🌿 พ่อครูเทศน์ที่ภูเฮาก่อนพิธีกล่าวปฏิญาณสัจจาธิษฐานเป็นโพธิบูชาของลูกๆ งานอัฏฐาริยสัจจายุ 💦
พ่อครูว่า… 13 ก.พ. 2566 ขณะนี้ 7.25 น. กำหนดว่า 8 โมง 8 นาที อาตมาจะบรรยาย จะเทศน์ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง 8 โมง 8 นาที อาตมาก็พูดนำไปแล้ว 7.45 น. ท่านเดินดินถึงได้ตั้งสัจจาธิษธาน เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ยังมีเวลาที่มันเสร็จก่อน ที่ทุกอย่างจะเกิด พวกเราก็ตื่นเต้น ตื่นตัวเสร็จก่อน ทำอะไรก็เรียบร้อยก่อน ก็เลยเกิดช่องว่างของเวลาขึ้นมา
อาตมาก็ใช้เวลานี้กล่าวก็แล้วกัน เวลานี้เรากำลังเข้าสู่พิธีที่อาตมา
จะอายุ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน อาตมาเกิด แรม 8 ค่ำ เดือน 7 ปีจอ ก็มา
ถึงวันนี้ก็อายุยาวมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ไม่เสียชาติเกิดที่อาตมาเกิดมา
ชาตินี้ ไปเสียเวลาอยู่ในโลก 36 ปี รู้ตัวแล้วก็รีบเลิกทางโลก ทิ้งไม่
แยแสทางโลก ทิ้งไม่แยแสเลย รีบมาทำหน้าที่ มาทำกิจที่ชัดเจนว่า เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว คนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เมื่อพระองค์รู้ตัวเองในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 อายุ 35 ปี พระพุทธเจ้ารู้ตัวปุ๊บ ท่านจากบัดนั้น ก็ดำเนินงานหรือว่ามีชีวิต ทำงานนำโลกุตรธรรม มาประกาศแก่โลกทันที ไม่ยุ่งงานอื่นอีกเลย
อาตมาก็เช่นเดียวกัน เห็นความสำคัญของโลกุตรธรรมอย่าง
แน่แท้ มนุษย์เกิดมาไม่ได้โลกุตรธรรมนั้น จะเวียนตายเวียนเกิดอยู่
นานนับชาติอยู่ในสังสาราวัฏอย่างน่าสงสาร ไม่รู้ทุกข์รู้สุข วนอยู่
นั่นแหละ ไม่มีทางที่จะหยุดหยั่ง ทำชั่วทำดี มันไม่เที่ยง หยุดอย่าง
ไงมันก็ยาก ถ้าไม่เจอโลกุตระของพระพุทธเจ้า ถึงจะหยุดชั่วเด็ดขาด
เด็ดแม้กระทั่งตายเกิดต่อชาติใหม่ ก็ไม่ทำชั่วอีก หยุดชั่วได้ข้ามชาติ
เลย ของพระพุทธเจ้านี่เป็นธรรมะที่เด็ดขาด เกิดอีกกี่ชาติก็ไม่ทำชั่ว
อีก
สัพพปาปัสสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา เพราะได้ชำระจิตจากต้นเหตุคือ สมุทัย อริยสัจจ์ ได้ล้าง เป็นการได้รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ล้าง กิเลสออก ถูกเนื้อถูกตัวกิเลสมันหมดไปเกลี้ยงด้วยวิธีการกำจัดด้วยฌาน ด้วยบุญ ด้วยไฟ พลังงานที่เรียกด้วยภาษาไทยว่า พลังงานที่ร้อนสลายเป็นอุณหธาตุ เผากิเลสสลายหาย 0 ได้จริง
นี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ที่เป็นสิ่งที่สุดยอดแล้วที่คนจะค้นพบความจริงสุดยอด ไม่มีอะไรจะเหนือกว่านี้แล้ว จนกระทั่งสุดท้ายปฏิบัติตน
ตามสูตรของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะบรรลุอรหันต์ เป็นความสำเร็จ เป็นการจบกิจเบื้องต้น ต่อจากนั้นก็จะเรียนรู้อีกโลกทั้งโลกที่จะมีอะไรซับซ้อนอยู่ในความเป็นโลกหมุนเวียนซับซ้อน เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อน ของพลังงานของชีวิต ของพฤติกรรม ของพลังงานโลก พลังงานของสังคมมนุษชาติ
ซึ่งทุกวันนี้คนในโลกต้องการพลังงานเป็นเจ้าโลก เขาต้องการพลังงานเป็นเจ้าโลก เขาแย่งกันอยู่ทุกวันนี้ แย่งกันจะเป็นเจ้าโลก เพื่อจะมีอำนาจแห่งพลังงาน พลังงานของคนไม่พอ ไปสร้างวัตถุ ไปสร้างระเบิด ไปสร้างปรมาณู ไปสร้างอะไรต่ออะไรเอามา ช่วยตนเองเพื่อเป็นคนที่จะรวบรวมเป็นเจ้าพลังงานที่จะมีฤทธิ์ มีแรง ข่ม ปราบให้ทุกประเทศยินยอมสยบได้ เขาก็ได้ทำกันไป
พระพุธเจ้าตรัสรู้ อ๋อ.. ชีวิตจะทำไปทำไมสิ่งเหล่านั้น ท่านกลับมองเห็นตรงกันข้าม แทนที่จะไปหาเรื่อง ทำร้ายกัน รังแกกัน ฆ่ากัน แย่งอำนาจกัน มาให้เสียดีกว่า ให้เลย ให้ชีวิต ให้กำลังกาย ให้ความรู้ ให้ความเมตตา แก่สรรพสัตว์ในโลก แม้เขาจะฆ่าเรา เราก็ยังเมตตาเขา สงสารเขา เราตาย ถูกเขาฆ่าตาย ก็ยังมีแต่จิตที่ไม่ได้พยาบาทอาฆาตอะไร เห็นแต่ความไม่รู้ อวิชชาของเขา ก็สงสารเขาหนอ
เขาจะต้องตกระกำลำบากด้วยวิบากที่เขาได้ทำ หมุนเวียนอยู่ในโลกนี้เป็นหนี้บาปเขาอีก เพราะเขาทำของเขาเอง เราไม่ได้ไปแช่งเขา ด่าเขา ถือสาอาฆาตมาดร้าย จองเวร จองกรรม ไม่เลย แต่กรรมเป็นอันทำ กรรมเป็นวิบาก กรรมพากำเนิด กัมพันธุ กัมโยนิ กัมมปฏิสรโณ ของเขาจริงๆเลย กรรมจึงเป็นใหญ่ที่สุดในโลก กรรมจึงเป็นจริงยิ่งกว่า GOD หรือพระเจ้า นี่เป็นความตรสรู้ของพระพุทธเจ้า
กรรมยิ่งใหญ่กว่า GOD สุดยอดที่สุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษา เรียนรู้ เรียนรู้พลังงาน ระดับอุตุ พลังงานระดับดินน้ำไฟลม พลังงานสสาร สสารพลังงานต่างๆ แล้วก็เรียนรู้พลังงานระดับพืชและพีชะ และเรียนรู้พลังงานระดับจิต จิตนิยาม และนำพลังงานนั้นมากระทำ เรียกว่า กรรมโยนิ มากระทำกรรมด้วยตนเอง เป็นกรรมต่างๆด้วยตนเองกระทำเอง กรรมนิยาม แล้วให้เกิดสภาพทรงไว้ อาศัยเรียกว่าธรรมะ กรรมธรรมแล้วก็เกิดผล เป็นเครื่องอาศัย แต่ละผู้แต่ละคนได้ทำ ก็จะได้รับอาศัย ให้ตนเองได้อาศัย
กรรมปฏิสรโณ ท่านตรัสรู้ทุกอย่างครบ สิ่งเหล่านี้แล้วเอามาประกาศให้คนอื่นรู้ตาม จนกระทั่งทุกวันนี้ ศาสนาพุทธ 2,500 ปีเสื่อมไป ความรู้ที่เป็นสัจธรรมผิดเพี้ยน เสื่อมไปผิดเพี้ยน กลายเป็นเดียรถีย์
ผิดเพี้ยน เป็นความรู้โลกียะ เป็นความรู้เละเทะ จนกระทั่ง น่าสงสารศาสนาพุทธ อย่างที่กระแสหลักเขาเป็นอยู่ทุกวันนี้ เขาก็ยังงมๆครำๆ น่าสงสาร แล้วก็หลงว่าตัวเองนี่ จับได้ รับเอาได้ความถูกต้องเอาไว้ ที่จริงเป็นความผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง น่าสงสาร นอกจากส่วนตัวบุคคลสำหรับกลุ่มหมู่เขายึดแล้ว กลุ่มหมู่ของกระแสหลัก เถรสมาคม เป็นต้น
เขายึดแล้วว่าอย่างที่เขานับถือจากครูบาอาจารย์ ถ่ายทอดมาผิดๆนั่นน่ะ ผิดนี่แหละคือถูก แล้วเขาก็ยึดความผิดนี่เป็นถูกอยู่ ช่วยยาก ส่วนบุคคลมีปฏิภาณ ปัญญา สามารถที่จะหยั่งรู้ความจริงว่า เราจะไปงมๆคลำๆ ตามคณะกระแสหลักที่หลงผิดกันเป็นหมู่ เป็นกลุ่มอย่างนี้ไม่ไหว ก็ส่วนตัว ผู้ใดจะพยายามขวนขวาย ฟังโพธิรักษ์ สาธยายเอาไปศึกษา อันใดเห็นว่าดี เป็นธรรมวาที ก็เอาไปปฏิบัติตาม ก็จะได้พิสูจน์ความจริงว่ามันเป็นความละหน่ายคลาย ดับกิเลสได้จริงๆแท้ๆ
ขอยืนยันว่านอกจากทางนี้ ที่อาตมาพูดนี้ เอเสวะมัคโค นัตถัญโญ ไม่มีทางอื่น ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น เป็นของพระพุทธเจ้า ว่าอาตมาขอยืนยันว่าอาตมาไม่ใช่เป็นผู้ปลอม ไม่ใช่เป็นผู้มาหลอกล่อ แต่เป็นผู้ที่นำความจริงเข้ามาประกาศในยุคนี้ มีอาตมานำความจริงนี้มาประกาศ
เพราะฉะนั้น คนที่มีปฏิภาณปัญญา สามารถรับความจริงนี้ได้ ก็ได้ ก็แต่ละคนนะ เป็นของแต่ละคนเป็นผู้ตัดสินเองว่าเราเห็นจริงว่ามันจริงไหม ไม่มีใครตัดสินให้ ไม่มีผู้พิพากษาคนใดจะอาจหาญมาตัดสินให้แต่ละคนแต่ละคน ตนเองเป็นผู้ตัดสินเอง เป็นผู้พิพากษาเอง สุดยอดเองแล้วก็นำรับ ยอมรับแล้วก็นำมาปฏิบัติเองได้เอง รู้แล้วไม่ปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดผลจริงไปตามลำดับ ตั้งแต่ต้นกลางปลาย จบ ถ้าไม่สามารถที่จะรู้จักธรรมะตามลำดับ มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ละเอียดลออยิ่งกว่าฝั่งทะเลที่ลาดลุมเนียนเหมือนกระจก ฝั่งทะเลที่เรียบราบ จะมีคลุกครัก มีเม็ดทรายยังไง มันก็ราบที่สุดเท่าที่มันจะราบได้
อาตมาทำงานมาถึงลงหลักปักราก ลงที่ราชธานีอโศกดินแดนนี้นี่
ตั้งแต่เป็นดินแดนที่เป็นพื้นนาเน่าๆนี่ มีอุ่มไม้พื้นนาแดดเปรี้ยงๆ ไม่มีไม้ใหญ่ไม่มีอะไรเลย เราก็ค่อยๆมาบูรณะขึ้นมา ทำอย่างนู้น ทำตรงนี้ ทำให้มีแปลงผัก มีลำธาร ที่เดินที่ไปที่มา มีเนินเขา มีภูเขา มีเนินดิน มีอะไรต่ออะไรจนกระทั่งเป็นรูปเป็นร่างจนถึงทุกวันนี้ ช่วยทำคนไม้คนละมือนะ คนนั้นทำตรงนี้หน่อย คนนั่นทำตรงนั้นมั้ง ก็มีศิลปิน เรียนมาทั้งนั้นไม่ว่า คมคิด ไม่ว่า เปียหม่อง ไม่ว่า ไม้ร่ม ไม่ว่าใครๆที่ได้ร่วม ที่อาตมาไม่ได้ออกชื่อก็ตาม ก็ช่วยคนละไม้คนละมือ คนละนิดคนละหน่อย คนละมาก คนละมากๆก็มี จนกระทั่งเกิดรูปเกิดร่างเป็น
ราชธานีอโศก เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาตามลำดับๆยังไม่จบนะรูปร่างราชธานีอโศก มันจะรูปร่างอย่างไงสมบูรณ์แบบ อาตมาก็ยังไม่รู้มันจะสมบูรณ์แบบเมื่อไร แต่มันก็ไปเรื่อยๆ ความไม่เที่ยง มันเจริญๆต้องถือว่าเจริญ ไม่ได้เสื่อมอะไร อีกหน่อยคนจะมาดูมาเห็นว่า อาตมามองอย่างไม้ร่มเนี่ย เขามีการสร้างนะ ก่อสร้างด้วยมือคนนะ แต่มันมีเนื้อธรรมชาติ ด้วยมือคนทำ แต่มันรูปของธรรมชาติ ส่วนศิลปินส่วนใหญ่เขาเนรมิตกัน น้ำมือคน แต่มันไม่เป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติดัดจริต เป็นธรรมชาติแปลง มันไม่เป็นธรรมชาติ แต่ไม้ร่มเขามีมือคนที่ปนๆธรรมขาติมือคนที่เป็นธรรมชาติ มันออกมา พอเข้าใจไหมความหมายอันนี้ มันไม่แข็งกระโดกกระเดก ไม่จัดเรียงแถวเหมือนทหารแข็งปึบอะไร มันไม่ใช่ มันผสมผสานกลมกลืน มีอันนั้นผสมอันนี้ มีดินน้ำไฟลม พืชพันธ์ุธัญญาหาร
อาตมาจะพูดด้วยภาษาโลกๆว่ามีความสุขมาถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเอ็นโดฟีนก็เยอะ ก็หลั่ง ก็มากขึ้น เป็นสารสุข สารสด สารที่จะทำให้ชีวิตร่างกายแข็งแรงขึ้น และไม่ทรุดไม่เสื่อมนี่เป็นความแท้จริง เพราะฉะนั้นก็พยายามอยู่ ในความรู้ที่พอพูดคร่าวๆนี้ ว่าตัวเองจะต่ออายุขัยได้มัเหตุมีปัจจัย ไม่ใช่อยู่ๆดีๆเอาอะไรมาบันดลบันดาล มันไม่ใช่ มันมีเหตุปัจจัยทั้งรูปทั้งนาม ที่ทำให้เราอายุยืนยาวได้ แล้วพวกเราเนี่ย ชาวอโศกเนี่ยอาตมาขอพูดเอาไว้เลยว่าที่มีอายุยืนยาวเกินกว่าที่ควร
รุ่นพวกเราจะอายุยืนยาวได้เกินกว่าที่ควร มันควรตายแต่มันยืดไปอีกได้ดีกว่า รุ่นต่อจากพวกเราไปนี่รุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นต่อจากไปอีก ก็จะแข็งแรงขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นในอนาคตข้างหน้านี่แก่นแกนของชาวอโศกจะเป็นแก่นแกนของเหล่าหมู่ชนอายุยาว เหมือนกับพวกชาวหรรษา
พวกชาวหรรษาเขาเป็นพวกอายุยาวโดยสายศรัทธา เป็นอายุยาวโดยสายศรัทธา เป็นพวกอยู่เขาอยู่ป่า แล้วเขาก็อยู่กันอย่างธรรมชาติของเขา ก็เลยอายุยืนยาวได้ โดยธรรมชาติของมัน แต่พวกเรานี่พวกปัญญา จะอายุยาวได้เป็นคนเมือง ไม่ใช่เป็นคนป่าเหมือนพวกหรรษาคนป่าคนเขา ไม่ใช่ แต่เราเป็นคนเมืองที่อายุยาวได้ จะยาวได้แล้วมีความเจริญงอกงามแล้วมันจะต่างกันกับคนสายศรัทธา สายมิลักขะ พวกเราเป็นพวกอาริยกะ เป็นพวกอาริยกะ เป็นพวกเจริญ ไม่ใช่พวกเถื่อน มิลักขะยังเป็นคนเถื่อนๆอยู่ จะไม่เหมือนกันจะมีสิ่งที่ปรากฏได้เอามาเทียบเคียงได้ว่ามันต่างกันอย่างไร
อาริยกะ มิลักขะ ต่างกันอย่างไร พวกตระกูลคนเถื่อนกับตระกูลคนเจริญ อย่างพวกชาวอโศกเนี่ยเป็นคนเจริญ มาทุกวันนี้มา มิกเจอร์ มันผสมส่วนระหว่าง ปัญญากับศรัทธา ชาวอโศกมีทั้งปัญญาและศรัทธา 2 ส่วนครบ แต่ใช้ปัญญานำศรัทธา ชาวอโศกเนี่ยมี 2 ส่วนครบ ไม่ใช่เป็นพวกศรัทธาจัดเฉยๆ หรือเป็นพวกปัญญาเกินเลยสุดโต่ง ไม่ใช่ แต่เป็นพลังของศรัทธาและปัญญาอันได้สัดส่วนที่มีปัญญานำ อย่างพอเหมาะพอดี อย่างพอเหมาะพอเจาะ ปโหติ อย่างพอเหมาะพอเจาะ ปโหติ อย่างดีด้วยซ้ำส่วนดีที่สุด
เพราะงั้นจึงนำพามนุษย์ชาติ นำพาการสร้างพฤติกรรมของความเป็นมนุษย์ที่เป็นอาริยะ อาตมาไม่ใช่ศัพท์ว่าอารยะหรืออริยะ เป็นโลกุตระแท้ๆจริงๆที่ถูกต้อง ไม่ใช่โลกุตระเก๊ โลกุตระปลอม หรือโลกุตระหลอกๆลวงๆพรางๆ หรือโลกุตระดัดจริต ไม่ใช่ เป็นโลกุตระแท้ โลกุตระเพียวๆ บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีอะไรป่นปลอมเลย ไม่ว่าเศษธุลีละอองผสมหรือแม้แต่กิเลสความอยากโอ่อยากอวดผสมก็ไม่มี มีแต่ความจริงกับความจริงล้วนๆสดๆใสๆเต็มๆ เพราะฉะนั้นพวกเราเนี่ยเป็นคน ชาวอโศกเนี่ยเป็นคนนำ นำสัจจะบริสุทธิ์แท้ ที่เป็นคุณสมบัติ เป็นคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ควรมีควรได้ เป็นกลุ่มแรก ณ ขณะนี้แหละ ขณะยุคพระพุทธเจ้าอุบัติ ก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ
ยุคนี้อาตมาเป็นผู้นำ เพราะไม่มีใคร อาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้า
แต่อาตมาก็นำของพระพุทธเจ้ามาประกาศลงไปในโลกยุคนี้ โลกทั้งโลกอย่าว่าแต่เมืองไทยเลย เมืองไทยนี่แหละนำโลกทั้งโลก พูดอย่างนี้เหมือนมาเบ่งใหญ่ ทำโอ่อวด พวกเราเนี่ยเป็นพวกนำโลกตรงที่ว่าเป็นพระพรหม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์ชาติ เป็นผู้มีเมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา 4 หน้า พรหม 4 หน้า ที่แท้จริง
มีเมตตา มีความสงสารเป็นพื้นฐาน ก็คือ ผู้รู้จักสังสารวัฏฏ สงสารเนี่ยเป็นผู้รู้จักความเป็นสงสารเต็มรูป แล้วก็รู้จักการหมุนเวียนของชีวิต หรือกรรมวิบาก ที่หมุนเวียนอยู่เรียกว่า สังสารวัฏฏ แล้วก็นำพากัน ช่วยกันกระทำเรียกว่า กรุณา
เมตตารู้จักสงสาร แล้วลงมือกระทำ กรุณา ทำจนสำเร็จ เห็นความจริงตรวจความจริงได้แล้ว ถูกต้องดีแล้ว ยินดีด้วยที่สิ่งดีนี้เกิดจริงเรียกว่า มุทิตา เป็นมุทิตาจิต เสร็จแล้วก็จบ
มุทิตา อุเบกขา จบ ทำจิตวางปล่อยสะอาด ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีเราทำไม่มีเขาได้รับผลอะไร ทุกอย่างเสร็จแล้วจบแล้วในตัว เหลือแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ของจิต ไม่มีเรา ไม่มีเขา 2 ส่วน ไม่มีบวก ไม่มีลบ ไม่มีอะไรเป็นใครของใครยึดมั่นถือมั่นเลย เป็นสูญภาพอย่างสมบูรณ์ สุนทรียะ สูงสุด อย่างนี้เป็นต้น
ในความเป็นคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่สูงสุดที่มนุษย์พึงมีพึงได้ ผู้ที่เรียนรู้ รับถ่ายทอดมา อย่างอาตมาเป็นต้น ก็นำเอาความสูงสุดพวกนี้ มาต่อยอดหรือมาต่อทอด สืบทอดเท่าที่มันจะรับมาได้ แล้วก็เอามาประกาศเผื่อแผ่ให้คนอื่นรับต่อได้ สุดความสามารถกันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
พวกเรามีกระหย่อมหนึ่ง คน 7,000 พันล้านกว่า มีเท่านี้แหละเป็นยอดปีระมิด เท่าที่พวกเรามีเนี่ย แล้วพวกเราเป็นชาวอโศกอยู่ในชุมชนอื่นๆทั่วไป กระจายอยู่ในประเทศไทย ตอนนี้ก็ซูมอยู่ ซูมกันรับฟังหรือว่าถ่ายทอดที่อาตมากำลังพาดำเนินการ มีกรรมกิริยาที่จะประพฤติออกไปอยู่ขณะนี้ ก็มีอยู่เท่านี้ในโลกทั้งโลก
ในโลกลูกนี้ทั้งโลกที่มีมนุษย์ชาติ ก็มีชาวอโศกทำอยู่กระหย่อมนี้
ประกาศอยู่ พยายามจะแพร่ไปตามประสา ประสาชาวอโศกเรา ไม่แพร่อย่างชาวโลกเขาแพร่ ชาวโลกก็แพร่ลัทธิของเขา แพร่ความรู้ความเห็นของเขา แพร่เป็นจะแผ่อำนาจด้วย เป็นพลังแรงๆใหญ่ๆด้วย เป็นพลังแรงๆใหญ่ๆอย่างที่เขาทำ หนักเข้าบังคับ ข่มขู่คนอื่นให้ยอมรับ ให้ยอมเชื่อ ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ของอาวุธ เขาก็ทำกันไป พวกเราไม่ อิสระเสรีภาพที่สุด ใครที่จะมีปฏิภาณปัญญารับรู้ รับเอง ได้เอง ไม่ได้เอง รับผิด รับถูกเอง เป็นอิสระเสรีภาพสูงสุดเลย
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสรเสรีภาพสุดยอด เทวะนิยมนั้นไม่มี
พระเจ้าริบอิสระเสรีภาพไปหมด คนทุกคนเป็นทาสพระเจ้า พระเจ้าจึงเป็นเจ้าริบอิสระเสรีภาพของมนุษย์ไปหมด แต่ของศาสนาพุทธไม่มีใครริบอิสรเสรีภาพของเราไป เราเป็นเจ้าของเราเอง เราเป็นเจ้าของอิสรเสรีภาพของเราเอง จะเป็นจะตาย จะดีจะชั่ว จะปรินิพพานหรือไม่ปรินิพพานได้ เราเองเท่านั้น กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ นี่สุดยอดแห่งสุดยอดแล้ว เหมิ๊ดควมเว่าแล่ว