท่านใดสอนให้นั่งกายตรงดำรงสติคงมั่น มันเป็นของเดิมที่โต่งอยู่ในป่า 6 ปี ก็ไปอยู่ในดงเดียรถีย์ ท่านก็ตรัสตามสิ่งที่มีอยู่เท่านั้นเอง ไม่ใช่ของท่าน และท่านก็ต้องสอนพวกนี้ให้ออกมา คือ อ่านพระไตรปิฎกไม่แตก คือ ท่านพูดสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันให้ผิดเพี้ยนไปจากอดีต แล้วจมอยู่ อาตมามาแก้ไข แต่เขาก็จมอยู่กับสิ่งที่เขายึดติดซึ่งไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า 6 ปีที่ท่านอยู่ในป่ามันเป็นเรื่องของความผิด ท่านบอกว่าท่านใช้หนี้ ท่านใช้หนี้วิบากเป็นบุพกรรม เป็นกรรมเก่า เป็นการแสวงหาโพธิญาณในทางผิด พระพุทธเจ้า ว่า…ในอดีต เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา๖ปี เราถูกบุพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.๓๒ ข.๓๙๒) ถ้าเข้าใจนี่แล้วจะรู้ว่าพระป่าออกนอกรีตเลย แล้วยิ่งไปนั่งหลับตาก็หมดเลยไม่เหลือ ศาสนาพุทธเลย แหม ไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งคำว่าบุญคำว่าบาป บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ปุญญปาปปริกขีโณ ไม่รู้เรื่ื่องกันเลย คำว่า บุญจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าคืออะไร บุญ คือ เครื่องมือฆ่ากิเลส แหม ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันไม่ใช่กุศล บุญไม่ใช่กุศล แต่เป็นอาวุธร้ายซึ่งไม่ควรจะมี ไม่ควรจะเป็นเลยมนุษย์ แล้วไปสะสมทำไม สะสมอาวุธกันฆ่า แล้วไม่ใช่ฆ่าอื่นด้วย ฆ่ากิเลสอย่างเดียว one way Traffic มันทำหน้าที่ฆ่ากิเลสอย่างเดียวจบไม่มีอะไรเหลือเลยจบหน้าที่แล้วก็จบกัน ไม่มีอะไรค้างตก ไม่มีอะไรจะมาสะสมรองรับกันอยู่ที่ตัวเราเลย ไม่มี ถ้ามีมันก็ไม่หมดสิ้นไม่สูญสิ้นไม่สิ้นเรื่องไม่เป็นนิพพานไม่สูญหาย บุญไม่มีอะไรต่อ เป็นเอกังสะ โดยส่วนเดียว ทางเดียวเป็น one way Traffic ทำหน้าที่เดียวแล้วก็หายไปเลย จะสำเร็จไม่สำเร็๗ก็ไปเรื่อยเลย มีแต่ไปอย่างเดียว ไม่มีโค้ง ไม่มีงอกลับมาเลย _สู่แดนธรรม… คำว่าหมดบุญเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… หมดบุญเป็นเรื่องดี พระอรหันต์ทุกองค์ก็หมดบุญ พระสมณะรูปหนึ่งพระโปฐิละ ก็ใช้คำว่า เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป อปุญญะ อปุญญะ ไปแปลวนว่าบาปอีก ก็คือไม่เข้าใจ แม้แต่คำว่าบุญก็ไม่เข้าใจ ยังวนเวียนอีกมันจะไปนิพพานได้อย่างไร หมดบุญแล้ว ก็ยังไปวนกลับไปเป็นบาปอีก อ้าว บุญหมดแล้วบาปก็หมดแล้ว ไม่น่าจะเข้าใจยากนะ แต่อย่างว่า บังคับความรู้ความฉลาดของคนไม่ได้ คนที่ไม่รู้ไม่ฉลาดก็ไม่รู้ไม่ฉลาดจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงได้ _สุรีย์พร กุญแจนาค · คุณวันชัย สหมโนธรรมยังมีน้ำใจเอื้อเฟื้อทำเสื้อมาแจกชาวชมร.ใส่อยู่หลายปีค่ะ อนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ _บุญสูง สาดา · กราบพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่าน ตอนนี้มีฝนที่ขอนแก่นครับ แต่ก็ฟังดูได้ แต่คนอยู่ด้วยกันก็บ่นว่ายังเปิดโทรศัพท์ดูอยู่นั่นล่ะ ไม่กลัวฟ้าผ่ารึ ผมรับฟังคนคิดต่างอย่างสงบ อยู่ในบ้านมันคงไม่รุนแรงหรอกน่า ใช่ไหมครับท่านผู้รู้? พ่อครูว่า…คนเตือนมาเราก็ฟังเขาบ้าง _สงกรานต์ ร่วมสร้างสังคมแห่งสติปัญญา · … ธรรมชาติแท้ของมนุษย์เป็นอย่างไร? หลายคนอาจไม่เคยสังเกต และไม่ได้ศึกษาข้อมูล อาจลองพิจารณาข้อมูลเหล่านี้ดูก่อน ๑. ทำไมคนกินแต่เนื้อสัตว์ มีชีวิตอยู่ไม่ได้นาน(เหมือนสัตว์กินเนื้อทั่วไป อยู่ได้) แต่ทำไมถ้ากินแต่สัตว์อย่างเดียว อายุสั้น เช่น ชาวเอสกิโม(อายุเฉลี่ยไม่ถึง๓๐ปี) แต่กินพืชอย่างเดียว อายุยาว เช่น ชาวฮันซา(อายุเฉลี่ยกว่า ๑๐๐ปี) https://www.winnews.tv/news/17702 ๒. ทำไมมนุษย์ มีฟันบด และเล็บแบน แบบสัตว์กินพืชทั้งหลาย แต่ไม่มีฟันเขี้ยว แหลม และเล็บงุ้มแหลม เพื่อจับและฉีกเนื้อได้เหมือนสัตว์กินเนื้อทั่วไป ๓. ทำไมเมื่อคนได้กลิ่น เนื้อสัตว์สดๆ จึงเหม็น แต่ได้กลิ่น ผักผลไม้ กลับรู้สึกหอม จนอาจน้ำลายไหล เนื้อสัตว์ที่นำมากิน ต้องใส่พืชผักผลไม้ ที่มีกลิ่น ไปกลบกลิ่นเนื้อสัตว์ ๔. ทำไมมนุษย์จึงดื่มน้ำด้วยวิธีดูดเหมือนสัตว์กินพืช แต่ไม่ใช้ลิ้นเลียแบบสัตว์กินเนื้อ (ดูหมา แมว กินน้ำได้) ๕. บางคนคิดว่า ไม่กินเนื้อสัตว์จะไม่มีแรง ลืมคิดไปว่า สัตว์ที่เราใช้แรงงาน ทั้งหลาย ช้าง ม้า วัว ควาย ล้วนเป็นสัตว์กินพืช วิทยาศาสตร์การกีฬา รู้เรื่องนี้มานานแล้ว ใกล้เวลาแข่งขันเขาจะให้นักกีฬา กินเนื้อสัตว์น้อยลง กินพืชผักผลไม้มากขึ้น สมัยนี้ง่ายขึ้น เปลี่ยนมากิน plant-based meat กันมากขึ้นนี่เป็นแค่ตัวอย่าง ยังมีความสลับ ซับซ้อนในความเป็นมนุษย์อีกมากและลืมไม่ได้คือ มนุษย์แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ จึงเลือกที่จะต่อชีวิตตนเอง ด้วยการไม่ทำลายชีวิตของสัตว์อื่นได้ พ่อครูว่า… จริง ไม่พูดซ้ำซากมากแล้วอาตมาพูดมาจนเมื่อยแล้วเรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ ตอนนี้ใกล้เทศกาลกินเจเขาก็เลยเอามาพูดกันบ้าง อาตมาก็ไปตามเขาว่ามา ก็ดี อาตมาก็ใช้การรณรงค์ไม่กินเนื้อสัตว์เป็นธรรมะบทแรก ที่บุกเบิกทำงานศาสนามาจนได้ผลทุกวันนี้ แต่ตอนหลังนี่มาชะงัก ไปธรรมะปรมัตถ์ขั้นสูงไปเรื่อยๆ ธรรมะต้นๆ ก็เลยไม่มีใครเอาถ่าน พวกลูกๆทั้งหลายแหล่ก็ต้องพยายามช่วยกันบ้างนะ _จรรยา ประเสริฐ · เมื่อก่อนไปซื้อผักไร้สารพิษ คนขายบอกว่าซื้อผักไร้สารพิษ คุณก็ยังไปกินหมู ไก่ ปลา กินผักไร้สารพิษก็ไม่มีประโยชน์ ต้องกินมังสวิรัติจึงจะไร้สารพิษ สาธุค่ะ พ่อครูว่า… จึงจะมีสารเต็มที่ไม่ใช่ไร้สาร เขาพูดหมายถึงว่า คุณจะไปซื้อผักไร้สารพิษมากิน แต่คุณยังกินหมูหมากาไก่อยู่ คุณยังกินเนื้อสัตว์อยู่ แล้วจะกินผักไร้สารพิษ ปัดโธ่เอ๊ย ในเนื้อสัตว์ต่างๆแสนจะมีสารพิษ ไปกินผักไร้สารพิษก็ไม่มีประโยชน์ คนที่กินเนื้อสัตว์ต่างๆ มันต้องกินมังสวิรัติจึงจะไร้สารพิษ ไม่ใช่ไม่ได้สารอะไรเลย ถ้าไปกินเนื้อสัตว์อยู่แล้วจะมากินพืชผักไร้สารพิษ มันก็ไม่ได้สารอะไร มันก็ไร้สารอยู่อย่างเก่า พวกคุณกินของสะอาด 10% เสร็จแล้วทั้งวันคุณก็ไปกินของไม่สะอาดอีก 90% แล้วคุณจะไปกินให้มันเสียของทำไม อย่างนี้เป็นต้น _สุนทร วงศ์วรเสถียร . จิต คืออะไรครับ แล้วจิต เป็นอัตตาหรือ อนัตตาครับ พ่อครูว่า…จะตอบสั้นๆ ถ้าตอบยาวก็ไปอีกสัก 50 ปี จิต คือ ธาตุรู้ มันเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ธาตุวัตถุที่ไม่รู้เรื่อง แต่เป็นธาตุรู้ที่รู้เรื่องยิ่งกว่าพืช พืชมีแต่สัญญากับสังขาร แต่ไม่มีเวทนา แต่จิตนี้มีครบหมดเลย มีทั้งรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอัตตาหรืออนัตตา พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ว่ามันเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา แต่คนที่ไม่รู้มีอวิชชามันก็ยังเหลืออัตตาอยู่นั่นแหละ จนกว่าจะเรียนรู้แล้วละล้างเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นยึดถือเป็นอัตตาหมดจากจิตจริงๆ เป็นพระอรหันต์เป็นต้นจึงจะหมดอัตตา _Wanawut Sirisakorn วนวุฒิ ศิริสาคร · กราบขอบพระคุณอย่างสูง ที่พ่อท่านเมตตาตั้งชื่อทางธรรม ผ่านการออกอากาศ หรือ ทางออนไลน์(น่าจะเป็นคนแรก) ให้ว่า “ป่ารุ่ง” กระผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างมากครับ ✨🙏✨/ กราบขอความกรุณาพ่อครู ช่วยบรรยายความหมายของคำว่า “ภพ” , “ชาติ” ในศาสนาพุทธที่ถูกต้องคืออะไรครับ ซึ่งกระผมมีข้อสงสัยมานานและยังเข้าใจแบบโลกีย์อยู่ครับ ✨🙏✨ _สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · ขอบคุณผู้ดูแลค่ายธรรมะอุโบสถศีลออนไลน์ที่ส่ง รก.พุทธศาสนาตามภูมิบ้านราชเมืองเรือมาให้ ไม่งั้นไม่รู้จะเปิดฟังทางไหนได้อีก ทีวีดาวเทียมจานดำก็ยังไม่ได้ซ่อม! _Jaitham Sittinawin ใจธรรม สิทธินาวิน · วันพุธที่ 14 ก.ย.65 ดูพ่อครูเบิกบานมากค่ะ ทำให้รู้สึกสุขใจค่ะ _ช่อทิพ หนูทอง · ดิฉันเป็นแฟนคลับของนายรักษ์ รักพงษ์ ในรายการ เยาวชนคนเก่ง ค่ะ _ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม · เกิดอะไรขึ้น.??.ท่านคมเย็นเห็นหน้าท่านทุกวัน..แต่ 2 วันไม่เห็นท่านขึ้นศาลาตักอาหาร..เสียดายท่านทั้ง 2 รูปนะคะ พ่อครูว่า… ท่านคมเย็นท่านสึกไปแล้ว อีกรูปหนึ่งก็คงหมายถึงท่านแสนจน ท่านลาออกจากอโศกไปแล้ว คนมาขอขมาที่เคยจาบจ้วงชาวอโศกที่เป็นชุมชนโลกุตระจริง _หินเย็น ศิลป์ประกอบ · กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ผู้ที่เป็นสมณะ พรามณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปัณนา เยอิมัญปรัญจโรกัง สยังอภิณญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดบูชา กระผมนายหินเย็นขอโอกาสนี้กราบนมัสการขอขมาท่านสมณะทั้งหลายนักบวชทุกรูปและโดยเฉพาะท่านสมณะฟ้าไท สมชาติโก ที่กระผมได้เคยกล่าววจีกรรมมโนกรรมและกายกรรมที่ไม่สมควร ผ่านมาบัดนี้ กระผมได้สำนึกถึงกรรมบาปนั้นอย่างที่สุดแล้วด้วยจิตแท้ ๆ ณ บัดนี้ของกระผมขอกราบนมัสการขอโทษอย่างสุดซึ้งครับ พ่อครูว่า… อาตมาก็ว่าจะมีคนที่ค่อยๆรู้สึก รู้สึกว่าได้เคยละเมิดได้เคยดูถูกดูแคลนพวกเรามาก่อน แม้แต่ตอนเริ่มต้น อาตมา เขาก็สัมผัสธรรมะอาตมา เขาก็เห็นว่าแตกต่าง เพราะว่าเขาได้เรียนรู้จักกระแสหลักสังคมใหญ่ แล้วมันก็ได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว พออาตมาอุบัติในยุคนี้ อาตมานำของถูกต้องของจริงของพระพุทธเจ้ามาประกาศ มันก็ตรงกันข้ามก็ค้านแย้ง คนที่ยังเชื่อถือตามพื้นเดิมก็น่าเห็นใจ เขาก็ต้องรู้สึกอย่างนั้น มันก็เป็นธรรมดา อาตมาเข้าใจไม่มีปัญหา เสร็จแล้วพอนานมา 40-50 ปีมาแล้ว ไม่มีอคติมากนัก ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นอยู่ ลดลง ศึกษาจริงๆเปิดจิต ปลงวางอคติต่างๆจริงๆก็จะเห็นจริง 40-50 ปีมา ถ้าไม่โง่เกินไป ไม่ปึกเกินไปจนไม่เปลี่ยนแปลง จะเห็นว่า การบรรยายอาตมาก็นำพระไตรปิฎกมายืนยันอธิบายเทียบเคียงหลักทุกอย่างไป ทางโน้นเขาไม่กล้านำเอาพระไตรปิฎกมายืนยันเท่าไหร่นะ แม้แต่ทางพุทธวจน เขาก็ไม่ได้อธิบายอย่างที่อาตมาอธิบาย และก็ไม่ได้มีหมู่มีกลุ่มแบบพวกเราปฏิบัติ ตรงตามที่เขาอธิบายกัน ก็ได้บ้างนิดๆหน่อยๆ บางคน ไม่ได้รวมตัวกันเป็นสังคมกลุ่มใหญ่เหมือนชาวอโศก จนกระทั่งเกิดวัฒนธรรมสังคมจนเกิดหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ อาตมาจึงบอกว่าอัศจรรย์ คนในชุมชนอโศกนี้ ทั้งหมู่บ้านถือศีลทั้งหมู่บ้าน แล้วไม่ใช่พูดเล่นแต่ถือศีลจริงๆด้วย ใครผิดศีลก็ว่ากันเลย ให้เปลี่ยนแปลงปรับปรุง ถือศีลจริงๆ เป็นหมู่บ้านที่ปฏิบัติประพฤติศีล สมาธิ ปัญญา แล้วสมาธิก็เป็น สมาหิโต เป็นสมาธิลืมตา ปฏิบัติด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้า มีเจโตปริยญาณ 16 เกิดสมาธิที่ตั้งมั่น สมาหิโต ด้วยวิธีการเรียนรู้กิเลสราคะ โทสะ โมหะ แล้วลด ราคะโทสะโมหะ เพราะปฏิบัติมีสัมผัสเป็นปัจจัย จึงมีตัวจริงของจิตเจตสิกต่างๆ กิเลสตัวจริงเกิดขึ้น ก็กำจัดกิเลสตัวจริง ไม่ใช่กำจัดกิเลสในสัมภเวสีหลับตา แล้วก็ได้แต่สัญญาความจำ กิเลสก็เป็นตัวผี ตัวสิ่งที่ไม่ได้เกิดจริง เกิดจริงต้องเป็นปัจจุบันธรรม ทิฏฐกาละ ไม่มีปัจจุบัน มันไม่มีของจริง มันเป็นสิ่งที่อยู่ในความระลึก มันเป็นนิรมาณกาย เป็นสิ่งที่คิดเอาอยู่ในความคิด มันเป็นของที่อยู่ในห้วงความคิด มันไม่เป็นของจริง อันนี้ก็เข้าใจไม่ง่ายนะ จะยากอยู่ อาตมาถึงบอกว่า คนที่ไปหลับตาเข้าไปมันไม่มีตา หู จมูกลิ้น กาย สัมผัส พระพุทธเจ้าก็สอน ในพระไตรปิฎกเล่มแรกเลยเล่ม 9 ไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัยไม่มีฐานปฏิบัติ ไม่มีวิญญาณฐีติ มันเป็นจิตสัมภเวสี มันเป็นจิตที่อยู่ในภพชาติไหนๆ ไม่มีที่ตั้งทางหูตาจมูกลิ้นกายใจ ที่เป็นของจริง ล่องลอยตุ๊บป่องอยู่ในห้วงความคิดจินตนาการ ซึ่งมันไม่มีตัวตนเลย มันจับไม่ติด แล้วจะไปเอาจริงกับมันอย่างไรได้ มันเป็นของลอยลม เป็นลมๆแล้งๆอยู่ ต้องให้มีตัวที่สัมผัสได้สิ ยืนยัน อาตมาก็ว่าพูดชัดแล้วนะ พวกนั่งหลับตาคือพวกคว้าลมคว้าแล้ง ไปทำอยู่ทำไม เลิกกันซะที แค่นี้ก็พูดกันไม่เข้าใจ สิปึกสิหนากันฮอดไสหนอ _กราบหลวงปู่ครับ ผมเป็นนักเรียน ม.1 เพิ่งเข้ามาใหม่ สงสัยว่าบางทีก็มีคนทิ้งถุงพลาสติกเล็กๆที่ใส่ขนมสีต่างๆลงตามพื้นตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง เพื่อนๆจะทิ้งทุกวันมั้ย ผมไม่เห็น เห็นแต่ว่ามีขยะพวกนี้ทิ้งอยู่บ่อยๆ บางทีทิ้งทั้งถุงบางทีทิ้งเป็นชิ้นเล็กๆ แถวๆพื้นดินที่ศาลาบ้าง ที่หน้าร.ร.บ้าง บางทีก็ซุกๆไว้ตามกระถางต้นไม้ก็มี การทิ้งขยะไม่เป็นที่แบบนี้ ผิดศีลมั้ย ข้อไหนเหรอครับ ขอบคุณครับ พ่อครูว่า… ช่วยคิดหน่อยซิ สู่แดนธรรม… ทุจริตไม่ทำตามกฎระเบียบ น่าจะขี้เกียจ พ่อครูว่า… ผิดก็แล้วกัน ไม่ตรงกับความดีที่ควรทำ ทิ้งขว้างไปเรื่อยๆเลอะเทอะ ไม่ดี สามัญสำนึก คนเรียนรู้ธรรมะต้องรู้แล้ว นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ พ้นสักกายทิฏฐะ คือพ้นอย่างไร _สู่แดนธรรม… ปัจเจก หมายถึง ความเป็นของส่วนตนที่ประพฤติดี รู้ได้แล้วจะไม่เชื่อใคร ปัจเจก เขาถึงเชื่อตัวเขาเองและเชื่อแต่ครูบาอาจารย์เขา ซึ่งเป็นข้อแรกที่พระพุทธเจ้ากำหนด คนที่จะมาเป็นพุทธบริษัทต้องละทิฏฐิตัวนี้ก่อน คือละ สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิที่เห็นว่า กายเป็นของตน มันรวมความเห็นความยึดมั่นถือมั่นที่ตัวเองมีปัจเจกภาวะ ถ้ายึดว่าตัวตนเป็นนิรันดร์ มันเป็นความยึดถือที่ผิด ต้องมาสลายความยึดถือตัวนี้ให้ออกก่อน จึงจะนับมาเป็นพุทธบริษัทได้ พ่อครูว่า… อย่างนั้นก็ได้ มันต้องเข้าใจให้ครบ อย่างที่ สู่แดนธรรม… อธิบายถึง สักกายทิฏฐิ ในมุมนั้นก็ได้แต่มุมที่สำคัญคือต้องเข้าใจคำว่า กาย ให้ได้ กาย ทุกวันนี้ได้ผิดเพี้ยนมิจฉาทิฏฐิไปหมดแล้ว เข้าใจคำว่า กาย เป็นอุตุนิยามไปเป็นวัตถุ เป็นดินน้ำไฟลม ไม่ใช่ กาย ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กาย หมายความว่าเป็นจิต มีพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กายนี้ ตถาคตเรียกว่า จิตมโน วิญญาณ ใน เล่ม 16 ข้อ 230 กาย มาเป็นภาษาไทย เป็นคำไทยแท้ๆไปแล้วทุกวันนี้ แล้วเขาเข้าใจกาย ในภาษาไทยว่าเป็นสรีระร่างภายนอก ไม่ใช่จิตวิญญาณแล้ว คนตายไปแล้วทิ้งเหลือแต่กายแต่ร่าง ไม่ใช่ คนตายแล้วหมดกายเลย มันออกจากร่าง ไม่ใช่ตายไปแล้วเหลือศพคือกาย ไม่ใช่ กายนี่เป็นธาตุรู้ ก็ยังดี พจนานุกรมบาลี อาตมาก็ยังไม่เห็นว่า เล่มไหนเขาแปลผิด เขายังแปลถูกว่ากายคือ องค์ประชุม หมู่ฝูง ต้องมีองค์ประชุมร่วมกันหลายอย่าง อย่างน้อย 2 ขึ้นไป กายจะเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ กาย จะต้องเป็น 2 ขึ้นไป กาย เป็นแต่เพียงอย่างเดียวเป็นแต่สรีระไม่ได้ และต้องมีธาตุรู้ด้วย ไม่มีธาตุรู้ไม่ใช่กาย แม้แต่ธาตุรู้ระดับพีชะ ก็ยังไม่เรียกว่า กายมนุษย์ เลย พีชะไม่มีกายแล้ว มนุษย์ต้องมีกาย ต้องมีจิตวิญญาณ อันนี้ เขาเข้าใจไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิไปหมดแล้ว ในความหมายของ สักกายทิฏฐิ เข้าใจกาย เป็นจิต มโน วิญญาณ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่เข้าใจตัวนี้ไม่ได้ตัวเดียวไม่มีทางตรัสรู้ คำว่า กายผิดไปแล้วมันไปหมดเลย ศึกษากายกันไม่ได้เลย _สู่แดนธรรม.. พ่อท่านสอนกาย มันเป็นความรู้ที่ควรรู้ให้ถูกขั้นต้นเลย รู้ถูกแล้วต้องมาปฏิบัติให้ถูกด้วย พ่อครู … มันเป็นทั้งตัวต้นและตัวปลายเลย ตัวปลาย ตรวจสอบ กาย ใน วิญญาณฐิติ 7 _สู่แดนธรรม.. บางคนเข้าใจกาย ให้ถูกต้องก็ได้จะบอกว่าพ้นมิจฉาทิฏฐิแล้ว 2 ชั้นเลยชั้นแรกเข้าใจยังไม่ถูก ชั้นที่ 2 คือปฏิบัติไม่ถูก พ่อครูว่า… ปฏิบัติไม่ถูก มันก็เลยไม่ได้เรื่องอะไรเลย เข้าใจก็ไม่ถูก ปฏิบัติก็ไม่ถูก แล้วผลจะไปถูกตรงไหน ปฏิบัติธรรมถึงเป็นโมฆะ น่าสงสารพวกที่นั่งหลับตา ปฏิบัติออกนอกคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิไปหมด ไม่เป็นโลกุตรธรรม มันกลายเป็น เดียรถีย์ โลกียะ ออกนอกรีต นอกศาสนาพุทธ ชื่อว่าคุณเป็นศาสนาพุทธแต่มันเป็นกลองอานกะ ใบที่มันเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไปหมดแล้ว ของเก่าที่ถูกต้องของพุทธเจ้าทิ้งไปหมด ไปเอาของปลอมมายึดถือเป็นของจริงหมดเลย เราพูดเท่าไหร่ๆก็เฉย สู่แดนธรรม… เป็นเพราะเขาเชื่อในปัจเจกภาวะของเขาครับ พ่อครูว่า… ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ไม่เป็นไร อาตมาก็ต้องย้ำอยู่นี่แหละเพราะมันเป็น มันไม่ดีมันไม่ถูก ก็ต้องพยายาม อย่างไรก็ต้องปรับความถูกต้องให้มาหาความถูกต้องให้ได้ ไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะอวิชชาสู่ความเป็นกลางได้ในยุคนี้ _ฟ้าเจือศีล…. การฟังธรรมวันที่ 16 กันยายน เป็นการพูดถึงผลงาน 52 ปีของพ่อท่านที่พากเพียรบากบั่นสร้างมา เป็นผลงานชิ้นยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ไม่มีใครจะเทียบได้ ใครจะเข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ขนาดนี้ พ่อครูว่า… คนที่พูดนี้เรียนมาทางความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ทางบัญชี ทางการเงิน ปริญญาโท _ฟ้าเจือศีล(ต่อ) … ประกอบกับหลัก กาละ เทศะ ฐานะ มีตัวอย่างชัดในอโศก จุดเริ่มต้นจากบุคคลคนเดียวคือพ่อท่านทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากศีลข้อที่ 1 คำสอนที่ว่า หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ คำสอนนี้ ครอบคลุมไปหมดตลอดชีวิตและทุกชีวิตในโลก พ่อท่าน แสดงธรรมเป็นตัวอย่างของความไม่มีตัวตน เป็นตัวอย่างของความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นแบบอย่างในทุกเรื่อง พ่อท่านสอนด้วย การกระทำของท่านเอง โดยไม่บังคับให้ต้องทำตาม พ่อท่านสอนให้มีสำนึกและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดที่เขียนนี้ ไม่ใช่จะตั้งใจ สรรเสริญ ยกย่อง แต่เป็นเรื่องที่ต้องบอกให้โลกนี้รับรู้ว่า “ พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เป็นบุคคลที่โลกต้องรู้จัก” พ่อครูว่า…อาตมาเกิดมายุคนี้เป็นไก่ตัวพี่เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่าท่านเปรียบตัวท่านเหมือนไก่ที่อยู่ในกระเปาะไข่ กระเปาะไข่เหมือนกรอบอวิชชาที่หุ้มห่อคนอยู่ แล้วไก่อยู่ในฟองไก่(ไข่) มันหุ้มลูกไก่อยู่ข้างใน ลูกไก่ตัวไหนเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นตัวแรกลูกไก่ตัวนั้นเป็นตัวพี่ ท่านไม่ได้ยกย่องตัวเอง แต่ท่านบอกว่า ท่านรู้ก่อนใครๆ ท่านไม่ได้ยกย่องตัวเอง ไม่ได้ชมตัวเอง แต่ท่านรู้จักสัจจะนี้ก่อนใครๆเท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นความรู้ที่ออกมานอกกรอบของอวิชชา ออกจากกระเปาะไข่ เป็นโลกใหม่ที่แปลก โลกเก่าเป็นโลกียะ มีแต่ความดีกับความชั่วที่เป็นสมมุติสัจจะ สมมุติกันว่าดีว่าชั่ว ซึ่ง ไม่ตรงกันทีเดียว แล้วแต่กาละ เทศะ ฐานะ ซึ่งไม่เที่ยงหรอก ความดีความชั่วนั้นไม่เที่ยง แต่ความสุข ความทุกข์ นี่เป็นโลกุตระ เป็นคู่เอกของจิตวิญญาณ ที่ชาวเทวนิยมหรือชาวโลกทั้งหลายที่อยู่ใน กระเปาะอวิชชา ไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้ นอกจากไม่ได้เรียนรู้แล้วหลงด้วย หลงว่าสุขนี้นิรันดร เขาไม่รู้ว่าสุขทุกข์เป็นมายา เป็นเรื่องโง่ เป็นเรื่องของมายาศาสตร์ เป็นเรื่องของคนไม่มีภูมิปัญญาแท้จริงแล้ว จะต้องตกเป็นทาสสุข ไม่ชอบทุกข์ แต่ สุขทุกข์มันเป็นสภาพ 1 ใน 2, 2 ใน 1 คุณเอาสุข คุณก็ได้ทุกข์ เหมือนกระดาษสองหน้าพระพุทธเจ้าถึงได้สอนเรื่องทุกข์อริยสัจ บริษัทคือผู้มีปัญญาผู้เป็นอริยะ เข้าใจให้ได้อย่าไปหลงมัน ทุกข์นั่นแหละ เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ก็คือ อวิชชา เป็นตัวโง่ รู้ให้ได้ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้วอย่าไปหลงใหลเสพติดอยู่ในเรื่องเหล่านั้น เพราะฉะนั้นในโลกผู้ไม่รู้มันเยอะ อวิชชามันเยอะแล้ว เขาก็ติดสุขเป็นเทวนิยม ยังไม่ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว มันเกิดเป็นธรรมชาติ เกิดตามสภาพที่เป็น รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ตามความเป็นจริงเท่านั้น มันไม่มีอารมณ์ว่าจะต้องอย่างนี้ชอบ อย่างนี้ชัง คุณชอบคุณชังเป็นอารมณ์ที่คุณสร้างเองทั้งนั้น อะไรมันเข้ามาเผชิญกับเรา เราสัมผัสกับมัน อะไรควรเราก็รับอะไรไม่ควรเราก็ไม่ต้องรับ ตามฐานะแต่ละบุคคล บุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตมีปัญญาลึก ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ควรนั้นก็มีประโยชน์ สิ่งที่ควรนั้นก็คือมีชีวิตอยู่กับสิ่งที่ควร สิ่งที่ไม่ควรก็ ห่างไปเรื่อยๆ แล้วคนไปรับสิ่งไร้สาระมาเป็นสิ่งที่ควร มาเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น มันเยอะเหลือเกินมันโง่ เพราะฉะนั้น ละออกมาเรื่อยๆ อันไหนรู้ก่อนก็ ละออกมาเรื่อยๆ จริงๆ ชีวิตมันนิดเดียว มีปัจจัย 4 มีบริขาร มีเครื่องประกอบใช้บ้าง นิดๆหน่อยๆ เพราะฉะนั้น คนที่รู้ขีดขอบของการมีชีวิตอยู่ จะรู้ว่าไม่ต้องมีมากเลย มีมากมันเป็นภาระ มีมากต้องเก็บงำดูแลรักษาเป็นภาระ ต้องแบกต้องหาม แค่ รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ ภาราหเวปัญจขันธา ขันธ์ 5 ต้องเป็นภาระให้ต้องดูแลมัน ต้องกิน ต้องขี้ต้องเยี่ยว ต้องตื่น ต้องทำงาน ภาราหเวปัญจขันธา หนักหนาสาหัส กว่าจะเข้าใจได้ถึงขนาดนี้ พุทธเจ้าถึงบอกว่า เกิดมายังมีขันธ์ 5 เลย เลิกเถอะจบเถอะ เกิดมาไม่รู้กี่ชาติมาหลงอยู่อย่างนี้ แท้ๆ ถ้าชีวิตคุณจะมีอยู่ต่อไปคุณก็หยุดชั่ว ประพฤติดี นั่นเป็นโลกียะ สองอย่าไปติดในสุขและทุกข์เป็นโลกุตระ แต่เทวนิยมหรือโลกทั้งหลายแหล่นี่ยากที่จะเรียนรู้เรื่องสุข เรื่องทุกข์ แล้วเลิกเรื่องสุขเรื่องทุกข์มาเป็นจิตเป็นกลาง จิตเป็นกลาง เขาไปแปล มัชฌิมาปฏิปทา ว่า ทางสายกลาง ความเป็นกลาง แล้วคุณก็ไปเอา ปฏิปทา มาแปลว่า เป็นทาง ที่จริง ทางเหมือนถนนเดิน แต่ถ้าบอกว่าวิธีปฏิบัติ มันไม่ใช่แค่ถนนเดิน มันคือวิธีที่คุณจะเอามาใช้ปฏิบัติ เพื่อให้ถึงความเป็นกลาง แต่ คุณไปแปลว่าทางเดิน ถนนเดิน คุณก็เดินตรงกลางถนนไป จะไปไหน ต้องไปทางสายกลาง แล้วจะไปถึงไหน ทางสายกลาง แล้วกลางอยู่ตรงไหน เขาก็ว่าเดินอยู่กลาง ถามว่าเมื่อไหร่จะถึง เขาก็บอกว่า เดินอยู่กลางอยู่แล้ว คุณไม่รู้ว่า กลางนี่คือจะต้องไม่มีทั้ง 2 อย่าง ไม่มีทั้งขั้วบวกขั้วลบ กลางคือ nautral คุณต้องมีจิตขั้นนั้น ปฏิบัติ 2 ข้าง มันดูดผลักอะไรคือ กามกับอัตตา ก็มาเรียนรู้หมดกาม หมดอัตตา กามหมดก่อนเหลือ รูปอัตตา อรูปอัตตา หมดอีก จบจ้อย ไม่ได้มาเรียนรู้ความเป็นกลางอย่างว่านี้ เพราะฉะนั้นแม้แต่ความเป็นจริงเท่านี้ก็เข้าใจไม่ได้ มันก็เลยปฏิบัติไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่แปล ซึ่ง มันน่าเห็นใจเหมือนกัน มัชฌิมาปฏิปทา ไปแปลว่าทางสายกลางนี่ มันก็เลยไปกันใหญ่เดินอยู่ที่ตรงกลางและไปไหนไปทางสายกลาง แล้วอธิบายประกอบด้วยนะว่าเหมือนพิณ 3 สาย อย่าไปหลงเส้นต่ำ อย่าไปหลงเส้นสูง อ้าว แล้วให้ดีดแต่สายกลาง แล้วจะเป็นเพลงได้อย่างไร ดีดสายเดียว _สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยอธิบายว่า ไม่ว่ามันจะสายหย่อนหรือตึงสายไหน ทุกสายก็ขันให้มันตึงหมดนั่นแหละ ให้ได้สมดุล พ่อครูว่า… ให้ได้สมดุลและดีดทุกเส้น เรียนรู้ทุกอย่างรอบถ้วน ไปเลือกเอาหน่อยๆส่วนหนึ่ง เท่านั้นไม่พอไม่ได้ไม่ครบ สังขารในปฏิจจสมุปบาทคืออะไร มาอธิบาย ปฏิจจสมุปบาท เด็กก็เข้าใจให้ได้ อย่างไรอย่างไรก็จำเป็นต้องท่อง ปฏิจจสมุปบาทมีตัวอะไรบ้าง จำเป็นต้องท่อง Have to ต้องท่อง ๑. เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยโง่ๆ จึงก่อสังขารโง่ๆ . ๒. อาศัยสังขาร(๓) จึงเป็นเหตุแก่ วิญญาณ(๖) . ๓. อาศัยวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ นามรูป . . . ๔. อาศัยนามรูป เป็นปัจจัยแก่ อายตนะ(๖) . ๕. อาศัยอายตนะ เป็นปัจจัยแก่ ผัสสะ(๖) ๖. อาศัยผัสสะ เป็นปัจจัยแก่ เวทนา(๖) . . ๗. อาศัยเวทนา๖ เป็นปัจจัยแก่ ตัณหา ๖ . ๘. อาศัยตัณหา๖ เป็นปัจจัยแก่ อุปาทาน ๔ . ๙. อาศัยอุปาทาน๔ เป็นปัจจัยแก่ ภพ ๓ (กามภพ, รูปภพ, อรูปภพ) ๑๐. อาศัยภพ เป็นปัจจัยแก่ ชาติ ๕ (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) ๑๑. อาศัยชาติ เป็นปัจจัยแก่ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ . โทมนัสสะ และอุปายาสะ (พตปฎ. เล่ม ๑๖ ข้อ ๒) อายตนะ 1ใน2 2ใน1 สัมผัสกันและปรุงแต่งกัน ก็คือสังขาร และสังขารนั่นแหละก็คือเวทนา สัมผัสกับอะไรอยู่ก็สัมผัสข้างนอก สัมผัสกับดินน้ำไฟลม สัมผัสกับสัตว์ สัมผัสกับสิ่งของ อะไรต่างๆ แล้วมันก็เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เป็นภพ เป็นชาติ มีคนอยากให้อธิบายภพชาติ ฟังดีๆ เริ่มต้นตั้งแต่ อวิชชา แปลว่าความไม่รู้ ไม่ใช่ว่า ไม่รู้ว่าทำป่นทำแจ่วทำอย่างไร เตะฟุตบอลเข้าโกลทำอย่างไร ไม่ใช่ไม่รู้อย่างนั้น แต่คือไม่รู้ในสัจจะที่สำคัญยิ่ง คือไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท คำว่าไม่รู้ อวิชชาคำนี้ ไม่ใช่เอาไปขยายความทั่วไปหมด เช่น ไม่รู้วิธีเตะบอลเข้าโกลก็อวิชชา ไม่ใช่ ไม่รู้วิธีทำแจ่ว ทำป่น ทำลาบคืออวิชชา ไม่ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้วิธีโกง คืออวิชชา มันไม่ใช่อย่างนั้น อวิชชาคือ ไม่รู้ในเรื่องของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม… พ่อครูว่า… คำว่า สิริมหามายา คำว่าไม่มีนั้น ไม่มีอะไร ไม่มีตัวตน ต้องเข้าใจการลดละตัวตนตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ไป _สู่แดนธรรม… เมื่อกี๊คำถามที่เด็กถามว่า ทิ้งขยะไม่เป็นที่ผิดศีลข้อไหน แล้วพ่อครูยังนึกไม่ออกค่ะ ท่านอ.๑ ฝากบอกว่า น่าจะผิดศีลข้อ ๕ ค่ะ เพราะเป็นนิสัยขี้เกียจทิ้งขยะให้เป็นที่ เป็นอบายมุขข้อหนึ่งค่ะ พ่อครูว่า… อวิชชาคือตัวไม่รู้ ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท ตัวเริ่มต้นคือ ไม่รู้จักสังขาร สังขารคือการปรุงแต่ง คำว่าปรุงแต่งเป็นศัพท์วิชาการขึ้นมา มันมีอะไรมาสังเคราะห์สังขาร ปรุง ทำงานร่วมกัน ประชุมกันอยู่แล้วมันก็ทำงานร่วมกัน มีปฏิกิริยาร่วมกันเรียกว่าสังขาร คุณเอาน้ำมา แล้วเอาน้ำตาลมา เอาเกลือ เอาซีอิ๊วมาเทปนกันคนกัน เรียกว่า สังขาร เด็กๆฟังเข้าใจไหม ? คุณเอาน้ำมา เอาน้ำปลามา เอาน้ำส้มมา แล้วมาเทปนกันเข้าไป เอามาคนรวมกันมันก็สังขารร่วมกัน ปรุงปนร่วมกัน _สู่แดนธรรม… เมื่อก่อนผมเข้าใจว่าสังขารคือร่างกายของเราเท่านั้น พ่อครู ว่า…คนเข้าใจอย่างนั้นเยอะ ก็ต้องบอกว่า กายสังขาร คือเน้นภายนอก แต่ การสังขารคือการปรุงแต่งของจิตเป็นหลัก แม้กายสังขารก็จิตเป็นหลัก มีภายนอกและภายในและทิ้งภายในไม่ได้ และต้องมีภายนอกเป็นกายสังขาร และไม่แยกกันด้วย กายสังขารไม่แยกกับจิตด้วย นี่คือ ความเข้าใจที่ยาก เพราะคนยังมีรูปกับนาม ยังมีวัตถุกับจิต กายไม่ใช่วัตถุนะ ไปเข้าใจว่ากายเป็นวัตถุนั้นมิจฉาเลย กาย ไม่ใช่สสาร จะเรียกว่าเป็นพลังงานก็เป็นพลังงานที่มีธาตุรู้ประกอบ สังขาร 3 กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร (จิตสังขาร) มันปรุงแต่งแสดงออกมา ทางข้างนอกเป็นท่าทาง เป็นเสียง เป็นคำพูด นัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็เรียกว่า วจี ท่าทางก็มีการเคลื่อนไหวมือไม้ เนื้อตัว เหลือคำพูดกับเสียง ก็เรียก วจีสังขาร เหลือแต่ในจิต จิตปรุงแต่งกันอยู่ เป็นตัวประธานให้ทำ วจีสังขาร กายสังขาร ไม่แยกกัน เป็นแต่เพียงว่า คุณระงับมันชั่วคราว แต่การระงับมันชั่วคราว ก็คือ การไม่เคลื่อนไหว ปัสสัมภยังกายสังขารัง ทำให้สงบกาย คุณไม่เคลื่อนไหวก็ทำให้มันสงบกายก็ไม่ผิดเป็นของเดียรถีย์ ตื่นๆๆ ภาวะที่เห็นกิริยากันภายนอกทั้งนั้นไม่เคลื่อนร่างข้างนอก ไม่เคลื่อนไหวร่างข้างนอก กายระงับ แต่ความหมายของพระพุทธเจ้านั้น กายระงับ หมายถึงกิเลสมันไม่มีในจิต ที่มาทำให้ร่างภายยนอกออกทางสรีระ ทั้งเคลื่อนไหวทางสรีระด้วย ท่าทางด้วย วจีด้วย โดยมีมโนหรือจิตเป็นประธาน บังคับให้ทำ เป็นตัวประธานเป็นตัวให้ทำ มันไม่แยกกันนะ เพราะฉะนั้นถ้าจิตมันสั่งเฉยๆ มันบริสุทธิ์ แต่ถ้าจิตมันมีกิเลสมาเป็นตัวเจ้าเรือน มาเป็นตัวใหญ่ เป็นตัวบังคับ แล้วกิเลสมันเก่งกว่ามโนของคุณอย่างเก่งเลยเนี่ยคุณก็เป็นทาสมันตลอดเวลา การปรุงแต่งการแสดงออกมาทางกายกรรม วจีกรรม มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน กิเลสมันก็เป็นหัวหน้าใหญ่ให้ทำอยู่ตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้าง ธรรมดาเมื่อไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาเลย ก็กิเลสเต็มตัว สั่งให้ทำตามที่ต้องการทุกอย่าง เพราะฉะนั้นสังขารทั้งหลายจึงเป็นพิษเป็นภัยที่มีอวิชชา เป็นตัวหัวหน้าใหญ่ของชีวิต สังขารที่แสดงออกจึงเป็นภัยโดยไม่รู้ตัว แล้วทำตัวเองให้เป็นภัย ไม่รู้เรื่องเลยว่าชีวิตทั้งชีวิตของพวกที่ไม่ได้เรียนรู้ ที่จะเป็นเจ้าโลกกันอยู่นี่ _ สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอก นักสังขารปรุงแต่งโลกให้วุ่นวายมากที่สุดคือใคร คือนักออกแบบ พ่อครูว่า… นักออกแบบ เขาออกแบบอะไร ออกแบบอาวุธออกแบบการสร้างอำนาจ นี่ เป็นนักสังขารที่เลวร้ายที่สุดในโลก แล้วเขาก็ยังทำอยู่ด้วยความไม่รู้ด้วยอวิชชาอยู่ นั่นคือคือนักสังขาร เดี๋ยวนี้เต็มไปหมดไม่ว่าใครต่อใครยิ่งใหญ่ทั่วโลก พูดตรงนี้แล้วอาตมาระลึกถึงอังกฤษ อังกฤษเคยเป็นประเทศที่บ้าล่าอาณาจักร เป็นประเทศที่พื้นที่ไม่ใหญ่แต่สามารถล่าอาณาจักร บ้ามาเก่า แต่ทุกวันนี้เขาสำนึกแล้ว คืนไป เหลือไว้นิดหน่อยๆเพราะประเทศเขาไม่มาก เขาก็เลยมีบ้าง แต่ประเทศที่เขายอมรับ ยอมรับต่อ King ต่อ Queen ต่อกษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็ไม่มีปัญหาเต็มใจที่จะเป็นอาณานิคม เขาก็เป็นอยู่ทุกวันนี้ เขายอมรับนับถือว่ามีคุณธรรมสูง ที่นี้ทางมนุษยชาติ ดีขึ้นทางเรียกว่าโลก แต่ไปหลงทางอัตตา ทางนามธรรม กลายเป็นเรื่องนามธรรม พิธีกรรม จะเห็นได้ว่าอย่างอังกฤษ ทางโลกเขาดีขึ้นมากเลย ไม่ไปรุกรานไม่ไปบ้าบอเหมือนประเทศอื่นๆแล้ว เพราะสำนึกแล้ว ก็เลยไปหนักทาง อัตตาทางศาสนา ทางศาสนา ทางอัตตาของเขานี่ อาตมาเห็นพิธีการของควีน น่าสงสาร เป็นภาระขนาดนั้น ข้าราชการทั้งประเทศ ต้องมีกิจร่วมอันนี้ทั้งหมดเลย ทั่วประเทศ แล้วก็โอ้โห มีรูปแบบมีพิธีการอะไรต่ออะไร น่าเห็นใจ เหน็ดเหนื่อย แค่พูดก็เหนื่อยแล้ว พูดไม่หมด ขอสรุปเองนิดหน่อยว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้สิ่งที่สุดยอด ถ้าจะรู้ดีหมด ถ้าจะอยู่ก็อยู่ดีหมด สุดท้ายอนัตตาแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย สู่แดนธรรม… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin19 กันยายน 2022Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับที่ ๕๓๙(๕๖๑) นสพ.ข่าวอโศก ฉบับปักษ์แรก กันยายน ๒๕๖๕NextNext post:650921 ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024