660324 จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9เคล็ดวิชา พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1cvwh_yULxSn2wJgX63rtxremci9ca_YT/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1p_kHMT40tQ-r4QqdcmAaYarMR9k2SG4S/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/GDQJ44bdB_0 และ https://fb.watch/jtmBIn52sv/ สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ รายการพุทธศาสนาตามภูมิแสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตอนนี้ หากเราฟังธรรมพ่อครูจะได้เป็นจอมยุทธมีเคล็ดวิชาอยู่ 9 ประการ ต้องฝึกให้ได้ครบเคล็ดวิชาจึงจะได้เป็น จอมยุทธที่สมบูรณ์ มีข้อที่ 5 บอกว่าเป็นผู้ที่เสียสละเป็นปกติของชีวิต อยู่บ้านราช จะมีงานให้เสียสละเป็นปกติ ตอนนี้มีให้ไปทำหอมที่บ้านราชช้อป ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไปช่วยตัดแต่งหอม หรือใครอยากห้อยโหนโจนทะยาน มีมะพร้าวให้ไปเก็บที่สวนไวพลัง อีกหน่อยจะมีแตงโมให้ไปช่วยเก็บอีก งานปลุกเสกวันที่ 5 ถึง 11 เมษายน ก่อนงานก็มีค่ายยอส. เด็กมาทุกพุทธสถานเลย และมีงานตลาดอาริยะ 13-15 จอมยุทธมีเท่าไหร่ขนมาให้หมด มาช่วยกันแจกกันจ่าย อุดมสมบูรณ์สมกับเป็นจอมยุทธที่เป็นผู้ที่เสียสละเป็นปกติของชีวิต สำนักนี้จะอยู่กันอย่างสาธารณโภคี อยู่กันอย่างเป็นคนจน แปลกดีนะเป็นคนจนแต่แจก ใจเสียสละเป็นปกติของชีวิต โลกเขาจะเข้าใจไม่ค่อยได้ เป็นคนจนแต่แจก แต่เสียสละ เขาเป็นคนมีแต่จะเอาแต่จะได้ แต่เรามีแต่จะให้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะปรินิพพาน วันนี้ก็มาฟังพ่อครูต่อที่จะฝึกให้เราเป็นจอมยุทธโลกุตระที่สมบูรณ์ พ่อครูว่า… เจริญธรรม บรรยากาศถึงจอมยุทธต่อไป ก็คุยกับ SMS ก่อน SMS วันที่ 22-23 มี.ค. 2566 ฆราวาสด้วยกันจะกราบไหว้กันด้วยความเคารพถูกหรือไม่ _ติดดิน นาวาบุญนิยม · น้อมนมัสการพ่อครับ มีญาติธรรมถามผมว่า เหมาะควรอย่างไรที่พฤติกรรมของหัวหน้าพรรคฯให้ลูกศิษย์กราบไหว้บูชาเหมือนกราบไหว้สมณะสิกขมาตุ ผมก็ตอบญาติธรรมไปว่า ก็มันบังคับกันไม่ได้หรอกวาสนาบารมีเค้าทำกันมา…..พ่อช่วยตอบให้ด้วยนะขอรับ กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้า พ่อครูว่า… การกราบไหว้การกราบเคารพกันมันเกิดขึ้นด้วยจิตวิญญาณที่เขาเคารพกันอย่างที่ติดดินเขาว่า เรียกด้วยภาษาง่ายๆ มันเป็นวาสนาบารมีก็ใช่ ไม่ใช่ว่าไปซื้อเอาตามห้างขายยามา หรือ ไปซื้อตามห้างสรรพสินค้า อะไรใหญ่ๆโตๆ มันไม่มีขายหรอก ก็สั่งสมมาแต่ละคน มันก็เป็นไปได้ และคนที่จะไปกราบเคารพเขานี่ คนทำให้คนกราบเคารพได้มีอยู่ง่ายๆก็ 2 นัย นัยหนึ่งก็ หลอกลวงเขาหาวิธีการที่จะทำให้เขาหลงใหล ยิ่งมีคนที่งมงายในเรื่องลึกลับในเรื่องเทพเจ้าในเรื่องเทวดาผีสางอะไร แบบไสยศาสตร์ magical ที่มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เขาก็เคารพกันนับถือกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธศาสนาอะไรหลายๆศาสนา แม้แต่ศาสนาเทวนิยมอื่นๆเขา ถึงขั้น นับถือกัน อาจารย์พาฆ่าตัวตายก็ฆ่าตัวตายกันเป็น ร้อยๆคน ฆ่าตัวตาย ตามกันไป เขายังถึงขนาดนั้นเลย มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณศึกษาให้ดีๆ ส่วนที่ถูกต้อง ส่วนที่เป็นสัมมาทิฏฐิมันก็มี เพราะฉะนั้นคนที่ควรเคารพได้ เป็นโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้มาบวชมาเป็นนักบวช ตามพิธีการบวช เขาก็มีคุณธรรมเป็นอาริยะ เป็นโพธิสัตว์ แม้แต่เรียกว่าเป็นอรหันต์ก็มี แต่คนไม่ค่อยสนใจอาตมาก็ไม่ค่อยอยากจะพูดเพราะมันยากเกินไป ภูมิธรรมมันเลยอรหันต์ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ระดับ 8 กันไปได้ มันก็ต้องเป็นฆราวาสมาก่อน ทีนี้ไอ้เรื่องที่จะมาเป็นนักบวช ที่มีพิธีการ ที่จริงมันเป็นเพียงเปลือกสมมุติให้คนชัดเจนแล้วก็เคารพกันง่ายนับถือกันง่าย มันก็ดีกว่า มันมีทั้ง 2 ส่วน ทั้งความเป็นจริงกับสมมุติ แต่อันโน้นมันมีความเป็นจริง สมมุติมันเป็นอีกแบบ เป็นฆราวาสอย่างนี้เป็นต้น คนก็งง มันซับซ้อน เป็นฆราวาสเหมือนกับเรา อะไรวะ ..ดีอะไรกันนักหนา มันก็ลบหลู่กันได้ เพราะฉะนั้นก็คนที่ไม่รู้เขาก็ยังไม่มีภูมิปัญญาอะไรมากมายนัก มีปัญญาตื้นๆหรือมีความรู้ตื้นๆ ก็เป็นธรรมดา ความไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องทักท้วงก็ไม่เป็นไรก็บอกกล่าวกัน แก้ไขกันไป นักการเมืองกับนักธรรมะต้องเป็นคนคนเดียวกันได้ _สินพุทธ สุขพูล · กราบนมัสการ พ่อครูฯ ครับ ผมเห็นบางคน คอมเม้น เรื่อง อย่าเอาศาสนาไปยุ่งเกี่ยว กับการเมือง คนที่พูดแบบนี้ น่าสงสารนะครับ ไม่รู้เลยหรือว่า ศาสนาจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะการเมืองในระบบ ทั้งในอดีต และ ปัจจุบัน ที่ผ่านมานั้นที่ผมเห็น มันเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน เละเทะ มีแต่ทำการ เมืองเป็น อาชีพ มีแต่เห็นทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ที่จะเสียสละนั้นแทบไม่เห็นเลย ในเรื่องคุณธรรม แทบไม่มีเลย ผมว่า ศาสนาไปแก้ไขได้ครับ ไปแก้ได้ ให้คนทำการเมือง ให้นักการเมืองมี มีคุณธรรม แต่ทำไมคนที่คอมเม้นพูดในเรื่อง อย่าเอาศาสนาไปยุ่งการเมือง คนประเภทนี้ ต้องใช้เวลา เปลี่ยนความคิด มิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ทำความเข้าใจเสียใหม่อีกหลายภพหลายชาติหรือเปล่าครับ เพราะเป็นความเห็นที่ผิดอย่างมหันต์ ค่อนข้างมาก ผมไม่เห็นด้วยเลย เขาคิดได้ยังไงว่าศาสนาไม่ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอถามพ่อครูฯ ครับ คนที่คิดแบบนี้ต้องไปเปลี่ยนทัศนคติอีกหลายภพหลายชาติไหมครับ กราบนมัสการ พ่อครูฯ ครับ พ่อครูว่า… อาตมาจะไปตอบเรื่องอะไรเขาจะคิดอย่างไร ก็คงจะต้องตอบว่า เขายังไม่รู้อยู่ เขายังโง่อยู่ เขายังนึกว่าคนที่เป็นธรรมะก็อย่างหนึ่ง คนที่เป็นการเมืองก็อีกอย่างหนึ่ง แต่เขาไม่คิดว่าคนการเมืองคนธรรมะนั้นคือคนเหมือนกัน และก็เป็นคนสังคมเดียวกัน เพราะฉะนั้นในคนเหมือนกันนี่ ก็มีการเมืองกับมีธรรมะอยู่ในตัวคนเดียวกันได้ และมันต้องมีด้วย พยายามศึกษาดีๆทำความเข้าใจ อาตมาเข้าใจนะที่คุณถามมานี่ เพราะว่าสังคมไทยนี่แหละ เมืองอื่นอะไรอื่นเขาจะว่ากันอาตมาไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องของต่างประเทศเท่าไหร่ คนไทยนี่ศาสนาพุทธในเมืองไทยนี่แหละ พยายามแยกพยายามแบ่งว่า ผู้บวชนักบวชอย่าไปยุ่งกับการเมืองเขา อาตมาก็เข้าใจเห็นใจเขาเหมือนกัน เพราะว่านักบวชของเขา มันยังตื้น ยังไม่มีภูมิธรรมอะไร ถ้ามาเจอนักการเมืองที่เขี้ยวลากดินก็ดึงเข้าไปเป็นเครื่องมือ ก็เสียพระเสียศาสนาเสียธรรม เขาก็เลยกันเอาไว้ ดูเหมือนทางเถรสมาคมประกาศไว้ว่า พระอย่าไปพูดเรื่องการเมืองอย่าไปเกี่ยวเรื่องการเมืองมันเป็นอย่างนั้นด้วย..ก็ดี ป้องกันไว้เพราะว่า พระในเมืองไทยแย่และอ่อนแอ เข้าไปยุ่งกับการเมืองไม่ได้ เพราะนักการเมืองเขี้ยวลากดินจริงๆก็เสร็จเขาหมด เขาก็กันเอาไว้ก็เป็นการป้องกันที่ดี แต่ผู้ที่เข้าใจแล้วและมีภูมิธรรมพอแล้ว ก็สามารถที่จะไม่ว่าจะเป็นพระด้วยกันจะเป็นนักการเมือง ก็สามารถทำธรรมะเอาธรรมะใส่ลงไปในนักบวชก็ตามฆราวาสนักการเมืองก็ตาม ให้เขาได้ เพราะว่ามีอุตระมีโลกุตระ มีความเหนือที่เขายังไม่มีที่จะให้เขาได้ นี่ก็เป็นไปตามสัจจะ _จนแท้ บุญคุ้มมาจน · ช่วงนี้การสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยของภาคใต้คึกคักมากครับ.ญาติธรรมภาคใต้และจอส.พวธ.บำเพ็ญกันเข้มข้นมากครับ _จรรยา ประเสริฐ · ข่าวบอกว่า ลุงนายกตู่เราโดดเดี่ยว ไม่มีใครมาจับคู่ด้วย ดิฉันว่าดีแล้ว พิสูจน์ว่า ลุงตู่สู้อย่างโดดเดี่ยวทางการเมือง ส่วนพ่อท่าน ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวทางธรรม กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า… เรากำลังพูดถึงจอมยุทธ จอมยุทธนี้โดดเดี่ยว มีเคล็ดวิชาที่ 1 คือป้องกันตนเองได้ จอมยุทธน่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล จะมีผู้ที่ไปสมทบเองไม่มีผู้สมทบก็ไม่มีปัญหาอะไร และถ้าสามารถแสดงว่า โดดเดี่ยวได้ ทำคนเดียวก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร คนอื่นจะมาสมทบอีกทีหลังก็เขาก็ต้องรู้แล้วว่านี่เป็นจอมยุทธ เขาจะมาขอเรียนเคล็ดวิชาด้วยเท่านั้นเอง เป็นธรรมชาติ การเมืองที่เป็นธรรมะมีแนวทางอย่างไร ทำไมต้องมีพรรคการเมืองด้วย _ณดวงกมล เสงี่ยมพงษ์ … การเมืองที่เป็นธรรมะ มีแนวทางอย่างไรคะ แล้วทำไมต้องเป็นพรรคการเมืองด้วยคะ … พ่อครูว่า…ขออธิบายคร่าวๆนิดๆหน่อยๆพอสังเขปก็แล้วกันนะ ที่เป็นศาสนาเทวนิยมหรือศาสนาพระเจ้า การเมืองของเขาก็มีคนนั่นแหละที่เป็นนักการเมือง แล้วตัวคนเขาจะมีธรรมะ มีคุณธรรมนั่นเอง มีธรรมะและคุณธรรมอยู่ในตัวของเขาเท่าไหร่ เขาจะขวนขวายพยายามที่จะศึกษาธรรมะ พัฒนาตนเองให้มีคุณธรรมให้มีธรรมะขึ้นมาอีก มันก็อยู่ในตัวบุคคลเขา ศาสนาอื่น เขาก็ทำ เขาก็เป็น เขาก็มี ศาสนาพุทธมีแน่นอน เพราะคนต้องมีคุณธรรมหรือต้องมีธรรมะ ธรรมะที่เป็นคุณ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นโทษ คุณธรรมก็คือ ธรรมะที่เป็นคุณ ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นโทษ ก็ต้องพยายามรู้ว่า ธรรมะที่เป็นโทษมันเป็นอย่างไร ธรรมะที่เป็นคุณมันเป็นอย่างไร ก็ต้องทำทางคุณธรรมไม่ใช่ทำทางโทษธรรม นี่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่ชัดเจน ใช้พยัญชนะประกอบการอธิบายก็จะเข้าใจได้ชัดเจน แล้วทำไมต้องเป็นพรรคการเมืองด้วย พรรคการเมืองมันเป็นเรื่องของสมมุติโลกที่เขาจำเป็น จริงๆแล้วพรรคการเมืองมันเป็นธรรมชาติ มันไม่ต้องตั้งหรอก มันมีทิฏฐิหรือมันมีความเห็นร่วมที่ตรงกัน เขาก็ไปรวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่ อาตมาว่าดูเหมือนนะ ดูเหมือนจะเคยผ่านๆว่า แม้แต่อเมริกาเขาก็ไม่มีกฎหมายว่าบังคับว่าจะต้องตั้งพรรคการเมืองนะ เขาก็รวมตัวกันขึ้นตั้งชื่อพรรคขึ้นมาแล้วก็เป็นพรรคเฉยๆ โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับให้เป็นพรรคการเมืองอะไร อาตมาไม่รู้นะดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เป็นพรรคการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรค Democrat กับ republican ก็เป็นพรรคโดยธรรมชาติ เหมือนในเมืองไทยก็จะมีพรรคการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรคเสมอก็จะเปลี่ยนแปลงไป คือเป็นฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านจะเป็น 2 ใครจะไปเข้าหมู่ไหน จับมือร่วมมือฮั้วกันอะไรกัน หรือจะแยกเดี่ยวไปเข้าฝั่งใด มันเป็นวิธีการหรือเกมการเมืองที่จะเป็นไปตามธรรมชาติของ ทุกประเทศมันเป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าคุณไปเป็นนักการเมืองเดี๋ยวคุณก็ไปศึกษาก็รู้ แต่ถ้าไม่ไปเป็นนักการเมืองจะไปจริงจังอะไรกับมัน ก็ดูที่ตัวบุคคล หรือถ้าคุณเห็นว่าอันนี้เป็นพรรคเป็นคณะก็ดูที่พรรคที่คณะปฏิบัติประพฤติกันอย่างไร ดูที่เนื้อหาดูที่พฤติกรรมพฤติการณ์ของเขาทำดีปฏิบัติดีกับประชาชนไหม การเมืองนักการเมืองคือผู้ที่อาสาจะไปทำงานช่วยพลเมือง ช่วยประชาชนในประเทศ ก็เท่านั้นเอง _วันดี ศรศูนย์ · ขอกราบนมัสการเจ้าค่ะ ได้ฟังพ่อครูเทศน์ เรื่อง คนฉลาดสร้างอาหาร ลูกก็เปลี่ยนจากอาชีพค้าขาย มาปลูกผักแบบไม่ใช้เคมี โดยติดตามดูการเกษตรทางบุญนิยมทีวี ตั้งใจว่าจะปลูกไว้กินก่อน ได้ผลผลิตมากๆ แล้วค่อยขายราคามิตรภาพ หรือแบ่งปันตามที่พ่อครูสอนเจ้าค่ะ พอมาทำเกษตรแล้วก็พบว่า มันหนักมันเหนื่อยกว่า การทำอาชีพค้าขายที่ซื้อมาขายไป ได้เงินง่าย มิน่าเล่า คนจึงชอบค้าขายมากกว่า แต่ลูกตั้งใจว่า จะศึกษาทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ผล แม้จะเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย แต่สมองปลอดโปร่งกว่า ตอนที่ค้าขายในห้องแอร์ รู้สึกชีวิตอิสระ ได้อยู่กับธรรมชาติ สายลมแสงแดด น่าภูมิใจที่สองมือเรา สร้างอาหารที่ปลอดภัยไว้กินเองได้ ไม่ต้องไปซื้อเขา ซึ่งมีสารพิษส่วนใหญ่เจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ได้ผล อาตมาคิดว่าได้ผล เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่อาตมาพูดเป็นเรื่องจริง ซาโตรินะ..ได้เกิดความเข้าใจเกิดภูมิปัญญาขึ้นมา ดีจริงๆอาตมาไม่ได้พูดเล่นหรอก ฟังติดตามไป อาหารเป็นหนึ่งในโลก พืชพรรณธัญญาหารเป็นอาหารของคนกิน ก็ไม่มีอื่นอะไร อาตมาไม่ได้เน้นอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เป็นปศุสัตว์อะไร ผู้ทำงานโลกุตระจริงแท้นั้นไม่หวังใน ลาภ ยศ สรรเสริญ _ทรงยุทธ (บี๋) : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ผมได้ฟังพ่อครูพูดถึงการเสนอชื่อบุคคลที่ได้ทำคุณงามความดีในด้านต่างๆ ให้กับประชากรในประเทศต่างๆ ให้ได้รับรางวัลสำคัญๆ อาทิ รางวัลโนเบล และรางวัลจากองค์การสหประชาชาติ จึงเกิดความสงสัยว่าเขาเลือกมอบรางวัลกันอย่างไร ผมลองเข้าไปดูในเวปไซท์ขององค์กรเหล่านี้ และทราบว่าการที่เขาจะเลือกมอบรางวัลให้กับใครนั้น เขาจะประกาศให้มีการเสนอชื่อบุคคลสำคัญที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือทำคุณประโยชน์ต่อโลกให้เข้าไปเป็นผู้สมัครเข้ารับการพิจารณา และผู้ที่จะมีสิทธิ์เสนอชื่อต้องเป็นบุคคลสำคัญหรือองค์กรสำคัญ อาทิ สมาชิกสมัชชาแห่งชาติและรัฐบาลแห่งชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สถาบัน International Law สันนิบาตสตรีสากล ศาสตราจารย์หรือรองศาสตราจารย์ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ กฎหมาย ปรัชญา เทววิทยา ศาสนา หรือ อธิการบดี ฯลฯ ผมจึงคิดเล่นๆ (แต่อยากให้เป็นจริง) ว่า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์และองค์กรชาวอโศกที่ทำคุณประโยชน์อนันต์ให้กับมวลมนุษยชาติ น่าจะได้รับรางวัลเหล่านี้บ้าง แต่อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังคงเป็นความคิดหลงลาภยศสรรเสริญของผมใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ใช่เป็นความคิดที่อยากจะได้ ลาภยศสรรเสริญต่างๆ คนที่จะได้รับรางวัลยกย่องเชิดชูมันเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง แล้วก็เลยเห็นว่าเป็นการส่งเสริม มันเป็นจุดที่จะชวนให้คนอื่นเขาทำความเจริญทำความประเสริฐได้ดีๆ อย่างนี้สิ มันเป็นการชวนเชิญคนอื่นจะได้เห็นตัวอย่างมันก็เป็นวิธีการชนิดหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาเขาก็ทำกันทั่วโลก ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงๆแล้วไม่ได้คิดอยากจะมีคนมายกย่องสรรเสริญ มีคนมาเชิดชูมีคนมาให้รางวัล มีคนมาอะไรให้ตำแหน่ง มันไม่หรอก อย่างอาตมานี้ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น แล้วอาตมาปางนี้ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับการยกย่องสรรเสริญหรอก มีแต่จะถูกด่าด้วยซ้ำจะถล่มจะถูกดูถูกดูแคลน เพราะอาตมาเสนอธรรมะที่เป็นโลกุตระอันเข้าใจยาก เป็นความยาก เพราะฉะนั้นอาตมาก็ทำงานเท่านั้นทำหน้าที่เอาโลกุตตรธรรมมาประกาศ ก็ได้มวลมนุษยชาติที่มีบารมี หรือว่ามีความจริงในตัวคน อย่างพวกคุณ ฟังแล้วเข้าใจก็มาเอา จนกระทั่งพากเพียรได้มรรคได้ผลขึ้นมา ก็มารวมกันเป็นหมู่กลุ่ม จนกระทั่งกลายเป็นชุมชนสาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สำเร็จจนกระทั่งทำมาหากินมีผลผลิตสร้างอะไรได้ก็เอาเข้ากองกลางเรียกว่า ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วก็กินใช้ร่วมกันเป็นกองกลางสาธารณภัย ลาภธัมมิกา ซึ่งมันสูงสุดแล้วนอกนั้นต่างคนต่างปฏิบัติตามทิฏฐิของแต่ละคนเสมอสมานกันไปมีศีลแต่ละระดับก็เสมอๆกันไปตามหลักสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา อาตมาก็ยิ่งมั่นใจว่า อาตมาทำงานธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรมสมบูรณ์ บริบูรณ์ มันไม่ง่ายนะ..คนจะมารวมกันแล้วอยู่กันอย่างสาธารณโภคี ไม่ตีกันไม่ฆ่ากันไม่แย่งกันไม่ทะเลาะกัน มันสุดยอดแล้วซึ่งมันยืนยันว่าในสาธารณโภคีนี้มีพุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เป็นเอกภาพกัน นี่มันยืนยันว่าพวกเราอยู่กันอย่างสมบูรณ์ถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าเลย เอาหลักธรรมมาอ้างอิงยืนยันยืนยันกับพฤติกรรมพฤติการณ์ของพวกเราจริงๆสำเร็จ นี่คือสิ่งที่อาตมาเอามาพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าว่า มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบใด โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ท่านตรัสถึงอรหันต์เลยนะ พิสูจน์ยืนยัน เดี๋ยวจะได้อธิบายต่อ _ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ฟังพ่ออธิบายขั้นตอนการเลื่อนฐานแต่ละขั้นตอน ความเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 8 แม้ตัวเราเองยังไม่ถึงขั้นต่างๆ จะเริ่มต้นตรงไหนๆ มีองค์ประกอบครบพร้อม ถ้าพ่อท่านบรรลุ ขั้นตอนด้วยตนเองแล้วจะไม่สามารถอธิบาย ลองมาทดสอบตัวเองแล้ว ตัวลูกเองดูก็ยังคุณสมบัติอยู่หลายข้ออยู่นะ ขอพยายามทำต่อไป จะพยายามทำโดยไม่ท้อค่ะ ถึงความเป็นโพธิสัตว์ขั้นใหนก็ตามค่ะ กราบสาธุค่ะ _ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ลูกได้เห็นพ่อท่านเปิดเผยเพชรที่เป็นโลกุตระหลากหลายเช่น เพชรในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา เพชรเรื่อง การเมืองเศรษฐกิจการปกครอง ลูกได้ติดตามอยู่ เพชรได้ฉายส่องประกายอันสูงส่ง ทำให้อโศกของเราเรืองรุ่งเป็นไปตามสัจธรรมครับ ขอให้พ่อท่านบริหารร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงครับ กราบนมัสการขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ มาฟังธรรมพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แล้วจะหายกลัวผี _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกสาวของลูกเรียนระดับป.ตรี เช่าหอพักอยู่นอนไม่หลับบอกว่ากลัวผีค่ะ บอกให้ลูกหารูปพระมาให้เป็นที่พึ่ง จะโทร.หาลูกทุกคืน ลูกบอกลูกสาวว่า ผีไม่มีจริง ลูกสาวก็ยังกลัว ลูกกราบนมัสการพ่อครูเมตตาช่วยลูก จะบอกลูกสาวอย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูให้สัมมาทิฏฐิลูกด้วยค่ะ พ่อครูว่า… อาตมาก็อธิบายให้คุณฟังนี่แหละฟังเข้าใจเท่าไหร่ ก็ไปบอกลูกสาวหรือพยายามอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจว่า คำว่าผีนั้นที่พูดกันด้วยภาษาไทยๆว่าผี ซึ่งหมายถึงเรื่องของผีก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ คนที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิก็เข้าใจว่าจิตวิญญาณที่เป็นผีที่ลอยตุ๊บป่องตุ๊บป่องอยู่ข้างนอก เป็นผีเปรตผีกระสือผีบ้าๆบอๆเอามาสร้างหนังเป็นนิทานนิยายอะไรหลอกกันไป คนมันก็ยิ่งโง่หนัก ก็ยิ่งไปหลงใหลกลัวผีอย่างนี้กัน หลอกกันมานานนับเป็นพันปีแล้ว มันก็น่าเห็นใจ ถูกครอบงำทางความคิดถูกหลอกไป ก็ไปงมงายอยู่อย่างนั้น อาตมาทั้งเทศน์และพูดมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แม้แต่ในวัดในวาก็บอกว่ามันไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างไปสร้างเอง เป็นพวกที่คิดสร้างจะเรียกว่าเป็นศิลปินก็ ศิลเปรอะ เที่ยวไปหลอกคนให้งมงาย แต่มันมีเชิงดีอยู่ว่า ให้กลัวผีกลัวบาปกลัวทำไม่ดีซึ่งมันซับซ้อน จะกลัวสิ่งไม่ดีคุณก็ต้องทำตัวเองปฏิบัติตนเองให้จิตใจของคุณเป็นจิตใจที่ดี อย่าให้เป็นจิตใจที่ชั่ว จิตใจชั่วนั้นแหละคือ ผีอยู่ในคน นอกตัวคนคนที่ตายแล้วจิตวิญญาณไม่อยู่ในคนแล้ว ไม่เข้ามายุ่งอะไรได้กับคนเลย ขอประกาศเลย ขณะนี้มีในสังคมมีคนชื่อว่า หมอปลา เป็นคนปราบผี ออกอากาศกันอยู่ จอ Amarin นี้ชอบเอามาออกกันบ่อยที่สุดเลย พอดีอาตมาฟังๆดูก็มีสัมมาทิฏฐิบ้าง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ แกก็ยังพอมีบ้าง ก็ยังไม่สมบูรณ์แต่ก็ช่วยได้พอได้คือบรรเทาไปขั้นตอนหนึ่งนะยังไม่สมบูรณ์แบบ ผีที่เป็นจิตวิญญาณที่ไม่อยู่ในร่างคนแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเกี่ยวข้องอะไรกับคนเป็นๆได้เลย คนโง่แล้วคนก็บอกว่าผีเข้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงแล้วจิตของคุณโง่มีอุปาทานเอง เช่นจิตเข้าทรงมีผีเข้าตัวเองโง่เองตัวเองอุปาทานตัวเองว่า นี่แหละผีมันมาเป็นอย่างนี้ เข้าทรงเป็นอย่างนี้ เทวดาเข้าทรงเป็นอย่างนี้ ไปกันใหญ่เลย ก็มองว่าเทวดาหรือพระพรหมเข้าทรงก็ดูท่าทีดีเคารพกราบไหว้ เป็นผีก็ไล่กันอะไรอย่างนี้ การเข้าทรงก็ดีชักดิ้นชักงออย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาก็เล่นมานักไสยศาสตร์ เล่นมาแต่ก่อนนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้แล้วล่ะว่ามันบ้าของตัวเองคนเดียว ที่ดิ้นที่ทรงที่มีผีมีเจ้า มีเทวดามารพรหมหรือผีอย่างโน้นอย่างนี้เข้า จิตตัวเองเป็นทั้งนั้นเลย ไม่มีจิตวิญญาณใดๆไปเข้าใครได้ จิตวิญญาณใครๆก็เข้าใครไม่ได้ ถ้าจิตวิญญาณเข้าใครได้ พระพุทธเจ้าก็เอาจิตวิญญาณของท่านไปเข้าคนนั้นคนนี้ดีไปเลยเสร็จไปเลย จนกระทั่งครอบงำคนๆนั้นให้บรรลุธรรมไปเลย เฮอะ สมณะฟ้าไท… พ่อครูก็ไม่ต้องเทศน์มาก พ่อครูว่า… ไม่ต้องเทศน์มากเลย สรุปดีๆให้ฟังอีก ผีคือจิตวิญญาณตัวเองชั่ว ดีคนกลัวความชั่วนี้ดี เอาความชั่วจิตวิญญาณชั่วๆนั้นเปลี่ยนซะไม่ให้มันชั่ว มันก็จะหมดผีไปจากตัวเอง แต่คุณเอาออก ไปทำเอาออกด้วยวิธีใดๆไม่ได้ นอกจากจะศึกษาธรรมะให้รู้ว่า จิตชั่วหรือจิต ชั่วคือผีผี คือชั่วเลวชั่วคือผี ภาษาไทยนี่แหละ คุณรู้อาการชั่วนั้นแล้วคุณก็เปลี่ยนแปลง ใช้การศึกษาให้เป็นปัญญาและพัฒนาเปลี่ยนแปลง กายวาจา ภายนอกก็อย่าให้มันเป็นไปตามผีพาเป็น จนกระทั่งจิตใจของคนเกิดปัญญาเป็นประธาน ทำให้กาย วาจาก็ไม่เป็นแล้วจิตวิญญาณเป็นประธานก็แข็งแรง หายจากผี ไม่มีผี ผีในจิตหมดไปจากจิต ก็จบผี ถ้าจะกลัว กลัวผีในตัวของตัวเอง ผีข้างนอกไม่มีไม่มีผีหลอก ถ้ามีผีอาตมาเคยบอกแล้ว จับใส่ปี๊บมาขายอาตมาซื้อเดี๋ยวนี้ขึ้นตัวละ 10 ล้านก็ได้ 20 ล้านก็ได้เอา 50 ล้านก็ได้เอา โอ้โหขึ้นราคาไปไม่ 100 ล้านก็ได้เอาจับใส่ปี๊บมา เขาบอกว่า เขาใส่หม้อใส่อะไรของเขา เอามาสิเอามา มันเป็นตัวยังไง มันจะมาจะทุบปี๊บทุบถังที่ใส่มาแตกให้ได้แล้วผีมันจะได้หลอกอาตมาดู สมณะฟ้าไท… มีนักศึกษาข้างนอก บอกว่าผีจะเข้า มีวิธีแก้ไม่ยากหรอกไปเดินไปตบกบาลเขาแล้วผีจะออก พ่อครูว่า… เอา พูดกันดีๆนะ จิตวิญญาณมันโง่มันอวิชชา มันไม่ใช่เข้าใจสัจธรรม สัจธรรมโดยธรรมะโดยปรมัตถ์สูงส่งแล้ว มันคือจิตวิญญาณเราชั่วเราเลวเท่านั้นแหละ เสร็จแล้วก็ไปพูดเป็นจิตวิญญาณเข้าไปสิงสู่ข้างนอกอยู่อะไรต่างๆนานา แล้วก็ไปกลัวความไม่ดี แล้วก็ไปปลุกสร้างนิยายหาเรื่องว่าผีมันหลอกอย่างนั้น มันกินไส้กินพุง มันเอาเป็นตาย มันทำให้เป็นอะไรต่ออะไร ความชั่วมันทำให้ตัวเองตายได้ แน่นอน ความชั่วมันทำให้ตัวเองตายได้ ตายอย่างน่าเกลียดน่าชังด้วย ตายไม่ดี เขาใช้ศัพท์คำว่า ตายไม่ดี คนชั่วตายไม่ดี เพราะฉะนั้นพยายามมาปฏิบัติธรรมมาศึกษาธรรมมาให้ดีๆ แล้วเรียนรู้จิตชั่ว จิตไม่ดี จิตผีให้ออกไปจากจิต ยิ่งเรียนรู้ทางศาสนาพุทธ เป็นโลกุตรธรรม ยิ่งสามารถที่จะชัดเจนมากเลยว่า อาการของจิตชั่ว อาการของจิตเลว จิตที่ไม่ดี แยกได้อย่างเป็นโลกียะ แยกได้อย่างเป็นโลกุตระ โลกียะก็คือ จิตที่มันชั่วหรือดี อันนี้เป็นสมมุติสัจจะ เราก็เรียนรู้สมมติธรรมตรงนี้ แล้วเปลี่ยนแปลงให้ดี ตามสมมุติ ประเทศไทยสังคมกลุ่มนี้ว่าอย่างนี้ดี ก็ทำกันให้ดีตรงตามสมมุติของกลุ่ม ไม่เที่ยงหรอก ดีของกลุ่มนี้ แต่กลุ่มโน้นอาจจะบอกว่าไม่ดี ชั่ว ไม่เอา อาจจะดีซ้อนกัน คล้ายๆกันเหมือนกัน แต่ก็มีนัยยะมุมเหลี่ยมมิติต่างๆที่ต่างกัน ชั่วเหมือนกัน ดีชั่วเป็นสมมุติ ส่วนโลกุตรธรรมนั้นสุขทุกข์ นี่ก็อธิบายกันมาหลายทีแล้ว เทวนิยมไม่ได้เรียนสุขทุกข์ เขาจึงไม่มีหมดสุขหมดทุกข์เพราะเขาไม่รู้เรื่อง เขาหลงสุขเกลียดทุกข์ แต่เขาไม่ได้เรียน เขาก็เลยถูกโลกธรรม ทำให้ไปติดยึดหลงยึดอย่างนั้นอย่างนี้ว่าเป็นสุขอย่างนั้นอย่างนี้เป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ คนหลงความชั่วแล้วทำชั่วได้สำเร็จก็เป็นความสุข เพราะเขาหลงเชื่อว่าอย่างนี้ดี แต่มันเป็นเรื่องไม่ดี เรื่องชั่ว เขาก็เป็นสุข เห็นไหม เขาได้ทำชั่ว เขาทำชั่วสำเร็จแล้วเขาก็สบายใจ นอกจากคนที่รู้ว่าชั่ว แต่ว่าตัวเองมันกิเลสเข้าอีก มันโกรธ มันไม่ชอบใจมันก็ทำให้ไปทำร้ายคนอื่นเขา ทำแล้วก็สำนึกก็มีอีก เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยนี่ มันหมดเลย ทำดีก็ได้ดีอย่างถาวร ไม่ได้ดีแล้วก็ชั่วๆ ดีแล้วก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เทวนิยม ไม่จริงแท้แน่นอนหรอก แม้บรรลุเป็นศาสดาแล้วก็จะลื่นไหลออกมาเป็นชั่วอีก แต่ท่านไม่รู้เรื่อง ศาสดาเทวนิยมท่านไม่รู้ตัว ไม่เที่ยงหรอกแต่ท่านหลงว่าเที่ยง มีความรู้จบอยู่แค่พระเจ้า ก็เคารพนับถือพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้ารู้เท่านั้น ลูกศิษย์จะรู้อะไรเท่าพระเจ้า เท่าศาสดาของพระเจ้า เพราะเทวนิยมไม่รู้อัตตา ไม่รู้จิตวิญญาณที่ตัวตนมี และไม่รู้จักกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ไม่รู้กรรม ไม่รู้วิบาก จริงๆแล้วตัวเองนั่นแหละกรรมตัวเองทั้งนั้น ไม่มีก๊อด มีแต่กรรมเท่านั้นกรรมนั่นแหละยิ่งกว่าก๊อดถ้าเรียนรู้สมบูรณ์แบบแล้วเหนือกว่าก๊อดอีก เพราะเราทำเองให้เป็นเอง สุดท้าย สลายจิตวิญญาณ เป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเลย ได้เองด้วย ไม่ต้องตายแล้วไปอยู่กับก๊อด พิสูจน์ได้เลย ก๊อดเด๋อเลย ไม่เข้ามาบัญชีนี้หายไปไหนไม่ต้องตายแล้วต้องไปอยู่กับก๊อด พูดไปแล้วประเดี๋ยวจะหาว่าไปพูดข่มศาสนาเทวนิยม อาตมาเองก็พยายามแต่ว่ามันต้องเปิดเผยสัจธรรม มาถึงยุคนี้แล้วเป็นยุคเฉลียวฉลาดกันหมดแล้วแม้แต่เทวนิยมก็เฉลียวฉลาด ผู้ที่แสวงหายังมีอาตมาก็ต้องระมัดระวังเพราะเขายึดติดเหมือนกัน ไปวิจารณ์วิจัยเหมือนเชิงข่มเขามาก เขาก็จะติดใจถือสาได้ เอาเรื่องเอาราว มันก็ไม่ดี ก็พยายามอยู่ สรุปแล้วเรื่องผี ให้เขามาฟังธรรมอาตมาก็แล้วกัน มาฟังธรรมอาตมาอธิบายวันนี้เป็นต้น ยาวเยอะ จะสังเกตได้ง่ายๆ มีตอนสึนามิ ศพมีเยอะตายกันกองพะเนิน ฝังกันเต็มถิ่นนั้นถิ่นนี้ ก็เห็นเดินกันไม่เห็นจะมาหลอกใคร คนตาย พ่อลูกลูกตาย พ่อตามหาลูก แม่ตามหาลูก แม่ตายลูกตามหาอยู่ ก็ไม่เห็นมาบอกว่า ลูกพ่ออยู่นี่ อะไรอย่างนี้ ไม่เห็นผีจะออกมาบอกเลย เสร็จแล้วก็กอง เผละกันอยู่ ฟังกันอยู่ทั่วคนมีอุปาทานก็กลัวผี ก็ไม่เห็นมาหลอกกันเลย ไม่เห็นมีข่าวคราว สึนามิตายกันเป็นหมื่น ไม่เห็นมีข่าวว่าผีหลอกกันใหญ่โต มันตายโหงด้วยนะ เขาว่าตายโหงนี่ดุ ก็ลือกันไป สรุปอีกทีว่าให้มาฟังธรรมะสมณะโพธิรักษ์ ผีมันไม่มีหรอก ผีหลอกไม่มี ผี หมายถึง จิตโง่ หมายถึง จิตชั่ว จิตไม่ดี จิตที่มันโง่ๆ มันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันโง่ๆชั่วๆและไปทำชั่ว ถ้าจิตดี มันก็จะทำดีหรือยิ่งเป็นโลกุตระ มันก็จะพ้นสุขพ้นทุกข์เป็นนิพพาน เป็นปรินิพพานไปเลย นั่นคือสิ่งที่สุดยอด ติดตามให้ดีๆ ถ้าไม่ศึกษา ตอนนี้ก็ได้โอกาสอาตมาก็จะขอสำทับลงไป เกิดมาเป็นคนนี่นะ ถ้าไม่ได้มาเจอพระพุทธศาสนามาเจอโลกุตรธรรม ถ้าไม่ศึกษาให้ดีเลยนะ คุณจะมีชีวิตไม่จบ วนเวียนอยู่ในทุกข์ในสุข ในสูงในต่ำ ในความรวยความจน ในวิบากอะไรก็แล้วแต่ บางทีก็ฐานะดี บางทีก็ฐานะแย่ บางทีก็วิบากลำบากลำบนอย่างนั้นเยอะแยะ ยิ่งกว่า บุพเพสันนิวาส หรือว่ามันเป็นบุญทำกรรมแต่งอะไรกัน ทรมานทรกรรมกันเยอะ เพราะคนส่วนมากไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ทำชั่วกันเยอะ คนจึงทุกข์ยาก พิการทรมานอยู่เยอะ ช่วยกันไม่หวาดไม่ไหว คนที่หลุดพ้นหรือว่าคนที่จะไปอยู่ได้กุศลวิบาก ได้ดีมันก็ชั่วคราวแล้วมันก็ไม่ได้รู้อย่างเที่ยงแท้ หรือแม้แต่แค่โลกียะ ทำได้ดีชั่วคราว เดี๋ยวมันก็หลงไปทำชั่วใหม่เพราะมันแก้แค้นกัน มันไม่ถาวร มันไม่ชัด มันไม่เป็นแบบพุทธที่คุณทำดีเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เริ่มเป็นโสดาบัน มี อวินิปาตธรรม พระพุทธเจ้ารับรองแล้ว จิตเข้ากระแสไม่มีตกต่ำ แต่ยังไม่แข็งแรง สกิทาคามีก็ดีขึ้น มี อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำ จนกระทั่งเที่ยง อนาคามีขึ้นไป เที่ยง ไม่ตกนรกแล้ว ไม่ตกต่ำอีกแล้วไปเป็นอรหันต์สูงสุดนิพพานเลย สรุปง่ายๆแต่มันจริงมันลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่อยากจะรู้สัจจะความจริงแล้ว มา มาศึกษา ชีวิตที่เกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้กี่ล้านล้านชาติของคนทุกคนในโลกนี้ ถ้าเผื่อว่าไม่มาศึกษาศาสนาพุทธโลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วก็รู้สัจธรรมเป็นอารยธรรมเป็นโลกุตระ ไม่มีทางจบ จะวนเวียนอยู่อย่างอวิชชา วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ วนเวียนเกิดเป็นผู้ทำชั่ว ก็ไม่รู้เรื่องผีเรื่องสาง ศาสนาเทวนิยมก็ไม่ได้งมงายเรื่องผีสางเท่าศาสนาพุทธไทย อันนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่ามันไปเกิดได้อย่างไร เอาล่ะ หมดเรื่องของ sms ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ”โลกุตระ มีเคล็ดวิชา 9 ประการ _มีนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ #เก้าเคล็ดวิชา ๑ รวมยอดสุดเก้าเคล็ด วิชา ชีวิตสังคมสา- มารถใช้ หลักปฏิบัติพึ่งพา กลุ่มหมู่ ประเทศเอย โดยพ่อท่านสรุปไว้ แจกให้โลกมนุษย์ ฯ ๒ ที่สุดของโลกหล้า คือทาน เจือแจกด้วยวิญญาณ เจตน์แจ้ง สิ้นสาเปกโขปาน น้ำสะอาด พ่อเอย ดื่มด่ำพร่ำพรมแล้ว ฉ่ำชื้นฤทัยปอง ฯ ๓ ปกป้องตนรอดได้ ตลอดวัย แลไม่ทำร้ายใคร แต่ให้ เสียสละอิ่มเอมใจ ตลอดชาติ ชีพเอย ด้วยทิฏฐิสัมมาได้ แปดถ้วนปัญญา ฯ ๔ จึ่งมาจนแบบให้ สละทวี ไม่คิดเป็น กระฎุมพี แบบบ้า คนจนแบบสูงศรี วรรณพุทธ สุดลึก เป็นกสิกรแกร่งกล้า กอบกู้แก่นแกน ฯ ๕ ดินแดนสงบสุขได้ ด้วยพลี สร้างก่อกรรมด้วยดี ยิ่งแล้ สาธารณโภคี เป็นเอก อุเอย เศรษฐกิจแบบพุทธแท้ ถ่องถ้วนทวนกระแส ฯ ๖ ดวงแดดีเด่นด้วย โลกุตระ อุ้มโอบโลกียะ ชุ่มชื้น ปัญญาแปดย่อมชนะ โลภโกรธ หลงเฮย เพียรเพ่งเร่งฟูฟื้น แก่นแท้พุทธธรรม ฯ ๗ บำเพ็ญเพียรพรั่งพร้อม ยินดี ด้วยกสิกรรมท้นทวี ประเทศไว้ ชีวิตกินอยู่ศรี เดินนั่ง นอนเอย ออกแดดแผดเผาให้ ชีพยั้งยั่งยืน ฯ ๘ วันคืนจึ่งพรั่งพร้อม น้อมธรรม รู้จักรู้แจ้งกรรม ถ่องถ้วน รู้จริงสิ่งควรทำ รู้จบ เจนเอย รู้จิตรุ่งเรืองล้วน โรจน์แล้วแก้วสี ฯ ๙ วิถีเทวะล้วน ไป่จบ เป็นคู่สองครองภพ ตลอดไซร้ ทางเอกพุทธครันครบ ถ้วนรอบ ชอบเอย ผุดผ่องเพริศแพร้วให้ สุดสิ้นสัมบูรณ์ ฯ เป้า ถักธรรม พ่อครูว่า… แต่งได้ดี แต่งได้เป็นกวีที่เรียกว่าได้เรียนได้ฝึกมาสมควรทีเดียว มี Talent ใช้ได้แล้วก็มีความรู้ทางธรรมด้วย ความรู้ทางธรรมก็ดี ความรู้ทางกวีการก็ดี เอ้า ทีนี่ก็มาเข้าสู่เรื่องราวที่จะอธิบายต่อก็คือ เรื่องของเศรษฐกิจกับการเมือง คละเคล้ากันไป เดี๋ยวก็ไปแวะแป๊บนึงเดี๋ยวก็ไปแวะเศรษฐกิจ พูดกันมายาวนาน ในมนุษย์นั้นจะต้องมีความเฉลียวฉลาดเป็นอาริยะ ของพระพุทธเจ้ารวมไว้หมดแล้ว อาริยะนี้รู้หมดจะเป็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นสังคมศาสตร์ใดๆ รู้เรื่องมนุษย์รู้เรื่องสังคม เพราะฉะนั้นจะแบ่งเป็นวิชาการสมัยใหม่เป็นเศรษฐศาสตร์เป็นรัฐศาสตร์หรือว่าเป็นการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ที่เขานำหน้ากันอยู่ทุกประเทศตอนนี้ เทวนิยม เขาก็รู้ มันเป็นเรื่องที่ต้องมีในสังคมมนุษยชาติ แต่เขาไม่รู้จักจุดพอจุดจบ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่สามารถที่จะ ให้ปฏิบัติกันให้ทำกันสอนกันบอกกันบริหารกันอย่างไร ไม่จบกิจ เศรษฐกิจก็ไม่จบกิจ การเมืองก็ไม่จบกิจ มีของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจบกิจ เศรษฐกิจก็จบ รัฐกิจหรือว่ากิจการเมืองก็จบ จบคืออะไร จบคือก็ไม่มีปัญหาแล้ว ไม่เป็นภัยเป็นโทษกับสังคมแล้ว มีแต่ประโยชน์ให้แก่สังคม สั้นๆสรุปแค่นี้ อย่างชาวอโศกเรานี้ทำสำเร็จเศรษฐกิจก็สำเร็จการเมืองก็สำเร็จไม่มีปัญหากับสังคม เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นภาระหนักกับรัฐบาลเลยชาวอโศกเรา ขออภัยต้องพูดความจริง มีแต่เป็นประโยชน์ช่วยรัฐบาล ช่วยสังคม ช่วยประเทศชาติ ไปเรื่อยๆ. เพราะคำสอนพระพุทธเจ้า เมื่อได้เรียนคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะเป็นผู้มีปัญญา ที่เป็นโลกุตรธรรม มีปัญญาโลกุตรธรรม เป็นคนจริงบรรลุจริงจึงเป็นอาริยะ จะใช้ภาษาอังกฤษว่า ศิวิไลซ์ เจริญอาริยะศิวิไลซ์ แต่มันเป็นแบบพุทธของพุทธ เพราะฉะนั้นศิวิไลซ์หรืออาริยชนแบบพุทธ เป็นอาริยบุคคล 4 เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์หรือเป็นนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถ จัดการกับเศรษฐกิจและการเมือง แต่ละคนก็จัดการของตน เป็นนักเศรษฐกิจ เป็นนักการเมืองของตนเองชนิดจบกิจถ้าเป็นอรหันต์ เริ่มต้นเป็นโสดาบันก็เป็นคนไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษต่อโลก อาจจะมี Error เป็นภาระบ้าง ถ้ายิ่งสกิทาคามี ก็ยิ่งน้อยลงในภาระ อนาคามีไม่เป็นภาระต่อโลกต่อสังคมแล้ว มีแต่จะช่วยโลก เป็นอรหันต์ถือว่า จบรอบ มีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียวไม่มีโทษเลย เพราะฉะนั้นจะช่วยทั้งกิจที่เป็นเศรษฐศาสตร์ ทั้งกิจที่เป็นรัฐศาสตร์หรือการเมืองไม่มีปัญหา ไม่ก่อปัญหาให้แก่หมู่แก่สังคมแก่ประเทศ หมู่กลุ่มชุมชนชาวอโศกหรือชาวสันติอโศกที่คนทั่วไปเขาเรียกขาน กันนี่แหละ เป็นสังคมกลุ่มหมู่ที่ไม่มีปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาการเมือง อยู่ในประเทศไทย เป็นกลุ่มหมู่ที่ไม่มีปัญหาไม่ว่าเศรษฐกิจหรือการเมืองอยู่ในประเทศไทย และ ในประเทศอื่นก็หาอย่างนี้ได้ยาก หรือจะไม่มีเอาด้วย ไม่มีนี่หมายความว่า ชาวอโศกนี้เป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาแต่มีปัญญา เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจก็ตาม การเมืองก็ตาม นอกจากไม่เป็นโทษเป็นภัย ไม่เป็นภาระของรัฐบาลแล้วยังช่วยด้วย ช่วยเศรษฐกิจ ช่วยการเมืองให้แก่สังคมประเทศชาติ ต่างกันกับอย่างพวกเชนเขาก็ไม่เป็นภัยให้แก่สังคม เอาตัวรอด แต่เขาไม่เป็นประโยชน์แก่สังคมเลย หรือศาสนาพุทธที่เพี้ยนๆมิจฉาทิฏฐิไปหลับตานั่งสงบเข้าป่าก็แนวเดียวกันกับเชน แต่ยังไม่จัดจ้าน ไม่สุดโต่งเท่ากับเชน เท่านั้นเอง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่เป็นภัย ไม่เป็นโทษอย่างสนิทเลย เด็ดขาดด้วย เพราะจิตวิญญาณล้างเหตุคือล้างกิเลสที่เป็นตัวเหตุหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวันที่จะเป็นโทษเป็นภัย สัพพปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) นอกจากไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่สังคมแล้วยังมีกุศลสมบูรณ์แบบเลย กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) นี่คือของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ อาตมาก็ภาคภูมิใจว่าอาตมาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราทำเป็นโลกุตตรธรรมทำได้ผลจนเกิดผลจริง วันนี้เขายังไม่เชื่อ เพราะถูกคณะใหญ่ที่คนนับถือ มาตีตราว่าเรานอกรีตเราผิดแล้วเราไม่ถูก ก็เลยทำให้การเชื่อถือคณะใหญ่หลักใหญ่มีอยู่ เพราะเขาก็ไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด ยิ่งเป็นโลกุตตระยิ่งรู้ยาก ขนาดเถรสมาคมเป็นคณะของศาสนาพุทธเองยังไม่เข้าใจเลยก็ยังมาเล่นงานสิ่งที่ถูก มันซ้อนอยู่นะ ก็เลยไปให้คนสามัญที่เป็นเขาที่ยังไม่ได้เป็นผู้ที่ศึกษาเอาจริงเอาจังอยู่ มารู้เท่าเถรสมาคมได้อย่างไร ขนาดเถรสมาคมยังเข้าใจผิดอยู่ ยังเข้าใจถูกไม่ได้ ตัวเองก็ยังทำไม่ได้ แต่ที่เราทำได้นี้เขาเข้าใจไม่ได้ แล้วเขาเข้าใจเราผิดเขาก็เลยจะเล่นงาน แต่เล่นไม่ได้เพราะว่า ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง เราก็เลยทำมาได้ 40-50 ปีแล้ว อาตมาอยากจะอยู่นานๆเพื่อจะยืนยันต่อไปอีก เพื่อที่จะดูรักษาเวลาเลยว่า 1.พวกเราจะจริงไหม พิสูจน์กับโลก พวกเรานี้จะถาวรยั่งยืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตามพวกคนนี้พวกคุณจะออกไปจากวิถีแบบนี้ไปอยู่วิถีอื่นทางโลกียะเขาไหม …ไม่ โอ้โห…หนักแน่นดีจังเลย จริงๆ มันเรื่องจริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้วถ้ามันลงเข้าล็อคเข้ากระแสแล้วมันไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีตกต่ำ อวิปริณามธัมมัง ยิ่งนิยตะ เที่ยงแท้แล้วมันจะมีแต่ไปสู่ที่สูงที่สุดอย่างเดียว สัมโพธิปรายนะ พวกคุณพิสูจน์สิแล้วจะรู้ว่า เราจริงเหมือนกันนะ ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์จริงๆใช่ไหม พวกชาวอโศก พวกคนข้างนอกเขาจะเรียก สันติอโศก ก็ไม่เป็นไร เป็นสังคมตัวอย่าง ที่ยืนยันได้ว่าเป็นผู้ที่หมดจบกิจในเรื่องเศรษฐกิจในเรื่องรัฐกิจ ทีนี้ก็เข้ามาหาจอมยุทธล่ะทีนี้ ในหนังจีนเขามีจอมยุทธ นั่นแหละเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ โกวเล้ง กิมย้ง มังกรหยกก็แล้วแต่ โกวเล้งมีเยอะกว่ากิมย้ง แต่กิมย้งทำแก่นมากกว่า ผู้บริหารประเทศที่ดี คือ จอมยุทธโลกุตระ อาตมาก็ Rewrite ที่เขียนไปแล้วเติมแก้เข้าไปอีก 2) ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ”โลกุตระ ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ” ผู้มี“ปัญญา”กันจริง ก็จะมี“ความรู้-ความสามารถ”ระดับโลกุตระ ที่มี“เคล็ดวิชา 9 ประการ” ทำงานอยู่ในสังคมประเทศ เช่น 1)ป้องกันตนเองได้ 2)ไม่ทำร้ายใคร 3)ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย 4)มีปฏิภาณปัญญาเป็นโลกุตระ(ที่สัมมาทิฏฐิ) 5)เป็นคนผู้เสียสละอยู่เป็นปกติของชีวิต 6)สำนักของจอมยุทธนี้ก็จะพาคนมาจน 7)สำนักนี้อยู่กันอย่างสาธารณโภคี 8)จอมยุทธจะพยายามพาคนให้มาเป็นกสิกร ทำอาชีพสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลักให้มากๆ จะโน้มนำให้คนที่มีอาชีพอื่นใดอยู่ก็มาเป็น“กสิกร”ควรแปรชีวิตมาเป็นกสิกร“ดีที่สุด” จะไม่พากันไปสร้างอาวุธเลย 9)“จอมยุทธโลกุตระมือหนึ่งในยุทธจักร” คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ “เทฺว”ด้วย“ปัญญา 8” ผู้สำเร็จจบครบเคล็ดวิชาทั้ง 9 นี้ คือ คนผู้มี“พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เพราะเป็นผู้มีทั้ง“สมาธิ-สติ-ปัญญา”สามารถทำ“อธิปไตย”ได้เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“โลก-อัตตา-ธรรม”ครบถ้วนกระบวนการจึงอยู่เหนือ“โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย” อาตมานำคำสอนพระพุทธเจ้า ภาษาบาลีที่อาตมารู้จักสภาวะและเข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ของมันด้วย พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ คืออายะ 3 ส่วนอธิปไตย 3 คือ โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย อายะ แปลว่า ประโยชน์แปลว่า กำไรหรือสิ่งที่ได้ แปลว่า รายได้ เป็นสิ่งที่ได้มา เป็นประโยชน์ที่ควรสร้าง หิตายะ ก็คือ ประโยชน์ ประโยชน์ที่มนุษย์พึงได้ พึงมี พึงเป็น พหุชนะ ก็คือ มวลประชาชน พหุ คือใหญ่ ชนะ คือประชาชน คือเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่มวลประชาชน พหุชนสุขายะ คือทำความสุขให้กับมวลประชาชน อนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลโลก อนุกัมปายะ เป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่โลกอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้จักโลก รู้จักอัตตา รู้จักธรรมะ แล้วมีอธิปไตยเป็นพลัง พลังอธิปไตยที่เป็นโลกุตระ อยู่เหนือโลก เหนืออัตตา หรือจะเรียกว่าเหนือธรรมะก็ได้เพราะเป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่เหนือจริงๆ เป็นอุตตระ เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะปฏิบัติแล้ว จิตเกิดสมาธิหรือสมาหิโต เป็นจิตตั้งมั่นก็เป็นแกนจิตแข็งแรง สามเส้ากับสติและปัญญา เจโตสมาธิตั้งมั่น แล้วมี Dynamic 2 ตัว สติก็ดี ปัญญาก็ดี เจโตสมาธิ เป็น Static เป็นฐานตั้ง ส่วนสติกับปัญญาเป็นตัวที่ตื่นรู้เข้าใจสังคม เข้าใจมนุษยชาติ เข้าใจพฤติกรรม แล้วก็มีปัญญาเฉลียวฉลาด รู้ยิ่งว่าควรอย่างไรเป็นอย่างไร ที่ดีที่สุด เจริญแบบโลกียะก็รู้ฐานของโลกียะ ยิ่งเจริญเป็นโลกุตระซึ่งทวนกระแสกับโลกียะก็รู้ แล้วก็ประมาณว่าให้เจริญโลกียะอย่างนี้ก่อนได้ขั้นนี้แล้ว แล้วเอาโลกุตระใส่เข้าไปอีกเพื่อที่จะได้ ซ้อนซับซ้อน สูงยิ่งขึ้นหมดอัตตาหมดตัวตน แล้วช่วยผู้อื่นได้อย่างดียิ่งสมบูรณ์แบบ นี่คือสัจจะที่อธิบายง่ายๆคร่าวๆขยายความตรงนี้ให้ฟัง เพราะฉะนั้นอธิปไตยทั้ง 3 อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย รวมเรียกว่า ประชาธิปไตย ภาษาสมัยพระพุทธเจ้านั้นยังไม่มี ก็คืออธิปไตย 3 นั่นแหละเพราะรู้โลกรู้อัตตาและรู้ธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม จึงอยู่เหนือโลกในอัตตามันไม่ไปแบ่งส่วนอะไรแก่โลกเพราะท่านไม่มีตัวตน ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและปฏิบัติจนสำเร็จ เป็นจอมยุทธ “จอมยุทธ”ผู้“อยู่เหนือ”ซึ่งภาษาก็ว่า“อุตตระ”จึงเป็นผู้สามารถพาสังคมหมู่กลุ่ม“พ้นปัญหาเศรษฐกิจ”ที่เป็นเรื่อง“เงินทอง” และ“พ้นปัญหาการเมือง”ที่“จบกิจ”ในเรื่อง Gross Democratic Product ด้วยฝีมืออันเก่งกาจ เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบครบทั้ง 1) เศรษฐศาสตร์การวัตถุเงินทอง 2) รัฐศาสตร์การเมือง 3) สังคมศาสตร์การธรรมะ” ว่า “วัตถุเงินทอง”ก็ดี “เมืองและสังคมพลเมือง”ก็ดี “ธรรมะ”ก็ดี จะจัดการอย่างไรจึงจะเหมาะควรที่สุด จอมยุทธจัดการได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”นั้นๆจริงด้วย“ความรู้”แบบโลกุตระ ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา” ความรู้โลกุตระในยุคนี้พ่อครูเป็นผู้ยืนยันเอง 3) “ความรู้”โลกุตระในยุคนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันเอง และ“ความรู้ความเห็น”ที่อาตมาแสดงออกไปนี้ เป็น“ความรู้เฉพาะของอาตมาเอง” อาตมาได้มาแต่ของเก่า พิสูจน์ยืนยัน มันไม่เหมือนกับของที่เขามีกันอยู่ในจอมยุทธซึ่งเขาก็มีจอมยุทธหลายสำนักเหมือนอย่างในหนังจีน สำนักไหนที่ยิ่งใหญ่เขาว่า สำนักเสี้ยวลิ่มโศกไหม รู้จักสำนักเสี้ยวลิ่มโศกไหม ไม่ใช่สำนักเสื้ยวลิ้มยี่นะ นี่แหละ อาตมาเป็นเจ้าสำนัก เป็นจอมยุทธอยู่ในนี้ เขาก็มีไม่รู้กี่คณะ คณะมหาบัว คณะเถรสมาคมและอาจารย์อีกตั้งไม่รู้กี่ เยอะแยะ มีลูกศิษย์ลูกหา มีเคล็ดวิชาของเขาต่างๆนานา ต่างคนต่างใช้เคล็ดวิชาของตัวเองสอนลูกศิษย์แล้วก็เอามาอาละวาดกันอยู่ในสังคม แต่ดีที่ศาสนาพุทธไม่ทะเลาะกันถึงขั้นเป็นสงคราม อย่างนี้ก็อวดดี เถียงไปเถียงมา ของข้าดีกว่า ปฏิโกสนา ว่ากันแรงๆ มันเป็นธรรมชาติมีเท่านั้น ที่อาตมาได้มาจากพระพุทธเจ้า อันไม่ใช่แบบ“โลกียะเทฺวนิยม”ที่ชาวโลกซึ่งยังถูก“เทฺว”ครอบงำเล่นเล่ห์หลอกอยู่มากมายในโลก เพราะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“ภาวะของเทฺว” ซึ่ง“ความรู้”ภาวะของเทฺวนี้อาตมาเป็นผู้ยืนยันด้วยตัวเอง ความเป็น“เทฺว”นั้นต้องรู้“ด้วยตัวเอง”จึงจะแท้และต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย“ความรู้”ที่เป็น“ปัญญา”อันเข้าขั้น“โลกุตระ”จึงจะ“รู้จบ-ทำจบ”ได้ ยุคนี้ไม่มีใครในโลกปัจจุบันจะสามารถ“ตัดสิน” ความเป็น“โลกุตระ”ได้เด็ดขาด ว่า ถูกต้องแท้คือไฉน? แต่คนสามัญทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า “แตกต่าง” จาก“ความรู้”ที่มันยังมีความเป็น“โลกียะ”กันไม่ยากเลย อย่างชาวอโศกกับชาวโลกียะแยกกันได้ไม่ยากเลย มันแตกต่างกันชัดๆ แล้วเขาจะบอกว่าพวกนี้มันบ้าหรือเปล่า ซึ่งเราเข้าใจ เราเองเราก็ไม่มีปัญหาเราก็เข้าใจเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตรงที่มัน“ทวนกระแส” มันแปลกประหลาดมาก! เช่น คนโลกียะจะนิยม“ความรวย” แต่คนโลกุตระจะนิยม“ความจน” เป็นต้น หรือคนโลกียะจะนิยม“ความสุข”กัน แต่คนโลกุตระจะนิยม“ความไม่สุขไม่ทุกข์” เรื่อง“สุข-ทุกข์”นี้แหละที่เป็น“ความรู้”ที่แปลกแยกแตกต่างจากคนโลกียะหรือเทฺวนิยมไปชนิดที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งยวด เพราะคนโลกียะจะรู้สึกตื้นๆง่ายๆว่า มีด้วยหรือที่คนจะ“ไม่เอาสุข” ถ้าไม่เอา“ทุกข์”ใครๆก็เข้าใจได้ แต่คนที่ไพล่ไปคิด“ไม่เอาสุข”นั้น จะคิดบ้าๆ แปลกประหลาด พิกลพิการ วิตถารไปหรือเปล่า? สำคัญไปกว่านั้นคือ ทั้งๆที่เป็น“ความรู้”เรียกว่าโลกุตระ แต่มันประหลาดแปลกแตกต่างไปจากความเป็น“โลกียะ”ชนิดที่เดาเอาไม่ได้ ถึงกระนั้นมันก็ยังมีคนปฏิบัติบรรลุธรรมได้สำเร็จจริงด้วย และผู้ทำได้เป็นได้ก็จะยืนยันด้วยว่า มัน“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”แท้จริง แม้แต่คนผู้ที่บรรลุโลกุตรธรรมได้น้อยนิดก็ตาม ก็มีความรู้สึก“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”ไปตามลำดับด้วยจริง แล้วจะนับว่า เป็น“ความจริง”หรือเป็น“ความถูกต้อง”กันหรือไม่? ได้อย่างไร? ใครจะเป็นผู้ตัดสิน? ก็ให้นับเอาจาก“คน”ที่มี“อาการของพฤติกรรม” ทางกาย-วาจา-ใจ ดำเนินชีวิตปรากฏให้เห็นได้อยู่ว่า มันเข้าข่าย“อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”นั้นเอง ว่า มันจริงมั้ย? คำ 8 คำสำคัญนี้เป็น“ภาวะอันเยี่ยมยิ่งวิเศษยอด” ที่คน สังคมคน ควรได้ ควรมี ควรเป็น ตามที่อาตมาเห็นนี้ อาตมาพูดอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่า ชาว“โลกียะ”จะเห็นว่า มันเข้าท่ามั้ย? อาตมาก็ไม่อาจทราบได้ อิสระ คำแรกคำเดียวนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีได้ง่ายๆ เทวนิยมไม่มีอิสระในคำแรกเลย อย่างน้อยก็เป็นทาสพระเจ้า เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไปด้วย อิสระคำเดี๋ยวนี้ แต่ของพระพุทธเจ้ามีอิสระจริงๆเลยตัวใครตัวมันทำเอากรรมใครกรรมมันทำสำเร็จได้ดีได้ชั่ว หรือจะหลุดพ้นนิพพาน ไม่นิพพาน ตัวคุณเองรับผิดชอบ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ อาตมาพูดคำเหล่านี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเทวนิยมจะรู้ได้ไหม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะฟ้าไท… มาฟังสิ่งที่พ่อครูได้เขียน ได้เรียนรู้ว่าโลกุตระต้องมาฟังจากพ่อครูเท่านั้นในยุคนี้ พ่อครูว่า… เพราะ“ความรู้ทางโลกียะ”ที่ไปเล่าเรียนเอาจากมหาวิทยาลัยนั้น อาตมามีน้อยนิดจริงๆ อาตมาเล่าเรียนไม่เคยจบแม้ปริญญาตรี ไม่เคยไปเมืองนอกในชาตินี้เลย อาตมาพูดไปแล้วไม่รู้ว่าทางโลกียะเขาจะว่าเข้าท่าไหมหรือมันคุยเพียงโก้ๆ สวยๆ มีท่าทางมีความเป็นจริงไหม อาตมาก็ไม่รู้เพราะความรู้ของคนทั้งโลกเขามีเยอะ เขาฟังอาตมาแล้ว อาตมาเป็นคนมีการศึกษาน้อย จริงๆนะอาตมาไม่ได้พูดเล่นลิ้นอะไรหรอก ไม่ได้พูดทำโก้ถ่อมตัว อาตมาถือว่าความรู้โลกียะหมด จะวิชาการอะไรก็แล้วแต่ ปริญญาที่ไม่ใช่พาบรรลุนิพพาน ไม่ได้ปริญญาที่พาพ้นทุกข์ พูดไปแล้วเป็นเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น ไปหลงยิ่งใหญ่กับความรู้ตนเอง แล้วก็ส่งเสริมความรู้ตนเองแต่ละด้าน แต่ละแขนงไปตลอด มันไม่ได้ละหน่ายคลาย ชาตินี้ก็ถูกแล้ว แต่ก่อนก็สงสัยว่า ทำไมอาตมาเอง มันสมองความเฉลียวฉลาด แค่ปริญญาตรี ทำไมไม่ได้สักใบกับเขา แต่ก่อนนี้อาตมาก็ยังรู้สึกด้อยตัวเอง แต่ทุกวันนี้เข้าใจแล้ว ว่า อาตมาจะต้องพิสูจน์ว่า อาตมาจะไม่ใช้ความรู้โลกีย์ มาทำงานทางธรรมะ เอาธรรมะโลกุตระเพียวๆ ตอนหลังที่เข้าใจแล้วก็รู้ว่า มันต้องเป็นเช่นนี้ ไม่งั้นไม่เป็นการพิสูจน์หรอก ไม่ได้เรียนมาก็เก็บมาประกอบเล็กๆน้อยๆขยายความอาศัยเป็นฐานอาศัยให้คนอื่นเขารับรู้ตามมาบ้างเท่านั้นเอง จะใช้ภาษาอังกฤษ จะใช้ความหมายตามโลกเขาอย่างนั้นอย่างนี้ อาศัยไปอย่างนั้น อาตมาไม่ได้เรียนมา ถูกแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าทำไมอาตมาไม่ได้จบปริญญาตรีกับเขา ไปเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้ไปกับเขา แม้แต่ท่านเพาะพุทธก็ไปมาไม่รู้กี่ประเทศ อาตมาด้อยกว่าเยอะแยะ ไม่ได้ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ แล้วจริงๆใจก็ไม่ได้อยากไปก็เห็นว่าจะไปทำไม ต่างประเทศ มีอะไรเหนือกว่าพระพุทธเจ้า มีอะไรเหนือกว่าความรู้ที่อาตมาว่าเป็นความรู้ทางมนุษยชาติ สังคมมนุษย์ เมื่อย ไปก็เมื่อย ไม่ได้คิดอยากไป เขาพร้อมที่จะจ่ายสตางค์ให้ไปนะ อาตมาก็ว่าไม่ไป “ความรู้”ที่อาตมาจะแสดงออกไปนี้จึงเป็นความรู้ ความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่ออย่างมั่นใจ ว่าเป็นแบบ“โลกุตระ”ที่อาตมามีติดตัวข้ามชาติมาแต่ชาติปางก่อน เพราะอาตมาได้บำเพ็ญ“โพธิสัตวภูมิ”สั่งสม“สัมภารวิบาก”อยู่ ซึ่งก็เป็นอจินไตยที่ยังเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ “โลกุตรธรรม”นั้นแน่นอนว่า มันย่อมแตกต่างไป ไม่ตรงกับผู้รู้เศรษฐศาสตร์โลกียะ หรือไม่ตรงกับผู้มีครู มีอาจารย์ มีตำราเรียนกันมาแบบสากลในโลกเทฺวนิยมทั้งหลายนั้นแน่ยิ่งกว่าแน่ แม้ชาวพุทธผู้ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ เศรษฐกิจ ต้องแก้ปัญหากันทาง จิตวิญญาณ 4) “เศรษฐกิจ” ต้องแก้ปัญหากันทาง“จิตวิญญาณ” “เศรษฐศาสตร์”คือ“ภาวะแห่งความเป็นจริง” ที่เป็น“สัจธรรม”ทาง“จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ “เงินๆทองๆ”ที่หลงยึดถือกันสูง หลงหนักจัดว่า “ตัวเลข” นั่นแหละ คือ“พระเจ้า” หรือเคารพบูชากันอยู่แต่จำนวน ของ“ตัวเลข”ที่แข่งขันกันสูง-แก่งแย่งกันมากยิ่งๆเท่านั้น เศรษฐกิจเจริญของชาวอโศกยิ่งมีตัวเลขรายได้ 0 ตัวเลขน้อยนั่นแหละคือยิ่งเจริญ ที่จริงแล้วมันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ ถูกต้องจริง แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ” ได้นิรันดรเด็ดขาด ถ้าไปหลงมุ่นแก้กันอยู่แค่“ตัวเลข” เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”กันหนักหนาสาหัสนั้น นั่นคือ หลงจำนวน“ตัวเลข”โดยหลงยึดถือ เอา“รายได้องค์รวม”ที่เป็นเงินทอง แล้วก็นับจำนวน“ตัว เลข”มาเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันความเจริญ“เศรษฐกิจ” มันก็เป็นการหลงผิดว่า ความสำคัญของมนุษย์ทั้งหลาย อยู่ที่“เงินทอง” หลงผิดกันว่า ชีวิตคนจะยิ่งใหญ่ทำให้อยู่ดีมีสุขได้ด้วย“เงินทอง”เท่านั้น “เงินทอง”สำคัญยิ่งใหญ่ที่สุด เป็น “ที่พึ่ง”คือ“พระเจ้า”คือ God ของชีวิตคนทั้งหลายทั้งหมด ก็ขอยืนยันว่า “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันแต่ “ตัวเลข-วัตถุ”นั้น ไม่มีทางสำเร็จเสร็จสิ้น ถึงขั้นไม่ต้อง “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอีก “จบกิจ”เด็ดขาด ได้แน่นอน และยิ่งไปหลงยึดเอา“ความสูงของตัวเลข”ที่เป็น“จำนวนรายได้ทางวัตถุ”มาเป็นเครื่องวัดสำคัญยิ่งกันซึ่งชาว“โลกียะ”สามัญปุถุชนทั่วไปในโลกเขาใช้กันอยู่นั้นก็ขอรับรองว่า “ไม่มีที่สิ้นที่สุด”ได้สำเร็จเด็ดขาด ถ้าแม้นไม่หันมา“แก้ปัญหาเศรษฐกิจกันทางจิตวิญญาณ” ซึ่งต้องเกิด“ปัญญา” โดยเฉพาะใช้“ทฤษฎี”ของพระพุทธเจ้าที่เป็น“โลกุตระ”กันให้“สัมมาทิฏฐิ” จึงจะได้เพราะมันไม่มีขีดจำกัดเลย ว่า “ความสิ้นสุดของความโลภ”หรือ“ความสิ้นสุดของความต้องการอยากได้ของคนที่เป็นเรื่องของ“จิต” มันจะรู้จัก“พอ”กันตรงไหน? “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”ด้วย“ทฤษฎี”ชาวโลกที่มี“ความรู้-ความฉลาด”แค่ชาว“เทฺวนิยม”มีกัน จะสูงส่ง เก่งกาจเต็มที่ปานใดๆก็ตาม มันก็มีแต่แบบ“โลกียะ”อยู่ เป็นแค่“ความรู้-ความฉลาด”ที่ยังเป็น“เฉโก”กันเท่านั้น มันยังไม่ใช่“ทฤษฎี”ของชาว“โลกุตระ”ที่มีความรู้-ความฉลาดของ“พุทธ”ที่เป็น“อเทฺวนิยม”คือ ผู้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ“เทฺว”อย่างสัมมาทิฏฐิ และจัดการกับ“เทฺว”ได้ สูงสุดถึงขั้น“อนัตตา-นิพพาน”และทำสำเร็จ“สูญ”นิรันดร จึงจะสามารถ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จกิจ “จบกิจ”กันถึงขั้น“ไม่ต้องแก้ปัญหา”กันแล้วๆเล่าๆ เพราะมี“ความสำเร็จเสร็จจบ”ที่บริบูรณ์สัมบูรณ์นิรันดร สมณะฟ้าไท… สรุปจบ โลกียะ กับ โลกุตระ มีประเด็นที่แตกต่างกันอย่างสำคัญยิ่งใหญ่ยิ่งยอด คือ… คนโลกียะนั้นเหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส จะเป็นจะตายกันก็แต่ว่า ใครจะหาทางได้ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุดเก่งกว่ากัน แล้วก็แข่งกัน“หาเสียง” ว่า “ข้านี่แหละ” ตนเองนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้คนร่ำรวย อยู่ดีมีสุขกับการมีลาภ เสพลาภ มียศ เสพยศ มีสรรเสริญสักการะมากยิ่งๆ ก็เสพ สรรเสริญสักการะ ได้ยิ่งๆ อยู่นานยิ่งๆ เสพกันให้หนักยิ่งๆ แต่คนโลกุตระ ก็เหน็ดเหนื่อย หนักหนา สาหัส ที่จะให้คนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “ลาภยศสรรเสริญสุข”นั้น “คนโง่”พากันวิ่งไล่ ยื้อแย่ง ฆ่าแกงกันมานานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ซึ่งคนโง่ยิ่งงมงายสะสม“วิบาก”ให้แก่ตน“โง่หนักทับถมโง่”ใส่จิตไปอีกยิ่งขึ้นให้ยิ่ง“ชั่ว” ยิ่ง“เลว” ยิ่ง“ร้าย” ยิ่ง“แรง”หนักหนาไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่รู้ว่า“ชั่ว-เลว-ร้าย” “คนโลกียะ”คือผู้ยังมี“อวิชชา”ซึ่งมันยังมี“ความโง่” คนโลกียะทั้งหลายก็จะ“วนเวียน”อยู่กับ“สมบัติผลัดกันชม”กันไป ไม่มีสิ้นสุด หยุด“จบกิจ”จริงกันได้เลย คนโลกียะทั้งหลาย“เลิกโง่-หยุดโ่ง่”กันไม่ได้นิรันดร เพราะยัง“อวิชชา” หรือยัง“มิจฉาทิฏฐิ”อยู่แท้ เขาจึงมุ่งมั่น“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”กันอยู่แต่“วัตถุ” แต่“ตัวเลข” แต่“ทฤษฎีโลกียะ” ยัง“อวิชชา”ใน“จุดแท้” ไม่รู้ว่า“เหตุ” ที่เป็น“จุดแท้”ที่ต้องแก้กันนั้น คือ ทาง“จิตวิญญาณ” ที่ต้องให้คนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่า “ความจน”ก็ดี “ความพอ”ก็ดี “ความไม่สะสม”ก็ดี นั้น เป็น“คุณวิเศษ”ที่เป็น“อุตตริมนุสสธรรม”ของคนผู้เป็น“อาริยะ”แท้ ผู้ประเสริฐแท้ เพราะมี“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“ปัญญา” “จิตวิญญาณ”เลิก“เฉโก” ไปเป็น“ปัญญา” “เฉโก”นั้นคือ “ความฉลาดที่บงการด้วยกิเลส” ส่วน“ปัญญา”คือ “ความฉลาดที่บงการด้วยการลดกิเลส”ไปได้เรื่อยๆตามลำดับ กระทั่งจิต“ไม่มีกิเลส” Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin24 มีนาคม 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660322 เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก NextNext post:ฉบับที่ ๕๔๙ (๕๗๑) นสพ.ข่าวอโศกฉบับรวมปักษ์ มีนาคม ๒๕๖๖Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024