660320 เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ราชธานีอโศก https://www.boonniyom.net/53010.html ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1dRO3zm-F8rr7gD3Ba58PmPXAYi2PYLnL/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1bmisEGESZov586ZrG_d4FT-XUygt0Aho/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Tii9BilFPX0 และ https://fb.watch/jo52MC_9Vs/ พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ นั่นคือวันเวลาสำหรับขณะนี้ กำลังปัจจุบันนี้ เรามาพูดกันตามประสาชาวอโศกเราคุ้มน้อยๆ เรานำเสนอกับชาวโลกว่าเห็นอย่างนี้นะ เป็นอย่างนี้นะ เอาใหม่เอาใหม่ ดีไหมดีไหมดีไหม ชอบไหมชอบไหมชอบไหม เราก็เสนอ แล้วเราก็มาเป็นอย่างนี้อย่างจริงใจ มีความเต็มใจจริงใจจริงๆที่เราอยากจะให้คนอื่นเขาได้อย่างนี้บ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง มันดีนะ อยากจะให้เขาเป็น อยากจะให้เขาได้บ้าง เราก็เสนอไป ไม่ใช่เสนอขาย ไม่ใช่เสนอด้วยความโลภ ด้วยความอยากได้อะไรตอบแทนมา..ไม่ใช่ แต่เราเสนอด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความยินดีว่า มันน่าจะดีนะ ถ้าคนอื่นได้เป็นอย่างที่เราเป็น เพราะว่าเรามีสิ่งที่ดีสำหรับที่เราได้แล้วเรามีแล้วอย่างที่เราเป็น ที่มันก็เป็นเรื่องลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) สันตา มันเป็นความสงบสุดยอดวิเศษยิ่ง เป็นแบบโลกุตระไม่ใช่สงบแบบโลกียะที่ทั่วไปเขาเป็นกันอย่างนั้น สุดยอดอย่างยิ่งเลย ปณีตา มันละเอียดสุขุมประณีต อตักกาวจรา เดาเอาไม่ได้ ใช้ตรรกศาสตร์ไม่ได้ขบคิดเอาไม่ได้ หัวแตกตาย 7 เสี่ยงเปล่าๆ ไม่มีทางได้ต้องเรียนรู้ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แล้วปฏิบัติจะเกิดเป็นปัจจัตตัง มีจิตวิญญาณของตัวเองเกิดเป็นขึ้นมา แล้วก็จะได้รับรู้สึก สัมผัสของจริงในจิตของตนเอง เป็นธรรมรสของตนเอง จึงไม่ใช่เรื่องพูดกันแต่ปาก พูดแต่ปากได้แต่คิดไม่ได้ ต้องปฏิบัติจนบรรลุธรรม ตั้งแต่เริ่มโสดาบันขึ้นไปเป็นต้น สกิทาคามี อนาคามีก็จะรู้ธรรมรส วิมุติรส แล้วยิ่งมีวิมุติที่วิเศษซับซ้อนทับทวีเป็นปฏิภาคทวียิ่งขึ้นยิ่งขึ้น ยิ่งจะชัดเจนยิ่งจะมีความแน่นอนความวิเศษ อาตมาก็พูดยกย่องชมเชย โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างวิเศษ ก่อนอื่นขอประกาศก่อน ระดมกันออกมาสร้างพรรคสัมมาธิปไตย _กราบขอพ่อครูได้โปรดพิจารณา ประกาศบอก… ตามที่คิดกันว่าวันพฤหัสบดีที่ 23 นี้ จะมีประชุม พรรคสัมมาธิปไตย (สธต.)เพื่อจัดตั้งสาขาพรรค นั้น ต้องขอยกเลิกไปก่อน เพราะเพิ่งทราบว่า ทางกกต.ได้กำหนดให้แต่ละพรรคจะต้องมีสมาชิกในจังหวัดที่จะตั้งสาขาพรรค ไม่น้อยกว่า 500 คนขึ้นไป ซึ่งเรามีสมาชิกแล้ว แต่ยังไม่ถึง 500 คน และจะต้องพยายามกันต่อไป โดยระดมสมัครสมาชิกให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000 คน ทั่วประเทศ ภายใน 1 ปีด้วยครับ พ่อครูว่า… ฟังให้ดีนะแม้เป็นนักเรียนอายุ 18 ปีขึ้นไปก็สมัครเป็นสมาชิกได้ ช่วยกันหน่อย พวกเราชาวอโศกยังน้อยจริงๆ จริงๆเราก็ไม่ได้รับแต่สมาชิกชาวอโศกเท่านั้น เพราะการเมืองเราไม่ได้ทำแคบๆอยู่เฉพาะชาวอโศก เราสัมพันธ์ไปถึงคนอื่นด้วยโดยเฉพาะคนไทย เราสัมพันธ์ไปด้วย เกี่ยวโยงกันไปด้วย เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเป็นสมาชิกของเรา จึงไม่ใช่คนอโศกเท่านั้น ฟังให้ดีนะประเด็นนี้ ซึ่งพวกเรานี่ชินในเรื่องที่เราจะรับบริจาค จะต้องเงินของพวกสมาชิกชาวอโศกเราเท่านั้น ใครยังไม่ใช่ชาวอโศก ยังไม่ใช่สมาชิกที่นับเป็นสมาชิกก็อย่างน้อยจะต้องมาวัด หรือมาพุทธสถาน มาคบคุ้นกับชาวอโศกอย่างน้อย 7 ครั้งขึ้นไป ตามกติกา หรืออ่านหนังสือชาวอโศก 7 เล่มขึ้นไป ตอนนี้มันมีทีวีด้วย เขาก็มาอ้างเรื่องดูทีวีเรา ก็ไม่รู้จะไปเช็คเขาอย่างไร ก็ดูทีวีถึง 777 วันขึ้นไปอะไรอย่างนี้ ก็เพิ่งตั้งกติกาอันนี้วันนี้ เอาตัวเลข 7 จะได้ขลัง แล้วค่อยนับเป็นสมาชิก ผู้ที่จะมาก็ซื่อสัตย์ก็แล้วกัน ได้ดู 777 วันขึ้นไปนะก็ประมาณ 2 ปีขึ้นไป แล้วค่อยมาบริจาคได้ แต่ผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยนี้ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์จะต้องดูทีวี 777 วัน แล้วถึงจะมีสิทธิ์ หรือ มาวัด 7 ครั้งจึงจะมีสิทธิ์ ไม่ใช่ แม้แต่กินเนื้อสัตว์อยู่ ยังไม่ได้ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัดอะไร เรามีข้อแม้เพียงแต่ว่า อย่ามีอบายมุข เพราะฉะนั้นคุณจะกินเนื้อสัตว์อยู่ หรือไม่รู้ล่ะ บางคนอาจจะฆ่าสัตว์มากิน มันจำเป็น เราก็ไม่ได้ไปเคร่งครัดถึงขนาดนั้นอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็พูดให้ชัดๆให้ครบๆ ไม่เช่นนั้นมันก็ยาก เพราะเราสัมพันธ์ในระดับกว้างออกไปกับมนุษยชาติเพื่อเป็นประโยชน์แก่กัน ที่ต้องการทำนี้ ไม่ใช่เราจะต้องการรายได้ ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ใช่ เราต้องการทำเพื่อทำประโยชน์รับใช้ประชาชน คงไม่น่ารังเกียจนะจะมีคนไปรับใช้ประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่ได้ไปทำอะไรเพื่อจะเอาอะไรจากประชาชน อันนี้เราก็ พิสูจน์พรรคสัมมาธิปไตยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นพรรคของเราจะต้องระดมกันให้ได้ให้มีถึง 500 คนขึ้นไป และมันมีอีกว่า จะต้องให้ได้ 5,000 คนทั่วประเทศ นี่ก็อีกเงื่อนไขหนึ่งสำหรับภาค 4 ภาคจะต้องได้ภาคละ 500 คน ทั่วประเทศภายใน 1 ปีต้องได้ 5,000 คน ผู้ที่เห็นดีเห็นงามฟังไปแล้วก็ช่วยกันบ้าง _จาก พระหมอ ๏ ณ แผ่นดินพุทธ ๏ แผ่นดินพุทธ ผุดแล้ว ดังแก้วประเสริฐ งามพริ้งเพริศ เฉิดฉาย คล้ายในฝัน ร่มรื่นรมย์ ห่มธรรมชาติ สะอาดครัน ด้วยสร้างสรรค์ จากใจ ใฝ่ธรรมา มนุษย์สร้าง จัดสรรเสก ให้เอกอุตม์ เพราะใจหยุด โลภโกรธหลง คงคุณค่า จึงปลูกโลก ปลุกชีวิต จิตศรัทธา ใช้เมตตา นำทาง ย่างชีวี สร้างสัปปา- ยสถาน โอฬารเขื่อง ให้ลือเลื่อง เนื่องนำ สู่ธรรมวิถี ชนเหล่าใด หมายผดุง มุ่งความดี ก็จงมี จิตแช่มชื่น รื่นโมทนา เราจะสร้าง ปัญญา หาแก่นพุทธ ไม่หยุดเพียง สะเก็ดเปลือก กระพี้หนา ใครจะรวม สร้างชาติไทย ใจพัฒนา เชิญเถิดมา แผ่นดินธรรม ลำน้ำมูล ๛ _พระหมอ พ่อครูว่า… นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ ก็เขียนมา _ดช.ธัมโม วารีสระ … โลกุตระคืออะไรครับหลวงปู่ พ่อครูว่า… ตอบเด็กชายธัมโมนะ ไม่ใช่ตอบทั่วไปกว้างๆ โลกุตระคืออะไรครับ โลกุตระ คือ จะต้องฟังผู้ใหญ่ เชื่อฟังผู้ใหญ่ อย่าดื้อ แต่เห็นว่าสนใจฟังธรรมอยู่ก็ดีแล้ว ฟังธรรมไปเรื่อยๆให้เข้าใจ แล้วทำตนเองให้เป็นคนดี เป็นเด็กดี เป็นเด็กดีให้ได้ โดยเฉพาะอยู่กับครูตุ๊ก ครูติ้ว ตอบ ฟังดีๆ ครูตุ๊ก ครูติ้วสอนหรือแม้แต่ ลุงหริก็ตาม สอนอยู่ในนั้นด้วย ก็ต้องเชื่อฟังคำสอนอย่างนี้เป็นโลกุตระ เอาแค่นี้ก่อน SMS วันที่ 17-19 มี.ค. 2566 _ชาญณรงค์ จินดาธรรม… · น้อมกราบนมัสการแทบเท้าพ่อท่าน ผู้เป็นพระมหาเถรเจ้า ผู้ทรงธรรมฤทธิ์ในยุคกึ่งพุทธกาล ผู้เที่ยงจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ด้วยความเคารพบูชายิ่งครับ พ่อครูว่า… เป็นข้อความที่ยกย่องในระดับสูงก็ขอบคุณ GDP โลกุตระไม่รับการค้าอบายมุข _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฟังพ่อครูอ่านข้อความของคุณเทวินทร์ สิทธิ์น้อย วิเคราะห์ว่ารายได้จากการค้าอาวุธ การพนัน ค้าประเวณี ค้ายาเสพติด ค้าอบายมุขต่างๆ ไม่น่านำมาคำนวณเป็นค่า จี.ดี.พี. ฉะนั้นค่า จี.ดี.พี.ควรคำนวณจากอะไรคะ จากปัจจัย 4 ได้ไหมคะ ค่าจี.ดี.พี.ตามความหมายที่พ่อครูประสงค์คือค่าที่ได้เสียสละช่วยเหลือกันใช่ไหมคะ ลูกเคยได้ยินพ่อครูว่า กาย คือองค์ประชุม ลูกมีคำถามว่าอะไรมาประชุม และประชุมกันอย่างไร ลูกรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่ฉลาดเลย เป็นคำถามที่ลูกน่าจะรู้ แต่ก็ไม่รู้ค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า… เอาประเด็น GDP ก่อน แล้วเรื่องกาย ค่อยอีกอันหนึ่ง GDP ของชาวโลกียะ มันก็เป็นของโลกียะ เขาคิด เขาคำนวณ เขาก็นำเอามาบวกกันรวมกันเป็นองค์รวม GDP ก็คือรายได้องค์รวม ส่วนของโลกุตระ ก็คิดรายได้องค์รวมเหมือนกัน Domestic คือ ภายในประเทศ อันนี้มีนัยยะละเอียดลึกซึ้งที่อาตมากำลังอธิบายอยู่อย่างสำคัญให้ติดตามไป เดี๋ยวจะอธิบายไป ยังไม่ถึง มันจะละเอียด อาตมาขยายความไปขยายความมาตอนนี้ไปได้ถึง 9 ประเด็นแล้ว อธิบายไปยังไม่ได้กี่ประเด็น. ฟังไปจะเห็นความแตกต่างระหว่างแนวคิดของโลกียะกับแนวคิดของโลกุตระนั้น มันต่างกัน ฟังนัยยะสำคัญของมันไปเรื่อยๆแล้วนัยยะโลกียะมันเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมากกว่าโลกุตระ โลกียะเขาก็มีประโยชน์แต่ใครจะมากจะน้อยจะควร หรือพูดชัดๆก็คือ ใครจะดีกว่ากันว่างั้นเถอะ ใครจะดีกว่ากันแท้ ลึกซึ้งกว่ากันแท้ ก็ติดตามกันดู เพราะฉะนั้นใน GDP ที่จะตอบตอนนี้ ตอบกันทีเดียวสั้นๆยังไม่ได้ บอกได้แต่ว่า อย่างเทวินทร์ เขามีความเห็นว่า GDP คือรายได้มวลรวมที่ได้มาจากการค้าอาวุธ การค้าพนัน ค้าประเวณีหรือยาเสพติด อบายมุขต่างๆ ไม่เอามานำรวมกันเป็นรายได้เป็นค่า GDP ทั้งนั้น อย่างนี้โลกียะเขาเอามาคิดจริงๆ ที่นี้โลกุตระเราไม่ทำ เราไม่คิด เราถือว่าร้ายแรงพวกนี้ หรือไม่ควร เป็นอันไม่ควร ค้าอาวุธ การพนัน ประเวณี สิ่งเสพติด มันเป็นอบายมุขทั้งนั้น แม้แต่รายได้จาก ถ้าจะให้เคร่งครัดขึ้นไปอีก รายได้จากการละเล่นบันเทิงเริงรมย์กีฬา ก็ถือว่าเป็นอบายมุขเป็นการเคร่งขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ส่วนระดับการค้าอาวุธ การพนัน ประเวณี สิ่งเสพติด พวกนี้ชัดอยู่แล้วว่า มันนอกเกณฑ์ที่จะมาอยู่ใน GDP ของโลกุตระ เพราะฉะนั้น GDPของโลกียะเขาคิดก็เป็นเรื่องของเขาแต่ของเราไม่เอา GDP อย่างนี้ไม่เอา โดยเฉพาะว่า Domestic ภายใน ภายในกรอบของโลกุตระ ไม่ใช่อย่างโลกียะเอามารวมให้น่ารังเกียจ ขออภัยที่พูดคำว่า น่ารังเกียจ สะดุดใจเหมือนกันแต่ว่ามันก็เป็นจริงอย่างนั้น ค่อยๆฟัง ค่อยๆอธิบายไปแล้วเราจะค่อยๆเข้าใจ ว่ามันแบ่งเกณฑ์ของคุณธรรม คุณงามความดี คุณวิเศษ มีรายละเอียดไปเรื่อยๆเป็นความเจริญสู่ความเจริญยิ่งๆขึ้นของความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็ติดตามไปเรื่อยๆ เรื่อง GDP อาตมาก็อธิบาย GDP อยู่ เดี๋ยวจะได้อธิบายต่อ แล้วอาตมาอย่าง GDP นี้ ยังแอ็คไปแปล GDP ว่า Gross Democracy Product อาตมาแสลนไปคิดอย่างนี้อีก แล้วจะอธิบายสู่ฟังติดตาม ต่อมาเรื่องกาย ขอฝากไว้ก่อน อาตมาตั้งใจจะอธิบายเรื่องกายหลังจากจบเรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ไว้ก่อนกับเรื่องประชาธิปไตยที่เป็น GDP ประชาธิปไตย Gross Democracy Product เพราะว่าคำว่า กาย คำนี้ยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้แม้แต่คำว่ากายที่เข้าใจผิดกันตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 เข้าใจคำว่า กาย ไม่สัมมาทิฏฐิอยู่แล้ว มันกระดุมเม็ดแรกกลัดผิด ไปหมดเลยไม่มีทางบรรลุธรรมโมฆะเลย ก็จะต้องไปปฏิบัติกายในกายในสติปัฏฐาน 4 จะต้องไป รู้จักแยกกายแยกจิตอย่างไร มีธรรมนิยาม 5 ไม่ง่ายเลยที่จะแยก ถ้าไม่เข้าใจปรมัตถธรรมอย่างสำคัญจริงๆ กายง่ายๆก็คือภายนอกต้องมีด้วย ภายในต้องมีด้วย กายต้องมี 2 สภาพ ต้องเป็นภาวะ 2 เสมอ เป็นเดียวไม่ได้ นี่ฟังไปตามลำดับ กายจะต้องมี 2 เสมอเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ เช่น เป็นรูปอย่างเดียวหรือเป็นนามอย่างเดียว ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลับตาเป็นนามอย่างเดียว กายข้างนอก ภายนอกไม่มีแล้ว ผิด ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่บรรลุอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น เอาไว้แค่นี้ก่อน _จนแท้ บุญคุ้มมาจน · กราบคารวะพ่อครู ลูกจนลงมากแล้วครับ จะพากเพียรให้จนให้ได้มากที่สุดครับ สงขลาภาพเสียงชัดเจนครับ. พ่อครูว่า…เรื่องวิเศษเป็นเรื่องที่ทวนกระแสโลก เป็นเรื่องที่ยากไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นๆ อนุโมทนาสาธุ _จรรยา ประเสริฐ · คลิปสัมภาษณ์คุณแจ๊ว ดิฉันได้ก๊อปปี้ไว้เลยค่ะ ที่เขาสัมภาษณ์ จากโลกียะ มาสู่โลกุตระ เพราะภาษาซื่อ ๆ แต่เข้าใจ ไม่มีภาษาประดิดประดอย แต่คุณธรรมล้นเหลือ กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า…นี่แหละคนซื่อๆตรงๆ คนไม่มีจริตจะก้าน คนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมคนจริงใจมากๆ จริงใจจริงๆมันจะเป็นอย่างนี้ คนที่รู้กันจะรู้สึกซาบซึ้งคนจริงใจ จะเข้าใจคนจริงใจ ประชานิยมแบบโลกุตระเป็นเช่นไร _อุเทน ศรียัง : สาธุอนุโมทนาครับนั่นแหละครับคือสิ่งที่พระราชาเขาเลือกนักการเมืองให้ปลา พระราชาให้เบ็ด นั่นคือความยั่งยืนและมั่นคงของประเทศชาติแต่นโยบายรัฐบาล 1 มันอยู่ได้แค่ 4 ปี ทำดีหรือไม่ดีก็ยังคาดหวังไม่ได้และนโยบายก็ใช่ว่าจะเอาของพรรคนั้น ของพรรคการเมืองนี้ อันไหนที่เป็นสิ่งดีก็ออกมาสืบต่อไม่ได้ แล้วประชาชนมันก็ต้องคลอนแคลนระส่ำระสายอยู่ตลอดไปนั่นแหละครับ รัฐบาลก็ต้องเข้ามาอุ้มทุกปี ช่วยเหลือทุกปีนั่นแหละครับ เพราะทุกๆนโยบายนั้น มันใช้ได้อย่างไม่ยั่งยืนและถาวรหรอกครับ เพราะทุกๆนโยบาย มันคือช่องออกของการทุจริตไงครับ มันจึงเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับประชาชนไม่ได้ครับ เพราะอันไหนไม่ดี เขาก็ต้องเอาทิ้งไป ประชาชนดีขึ้นได้ ประเทศชาติก็ล่มจมนั่นแหละครับเพราะรายได้และรายจ่ายมันจะไม่สมดุลกันครับ พ่อครูว่า…ก็ประชานิยม มันไม่ใช่ของดีนี่ ที่จริงแล้วมันซ้อน ประชาชนนิยม แล้วนิยมสิ่งที่ถูกต้องดีหรือเปล่า ถ้าประชาชนไปนิยมสิ่งที่ไม่ดี นิยมที่จริงก็แปลว่าเที่ยงด้วย ไปเที่ยงกับไอ้สิ่งที่มันไม่ดี มันก็เจ๊งแน่ แต่ถ้าประชาชนนิยมหรือไปเที่ยงกับสิ่งที่ดีที่ถูกต้องแท้ นี่แหละมันเป็นนัยยะที่เข้าใจยากในโลกุตระกับโลกียะ นี่เป็นภาษาสิริมหามายา หรือเป็นมายา เพราะฉะนั้นเข้าใจผิด เข้าใจไม่ได้ก็เป็นมายาไปยึดเอาผิด ถ้าเข้าใจถูกก็จะดีถูกต้องเป็นสัจธรรม มันก็เป็นสิริมหามายา เพราะว่ามันเป็นdialacticคำพูดที่ 2 นัยยะอยู่ในโลก อันนี้แหละเทวนิยมเขายังไม่ชัดเจนเขายังไม่รู้แท้ เขายังยืนยันไม่ได้ถึงขั้นจิตที่จริงใจ จิตที่ไม่มีกิเลส จิตที่บริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ ไม่โลภโมโทสัน นั่นคือเงื่อนไขที่สำคัญ ต้องปฏิบัติธรรมเป็นโลกุตระจริงๆแล้วกิเลสลดจนหมด แล้วคนก็ไม่เชื่อว่าคนจะเป็นอรหันต์ คนจะหมดกิเลส แล้วคนที่หมดกิเลสนั่นแหละจะมาเป็นนายก จะมาเป็นนักการเมืองจะมาเป็นประชาชนผู้ที่จะมาช่วยการเมือง เขาไม่เชื่อ เขาเข้าใจผิดแบบที่พาเสื่อม พาผิดจากศาสนาพุทธไปแล้ว เขาเข้าใจว่าศาสนาพุทธธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งเป็นโลกุตระเป็นอารยะ ไม่มายุ่งกับการเมือง มันก็เห็นใจเขาเหมือนกันเพราะการเมืองมันมีแต่เลวๆผิดๆ เลวร้ายทั้งนั้นในโลก มีแต่ประชาธิปไตยที่ดี ที่บริสุทธิ์ ที่ ดีๆที่สะอาด ที่มีเหตุปัจจัยสำคัญ คือรู้จักกิเลสแท้ๆลดกิเลสแท้ๆน้อยมาก เทวนิยม ประชาเทวนิยม ไม่ได้ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สะอาด จากขั้วหัวใจที่สะอาด เพราะเขาไม่รู้จักกิเลส เทวนิยมน่ะ แล้วเขาก็มีเทวนิยมกันทั่วโลก มีอเทวนิยมหรือโลกุตตระอยู่ที่เมืองไทย ขอย้ำเลยนะไม่ได้พูดเล่น อาตมาเคยย้ำแล้วว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แม้มันจะเสื่อมไป 2,500 ปี รากเหง้าก็เป็นพุทธอยู่. ยังมีเชื้อของพุทธมาเรื่อยๆ แต่มันยังไม่เด่น มันมาเด่นเอายุคพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 รัชกาลอื่นก็ยังไม่มี รัชกาลอื่นก็ยังไม่เด่น คนแม้แต่ชาวต่างประเทศก็เห็น เขาให้รางวัลในหลวงรัชกาลที่ 9 เขาถวายรางวัลในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเขารู้ลึกๆอยู่ว่ามันดี แต่เขายังอธิบายโลกุตระไม่ออก เขายังอธิบายไม่ได้หรอก ที่เขาให้ เขาถวายรางวัลในหลวงรัชกาลที่ 9 มาจากสหประชาชาติ แม้แต่รางวัลของ Noble Price ก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ เขาไม่รู้เลย Noble Price เขายังเป็นเทวนิยมอยู่ กรรมการ Noble Price เขายังเป็นเทวนิยม เขายังไม่รู้ เพราะฉะนั้นในหลวงได้ไม่ได้แบบ Noble Price มันเป็นเรื่องของทางลักษณะการเมืองกลายๆ สหประชาชาติให้แก่ในหลวง ลึกๆเขารู้ว่ามีความดีที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมีพระจริยวัตรที่ พูดชัดๆคือท่านรับใช้ประชาชนจริงๆ ซึ่งเป็นคำสากล คำว่า รับใช้ประชาชน ไม่ใช่รับจ้างนะ คำนี้สูงส่ง นี่ ใช้ภาษาเราจะใช้ภาษา ราชาศัพท์จะใช้อะไร ท่านทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ อย่างที่เป็น พวกเราก็รู้ ถึงได้เกิดระเบิดแห่งความรัก พอท่านสิ้นพระชนม์ ก็ร้องไห้กันทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆศึกษาไป แล้วจะค่อยๆเข้าใจ _นฤพล สิมศรี : ไม่เคยให้ราคาอุ๊งอั้ง พ่อครูว่า…ก็คงจะมีคนเข้าใจอย่างนี้ไม่น้อยแต่เขาไม่อยากจะพูดหักรานน้ำใจอะไรกันมาก แต่คุณนฤพลก็พูดความจริงใจออกมา คุณอุ้งอิ้งไม่มีราคาจะมาเป็นนายกอะไรอย่างนี้ ก็ใครจะเห็นอย่างไรก็เป็นความจริงของประชาชน ก็มองกันไป _จนแท้ บุญคุ้มมาจน · กราบนมัสการสมณะครับ.เหตุคือโกง เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องญาติมิตรและเผด็จการรัฐสภาพวกมากลากไปไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน.ผลคือรัฐประหาร. พ่อครูว่า…พูดชัดๆก็คือ ทักษิโณมิกซ์ที่ถูกประหารกันมา เป็นรัฐบาลทั้งตัวทักษิณเอง เป็นรัฐบาลตัวแทนที่เรียกกันว่า นอมินี มาตั้งแต่สมัคร มาถึงสมชาย แล้วก็มายิ่งลักษณ์ ก็ถูกรัฐประหารออกไปหมด นั่นแหละก็ชื่อว่าเผด็จการแน่ เผด็จการของทักษิณเขาทำได้ถึงขั้นเผด็จการในรัฐสภาเลย คือมีคะแนนเสียง ส.ส.ในพรรคเขา คือมีมาก มันเกินกว่าครึ่งไปตั้งมาก คือในกฎเกณฑ์ของกฎหมาย เขายกมือเท่านั้นชนะทุกอย่าง มันเลยเป็นเผด็จการรัฐสภา ต่อมาก็ลดลงบ้าง สุดท้ายก็ไปไม่รอด มันก็เป็นพวกมากลากไปอยู่นั่นแหละ พิสูจน์กันค่อยๆศึกษา นั่นเป็นพฤติการณ์จริงของสังคมประชาธิปไตย ค่อยๆดูไปเรื่อยๆและอาตมาก็ขอยืนยันว่าประเทศไทยนี้จะเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ อื่นๆเขาก็บอกว่าของเขาเป็นประชาธิปไตย จะเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกาที่หลงใหลได้ปลื้มกัน มันเป็นประชาธิปไตยที่ย่ำแย่ เป็นตัวอย่างที่ย่ำแย่ ประชาธิปไตยที่ยุโรป เขาก็มีอยู่หลายประเทศ มันคล้ายๆกัน อธิบายเทียบเคียงกันได้ ประชาธิปไตยก็ดี เศรษฐกิจก็ดี เดี๋ยวจะมีของประเทศสวีเดนมาให้ฟัง พุทธเศรษฐศาสตร์โลกุตระเน้นมีให้น้อยและขาดทุน _Nammit TALKS (น้ำมิตรเสวนา)เศรษฐกิจในความหมายพ่อท่านคือ 1ประเทศ 2 ระบบ คือแยกสินค้าให้กับคนในประเทศและใช้ราคาหนึ่งเป็นค่าครองชีพให้พออยู่พอกิน และอีกราคาเป็นไปเพื่อขายต่างประเทศ ซึ่งจะราคาสูงหรือต่ำก็ให้ใช้หลักขึ้นอยู่กับให้เหมาะกับค่าครองชีพของประเทศนั้นๆ การทำให้สินค้าจำเป็นกับการครองชีพให้มีราคาต่ำและมีใช้อย่างพอเพียงนี่คือเป้าหมายทางเศรษฐกิจแท้ แต่ในยุคนี้ ทำได้เฉพาะกลุ่มที่แยกจากสังคมใหญ่เพราะการสะพัดที่ไม่มีพรมแดนจะทำให้ทุกอย่างเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น และ ไม่สามารถคุมได้ในระบบทุนนิยม จนกว่า คนทั้งหลายจะเข้าถึงความเป็นชาวบุญนิยม แล้ววันนั้นจึงจะสามารถทำลายพรมแดน ให้เป็นแดนศิวิไลน์ได้ทั่วโลก สาธุ(เป็นความปรารถนาของพระอวโลกิเตศวร) ความเห็นเฉพาะตน “พ่อท่านเทศน์ พุทธเศรษฐศาตร์จุลภาค ร.9 ท่านบอกทางเรื่อง พุทธเศรษฐสาตร์มหภาค” พ่อครูว่า…เอาตรงคำว่าพุทธเศรษฐศาสตร์จุลภาคกับพุทธเศรษฐศาสตร์มหัพภาคก่อน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) พ่อครูว่า… นี่ใช้คำว่าพุทธร่วมด้วยนะ พุทธเศรษฐศาสตร์ จะให้ชัดก็โลกุตระ เศรษฐศาสตร์โลกุตระกับเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ใช่โลกุตระ ก็คือเศรษฐศาสตร์โลกุตตระกับเศรษฐศาสตร์โลกียะ จะใช้คำว่า พุทธเศรษฐศาสตร์ ศาสนากระแสหลักที่เป็นคนไทยเขายังไม่เข้าถึงโลกุตระ เพราะฉะนั้นใช้คำกำกับพุทธเศรษฐศาสตร์ มันต้องอธิบายอีก ใช้คำว่าเศรษฐศาสตร์โลกุตตระกับเศรษฐศาสตร์โลกียะ อย่างนั้นจะชัดเจน ทีนี้คำว่า เศรษฐศาสตร์จุลภาคนั้น คุณน้ำมิตรบอกว่า ที่อาตมาอธิบายเป็นจุลภาค ส่วนเศรษฐศาสตร์ของในหลวง ร. 9 นั้นเป็นเศรษฐศาสตร์มหภาค มหภาคแปลว่า กว้าง เป็นส่วนใหญ่ ส่วนจุลภาคนั้นเป็นส่วนเล็ก ส่วนน้อย ก็ถูก เพราะเศรษฐศาสตร์โลกุตระนั้น มันยังรู้กันในคนส่วนน้อย ทำได้ในคนส่วนน้อย และที่จริงที่สุด มันก็จะได้ส่วนน้อยนั่นแหละเป็นหลักตลอดกาลนาน เพราะ เศรษฐศาสตร์โลกุตระ มันจะยอดพีระมิด ถ้ามันเจริญมันก็จะขยับเอามวลจากยอดพีระมิดลงมาหาฐานพีระมิดมาเรื่อยๆ มันก็ยังจะน้อยอยู่ตลอดกาล เพราะโลกุตระนั้น จากน้อยขยายมาๆ ถ้ามันไม่เกินครึ่งของฐานพีระมิดแล้วล่ะก็ แม้จะเกินครึ่งมาอีก ฐานพีระมิดก็ยังมีมวลมากกว่าครึ่ง ต่อให้พีระมิดลดลงมา เอามวลพีระมิดนี้จากพื้นที่มวลพีระมิดแหลมยอด ลงมาเรื่อยๆเกินครึ่งหนึ่งของฐานพีรามิด มวลของยอดพีระมิด มันก็ยังเป็นมวลน้อยกว่าฐานพีระมิดอยู่ดี แต่มวลที่น้อยนี่แหละ เป็นผู้มีความประเสริฐ เสฏฐะ แปลว่า ความประเสริฐหรือจะแปลจาก Economy เขาแปลว่า ประหยัด มันก็เป็นผู้ที่ประโยชน์สูง ประหยัดสุดอยู่ดี มันเป็นเรื่องของความเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดอยู่ดี เอาประโยคนี้มาอธิบายโลกุตระเศรษฐศาสตร์ โลกุตระก็แล้วกัน ประโยชน์สูง ประหยัดสุด มันไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยด้วยสุรุ่ยสุร่าย หรือว่าเป็นเล่ห์กลอยู่ในวิธีสะพัดเงินหมุนเงิน เพื่อโลภมาให้แก่ตัวเองได้มากขึ้นๆ แต่มันจะทำน้อยลง น้อยลง น้อยลง อาตมาอธิบายติดตามดีๆ ตอนนี้ขยายไปถึงประเด็นที่ 9 แล้ว เศรษฐศาสตร์โลกุตระนี้ ขยายตอนนี้มันไม่เชื่อมต่อกันก็คงจะเข้าใจยากเพราะไม่มีพลความ ต้องฟังพลความเป็นคำขยายพื้นฐานมาก่อนแล้วก็จะเข้าใจรายละเอียดได้ _สู่แดนธรรม… ผมนึกขึ้นได้ เหมือนกับแก่นภายในชาวอโศกมีพระโสดาบันจำนวนน้อยกว่าสมาชิกพรรคการเมืองที่เราประกาศรับเข้ามานี่แหละครับ อย่างนี้พอได้ไหมครับเพราะเขาจะเข้ามาเป็นฐาน จำนวนคนที่ได้อาริยธรรมก็จะมีจำนวนน้อยเป็นธรรมดา พ่อครูว่า… ก็คล้ายกันการเมืองประชาธิปไตย กับเศรษฐศาสตร์ก็จะมีนัยยะไม่ต่างกันเท่าไหร่ มันก็จะมีส่วนต่าง แต่ว่าส่วนที่คล้ายกัน มันก็จะมีอย่างที่พูดทิ้งไว้เมื่อกี้นี้ เพราะฉะนั้น ก็ทำความเข้าใจไป ค่อยๆเข้าใจเรื่อยๆไปในรายละเอียดต่างๆ ที่อาตมาอธิบายอยู่นี่ก็มันเป็นความจริงใจของอาตมา ที่อาตมาเห็นว่ามนุษยชาติควรจะได้ความรู้อันนี้ ที่อาตมามั่นใจว่าเป็นความรู้ระดับยอดสุดของความเป็นมนุษยชาติ ความเป็นสังคมที่อาตมาเคยพูด ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วอาตมาก็เรียนรู้ตาม มายุคนี้ก็เอามาเปิดเผยในฐานะที่ประกาศตนบอกตนไปแล้วว่า เป็นลูกพระพุทธเจ้าที่อยู่ในระดับที่ โพธิสัตว์ระดับ 7 นั่นแหละ ที่พูดจริง อธิบายจริงแล้วพาทำจริงๆ มีการประพฤติ มีการบรรลุธรรม มีการบำเพ็ญในมนุษย์จริง มีปรากฏการณ์สัมผัสได้ เพราะฉะนั้นจะต้องมาพิสูจน์ความจริง สัมผัสความจริงกันเถอะ แล้วจะค่อยๆรู้เรื่อง ค่อยๆเข้าใจ รัฐสวัสดิการชาวอโศกนั้นยิ่งกว่ารัฐสวัสดิการของสวีเดน ทีนี้มาฟังอันนี้ดู ฝั่งของ ดร.จบทางเศรษฐศาสตร์มาจากออสเตรียพูดถึงรัฐสวัสดิการสวีเดน _เลือกตั้งไทย…มองไกลถึงสวีเดน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิตตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใกล้วันยุบสภา พรรคการเมืองน้อยใหญ่พร้อมใจชูนโยบายสวัสดิการเพื่อประชาชน พ่อครูว่า… อาตมาว่าทางพลเอกประยุทธ์ ไม่เห็นจะออกมาบอกชูนโยบายอะไรมากมาย จะทำงานไปแล้วก็บอกผลงานไป ไม่เห็นอวดอะไรมากมาย แต่นี่เห็นพรรคการเมืองเขาอวดกันเลยกันมากมาย _หากทว่า ยังไม่ ปรากฏพรรคการเมืองใดประกาศจุดยืนจะปฏิรูประบบภาษี สําหรับเป็นแหล่งรายได้ของรัฐ และขจัดปัญหา คอร์รัปชัน เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นนั้นแล้ว สวัสดิการเพื่อประชาชนจะเกิดขึ้นในประเทศไทยได้จริงหรือ วันนี้ขอนําเสนอเรื่องราวและหัวใจสําคัญของรัฐสวัสดิการ สวีเดน หนึ่งในประเทศที่ได้รับการขนานนามว่า มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุด ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม รัฐสวัสดิการประเทศสวีเดน เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของพรรค Swedish Social Democratic (SAP) ซึ่ง ชูนโยบายสังคมเท่าเทียม โดยการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า เพื่อสร้างสวัสดิการให้ประชาชน ในระยะเวลาของ การบริหารประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2475 ถึงปี พ.ศ. 2519 รัฐบาลของพรรค SAP ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ทางสังคมเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสวีเดน ให้เข้าสู่ระบบสวัสดิการทั้งหมด กล่าวคือ ประชาชน สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การศึกษาทุกระดับ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีบํานาญชราภาพ การ คุ้มครองจากการว่างงาน และผลประโยชน์ทางสังคมอื่นๆ แม้ว่าชาวสวีเดนได้รับประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐเต็มรูปแบบ มีความสะดวกสบาย มีความมั่นคง ในชีวิต แต่ประชาชนต้องเสียภาษีหนักที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในขณะที่ประเทศไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ประเทศสวีเดนและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศเดนมาร์คและประเทศนอร์เวย์เก็บ VAT 25% ซึ่งรวมอยู่ในราคาสินค้าและบริการที่ประชาชนจ่าย ปัจจุบันคนทํางานในประเทศนี้ โดยเฉลี่ยเสีย ภาษีเงินได้ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ พ่อครูว่า… ไม่ต้องไปตื่นเต้นเท่าไหร่หรอก เขาเสียภาษี 5% แต่ของเราชาวอโศกเสียภาษี 100% หัวเราะฮ่าๆๆ ด้วยความยินดีเต็มใจด้วยนะ _ผู้ประกอบการในฐานะนายจ้างต้องจ่ายภาษีนิติบุคคล และชําระเงิน เข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อสิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง อาทิ เงินบํานาญ ประกันสุขภาพ และสวัสดิการ สังคมอื่น น่าสนใจว่า ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (FICA Taxes) กําหนดให้นายจ้างและลูกจ้างจ่ายฝ่ายละ7.65% ของค่าจ้าง ประเทศไทยจ่ายฝ่ายละ 5% นายจ้างในสวีเดนต้องจ่ายสมทบในระบบประกันสังคมถึง 31.42% พ่อครูว่า… ของชาวอโศกเราเสียภาษีไม่ได้ถูกกดข่ม ไม่ได้ถูกบังคับ เป็นอิสระเสรีภาพที่คุณจะเข้ามาอยู่ในสังคมนี้ แล้วคุณก็ทำงานเสียภาษี 100% อย่างเต็มใจ ซึ่งไม่เหมือนที่อื่นเลย มันอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ _แม้ว่าการจ้างพนักงานดูเหมือนเป็นภาระหนัก แต่นายจ้างก็ได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูป พนักงานมีสุขภาพแข็งแรง รู้สึกมั่นคงในชีวิต ส่งผลให้การทํางานในองค์กรมีคุณภาพ เป็นที่น่าสังเกตว่า พรรค SAP ได้รับความนิยมจากคนสวีเดนจํานวนมาก สะท้อนจากผลการ เลือกตั้งที่พรรคได้รับคะแนนเสียงเป็นสัดส่วนสูงที่สุดตลอดมา แม้ว่าในปี พ.ศ. 2534 รัฐบาลพรรคขั้วอนุรักษ์นิยม ได้แก่ Centre Party, People’s Party, Moderates, Christian Democrats และ New Democracy จะมี นโยบายลดภาษี ควบคู่กับการควบคุมบทบาทรัฐสวัสดิการ ลดผลประโยชน์บางประการที่ประชาชนเคยได้รับ ด้วยความกลัวว่ารัฐบาลจะตัดทอนสวัสดิการมากเกินไป ในปี พ.ศ. 2537 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เทคะแนน ให้พรรค SAP กลับเข้าสู่อํานาจอีกครั้ง ในครั้งนี้ พรรค SAP ได้ประกาศสร้างเสถียรภาพทางการคลัง ด้วยการตัดทอนการใช้จ่ายภาครัฐ และเพิ่มภาษี เพื่อลดการขาดดุลของรัฐบาล จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 การขาดดุลงบประมาณและการว่างงานลดลง รัฐบาลพรรค SAP จึงฟื้นฟูนโยบายเดิม พร้อมทั้งขยายสวัสดิการสังคมบางส่วนเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่า ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ระบบรัฐสวัสดิการในประเทศสวีเดนประสบความสําเร็จ พ่อครูว่า… จริง ชาวอโศกเราตระหนักถึงการเสียภาษีไหม …ตระหนัก พวกเราตระหนักถึงการเสียภาษี คือการให้เงินไปให้แก่กองกลางส่วนกลาง มาจากการที่ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญของการเสียภาษี เพื่อเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐนําไปสร้างสวัสดิการประเภทต่างๆ ให้กับคนในสังคมทุกระดับ นอกจากนี้ ชาวสวีเดนมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะบริหารเงินงบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน โดยไม่มีการทุจริต พ่อครูว่า… เขาเอาตัวนี้มาเป็นหลักเลย เน้น ขอแวะนิดนึง คนในสังคม มีจำนวนพัน จำนวนหมื่น จำนวนแสน จำนวนล้าน โดยเฉพาะล้านคนขึ้นไปหลายล้าน จะไม่ให้มีคนทุจริตได้ไหม ยากมาก ยาก เพราะฉะนั้นกฎหมายต้องเข้มในเรื่องทุจริตมาก ไม่เช่นนั้นประเทศที่ไม่ใช้กฎหมายเข้มข้นในการเอาผิดผู้ทุจริต คนในประเทศนั้นก็ต้องเป็นคนดีเป็นคนเจริญ เป็นคนมีกิเลสน้อย จนกระทั่งถึงขั้นไม่ทำทุจริต นั่นแหละมันถึงจะเป็นไปได้ ใช่ไหม เหมือนอย่างพวกเรานี่ เดี๋ยวค่อยๆอธิบายแล้วจะค่อยๆเข้าใจว่า จิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวงได้ เพราะมีกิเลสน้อยจนกระทั่งถึงไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นคำว่าคนไม่มีกิเลสเป็นไปได้ และไม่ใช่เรื่องเกินเชื่อหรือเกินที่จะมีได้ เสียภาษี 100% ด้วยความยินดี แม้มันจะกิเลสไม่หมด พวกชาวอโศกกิเลสไม่หมดตั้งเยอะแยะก็ยังมาเป็นสมาชิกชาวอโศกเสียภาษี 100% เลย กิเลสยังไม่หมดยังไม่ใช่อรหันต์หรอกใช่ไหม เพราะฉะนั้นยิ่งคนเป็นอรหันต์ก็ยิ่งสบายแล้วก็เป็นแกนหลักให้แก่สังคมด้วย _เมื่อพิจารณาดัชนีการรับรู้คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index) ที่ใช้วัดการคอร์รัปชันของ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก พบว่า ประเทศสวีเดนและประเทศรัฐสวัสดิการเพื่อนบ้าน เป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นต่ำที่สุด 5 ลําดับแรกมาอย่างต่อเนื่อง ชาวสวีเดนมีทัศนคติที่ชัดเจนว่า การทุจริตทุกระดับเป็นพฤติกรรมที่ไม่สามารถยอมรับได้ พ่อครูว่า… เข้มข้นดี แข็งดีนะ การทุจริตในทุกระดับ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ คนไทยเอ๋ย คนไทย เอาอย่างเขาหน่อยนะ _คนสวีเดนจะไม่ทําสิ่งไม่ดี และจะไม่ทนยอมให้ผู้อื่นทําสิ่งไม่ดีที่มีผลต่อส่วนรวม โดยไม่เลือกปฏิบัติ กล่าวโดยเฉพาะคนสวีเดนไม่ยอมรับบุคคลที่มือไม่สะอาด พ่อครูว่า… โอ้โห สส.ของเขาจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ดีจริงๆ ประเทศไทยเอ๋ย เอาอย่างเขาหน่อย ของดีๆอย่างนี้ให้มันดีเถอะ มันเป็นเรื่องถาวร เป็นเรื่องบริสุทธิ์สะอาดเป็นเรื่องคนดี คุณจะไปเป็น ส.ส.คุณก็เป็นคนสะอาดบริสุทธิ์ไปสิ ไม่งั้นจะเป็นสส.เน่าอยู่อย่างนั้นให้เสียชื่อวงศ์ตระกูลทำไม _มีประวัติด่างพร้อยมาเป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้น การบริหารงบประมาณแผ่นดินจึงมีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง พ่อครูว่า… นี่เป็น ดร.ชิตตะวัน ชนะกุล เขียนมา ให้พวกเราได้เข้าใจ เพราะเป็นดร.ทางเศรษฐศาสตร์ ก็เอาความเห็นความรู้ความเข้าใจ ที่มีอยู่ในสวีเดนมา ก็ได้ประโยชน์เท่าที่ได้ฟังมานะ GDP แบบพุทธที่เห็นแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมหรือผู้ยังนับถือพระเจ้า ตอนที่ 2 พ่อครูว่า… เอาที่เขียนมาอธิบาย … GDP มันก็เป็น“รายได้มวลรวม”ที่ไปนับเอา“รายได้”จากที่ขาย“ผลผลิต”ออกไปให้แก่ต่างประเทศโน่นมา “รวมเป็นรายได้ปนเปเข้าไปด้วยอีก” แล้วหลงผิดนับว่า เป็น“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ” ซึ่งไม่ใช่ที่อาตมาหมายเรื่องGDP GDP อย่างเข้ม ต้องเอาเฉพาะภายในที่เป็นผลผลิตภายในเท่านั้น อย่าเอาจากที่เราส่งไปขายต่างประเทศได้ หรือจากคนไทยที่อยู่ต่างประเทศเอารายได้ส่งเข้ามาให้ในไทย มารวมเป็นมวลรวมด้วย อย่า อาตมาเข้มตรงนี้ว่า Domestic หรือ รายได้มวลรวมประเด็นที่ 1 ตรงนี้ แต่เขาไม่ได้คิดกันอย่างนี้หรอก เขาคิดรวม อาตมาก็เลยเอาแบบของอาตมาบ้างว่าเป็นอย่างนี้ แล้วมันจะทำได้สูงสุดเพราะคุณภาพของคน คุณภาพของคนที่ไม่มีกิเลส เสียสละเป็นที่สุด มีใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ เพราะฉะนั้นเสียสละเมื่อคนไทยหรือชาวอโศกเป็นต้น ชาวอโศกพออยู่พอกิน ทำได้มาก ทำได้เกิน ก็สะพัดส่วนมากส่วนเกินออกไปสู่คนอื่น ขายก็ขายขาดทุนได้ เพราะเราไม่ขี้โลภ แจกฟรีก็แจกได้ เราถือว่าเป็นความดีงามของมนุษยชาติ เป็นความเจริญของมนุษยชาติเป็นความประเสริฐความพัฒนาขึ้นของคน เพราะฉะนั้นเราทำได้จริงก็จึงยืนยันมั่นใจว่าเราทำได้จริง เพราะฉะนั้นถ้าไปสำคัญตรงนี้ รวมตรงนี้ผิด มันจะไปกระทบความงามคุณงามความดีของคน จะทำให้สูง เจริญยิ่งกว่านั้นในประเด็นสุดท้าย ปลายๆไม่ได้ คืออะไรคอยติดตาม อาตมาก็ถามประโยคตอบไปว่า …มันสำคัญผิดไปมั้ย? พินิจดูกันให้คมๆ แม่นๆ ชัดๆ กันเถิด พินิจกันลึกๆชัดๆคมๆแม่นๆแล้ว จะเห็นว่า ที่ว่า“รายได้มวลรวมในประเทศเท่านั้น” หรือจากภาษาที่ว่า Gross Domestic Product นี้ มันเป็น“รายได้มวลรวม”คือ Gross ที่ถูกต้องตรงตามความกำหนดหมายกันแล้วหรือไม่ใช่? มันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่เกิดขึ้น“เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น”จริงหรือ? มันต้องเอา“รายได้ที่เกิดขึ้นจากการนับ‘รายได้’อันได้ขายผลผลิตของไทยที่ไทยผลิตขึ้นได้”กันในประเทศ”เท่านั้นเป็น“รายได้มวลรวมจากผลผลิตของไทยเอง”ตะหาก ประเด็นที่ 1 นี้ จึงเป็นการหลงผิดในการขาย“ผลผลิต”ที่ควบรวม“รายได้”จากภายนอก ของ“ผลผลิต”ที่ส่งออกไปขายนอกต่างประเทศ และหรือนับเอาของคนไทยที่ไปได้ “รายได้”อยู่นอกต่างประเทศแล้วส่งเงินเข้ามาให้คนไทยในประเทศไทย ว่า เป็น“รายได้มวลรวม”เฉพาะของไทยคนไทยภายในประเทศไทยเท่านั้น ว่า เป็นการขาย“ผลผลิตไทยกันเองภายในประเทศเท่านั้น” แต่หลงว่า“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ” “เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 1 นั้นกำหนดหมายผิดเพี้ยนตรงหลงควบรวมเอาที่“ไม่ใช่ ภายในเท่านั้น”แท้ๆ มาควบรวมเป็น“ภายในแท้”เข้าไปด้วยอย่างสับสนอยู่ ไม่“ตรง”แท้ ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรง ของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ไปหลงแต่ตัวเลข ใช้วิธีการซับซ้อนต่างๆมานานแล้วก็ไปเอาที่การเลือกตั้ง ประชาชนส่วนมากก็ถูกลากจูงให้สำคัญผิดไปกับการเลือก โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่า ลึกๆคนนี้ดีจริงๆหรือไม่ คนนี้เป็นคนทำงานดีมีเนื้องานรับใช้ประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้โฆษณาตัวเอง ไม่ได้หาเสียงให้ตัวเองด้วย แต่เขาทำงานจริงๆเหมือนอย่างในหลวงร. 9 ทำงานจริงๆ มีเนื้องาน มีผลงานอะไรอยู่ โดยที่ไม่ต้องทำอย่างนั้นหรือเปล่า ด้วยวิธีการโฆษณาหาเสียงเหมือนอย่างพวกเขาหาเสียงกัน บ๊องๆๆ กัน ฟังดีๆแล้วจะได้ความรู้ความเข้าใจ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… ขณะที่ผมพบอโศกใหม่ๆ พ่อท่านสอนลูกๆให้ได้ทั้งนิพพาน และสอนให้ทำประโยชน์แก่สังคม ผมเห็นความแปลก ยุคแรกๆพวกเราต่อสู้เรื่องกามและไม่ได้ดังใจอัตตา ก็เลยหลบลงบาดาล พ่อท่านโจมตี ถีนมิทธะ และก็พาเราทำกสิกรรม ปฏิวัติสังคมด้วยฟางเส้นเดียว ก็ทำในสิ่งที่ มนุษยชาติต้องการ..สั่งสอนมาเรื่อยๆ พ่อท่านเอาความรู้เหล่านี้มาจากไหน เมื่อถึงหลายปีเข้า ธรรมะที่ไปถึงนิพพานก็ขาดไม่ได้ในการช่วยเหลือมนุษยชาติ มาวันนี้พามอง เศรษฐศาสตร์แบบโลกุตระ พ่อท่านเอาความรู้เหล่านี้มาจาก พ่อครูว่า… ไขความที่ว่า คุณบอกว่าไม่รู้อาตมาเอามาจากไหน อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่ได้ไปซื้อมาจากร้านขายยา ไม่ได้ไปซื้อมาจากห้างสรรพสินค้า ใหญ่ๆโตๆที่ไหนๆ หรือจากห้างต่างประเทศไหน โดยเฉพาะยิ่งพวกต่างประเทศทุนนิยมเทวนิยม ซึ่งคนละอย่างเลยกับทุนนิยมเทวนิยมด้วยซ้ำไป เป็นของที่อาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมารับมาจากของพระพุทธเจ้า แบบของพระพุทธเจ้าที่เลือกด้วยภาษาว่าโลกุตรธรรม เป็นโลกุตระมันต่างจากโลกียะ จะได้ชัดเจนว่าคนโลกุตตรเป็นอย่างนี้เหรอ ยิ่งจะฟังเศรษฐศาสตร์นี้ไปเรื่อยๆ ไปถึง 9 ประเด็นแล้ว ไม่รู้น้อยก็มากไม่รู้มากก็น้อยนะ จะรู้ว่าโอ้โหยอดเยี่ยม ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรง ของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ คนมักจะหลงผิดไปกำหนดหมายเอา“ตัวเลข”หรือ“จำนวนตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้ว่า เป็น“ความเจริญเนื้อแท้”ของคนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งดีทางค้าขายหรือธุรกิจ แม้แต่จะเป็นการแข่งขันของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่หลงสำคัญกันที่“การเลือกตั้ง” ล้วนมุ่งมั่นหมายแข่งกันที่“ตัวเลข”กันนั่นเอง ที่กำหนดหมายกันผิดอยู่ เพราะพากันเผลอเผินไปหลง“ตัวเลข”กัน ว่า เป็น“เนื้อหาแท้จริง” ตัวเลขสูงหมายถึงค่ามันสูงแต่ชาวโลกุตรธรรมเอาน้อย ของมันถูกนะ เราก็แจกฟรีจึงได้น้อย แต่ของเรายิ่งดีนะ ยิ่งมากจำนวนด้วย แต่เราขายถูกๆ ตัวเลขมันก็ต้องน้อยสิ เราก็ต้องแพ้เขาชัดเจน เพราะฉะนั้นการชี้บอกว่าแพ้หรือได้น้อย นี่แหละคือคนเจริญ คนประเสริฐ ไม่กำหนดหมายกันที่“การทำงานของคน”ที่เป็นผู้มีความรู้ในเรื่อง“เศรษฐศาสตร์” แบบ“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า หรือการเมืองก็เช่นกัน ก็ไปหลงกันที่“ตัวเลข” ไม่ไปสำคัญมั่นหมายกันที่“ตัวนักการเมือง”หรือกำหนดหมายกันที่“ผลงานของนักการเมืองทำจริง”มายืนยันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เป็นความสำคัญที่เป็นเนื้อหาแท้จริงยิ่งกว่า “ตัวเลข”ของ“การนับคะแนนเอาที่การเลือกตั้ง” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลสารพัด มันจึงไม่ตรงสัจธรรม หรือความเป็นจริงกันได้จริง “เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 2 นี้ โลกียะหรือเทฺวนิยมจะวิปลาสไปคิดเน้น“ตัวเลข”แทนที่จะคิดเอา“เนื้องาน”ที่เป็น“ผลผลิตของคนผู้ผลิต”หรือสำคัญมั่นหมายกันที่“คนผู้ทำงานผลิตจริง” เป็นความเจริญทาง“เศรษฐกิจ”หรือ“การเมือง”กันแท้ ประเด็นที่ 3 นั่นคือ “โลกียะ”นับเอา“ผลได้” ที่เมื่อ“ได้เปรียบ”คู่แข่งขัน หรือผู้อื่น แล้วเราได้ทำเกิน“ทุน”มาเป็น“ของเรา” มีผลมากเกินกว่า“คนอื่น”แท้ เมื่อ“เปรียบเทียบ”ก็เป็นจริง คือเขาถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม ก็ถูกของเขา ที่เขา“ยึดถือของเขาชาว“โลกียะเทฺวนิยม”เป็นสากล ชาว“โลกียะ”มีความยึดถือเช่นนี้ เข้าใจและเชื่อว่า อย่างนี้แหละว่า“ถูกต้อง”ดีจริง ความเป็น“โลกียธรรม”จะไม่ยอม“เสีย(สละ)ไปให้ใคร” ไม่ยอม“ขาดทุน” จะมีแต่“เอาเปรียบ-ได้เปรียบ”ถือว่า เป็นความเจริญ เป็นอารยะ(ศิวิไลซ์ civilize) หากจะ“เสียสละออกไป”ก็จะคิดเป็น“ราคาของคุณงามความดี-ความเขื่องคุณ-เท่ เก๋ โก้”ที่ตนให้แก่คนอื่นได้แล้วยึดเป็น “อุปกิเลส” มันก็ซับซ้อนขึ้นไปอีก แล้วยึดติดใส่จิตตนเองเป็น“ตน(อัตตา)” เป็น“ของของตน(อัตตนียา)”อยู่ และนับเป็น“บุญคุณ”ที่ตนมีต่อผู้อื่น นี้คือ ความยึด มันคือ“อุปาทาน”ที่เป็น“กิเลส”แท้ๆ นี้คือความยึด มันคือ“อุปาทาน”ชนิดหนึ่ง เป็น“อุปกิเลส”แท้ๆ “ความยึด”ภาวะนั้นๆเป็นตน-เป็นของตนนั้น มันคือ“อุปาทาน”นะ! เป็น“กิเลส” ทั้งๆที่“กิเลส”มันไม่ใช่“บุญ”เลยแม้แค่นิดน้อย “อุปาทาน”มันเป็น“การยึด”แท้ๆ แต่ก็เพี้ยนไปยึดเอา“กิเลส”มาเป็น“บุญ” แล้วก็หลงผิดว่า “ความยึด”เป็น“กุศล” “บุญ”ต้อง“ไม่มี”อาศัยอยู่ในชีวิต ส่วน“กุศล”นั้นต้อง“มี”อาศัยอยู่ในชีวิต แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษในกุศล แต่อรหันต์หมดบุญไปแล้วเป็นผู้ ปุญญปาปปริกขีโณ ที่ถูกแท้นั้น “บุญ”คือ “การทำลายความยึด” “บุญ”ไม่ใช่“การไปยึดมามีไว้” แต่“กุศล”มันต้อง“มี” มันต้องสะสม “กุศล”จึงแตกต่างจาก“บุญ”ที่มันไม่ต้อง “มี” “บุญ”มันก็“ผิด”ไปจาก“สัจจะ”ที่แท้ของ“โลกุตระ”กันอย่างอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ เพราะไพล่ไปเห็น“กุศล”เป็น“บุญ”อันผิดเพี้ยนไปจาก“สัจจะ”คนละทิศละทางเลย “บุญ”มันไม่ใช่“สมบัติ”ที่จะ“มีสะสมไว้” ซึ่งแตกต่างจาก“กุศล”ที่คนต้องสะสม แต่“บุญ”เป็นแค่“พลังงานจิต”ที่สร้างให้เกิดเป็น“ฌาน”เป็น“ปัญญา” เผากิเลสเท่านั้น “บุญ”มีหน้าที่ทำแต่“วิบัติ”ทำลาย“กิเลส หรือมีหน้าที่ฆ่ากิเลสให้ดับสิ้น “บุญ”ไม่มีความเป็น“สสาร” ไม่ว่าทางวัตถุหรือทางจิต เพราะ“บุญ”ไม่จับตัวกัน ขึ้นเป็นกลุ่มก้อนเด็ดขาด มันเป็นแค่“พลังงานทางจิต” ซึ่ง“บุญ”นี้จะไม่“ทรงอยู่” เป็น“ธรรม”เกินกว่า“ปัจจุบันชาติ” เนื่องจาก“บุญ”เพียงทำหน้าที่เป็น“พลังงานขึ้นได้ในปัจจุบันของอาริยชนโลกุตระ”เท่านั้น “บุญ”ไม่เกิดใน“อดีต”หรือไม่เกิดใน“อนาคต” “บุญ”เกิดใน“ปัจจุบันชาติ”เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ปัจจุบันที่เป็นคนผู้มีพร้อม“ตาหูจมูกลิ้นกาย”ตื่นเต็มทำงานร่วมกันกับ“ใจภายใน”เป็น“ภาวะ 2”แล้วไซร้ “บุญ”ก็เกิดไม่ได้ “บุญ”เป็น“พลังงานจิต”ที่ทำหน้าที่“ประหารกิเลส”เท่านั้น ไม่มี“คุณวิเศษ”อื่น “เศรษฐกิจ”ประเด็นที่ 3 นี้ชาวเทฺวนิยมโลกียะเขาหลงผิดนับเอา“ความได้เปรียบ” นับส่วนที่ได้เกิน“ทุน” หรือได้เกินกว่า“คนอื่น”นั้นๆ ถือว่า เป็น“ความเจริญ”หรือ“ความก้าวหน้า”ของความเป็น“เศรษฐกิจ”ในความเป็นชีวิตคนหรือสังคม ซึ่งมันตรงกันข้ามกับ“เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระกันคนละทิศละทางกันเลย “เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระนั้น นับเอา“ความเสียสละ”ซึ่งเป็น“ความเสียเปรียบ” นั่นเอง ว่าคือ“การได้กำไร” เพราะเสียสละก็“ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น” และก็แค่“สักแต่ว่าทำ” ไม่“ยึดเป็นตัวตน” หรือปฏิบัติจนกระทั่งไม่ยึดมา“เป็นตน-เป็นของตน”ได้สำเร็จจริง นี้คือ “คุณวิเศษ”ที่ชาวโลกุตระ“ทำได้” ซึ่ง“ยึด-ไม่ยึด”นี้ ชาวโลกียะยังไม่ศึกษา “ความยึด”ภาษาวิชาการว่า “อุปาทาน”นี้เอง คือ “กิเลส”ที่ต้องศึกษาและพิชิตมัน “เศรษฐกิจ”ของชาวโลกุตระจึงแตกต่างกับชาวโลกียะเทฺวนิยม ยิ่งกว่าดาวคนละดวง ประเด็นที่ 4 นั้นคือ ความเป็น“โลกุตรธรรม”นี่แหละสำคัญมากยิ่ง ได้แก่ “ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา” ประเด็นนี้แหละที่ชาว‘เทฺวนิยมโลกียะเขายังทั้งไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความลึกล้ำของความจริงนี้ ทั้งยังไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันให้สำเร็จได้ อย่างภาคภูมิใจ เต็มใจ อิ่มเอมใจ เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละจริงๆจังๆกันเลย ชาวพุทธที่เจริญอาริยธรรมเป็น“โลกุตระ”กันได้สำเร็จจริงๆนั้น จะนับเอา“การขาดทุนของเรา” เป็น“ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าของเรา” ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จริงใจด้วย“ปัญญา”อันยิ่ง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น คือ คนผู้เสียสละ ผู้ขาดทุนให้แก่ผู้อื่น..ดี แพ้ผู้อื่น..ได้ แต่จะไม่ยอมเป็นผู้ผิด ไม่ยอมทุจริต แล้วยินดี เต็มใจเป็น“ผู้รับใช้ผู้อื่น-รับใช้สังคมประเทศชาติ หรือรับใช้โลก ที่ไม่ใช่ทาส หรือไม่ใช่ผู้รับจ้าง เป็นอันขาด” ผู้เป็น“อาริยบุคคล”แบบ“โลกุตระ” จึงไม่ใช่ทั้ง“ทาส”ทั้ง“เทพ”หรือเทฺวะผู้ยิ่งใหญ่ใด เพราะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบความเป็น“เทพ”หรือ“เทฺว”แม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดปานใด ความเป็น“ทาส”คือ ผู้ยังมี“ตัวตน”แล้ว ไม่รู้ว่า “ตนเองเป็นทาส”ที่หลงรับใช้ตัวเองก็ละลดความเป็น“ทาส”ได้ไปตามลำดับ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ฟังให้ดีนะ ตัวเองจะเป็นทาส จะเป็นผีเป็นซาตาน จะเป็นเทพก็ตัวเองทั้งนั้น ชีวิตที่มีอยู่ จึงอยู่อย่างมี“ปัญญาอันยิ่ง”ว่า ยังมีแรงทำกรรมที่เป็นประโยชน์ได้ จึงอยู่อย่าง“เสียสละ” หรือรับใช้ผู้อื่นที่เหมาะที่ควร ชนิดที่ไม่ยึดติดความเป็น“ตัวตน”กันแท้ ผู้หมดสิ้น“อัตตา” หรือหมดสิ้นตัวตน เป็นคนตามที่กล่าวนี้จริงใจ จริงกาย ไม่เสแสร้ง จึงเป็น“งัวงานเศรษฐกิจ”ที่ซื่อสัตย์ จริงใจ เต็มใจแก่สังคมมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้แท้ ประเด็นที่ 5 ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดในความเป็น“โลกุตระ”ที่แตกต่างยิ่งใหญ่จากระบบ“ทุนนิยม”หรือแบบชาว“เทฺวนิยมโลกียธรรม” สามัญของปุถุชน นั่นก็คือ ชาว“โลกุตระ”ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์“สุข”กับ“การได้กำไร” และไม่มีอารมณ์“ทุกข์”กับ“การขาดทุน”เลย การทำ“เศรษฐกิจ”จึงสบายกายที่สุด สงบใจที่สุด จบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin20 มีนาคม 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660317 GDPแบบพุทธที่ต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยม พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก NextNext post:660322 เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024