660329 การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1P1_Po1t2kTeDv3RioO6WG8dHAICJeTIU/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1hFQsLs37L0xiSecxT0zeEsmOF66uvsd0/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/92hUPjXTcaM
และ https://fb.watch/jzYtuos5Ek/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เทศนาที่ชั้น 3 อาคารศูนย์สูญ
วันก่อนได้ฟังพ่อครูพูดถึงคนเราตกเป็นทาสของเงินๆทองๆ มีอุปมาของท่านดาไลลามะไว้อย่างน่าคิดว่า มนุษย์เรานี้ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อที่จะให้ได้เงินมา ทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอน ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อให้ได้เงินมา แล้วก็ต้องยอมสูญเสียเงินตราเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ และเฝ้าเป็นกังวลกับอนาคตจนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆคือเขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบันหรือแม้กระทั่งอยู่ในอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาไม่เคยมีวันตาย และเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิต
เหมือนคนปัจจุบันดิ้นรนหาเงิน ถามว่าหาเงินไปทำไมก็เพื่อส่งไปธนาคาร กู้มาเยอะแยะ ส่วนแก่ตัวมาก็กู้เงินมาเพื่อส่งโรงพยาบาล ชีวิตนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หาเงินเพื่อส่งธนาคารกับส่งโรงพยาบาล ก็เลยตายอย่างไม่เคยมีชีวิต
เห็นบางคนร่ำรวยในเมืองไทยที่รวยมากๆ คุณโทนี่คิดว่าจะกลับมาติดคุกหลังการเลือกตั้ง เพราะเขาเทียบเคียงว่า ผ่านมา 6-7 ปีอยู่ต่างประเทศ เสมือนกับติดคุกใหญ่ ที่ติดคุกใหญ่เพราะว่าไม่ได้ไปอยู่กับลูกกับเมียกับครอบครัวเลย ดังนั้นถ้าจะมาติดคุกเล็กก็คิดว่า หลังเลือกตั้งก็จะมาได้ แต่คุณจตุพรบอกว่าคุณพูดอย่างนี้มา 7-8 ครั้งแล้ว คุณโกหกมา 7-8 ครั้งแล้วจะมาโกหกต่อ
แต่ที่เขาว่าชีวิตเขาติดคุกก็น่าจะติดเหมือนกัน เงินหลายแสนล้านที่โกงไป ไม่เคยทำให้เขาอยู่กับปัจจุบันหรือมีชีวิตน่ารื่นรมย์เลย เขาพยายามเอาเงินมาปล้นประเทศไทยแสวงหาอำนาจให้ได้ร่ำรวยต่อไปอีก ชีวิตของเขาดิ้นรนยอมเสียสุขภาพทุกอย่าง ยอมเสียสุขภาพทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน
คนรวยก็จะทำทั้งความเลวและความโง่เป็นความไม่รู้จบ วันนี้เรามาเรียนเศรษฐกิจโลกุตระเพื่อให้วิ่งไปหาเศรษฐกิจที่รู้จบ จะได้ช่วยเหลือคนอื่นได้อีกด้วย พ่อครูก็พูดทุกมุม ทั้งเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และการเมืองเพื่อให้แต่ละชีวิตรู้ความจบของแต่ละชีวิต วันนี้เราคงจะได้มาฟังสัจจะจากพ่อครูต่อ ขออาราธนาพ่อครูครับ
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกคน
SMS วันที่ 27 มี.ค. 2566
เงินที่ได้มาโดยสุจริตไม่เบียดเบียน มีหรือไม่
_ดวงกมล ก้อนทอง · เงินที่ได้มาอย่างไม่เบียดเบียนและสุจริตมีได้ไหมเจ้าค่ะ เพราะโลกียะยังต้องใช้อยู่เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… เข้าใจนึกจนกระทั่งอาตมา ต้องคิดเหมือนกันนะว่าเงินที่มันได้มาอย่างไม่เบียดเบียนและสุจริตนี้มีได้ไหม เพราะโลกียะยังต้องใช้อยู่ ที่จริงโลกุตระเขาก็ใช้เงิน แต่ว่าเขาก็ใช้อย่างสบายแล้ว ไม่ต้องไปกังวลเรื่องเงินมากนักไม่ต้องไปวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ
คนโลกุตระอย่างสังคมชาวอโศก เป็นคนที่เห็นอดีตเป็นเครื่องชี้ทุกข์ เป็นคนที่เห็นอดีตเป็นเครื่องชี้ทุกข์ และก็ไม่กังวลกับอนาคต อยู่กับปัจจุบันที่สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ เอ๊.. จริงไหมนี่ อาตมาพูด เป็นลมๆแล้งๆ ฝันเพ้อไปหรือเปล่า …โยมว่าจริง
สังคมไหนหนอเป็นอย่างนี้ สังคมหมู่กลุ่มมนุษยชาติ ชุมชนที่มีอย่างนี้มีด้วยหรือ ..โยมว่ามี มีอยู่ที่ไหน อยู่ที่ชาวอโศก เป็นสิบๆแห่งหลาย 10 แห่งอยู่
ที่นี้เงินที่ได้มายังไม่เบียดเบียนและสุจริตนี้มีได้ไหม มี ท่านเรียกโดยศัพท์วิชาการว่า ลาภที่ได้มาโดยธรรม ลาภธัมมิกา คือ เรามีสิทธิ์ในข้าวของ ที่จะเอาไปแลกเปลี่ยนหรือขายให้ได้เงินแลกเปลี่ยนมา ของนั้นเป็นของเราโดยสิทธิของเราอย่างแท้จริง ไม่ได้ไปเกี่ยวโยงคนนั้นคนนี้ แม้แต่จะเป็นญาติพี่น้อง เป็นญาติโกโยติกา มันชัดเจนว่าเป็นอิสระของเราเด็ดขาด เราก็ขายได้
เงินนั้นได้มา 1. ขายได้ และต้องขายอย่างอย่าไปเอาเปรียบ ถ้าจะเป็นความสุจริต ต้องอย่าไปเอาเปรียบ ขายเท่าทุนและต่ำกว่าทุน เงินนั้นจะสุจริต ถ้าคุณขายเกินทุน ไม่สุจริตแล้ว ฟังให้ดีๆ จะมีคนทำไหมอย่างนี้ … มี
คนที่ขายอย่างนี้ได้ก็เพราะว่า เราทำงานนี่นะ อย่างชาวอโศกเราปฏิบัติ เราขายของไป ของที่ขายเราผลิต หรือแม้แต่เราไปซื้อของคนอื่นมาก็ตาม เราไม่ได้คิดค่าแรงงาน ดีไม่ดีเราไม่คิดค่าโสหุ้ย แล้วเราก็ขายไป ขายขาดทุนหรือขายเท่าทุน นี่เป็นเงินสุจริตได้แน่นอน จะว่าไปแล้วมีเสียสละอยู่ในนั้นแล้ว
นี่เป็นการพิสูจน์คนว่า คนอยู่ในโลกนี้จะเสียสละค่าแรงงานของเราโดยเราไม่คิดเลย นี่แหละคือของแท้สุจริต คนขยันมาก สร้างสรรค์ผลผลิตได้มากๆ หรือว่ามีคุณภาพดีๆ แต่เราขายของที่ราคา แทนที่จะโก่งราคาแพงเพราะของเราดี..ก็ไม่ เราขายราคาอย่างต่ำกว่าราคาตลาดด้วย นี่คือนักเศรษฐกิจชั้นหนึ่ง หรือนักเศรษฐกิจชั้นสูง
ระบบทุนนิยมคิดไม่ออกหรอก เขาจะไม่ประพฤติอย่างนี้ เขาก็รู้นะพูดจริงๆเขาก็ไม่ได้โง่จนกระทั่งไม่รู้ว่าอันนี้มันดี ที่จริงมันไม่ใช่ดีเท่านั้นนะ มันเป็นการลดกิเลสตัวตน ลดกิเลสการเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงด้วย แต่เขาคิดเรื่องอย่างนี้ไม่ออก เขาไม่เห็นคุณค่าของการลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว เขาไม่เห็นว่าอย่างนี้ราคาแพง การลดกิเลสได้หรือการไม่เห็นแก่ตัวนี้ราคาแพงกว่าอย่างนับไม่ถ้วนเลย ในความเป็นชีวิตมนุษย์ที่เกิดมา จะรู้หรือเปล่า
ยิ่งมีความรู้ถึงขั้นมีปรมัตถธรรม อ่านจิตตัวเองได้เลยว่า เราลดลงได้ตามที่เราเข้าใจไหม จิตของเรารู้เลยว่าเราได้ลดกิเลสและเราได้เสียสละ เราขาดทุนของเราให้แก่สังคม ขาดทุนของเราคือเราได้ จะเรียกว่ากำไรก็ได้จะเรียกว่า “ได้” ก็ได้ เราได้ประโยชน์เราได้สิ่งที่ควรได้ ถ้าคนเข้าใจอย่างนี้ ชีวิตมีหวังนิพพาน จริงนะ มีหวังนิพพานเลย ไม่ใช่มีหวังแบบธรรมดาง่ายๆ
อ่านรูปนามจากสติปัฏฐาน 4 จนถึงโพธิปักขิยธรรม
_แว๋ว อำนาจ · ลูกพยามเรียนรู้อ่านรูปนามสติปัฏฐาน ๔ อยู่แทบทุกขณะค่ะ วิบากลูกยังเยอะค่ะ ขอเพียรปฏิบัติอยู่ข้างนอกก่อนนะคะ
พ่อครูว่า… จะปฏิบัติอยู่ข้างนอกหรือปฏิบัติอยู่กับหมู่กลุ่มชาวอโศกก็ตาม ถ้าปฏิบัติถูกต้อง เข้าใจทฤษฎีของพระพุทธเจ้า วิธีการที่ถูกต้อง คุณใช้คำว่า พยายามเรียนรู้ อ่านรูปนาม แล้วก็มีคำว่าสติปัฏฐาน 4
ก็ขอขยายคำว่า รูปนามกับสติปัฏฐาน 4 ให้เข้าใจกันขึ้นอีก แถมให้
รูป คือ สิ่งที่สัญญา เจตสิกของเราอันหนึ่ง มันทำงานกำหนดรู้ ฟังให้เข้าใจเป็นพื้นฐานดีๆนะ รู้รูปที่เห็นด้วยตา รูปที่ได้ยินด้วยหู รูปที่ได้กลิ่นด้วยจมูก รูปที่ได้รสทางลิ้น รูปที่มีกายสัมผัส เรียกว่า โผฏฐัพพะ สัมผัสภายนอก เราก็รู้รูปนั้น
คนที่มีประสาทครบทั้ง 5 ทวาร ได้สัมผัสกับรูปภายนอก แล้วก็เกิดรูปภายใน รูปภายในก็เป็นนามธรรมของเรา นี่คือรูปนาม คนจะต้องรู้รูปนาม คนรู้รูปนามคือคนที่รู้จักวิญญาณ
ถ้าคุณเองคุณคิดไม่ออก ไม่มีความรู้ คุณก็จะแยกรูปแยกนาม หรือแยกภายนอก แยกภายในไม่ออก เรียกว่า 2 อย่าง แยกไม่ออกก็เรียกว่า อายตนะที่อวิชชา มันรวมอยู่ในนั้นเป็นหนึ่ง เป็นอายตนะที่อวิชชา
เพราะฉะนั้นผู้ใดที่สามารถแยกรูปแยกนามออก และก็แยกสิ่งที่มันเป็นอายตนะนี่แหละ มันมีทั้งภายนอกมีทั้งภายใน เชื่อมกันอยู่ต่อกันอยู่ไม่ได้ขาดจากกัน พอมีตาสัมผัส รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภายนอกแต่ละคู่แต่ละคู่
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน เป็น 2
แล้วคุณก็สามารถที่จะไม่งมงายกับ 2 นี้มั่วเลยเป็น1 ไม่งมงายแล้ว มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สามารถมีประสิทธิภาพเลยแยกออก ว่าอะไรเป็นภายนอกอะไรเป็นภายใน อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
ลึกเข้าไปกว่านั้นผู้มีสติปัฏฐาน 4 จะพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ฟังให้ดีนะต่อเนื่องกันนะ มีความรู้รูปนามแยก 2 สภาวะ แยกภายนอกภายในออกแล้ว
ก็จะมาพิจารณากาย คำว่ากายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน คนที่เข้าใจว่า กายมีแต่เพียงภายนอกไม่มีภายใน มิจฉาทิฏฐิ คนที่เข้าใจว่ากายมีแต่ภายในไม่มีภายนอก ยิ่งมิจฉาทิฏฐิหนักเลย
กายมี 2 สภาวะเสมอ และคำว่า กาย นั้นจะต้อง ภายในหรือจิตวิญญาณ จิต มโน วิญญาณ เป็นประธาน สำคัญที่ประธาน และไม่ขาดกันนะกับภายนอก ไม่ขาดกับวัตถุภายนอกที่เราสัมผัสอยู่ด้วย
เมื่อเข้าใจกายแล้ว แน่นอน คำว่าภายนอกกับภายใน ต้องมี 2 ใช่ไหม เมื่อกล่าวว่ากายในกาย มันก็ต้องมีกายนอก โดยปริยาย ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เมื่อคุณมีใน คุณก็ต้องมีนอก คู่กันเสมอ
เมื่อสัมผัสกายแล้วจึงพยายามเน้นเข้าไปหาใน ในเชื่อมต่อโยงเข้าไปตัวที่จะเรียนรู้ต่อคือ เวทนา คือความรู้สึกหรืออารมณ์
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถแยก กายิกเวทนาได้ แยกเจตสิกเวทนาได้ เวทนามี 108 อันนี้เป็นคู่ที่ 1 มี 2 แยกได้ กายกับจิตไม่ได้แยกกัน แต่ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์บริบูรณ์ มีภูมิปัญญาสามารถมีสติสัมโพชฌงค์ สามารถมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ฝึกเรียนภาคเรียนสัมผัสแล้วแยกได้
เมื่อแยกออกแล้วเวทนาในเวทนา รู้แล้วว่าเวทนาแยกได้เลยว่ามันมีเวทนาแท้กับเวทนาเก๊อีก แล้วเวทนาเก๊นั้น แยกเข้าไปอีกถึงจิตในจิต เพราะทำไมมันเก๊ มันต้องมีอะไรมาทำให้เก๊ ก็คือจิต จิตอวิชชา จิตโง่ๆ จิตที่ไปหลงราคะ โทสะ โมหะ ไม่รู้จักการทำให้ราคะลดหรือไม่มี โทสะลดหรือไม่มี โมหะลดหรือไม่มี ตามหลัก เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ไม่สามารถทำได้
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่รู้เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุอรหันต์ ไม่มีสิทธิ์ คุณจะรู้ชัดเจนเหมือนอย่างอาตมาพูด ตามตำราตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าเลยนะ อาตมารู้ชัดรู้ความรู้ทุกตัวละเอียด แม้คุณไม่รู้ได้เก่งเท่ากับอาตมา คุณก็ต้องแยกแยะได้อย่างน้อยตระกูล 3 กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
แล้วสามารถรู้มันบ้าง มันไม่คมไม่ชัดมันไม่แม่นเท่าไหร่ก็ตาม แต่รู้ถูกตัวมันบ้าง แล้วเวลาปฏิบัติคุณก็ทำราคะให้มันลดได้ ทำให้โทสะ ทำให้โมหะมันลดได้ เป็นลำดับไป ตามที่ท่านไล่ เจโตปริยญาณ 16 ซึ่งมีแต่ละคู่ๆ ไปตั้งแต่ สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ มหัคตะ อมหัคตะ สอุตระ อนุตระ สมาหิตะ อสมาหิตะ วิมุติ อวิมุติ
ผู้สามารถบรรลุพยัญชนะความหมายของมันได้ เข้าใจแล้ว แล้วสามารถปฏิบัติ ภาษาก็รู้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่รู้ภาษาดีพอ มันละเอียด คุณก็ทำละเอียดไม่ได้ อรหันต์ไม่ใช่ได้แค่หยาบๆ อรหันต์ต้องละเอียด
เพราะฉะนั้นต้องมีโพชฌงค์ 7 สำคัญ มีโพธิปักขิยธรรม 37 ถูกต้องบริบูรณ์ แล้วคุณต้องมีโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นหลักแกนใหญ่แล้วก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ด้วยอิทธิบาท
เวลาปฏิบัติก็ใช้สัมมัปปธาน 4 สังวรปธาน ปหานปธาน
สังวรปธานคือ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ต้องสำรวมสังวรณ์อินทรีย์ 6 นะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา แล้วก็แยกมีธัมมวิจัยแยกกิเลสได้ ประหารกิเลสได้เป็นปหานปธาน พากเพียรประหารกิเลส
ผลถึงจะเกิดเรียกว่า ภาวนาปธาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วก็ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันมิจฉาทิฏฐิแท้ นั่งภาวนาพุทโธเป็นมิจฉาทิฏฐิแท้ ไม่ได้มีสัมมัปปธาน 4
เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ ไม่มีกาย นั่งหลับตาแล้วกายไม่มี ไม่มีเวทนาจะเชื่อมไปหาจิตไปหาธรรมะไม่ได้ ไม่มี อิทธิบาท 4 พากเพียรหลับตา แล้วก็บอกว่านั่งจนก้นแตกก็แตกตายฟรีๆด้วย ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรเลยด้วย นอกจากไม่ได้มรรคได้ผลแล้วยังได้อวิชชา ได้มิจฉาทิฏฐิ ติดไป ตายไปแล้วก็งมงายลงนรกไป นรกก็คือที่ไม่ผุดไม่เกิดง่ายๆ ไปรับวิบากที่มันเป็นวิบากที่ไปสร้างอะไรต่ออะไร ทุกข์ๆร้อนๆไปในภพไหนก็แล้วแต่
แม้แต่เกิดมาเป็นคน ได้ร่างคน ก็จะทุกข์ร้อนเป็นนรก ตายไปแล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่าไปลงนรกแบบไหน แต่มาเกิดเป็นคนก็มีวิบากที่มันผิดพลาด มันเป็นผลวิบากบาป
คนที่เอาแต่นั่งหลับตาไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ไม่ได้มีประโยชน์คุณค่ากันกับมนุษย์ นั่งเอาเปรียบเอารัดกินสิ่งที่เขาเอามาถวาย เหมือนกินเหล็กแดงเผาไฟ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น เหมือนกินเหล็กแดงเผาไฟ อย่างน้อยต้องมาสัมผัสๆแล้วตัวเองจะได้เรียนรู้
-
ก็ได้เกี่ยวได้ข้องกับผู้อื่นเขา ให้เขารู้เขาเห็นว่าเราเองเรามีความรู้ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้ามีสัมมาทิฏฐิ พอพูดได้บ้างอธิบายได้บ้าง สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร ก็ต้องพอพูดพออธิบาย แม้พูดอธิบายไม่ได้ ก็พยายามพากเพียรศึกษาให้ตัวเองมีความรู้ ไม่อย่างนั้นก็จะไปอธิบายภาวนาปธานผิด