660313 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 14 ที่สันติอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1RIDljojVHqF__gm5M84H98IH4FQPvzBzhCZvCHHrIw8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ooIsya26g5SRyCuAXGsY1xdoDwUcLJVb/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/fbjX1YfZxRU
และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/626454905970115
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พลังสัมประสิทธิ์พิสูจน์อายุยืนได้จริง
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคนวันนี้วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ อาตมาก็ยังแข็งแรงดี แต่ก่อนนี้อาตมายังหนุ่มแน่นเป็นพระแล้วล่ะ เป็นสมณะ วนเวียนอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณ ไปพักที่ห้องภาพสุวรรณ เห็นโยมพ่อของท่านสิริเตโช โยมพ่อของท่านซาบซึ้ง นอน ประเดี๋ยวกลางวันก็เห็นนอน ซึ่งเราไม่ได้นอนกลางวัน เรายังหนุ่มแน่น ทำไมเอาแต่นอนเราก็นึกอย่างงั้น
พอมาถึงเวลานี้เรามาถึงวัยนี้ อ้อ เป็นเช่นนี้ อ๋อ… นะ นี่แหละ สังขารร่างกายมันไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัส ก่อนจะปรินิพพานก็ตรัสว่าเธอทั้งหลาย ทุกสรรพสิ่งย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา มันจริงที่สุด
อาตมาพยายามพากเพียรแล้วนะ พยายามพากเพียรใช้สัมประสิทธิ์ช่วยจริงๆ อาตมาใช้ความรู้ที่มีจากพระพุทธเจ้านี่แหละ อาตมาเป็นคนไม่มีความรู้ ไม่ใช่เป็นนักการศึกษา ศึกษาน้อยมาก ชาตินี้ในความรู้ทางโลกีย์ทางโลก อาตมาไม่ค่อยได้ศึกษาเลย ก็มีความรู้ทางโลกเขาน้อยมาก
แต่อาตมามั่นใจว่า อาตมามีความรู้ทางธรรมแบบพระพุทธเจ้า มากพอ มั่นใจ ว่า อาตมาทำได้ถูกตรงตามของที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แม้ว่าอาตมาจะยังมีความรู้ไม่สมบูรณ์แบบเท่า แต่ว่าแนวทางทำมาจนถึงระดับ อาตมาก็บอกหมดแล้วว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งมันเป็นความมีภูมิธรรมของอาตมาเอง และอาตมาก็เอามาแสดงความจริงเท่าที่อาตมามี
40-50 ปีมาแล้ว หลายคนไม่เชื่อตอนแรกๆ เดี๋ยวนี้ก็ชักพอคลี่คลาย เอ๊.. น่าจะมีความจริงบ้าง หรือ หลายๆคนเห็นว่า เออ..จริงนะ แล้ว หลายคนก็มา ที่มาน้อย และอาตมาก็มั่นใจว่า ที่มานี้ไม่มีใครถูกหลอก ที่มานี้มาอย่างอิสระเสรีภาพทุกคน ตัดสินด้วยตัวเองจริงๆ ทั้งๆที่กระแสสังคมที่ครอบงำส่วนใหญ่ส่วนมาก เป็นแบบที่ชาวส่วนใหญ่กระแสหลักเขาพาเป็น มันตรงกันข้ามกัน ปฏิโสตังที่อาตมาพามาปฏิบัติประพฤติ แต่ก็ยังมีคนมีจำนวนที่พอใช้ ทุกวันนี้ถือว่าพอใช้
เอาอันนี้ก่อนก็แล้วกัน
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พรรคการเมืองของชาวอโศกชื่อพรรคสัมมาธิปไตย
_กราบนมัสการและะเจริญธรรมพี่น้องทุกท่านครับ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม เรื่อง การสมัครสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ครับ
ท่านที่สนใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย ติดต่อได้ที่ ชุมชนชาวอโศกหรือแพทย์วิถีธรรม
ภาคกลาง : ทนายรินไท ๐๘๘-๕๕๔-๗๑๐๔, แรงผา ๐๘๓-๔๐๘-๕๕๗๗,
ดั่งทรายฟ้า ๐๘๑- ๒๐๘-๒๒๑๑, อุ่นไอธรรม ๐๙๘-๔๑๒-๖๒๓๑
ภาคอีสาน : มั่นแม่น ๐๘๖-๔๐๒-๗๑๙๙, ดินดอน ๐๙๓-๐๗๑-๔๒๖๔,
เอมอร (ขวัญดินไพร) ๐๘๖-๓๒๘-๖๔๔๐, ภูเพียรธรรม ๐๙๔-๑๙๑-๒๔๙๖
แพรลายไม้ ๐๘๘-๕๕๔-๘๒๓๙, เพ็ญแสงฟ้า ๐๖๔-๘๓๒-๕๓๘๑
ภาคเหนือ : สุเมธ พรหมรักษา ๐๘๔-๐๔๗-๘๖๒๖, มั่นศีลขวัญ ๐๘๑-๘๘๕-๘๕๗๒
ภาคใต้ : รวม (ดีทุกแดน) ๐๘๘-๗๗๒-๙๘๗๐, ฟางฝน ๐๘๙-๘๕๓-๗๑๖๒
พ่อครูว่า… ก็ขอพูดถึงพรรคทางการเมืองก็ถือว่าเป็นพรรคของชาวอโศก พักการเมือง เป็นพรรคชาวอโศกเราชื่อพรรคสัมมาธิปไตย อาตมาเองเป็นคนแนะให้ตั้งขึ้น แต่ก่อนก็มีพรรคการเมืองของเราแต่ก็เลิกไปแล้ว อาตมาก็มาเห็นกลับว่า เอ๊.. มันควรจะต้องมี ก็เลย ให้กลับมาตั้งขึ้นใหม่ ก็ตั้งขึ้นมา ก็ได้ชื่อใหม่เป็นพรรคสัมมาธิปไตย เพื่อที่จะไปกับโลกเขา ตามแนวคิด หรือ อุดมคติอุดมการณ์ที่เรามี ว่า ความเป็นประชาธิปไตย อาตมาใช้คำว่าประชาธิปไตยไทย หรือ ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า อาตมาใช้คำว่าอย่างนั้น ประชาธิปไตยไทยหรือประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า
อาตมาเชื่อมั่นเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นประชาธิปไตยแบบโลกุตระ คนจะเข้าใจอย่างนี้ได้ยากซึ่งเราก็ต้องเริ่มทำ ค่อยๆทำไป ซึ่งอาตมาเห็นว่า กลุ่มของแพทย์วิถีธรรมเขานี่ เขามีคนที่มีไฟ และเป็นกลุ่ม จับตัวกันแน่นเป็นเอกีภาวะที่แข็งแรงดี เขาจะนำพาไปได้ ก็เชื่อว่าจะมีผลต่อสังคมมากกว่าที่เราได้ทำมาแล้ว ซึ่งมันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน ก็คิดว่า ทำไป เราอยู่ในสังคมยังไม่ตาย
SMS วันที่ 5-12 มี.ค. 2566
_กิตติมา เอกมาไพศาล· กราบนมัสการท่านสมณะ และสิกขมาตุ ด้วยความเคารพเจ้าค่ะ ….. เป็นคนเมืองเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ก่อนคิดว่าการปลูกต้นไม้มันยาก สกปรก เหนื่อย เปลืองเงิน และอื่น ๆ อีกมากมายสารพัดเหตุผลที่จะไม่ปลูก แม้พ่อครูจะพูดจนหอกหักหลายร้อยเล่ม แต่ใช่ว่าจะสูญเปล่า เพราะมันเกิดการ osmosis แล้ว จนถึงจุดเติมเต็มคือได้เห็นสิกขมาตุที่อายุเยอะแล้ว แต่ยังขยันที่จะปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่กินได้ ลูกได้ขยับทำกสิกรรมแล้วเจ้าค่ะ เมื่อได้มาอยู่บ้าน ตจว. ปลูกอยู่ปลูกกินตามอัตภาพของร่างกายและฉันทะที่กำลังสะสมให้เพิ่มพูน ผลจากการทำกสิกรรม ร่างกายของลูกมีความแข็งแรงขึ้น ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ รู้สึกตัวเองมีคุณค่า ได้กินของจากสวนของเราเอง ประหยัดเงิน นอกจากนี้ยังเหนี่ยวนำให้ผู้สูงอายุในบ้านขยับมามองว่าเราทำอะไร แทนที่จะอยู่กับทีวี และเริ่มช่วยเรารดน้ำพืชผักเมื่อเรามาวัด แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ลูกทำ ก็เพื่อเตรียมความพร้อมในการไปอยู่ที่บ้านราช เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ระหว่างทางเราก็ขัดล้างกิเลสของเราไป ผ่านผัสสะที่เกิดรอบตัวเรา กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่ง สมณะ และสิกขมาตุ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… เอ้าดี ขอให้เสร็จสมประสงค์เร็วๆ
_บัวดาว พรมเลิศ· ภูมิใจเหลือเกินที่ได้เกิดมาได้มาเจอพ่อครูได้ฟังธรรมที่พ่อครูนำมาอธิบายธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้แก่โลกได้น้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผลในตัวเองค่ะ
พ่อครูว่า… เอ้า… คนนี้ก็เข้าใจตัวเองมีมรรคมีผลดี
_จรรยา ประเสริฐ·ดิฉันแม้มีโอกาสได้ดูแลแม่ แต่ก็ช่วงท้ายของชีวิตเขา มาสำนึกได้ก็สุดท้ายของชีวิตเขาแล้วค่ะ กราบสาธุทุกคนที่ดูแลบุพการี ส่วนการใส่บาตร ไม่ใส่เงินค่ะ ถ้าพระต้องการแต่เงิน จะไม่ใส่เลยค่ะ เพราะรู้ดีว่ามันบาปค่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทุกคนตายแล้ว ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องกลับมาเกิดอีกแน่นอน
_สว่างแสง ขวัญดาว·น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
วันนี้ลูกมีคำถามของสามีที่ลูกไม่สามารถตอบได้ค่ะ สามีเลิกเหล้า บุหรี่ กาแฟได้ กำลังพยายามเลิกเล่นหวย สามียังไม่เข้ามาปฏิบัติธรรม สามีไม่เคยฟังเทศน์ ลูกเปิดพ่อครูไว้ เขาก็ฟังผ่านๆไม่เคยมานั่งฟัง แต่เขาก็ให้ลูกถือศีล 8 ค่ะ
เขาเป็นลูกจ้างขนขยะของเอกชน เขามีคำถามว่า “เฮาเมื่อตายแล้วได้เกิดยุเบาะ หรือว่า ตายแล้วเอาไปเผาแล้วก็เผาเลย บ่ได้เกิด” น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… เรื่องนี้แม้สามีจะไม่ฟังธรรมะ อาตมาก็ตอบ อาจจะไหลไปตามสายลมเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาบ้างหรอก ผ่านหูก็ยังดีนะ
ประเด็นแรก ตอบเลยว่า คนเราเมื่อตายแล้ว ทุกคนไม่ว่าศาสนาไหนด้วย ศาสนาใดก็ช่าง..ทุกคน เป็นคำตรัสยืนยันและอาตมาก็เห็นจริงด้วย เพราะอาตมาเกิดแล้วเกิดอีก รู้จักการเกิดชาติที่แล้วชาตินี้ น่าจะมาเกิดมาในชาตินี้มีอะไรมาแต่ชาติก่อน อาตมาไม่เคยมีอาจารย์เรื่องทางธรรมและมาแสดงออกทางธรรมะไม่น้อย หลายคนก็ถือว่าเป็นเพชรเป็นพลอยเป็นทองคำเสียด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นคนทุกคนตายแล้ว ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์ต้องเกิดทุกคน เกิดอีกทุกคนตามกรรมวิบาก ไม่ใช่ตายแล้วเอาไปเผาแล้วก็เผาเลยไม่เกิดอีกไม่มีอะไรต่ออีก มีแน่นอนถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์
และประเด็น 2. แม้ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว มีสิทธิ์ตายแล้วแยกธาตุตัวเองออกไปเป็นดินน้ำไฟลม ทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างที่เรียกว่า ไม่ให้จับเกาะกลุ่มกันอีกเลย จิตสลายเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย อันนี้ไม่เกิด
แต่ พระอรหันต์ที่บรรลุแล้ว สามารถที่จะไม่เกิดก็ได้ แต่จะเกิดก็ได้ และ การเกิดอันนี้แหละ เกิดมาบรรลุอรหันต์แล้ว มาเกิดในชาติต่อๆมา
-
จะไม่ทำบาปหรือไม่ทำความชั่วเลยในชาติต่อๆไป จากนั้นจะอีกกี่ชาติก็ตาม ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ ล้านชาติก็จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ล้านๆชาติ เป็นโพธิสัตว์จากเป็นพระอรหันต์ไป จะไม่ทำบาปไม่ทำอกุศลเลย ทำแต่ดี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) เพราะ สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) เพราะได้ชำระกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการทำชั่ว ทำบาปหมดไปแล้ว
การชำระกิเลสของพระพุทธเจ้านั้น นอกจากจะไม่ทำชั่ว ทำบาปซึ่งเป็นโลกียะแล้ว ยังเป็นโลกุตระที่ไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย จิตกลางๆ จิตรู้จักสุขรู้จัก จิตโลกที่เป็นกิเลสลงมายาลงสุขลงทุกข์ แต่ผู้เป็นพระอรหันต์แล้วรู้ชัดเจนในเรื่องความยึดถืออุปาทาน หมดจบ ไม่สุขไม่ทุกข์เรียกว่า อทุกขมสุข ตามภาษาบาลี
เพราะจิตสะอาดจากกิเลสแล้ว สจิตตปริโยทปรัง เป็นอุเบกขาซึ่งมีองค์ธรรม ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา อาตมาสรุปมา 5 ประเด็น ที่จริงมีมากกว่านั้นพระพุทธเจ้าท่านขยายไว้ 5 ประเด็นนี้ก็ชัดครบดีแล้ว
ปริสุทธา เพราะจิตบริสุทธิ์และจะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ถ้ายิ่งบำเพ็ญเป็นปริโยทาตา จิตจะประภัสสรมากขึ้นผ่องแผ้วมากขึ้น และจะตกผลึกเป็น มุทุภูตธาตุ มุทุเป็นจิตที่มีทั้งปัญญาและทั้งศรัทธา มันมีทั้ง 2 สาย 2 อย่าง เต็มขึ้นเจริญขึ้น พัฒนาขึ้นมีภูมิธรรมเป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นๆนั่นเอง สูงขึ้นจนเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น
_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม· ก่อนเป็น”ชาวอโศก” ถูกหล่อหลอมฝังแน่นว่า”ภาวนา”คือการนั่งหลับตา บริกรรมคำว่า”ภาวนาพุทโธๆๆๆ…”ตามลมหายใจเข้าออกค่ะ…ณ บัดนี้เข้าใจแจ่มแจ้ง เป็น”สัมมาทิฏฐิ” จากพระนิยตะโพธิสัตว์เจ้าพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ที่พร่ำสอนและ ตกผลึกเป็นนิยามในวัน”มาฆะบูชา”นี้ว่า “ภาวนา คือ การกำจัดกิเลสสำเร็จผล จิตสะอาดผ่องใส เป็นอรหันต์” ชัดเจนยิ่งสุดค่ะ
กราบขอบพระคุณ กราบนมัสการพ่อครู ด้วยเศียรเกล้าฯ
_ประดับ อินทร์แป้น· เห็นด้วยกับพ่อครูในเรื่องนักการเมือง ไม่ว่าของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ ต่างเข้ามาเป็นนักการเมือง ก็เพื่อแสวงหาอำนาจเพื่อที่จะได้เงินเยอะๆมากๆ แล้วใช้เงินต่ออำนาจแล้วๆเล่าๆวนอยู่อย่างนี้เป็นวัฏจักรตลอดไป บนความทุกข์ความเสียหายทางเศรษฐกิจ ของประเทศและประชาชน…พวกเขาไม่สนใจบาปบุญคุณโทษ! สนในใจเพียงอย่างเดียวคือเงินและอำนาจเท่านั้น …นี่แหละสันดานของนักการเมือง!
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน คนเราจะเสแสร้งทำดีไปตลอดชีวิตทุกชาติเลยจะเป็นไรไป
_แก้วใจเพชร· ขอโอกาสกราบนมัสการพ่อครูและท่านสมณะเจ้าค่ะ
อ๊ะว่าจะกลับบ้านเยี่ยมแม่สองสามวัน ก็กลายเป็นไปอยู่ตั้ง 18 วัน แม่อยู่กับหลานน้อยๆ แต่การกลับบ้านครั้งนี้ อ๊ะว่าขนาดยังไม่ถึง 5,000 ปี ภาพที่เห็นก็ประจักษ์ใจจริงๆแต่ที่สัมผัสได้ในหมู่บ้านตัวเองและบ้านอื่นๆ มันเป็นกลียุคชัดมากๆ
-
เยาวชนหนุ่มๆหรือผู้ชาย จับกลุ่มต้มกัญชา กระท่อมกันดื่ม ไม่ช่วยงานต่างๆของหมู่บ้าน มีแต่คนแก่คนเฒ่า
-
เด็กยังไม่อนุบาลทุกบ้าน เล่นมือถือกันทุกคน และชักดิ้นชักงอเมื่อไม่ได้เล่น ไม่ดั่งใจก็เตะตีตายาย และวาจาหยาบคาย
-
เด็กอายุ 10 ปี แต่งงานมีสามีกัน และไม่สนใจเรียน /เด็กวัยรุ่นผู้หญิง หาเงินเรียนด้วยการไปบ้านวัยรุ่นชาย อย่างเปิดเผย โดยที่ครอบครัวก็พูดไม่ออก
-
กินขนมเป็นอาหาร ไม่ทานผัก
-
ชาวบ้านวัยรุ่น ผู้ชาย /ผู้ใหญ่มีอาการมือเท้าอ่อนแรง เป็นอัมพฤตกันส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่เคยเป็นนักฆ่าวัวควายหมูหมา
-
มีแต่เด็กและคนชรา อยู่บ้าน ที่รอวันตาย เพราะวัยรุ่นเอาลูกหลานมาให้ตายายแก่ๆเลี้ยง
-
สิ่งที่ดีขึ้นคือ แต่ละบ้านปลูกพืชผักสวนครัว กันทุกบ้าน
พ่อครูว่า…อันนี้ดีมากเลย ปลูกไว้กินได้
-
การเมืองลดการร้อนแรงขึ้น เมื่อก่อนพ่อแม่พี่น้องอ๊ะอยู่คนละสี อ๊ะกลับบ้านไม่ได้ แม่กลัวจะถูกพี่ๆเขาฆ่าเอา เพราะเคยกลับแล้ว โดนถือมีดขู่เพราะอ๊ะมาอยู่กับอาจารย์และพ่อครู
ปัจจุบันชาวบ้าน ศรัทธาอาจารย์พ่อครูและอาจารย์หมอเขียว เกือบทั้งหมู่บ้าน เพราะเดี๋ยวนี้ดูจากเฟช ข่าวคราว แต่ไม่มีเวลาฟังธรรม แต่รู้ว่าทางนี้ถูกต้องแล้ว ชาวบ้านยอมรับแล้ว
รอบนี้เลยต้องอยู่ยาว ทำสวน กสิกรรม เป็นกำลังใจให้แม่ และชาวบ้าน
แต่ใจอ๊ะก็มีติ่งทุกข์นิดๆเจ้าค่ะ ว่า อยากให้ท่านได้สิ่งดี แต่รู้ว่าฝืนวิบากกรรมกันและกันไม่ได้ จะรู้ขีดกุศลและอกุศล ของเราและเขา เวลาจะช่วยท่าน มันได้มากกว่านี้ไม่ได้ เราก็มีกำลังเท่าที่มี ….ฝืนไม่ได้ แต่ก็พอใจที่ชาวบ้านท่านก็รู้จักพ่อครูกันหมด
พ่อครูว่า… อาตมาเคยคิดว่า คนจะค่อยๆยอมรับที่อาตมาพาทำไปเรื่อยๆเพราะว่า ธรรมโมหะเวรักขติ ธรรมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม สจฺจํ เว อมตา วาจา สัจจะมันเป็นเรื่องจริง พูดอย่างไรก็จริงไปเรื่อยๆ ถึงวันที่จะต้องยืนยันความจริง
_ก็เลยเข้าใจชัด ทำไมเราต้องเชื่อมช่วยโลก ถ้าเราลดกิเลสได้มาก มีองค์ประกอบที่ดี มีหมู่กลุ่ม มีกุศล และอื่นๆ ก็จะมึแรงพลัง ช่วยตนเองและผู้อื่นได้
กราบรายงานพ่อครูเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ…
พ่อครูว่า… อันนี้หมายถึงว่า กลุ่มคนที่มาปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะถ้ามาปฏิบัติโลกุตรธรรม แล้วก็จะเกิดผลอย่างที่เราเป็น แล้วก็จะมารวมเข้าไปเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นๆโตขึ้น พฤติกรรมพฤติการณ์ของพวกเรา มันก็จะเป็นพลังงานกระจาย แผ่ออก ให้คนเห็นได้ง่าย เห็นได้ชัด เห็นได้เร็ว
อาตมาทำไมจึงพยายามที่จะรวบรวมพวกเราเข้าเป็นหมู่เป็นกลุ่ม เพราะเหตุนี้เอง เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าใจรีบๆมา มารวมตัวกันให้เป็นกลุ่มหมู่ ถ้าหากว่าหมู่บ้านเรามีเป็น1,000 คนขึ้นไป สันติอโศกมีเป็น 1,000 ราชธานีอโศกมีสัก 2,000 บาท โอ้โห…ฝันไปไกลมากเลย ที่อื่นก็มีกันคนละ1,000 – 2,000 อย่างนี้ รับรองประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีพลังของโลกุตรธรรมกระจายแพร่ออกไป สู่สังคมประเทศชาติ แล้วจะเป็นประเทศที่เป็นเมืองพุทธ เมืองโลกุตระ ประเทศโลกุตระที่ต่างประเทศเขามีไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะตะวันตกเทวนิยม เขาจะมีไม่ได้ง่ายๆ
ประเทศไทยทุกวันนี้ มีผู้นำเป็นคนซื่อสัตย์ไม่คดไม่โกง ปัจจุบันนี้แหละ ซื่อตรงต่อการช่วยเหลือประชาชน ทำงานมีความคิดลึกและก้าวไกล วิสัยทัศน์ก้าวหน้า ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่พรรคแก่พวกกว่าประชาชน อาตมาเป็นผู้มองเองนะ ผิดถูกอาตมาก็รับผิดชอบ จะมาบอกผู้ที่นำตามชื่อก็คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ซึ่งต่างจากคนที่เขาไม่มองอย่างนี้ เขาอาจจะไปรู้เกร็ดเล็กเรื่องลับเบื้องหลังเบื้องลึกอะไร อาตมาจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเท่าเขา แต่เท่าที่อาตมารู้ อาตมาเห็นตัดสินอย่างนี้ แม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีเบื้องหลังเบื้องลึกอะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็เป็น background ของเขาใช่ไหม เป็นคนดี แต่ infront ของเขา ข้างหน้าของเขา ทำอย่างที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ อาตมาเคยพูดว่า คนที่เสแสร้งประพฤติตนหลอกคนทั้งหลายเขาว่า เป็นคนดี เชิญ จงประพฤติหลอกคนทั้งหลายให้เป็นคนดีให้จริงนะ เชิญประพฤติไปเลย หลอกคนทั้งหลายไปจนตายไปอีกกี่ชาติก็ทำอย่างนี้ไปตลอด
ฟังให้ชัดๆ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจสัจธรรม ผู้ไม่มีที่ตั้งของความจริง ไม่มีที่ตั้งของความรู้ความฉลาด พูดเป๋ๆไป๋ๆ ไม่เห็นจะเกิดความก้าวหน้าพัฒนา ไปคิดว่าเขาประพฤติตนหลอกว่าเป็นคนดีปะหน้า ก็ประพฤติเป็นคนดีไปสิ ปะหน้าไปนี่แหละจนตาย มันจะเสียหายอะไร จะบอกว่าคนจริงใจ คนเลวต้องแสดงเลวจะบ้าเหรอ
คำว่า เสแสร้ง คำว่า ดัดจริต ทำตนเป็นคนดี มันเป็นภาษาเลว แต่เนื้อแท้คุณเอาจริงๆสิ มันเป็นของดี จะไปพูดภาษาว่า คนชั่วก็ต้องชั่วออกมาสิถึงจะจริงใจ..จะบ้าหรือ ตัวเองไม่ได้ปรับปรุงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำอะไรเลย แม้คุณจะเสแสร้ง แม้คุณจะฝืนทำดี คุณก็ฝืนไปเรื่อยๆ เสแสร้งไปเถอะ ให้ยาวนานจนตายนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นอาตมาว่า ทุกวันนี้นี่ มีผู้นำเป็นคนซื่อสัตย์ไม่คดไม่โกงซื่อตรงต่อการช่วยเหลือประชาชน ทำงานที่มีความคิดลึกและก้าวไกล วิสัยทัศน์ก้าวหน้าไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นจะพรรคพวกมากกว่าประชาชน แค่นี้ก็ดีพอแล้วสำหรับผู้นำประชาชน ผู้นำประเทศ
คนที่เขามีจินตนาการ มีแนวความคิด โต่งไปในทางคนดีของเขาต้องดี๊ดีๆสวยๆหรูด้วยนะ แต่มันหาไม่ได้ หรือ จะบอกว่าหาได้ยากก็เอา อาจจะพอมีแต่ยาก คนขนาดพลเอกประยุทธ์ อาตมาว่าก็หายากแล้วนะ แต่คนไปเอาจุดด้อยจุดบกพร่องหรือว่าจุดเฟคนิวส์ต่างๆ เดี๋ยวนี้ สื่อ มีเดีย มันเฟคกัน มันโกหกกัน มันไม่ซื่อไม่ถูกต้องมันทำกันเยอะ แล้วคนก็กดอ่าน กดอ่านวันๆนั่งอ่านแต่พวกนี้ บ้าๆบอครอบงำทางความคิด แล้วคุณก็ไม่สามารถจะไปเช็คได้ว่าที่เขาพูดนี้มันเป็นเฟคนิวส์หรือเปล่า มันโกหกหรือเปล่า มันเจตนาจะดิสเครดิตต่างๆนานา คุณตรวจสอบหรือเปล่า ไม่หรอก ฟังไป แล้วมันก็เยอะด้วย คนที่เขาไม่ต้องไปทำอย่างนั้น ไปทำมาหากินสามัญเขาก็ไม่มานั่งกดอะไรพวกนี้หรอก
เพราะฉะนั้นในการมองของคน มองกันก็ทุกคน ต่างคนต่างแต่ละคนก็ยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม ส่วนคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย ก็มองกันไปได้คนละแง่มุม
อาตมาลองร่าง เศรษฐกิจหรือที่เขาสรุปกันที่ว่าเป็นตัว GDP อาตมาก็เลยอยากแสลนกับเขาหน่อย ทั้งๆที่เราไม่มีความรู้เลย แต่อาตมามั่นใจว่า อาตมามี GDP แบบพุทธ ที่อาตมายืนยันแบบนั้นก็คืออาตมาพาพวกเราชาวอโศกมาปฏิบัติธรรม มี GDP แบบพุทธแล้ว ยืนยันได้ มีแล้ว
ทั้งๆที่คนที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองนอก แต่เป็นชาวอโศกก็มี ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเมืองนอกก็ดีอยู่แล้วเป็น Domestic อยู่แล้วภายในประเทศ
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน GDP แบบพุทธที่เห็นแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมหรือผู้ยังนับถือพระเจ้า
พ่อครูว่า… เขาไปเรียนจบด็อกเตอร์มาจากต่างประเทศเป็นพวกเทวนิยมทั้งนั้น น่าจะจบมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาในเมืองไทยที่ประสาทปริญญาพุทธศาสนาหรือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ขออภัยเถอะที่ต้องพูดความจริง ก็ยังไม่ได้เข้าใจโลกุตระธรรมอย่างสมบูรณ์แบบอะไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เศรษฐกิจ ที่จะรายงานตัวเลข GDP แบบพุทธได้ อาตมาลองแสลนดู
ที่พูดต่อไปนี้มันเกี่ยวพันทางเทวนิยมเยอะ
ทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อนว่า คำว่า “พระเจ้า”นั้น เราไม่ได้หมายถึง GOD ที่ชาวเทฺวะนิยมเคารพนับถือ กันอย่างสูงยิ่ง สำหรับ GOD หรือ“พระเจ้า”ของชาวเทฺวนิยมทั้งหลายที่บูชาเคารพนับถือนั้น เราก็ให้ความเคารพอยู่เช่นกัน เพราะ GOD อันหมายถึง“วิญญาณ”หรือ “พระเจ้า”หรือ“พระศาสดา”ที่ทรงคุณงามความดีแท้กันทุกพระองค์ เราย่อมเคารพพระผู้มีคุณธรรมอันสูงส่งไม่ว่าจะเป็นชาติเชื้อใดแน่นอน
แต่“พระเจ้า”ในที่นี้ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ หมายถึง เรื่อง“เงินๆทองๆ” ที่เป็น “วัตถุ”แท้ๆ ซึ่งคนไปหลงงมงายวุ่นวายเอาเป็นเอาตายอยู่ที่“เงินๆทองๆ”กัน โดยนับถือเงินทองเป็น GOD ยิ่งชีวิต
และความรู้ความเห็นที่อาตมาแสดงออกไปนี้ เป็นความรู้ของอาตมาที่ไม่ใช่แบบโลกียะที่อาตมามีน้อยนิดจริงๆ ซึ่งเป็นความเห็นเฉพาะของอาตมา ที่อาตมาเชื่อว่าเป็นแบบโลกุตระ จึงแน่นอนว่า มันย่อมผิดเพี้ยนไปจากผู้รู้เศรษฐศาสตร์ผู้มีครู มีอาจารย์ มีตำราเรียนมากันแน่ยิ่งกว่าแน่
“เศรษฐศาสตร์” คือ “ภาวะแห่งความเป็นจริง” ที่เป็น “สัจธรรม” ทาง “จิตวิญญาณ” ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของ “เงินๆทองๆ” ที่หลงสูงหลงมากไปด้วย “ตัวเลข” หรือนับกันแต่ “จำนวนของตัวเลขที่แข่งกันสูง แข่งกันมาก” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคณะเศรษฐศาสตร์ในโลกก็รายงานกันแต่ตัวเลขเป็นสำคัญ
มันต้องสำคัญกันที่“จิตวิญญาณ”จึงจะดีแท้ แต่ถ้าแม้น“จิตวิญญาณ”หลงเงินๆทองๆกันหนักหนา หนักหน้ากันอย่างที่เป็นๆกันอยู่ รับรองเด็ดขาดว่า เขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ“ไม่เสร็จ” ไม่“จบกิจ”
ขอแวะหน่อยหนึ่งว่า ชาวอโศกนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจจบกิจแล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จ มาสำรวจได้เลย เสร็จอย่างไร จบกิจอย่างไร มาเรียนรู้เอา โดยความหมายคำว่า เศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจของสังคม ชาวอโศกไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ไม่มี
ยกตัวอย่างเช่น ชาวอโศกนี่ กู้เงินกันไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย ในโลกเขาทำไม่ได้ เราไม่ได้ใช้คำว่ากู้ แต่เราใช้คำว่าเกื้อแล้วเงินที่เกื้อไป ไม่ได้ใช้คำว่าหนี้แต่เราใช้คำว่าเงินหนุน เงินที่อุดหนุนช่วยเหลือกัน
อย่างปฐมอโศก กู้เงินจากกองกลางเอาไปซื้อที่ดิน 50 ล้าน ไม่ต้องเสีย ดอกเบี้ยสักบาท เอาเงินสดไปจ่ายด้วย เขาบอกมีด้วยหรือ จ่ายเงินสด เดี๋ยวนี้ไม่มี มีแต่เช็คเด้ง แถมเราก็บอกว่า มีก็กู้มาจากกองกลางไม่ใช่ของปฐมอโศกเองหรอก โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย เขาก็ตาตั้งอีกมีด้วยหรือกู้เงินตั้ง 50 ล้านแล้วไม่เสียดอกเบี้ย เขาก็งงอีก เราก็บอกมี เออ.. โลกนี้ทุกวันนี้ยังมีอย่างนี้ด้วยหรือ นี่คือกลุ่มคนประหลาดของโลก เห็นไหม? แล้ว พวกเราเสแสร้งหรือเปล่า… ไม่ได้เสแสร้ง ทำด้วยความเข้าใจมีปัญญาบริสุทธิ์ เกื้อกูลกันช่วยเหลือเฟือฟายกัน แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ทุกคนมีจิตวรรณะ 9 ที่อาตมา ภูมิใจมากเลยที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่ให้พวกเราได้ศึกษาปฏิบัติกันมีผลสำเร็จถึงขั้นมีสาราณียธรรม 6 แล้ว พวกเราเกิดคุณธรรม มีวรรณะ 9 แค่นี้ อาตมา ก็ไม่รู้จะพูดยัง
เพราะมันวิปลาสหลงผิดไปแล้ว เขาไม่รู้ตัวกันเลยหรือว่า เขาหลงบูชานับถือ“วัตถุเงินทอง-ตัวเลข”ที่หลงจำนวนตัวเลข”กันหนักหนาสาหัส อันไม่ใช่
“วิญญาณ”หรือ“ธาตุรู้”หรือ“จิตใจ” หรือ“พระเจ้า”กันเลย
มาเจาะลึกวินิจฉัยกันให้ละเอียดๆดูทีรึ? ว่า อะไร? ตรงไหน? ที่มันหลงกำหนดหมายผิดๆเพี้ยนๆกันอยู่ จะได้รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบใน“ความถูกต้องถ่องแท้ของความหลงผิดนั้น”กันเสียที
อาตมาได้ข้อความต่อไปนี้ มาจาก“กูเกิ้ล”….
คำว่า GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือแปลเป็นไทยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แปลจากไทยเป็นไทยอีกที คือ การที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP ประเทศไทย จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทยเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไทย แล้วมีรายได้ที่ต่างประเทศ ไม่นับ อันนั้นเรียก GNP : Gross National Product ที่จะนับเฉพาะรายได้จากคนไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในโลกนี้ก็ตาม
เขาแถมคำว่า GNP : Gross National Product มาให้อีกด้วยนะ!
ยิ่งใช้คำว่า GNP : Gross National Product นั้นแหละยิ่งเน้นหมายเจาะลงไปที่“เฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นของตนเองในชาติตนเองแท้ๆเท่านั้น” มันก็ยิ่งชัดเจนว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะไม่มี“โลกุตระ”
เศรษฐศาสตร์แบบพุทธที่เป็น“โลกุตรธรรม”นั้น แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาวเทฺวนิยมโลกียะหรือแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ของชาว“ทุนนิยม”สากลทั่วไปที่มีนัยสำคัญลึกล้ำมาก
แต่คนเห็นว่า“สุดโต่ง”เกินไป และเชื่อว่า ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นประโยชน์ต่อคน ต่อสังคม ต่อโลก
สากลคนทั่วไปเข้าใจกันตามที่ลอกมาจากที่ท่านผู้รู้ทางเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมแปลกันไว้ ดังที่ยกมาอ้างอิงไว้ข้างบนนั้น
ถ้าพินิจเข้าไปให้เข้าถึงความหมายที่ตรงเนื้อหาแท้จริงแล้ว มันกลับเพี้ยนไปจากความเป็นจริงของเนื้อหาแท้จริงที่เป็นกันอยู่ ซึ่งมีนัยสำคัญอยู่อย่างยิ่งยวดทีเดียว
เริ่มประเด็นที่ 1 นั่นคือ เศรษฐศาสตร์แบบโลกุตระของพุทธ ถ้าระบุลงไปว่า Domestic ที่แปลว่า ภายในประเทศ ก็จะ“ไม่นับ”เอา“ผลผลิต”ที่ขายได้รายได้จาก“ต่างประเทศ” หรือ“ไม่นับ”เอาที่คนไทยในต่างประเทศไปมีรายได้อยู่ในประเทศอื่นเขาแล้วส่งเข้ามาให้เราในประเทศ ปนเปกันหรอก เรา“ไม่นับ”รวมเอาที่เป็น“รายได้”ที่ได้จากภายนอกประเทศ อันไม่ใช่“รายได้”ที่ได้จาก“ผลผลิต”ที่ผลิตจาก“ภายในประเทศโดยเฉพาะเท่านั้น”มารวม
คำว่า “รายได้ที่เกิดภายในประเทศ”นั้น ต้องไม่รวมเอา“รายได้”ส่วนที่ได้จากต่างประเทศเข้ามารวมด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็น“รายได้”จากสินค้าที่ไม่ใช่ผลผลิตของไทย หรือจากคนไทยที่ไปได้รายได้จากต่างประเทศเลย
ก็ให้เอาเฉพาะที่เป็น“รายได้ภายในประเทศ”ที่ได้จาก“ผลผลิตภายในประเทศไทย และขายกันระหว่างคนไทยในประเทศไทยเท่านั้น” ที่นับเป็น“รายได้มวลรวมภายในประเทศ” คือ เอาของ“คนไทยที่ผลิตเองขายกันเองในประเทศไทยเอง เป็นรายได้“ทั้งเงิน ทั้งผลผลิตเฉพาะของคนไทยเองเท่านั้น”จริงๆ
“ความแตกต่าง”ของแนวคิดทาง“เศรษฐศาสตร์”ของทุนนิยม หรือที่ยังเป็นแบบ“โลกียะ”ทั่วไปในโลกสากลกับแบบ“โลกุตระ”ของ“พุทธ”ที่เป็น“บุญนิยม” มีเฉพาะของพุทธนั้นมีนัยสำคัญหลายประเด็น
ตามประเด็นที่ 1 ที่สาธยายมานั้น ก็คือ ทั้งๆที่ท่านนักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมกำหนดหมายว่า “รายได้มวลรวมที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น” แต่นักเศรษฐศาสตร์เทฺวนิยมไพล่ไปคิดเอา“รายได้”ซึ่ง“มันไม่ใช่รายได้มวลรวมที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น”ตามกำหนดหมายและพูดๆกันอยู่ทั่วไปเป็นสากลหรอกนะ!
ทว่ามันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่บวกเอารายได้จากการขายผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ของตนเองที่ผลิตภายในประเทศของตนเองแท้ๆ เมื่อส่งออกไปขายแก่ต่างประเทศได้รายได้มา ก็เอา“รายได้”จากต่างประเทศมารวมกันกับทั้งที่เป็น“ผลผลิต”ขายในประเทศด้วย รวม“รายได้เข้าเป็นมวลรวม” มันก็รวมเป็น“รายได้”ที่ขาย“ผลผลิต”ได้ทั้งจากต่างประเทศ รวมกับ“รายได้”ทั้งที่ขายได้ในประเทศ มันเป็นการเหมารวมปนภายนอกกับภายในเป็น“มวลรวม”ทั้งหมดหนะซี!
นั่นมันไม่ใช่“การขายผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ของตนเองในประเทศตนเองเท่านั้น”แท้จริงกันที่ไหน? มันยัง“ขี้ตู่”ไปผนวกเอา“ผลผลิต”ที่ขายให้ต่างประเทศ แล้วได้“รายได้”จากต่างประเทศ”แถมเข้ามาอยู่ดี
มันก็เป็น“รายได้มวลรวม”ที่ไปนับเอา“รายได้”จากที่ขาย“ผลผลิต”ออกไปให้แก่ต่างประเทศโน่นมา “รวมเป็นรายได้ปนเปเข้าไปด้วยอีก” แล้วหลงผิดนับว่า เป็น“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”
…มันสำคัญผิดไปมั้ย? พินิจดูกันให้คมๆ แม่นๆ ชัดๆ กันเถิด
พินิจกันลึกๆชัดๆคมๆแม่นๆชัดๆแล้ว จะเห็นว่า ที่ว่า “รายได้มวลรวมในประเทศเท่านั้น” หรือจากภาษาที่ว่า Gross Domestic Product นี้ มันเป็น“รายได้มวลรวม”คือ Gross
ที่ถูกต้องตรงตามความกำหนดหมายกันแล้วหรือไม่ใช่? มันเป็น“รายได้มวลรวม”ที่เกิดขึ้น“เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น”จริงๆหรือ?
มันต้องเอา“รายได้ที่เกิดขึ้นจากการนับ “รายได้” อันได้ขายกันในประเทศ”เท่านั้นเป็น“มวลรวม”ตะหาก
ประเด็นที่ 1 นี้ จึงเป็นการหลงผิดในการขาย“ผลผลิต”ที่ควบรวม“รายได้”จากภายนอก ของ“ผลผลิต”ที่ส่งออกไปขายนอกต่างประเทศ และหรือนับเอาของคนไทยที่ไปได้“รายได้”อยู่นอกต่างประเทศแล้วส่งเงินเข้ามาให้คนไทยในประเทศไทย ว่า เป็น“รายได้มวลรวม”เฉพาะของไทยคนไทยภายในประเทศไทยเท่านั้น ว่าเป็นการขาย“ผลผลิตไทยกันเองภายในประเทศเท่านั้น” แต่หลงว่า“รายได้มวลรวมเฉพาะภายในประเทศ”
ประเด็นที่ 2 คือ ความหลงเพี้ยนๆผิดๆ ที่มักจะวิปลาสไปหลงคิดเอา“ตัวเลข”กัน มากกว่าที่เจาะให้ลึกลงไปคิดเอา“เนื้องาน”หรือ“ผลผลิตที่เกิดจากการทำงานโดยตรงของคนผู้ทำงาน”เป็นสำคัญ
คนมักจะหลงผิดไปกำหนดหมายเอา“ตัวเลข”หรือ“จำนวนตัวเลข”มาเป็นเครื่องชี้ว่า เป็น“ความเจริญเนื้อแท้”ของคนกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งดีทางค้าขายหรือธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตยที่หลงสำคัญกันที่“การเลือกตั้ง” ล้วนมุ่งมั่นหมายแข่งกันที่“ตัวเลข”
ไม่กำหนดหมายกันที่“การทำงานของตัวนักการเมือง”หรือกำหนดหมายกันที่“ผลงานของนักการเมืองทำจริง”มายืนยันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เป็นความสำคัญยิ่งกว่า “การเลือกตั้ง” ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลสารพัด
ประเด็นที่ 3 นั้นคือ ความเป็น“โลกุตรธรรม”นี่แหละสำคัญมากยิ่ง ได้แก่ “ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา” ประเด็นนี้เองที่ชาวเทฺวนิยมโลกียะเขายังทั้งไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความลึกล้ำของความจริงนี้ ทั้งยังไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกันอย่างภาคภูมิใจเต็มใจเป็นสุขใจจริงๆจังๆกันเลย
ชาวพุทธที่เจริญอาริยธรรมเป็น“โลกุตระ”กันได้สำเร็จจริงๆนั้น จะนับเอา“การขาดทุนของเรา” เป็น“ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าของเรา” ด้วยความบริสุทธิ์ใจที่จริงใจด้วย“ปัญญา”อันยิ่ง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น คือ คนผู้เสียสละ ผู้ขาดทุนให้แก่ผู้อื่น ดี แพ้ผู้อื่นได้ แต่จะไม่ยอมเป็นผู้ผิด
แล้วยินดีเป็น“ผู้รับใช้ผู้อื่น-รับใช้สังคมประเทศชาติ หรือรับใช้โลก ที่ไม่ใช่ทาส หรือผู้รับจ้างเป็นอันขาด”
ประเด็นที่ 4 ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดในความเป็น“โลกุตระ”ที่แตกต่างยิ่งใหญ่จากระบบ“ทุนนิยม”หรือแบบโลกียธรรม”สามัญของปุถุชน
นั่นก็คือ ชาว“โลกุตระ”ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์“สุข”กับ“การได้กำไร” และไม่อารมณ์ “ทุกข์” กับ“การขาดทุน”เลย หรือแม้แต่ผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็ตาม ที่“สัมมาทิฏฐิ”ดีแล้ว ก็จะ“ไม่ทุกข์”กับ“การขาดทุน” แต่กลับจะ“ยิ่งมีสุข”เกิดขึ้นบ้างในจิตของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์
ประเด็นที่ 5 นี้มันยากยิ่งมากๆเลยที่ชาวเทวนิยมโลกียะจะรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงกันได้ นั่นคือ เครื่องชี้บ่งความเจริญก้าวหน้าของชาวโลกุตระนั้น “ตัวเลข”ที่แจ้งผลรวมสรุปของ“รายได้การค้าขายแต่ละครั้งคราว แต่ละไตรมาส หรือแต่ละ 6 เดือน หรือแต่ละปี แต่ละ 5 ปี 10 ปี อะไรพวกนี้ “โลกุตระ”จะนับเอา“ตัวเลข”ที่น้อยลงๆ ถึงเจริญสุดคือ “0” แม้แต่จะ“0”ในสังคมของเราชาวโลกุตระ ก็ยังอยู่ได้ แม้แต่เราจะขาดทุนจนหมดตัว 0 อยู่สบาย มีชีวิตพออยู่พอกิน สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ”อยู่
จึงนับเป็นเศรษฐกิจที่มีความเจริญก้าวหน้าแปลกประหลาดมหัศจรรย์ สำคัญยิ่งกว่าเศรษฐกิจที่ชาวทุนนิยมเขานับว่า เป็นความเจริญก้าวหน้าของเขาชาวโลกียะในโลกส่วนใหญ่
แม้ที่สุดเงิน“คงคลัง”ของชาวอโศกโลกุตระ ก็จะพยายามเหลือเก็บไว้ให้“น้อยที่สุด”เท่าที่จะสามารถทำการสะพัดให้ได้เร็วและออกไปมากที่สุด เท่าที่จะสามารถรักษาสภาพการอยู่ได้ในกระแสหมุนเวียนของสังคมในช่วงไม่ใกล้ไกลนัก โดยอ่านเอาจากสมาชิกของสังคมนั้นๆแต่ละสังคมว่า มี“ความสามารถ”กับ“ความขยัน”เป็นหลัก เป็นการประมาณประเมิน ประมาณ••••••••••••
นี่คือ GDP ที่อาตมามีความรู้ตามประสาอาตมาที่ได้มาจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้มาจากตำราเทวนิยมหรือไม่ได้มาจากตำราใดๆ แต่จะได้มาจากพระพุทธเจ้าโดยตรงตั้งแต่หลายชาติมาแล้วมาถึงชาตินี้ ก็มาพาชาวอโศกทำ สร้าง GDP แบบนี้ หรือมาทำเศรษฐศาสตร์แบบนี้ คนข้างนอกฟังแล้วก็บอกว่า โพธิรักษ์ทำอะไรจะรู้เรื่องหรือไม่ ไม่แน่ อาจจะรู้ก็ได้
ประเด็นนี้แหละ ประเด็นที่เขาฟังธรรมะของชาวอโศก เอาชัดๆ ฟังธรรมะจากอาตมา เขาฟังแล้ว หาว่า พูดอะไรว่ะโพธิรักษ์ บ้าหรือเปล่า? ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีที่ไหนคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์
ต้องมาจนกัน สบายกว่าไปรวย จะเป็นคนก้าวหน้า คนประเสริฐต้องมาจนกัน
ประเด็นนี้ การพัฒนา การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเอาประเด็นว่าทุกคนรู้จักลดลง พอ แล้วจน ไม่ต้องไปรวย พูดกันให้ชัดๆเลยผู้บริหารประเทศ ทำความเข้าใจกับประชาชนเลย ให้เข้าใจว่า นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า จะสำเร็จผลเป็นวรรณ 9 เป็นคนคลาสสิค เป็นคนมีชั้นวรรณะที่เจริญ เป็นผู้เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนกล้าจน มักน้อย เป็นคนใจพอ เป็นคนขัดเกลาตนเอง เป็นคนที่มีหลักเกณฑ์หลักการ การปฏิบัติพัฒนาตนให้เจริญทางกายวาจาใจได้ มีอาการที่น่าเลื่อมใส มีกายกรรมก็น่าเลื่อมใส มีวจีกรรมก็น่าเลื่อมใส มโนกรรมก็น่าเลื่อมใส
เป็นผู้ไม่สะสม อปจยะ แต่เป็นคนเพียรพากเพียรขยันระดมความเพียร สำนวนของท่านมหาประยุทธ์หรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านแปล วิริยารัมภะว่า การระดมความเพียร เป็นผู้ปรารภความเพียร ด้วยศัพท์ที่เขาแปล
เพราะฉะนั้นคนที่มีวรรณะ 9 และทำให้สังคมจบด้วยสาราณียธรรม 6 อยู่กันยัง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อย่างชาวอโศกอยู่กันและก็มีรายได้ที่ได้มาโดยธรรม ใครก็ตามไม่ไปทุจริต ไม่เอาไปจากคนอื่นมาที่มันไม่งาม แล้วเอามารวมกันเป็นส่วนกลางลาภธัมมิกา กินใช้ร่วมกัน แล้วก็ปฏิบัติตนไปด้วย ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา จึงเจริญๆอยู่อย่างนี้
นี่เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า แม้ในยุคนี้ก็มีคนเอามาปฏิบัติได้ มาเป็นคนจนได้ มาเป็นคนทำงานฟรีได้ เป็นคนไม่ต้องสะสม แต่ขยันสร้างสรรค์ แล้วก็กินใช้ตัวเอง กินใช้ไม่เปลืองไม่ผลาญ กินพออยู่พอกิน สบายวันๆไป ไม่ต้องกังวลเลยว่า ข้าวไม่มีกิน ดินไม่มีเดิน ตะวันไม่มีส่อง พี่น้องไม่มีเลย มีแต่พี่น้องไม่มีเสร็จ เห็ดไม่มีเก็บ …มี มีป่าที่มีเห็ดธรรมชาติหรือไม่ต้องธรรมชาติก็ปลูกเองเลย เพาะเองเลย กินเห็ดเพราะเราไม่กินเนื้ออยู่แล้วอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นชาวอโศก อาตมาถึงพูดอย่างโอหังเลยว่า ประสบผลสำเร็จทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเสร็จ แก้ปัญหาจบกิจ ใช้คำว่า จบกิจเลย จบกิจนี่เขาใช้กับความเป็นอรหันต์ จริง เป็นเช่นนั้นจริงๆ
นี่คือความ จะพูดว่าเมื่อกี้จะพูดว่า เป็นความยิ่งใหญ่ แต่ยิ่งใหญ่จริงๆ ความยิ่งใหญ่ของธรรมะพระพุทธเจ้า นี่คือความยิ่งใหญ่ของธรรมะพระพุทธเจ้า
สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วันเวลาพิสูจน์มรรคผลคนโลกุตระ
พ่อครูว่า… ที่ทุกวันนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์” พวกเรานี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดยจริงใจเลยแล้วก็เอาชีวิตจริงๆมาปฏิบัติ จนกระทั่งกลายเป็นสังคมหมู่ที่เป็นหมู่บ้าน ชุมชน มีศีลกันทั้งหมู่บ้าน และก็มีสมาธิเป็น สมาหิโต ไม่ใช่เป็นมิจฉาสมาธิแบบทางโลกเขา เพราะสมาธินี้ลืมตาสมาธิเกิดจิตตั้งมั่นเพราะได้เรียนลดกิเลส เลิกมาได้เป็นจิตตั้งมั่นตั้งแต่
-
โลกอบาย เราก็เป็นสมาธิแล้ว จิตของเราก็ตั้งมั่นแล้ว เราไม่ไปวอแวอีกแล้ว
-
โลกกาม หลายคนก็ไม่แล้ว สบาย มาอยู่รวมกับหมู่กับกลุ่ม มีพี่น้องเยอะ ที่เคยมีคู่ก็มาอยู่กันอย่างเป็นพี่ๆน้องๆอยู่ในนี้สบาย เคยมีคู่หมั้นก็หนีมาเลย อย่างฟ้ารัก เป็นต้น มีมาตั้งแต่เป็นหนุ่มๆสาวๆแน่ะ มีคู่รักคู่มันอะไรก็เลิกมา อย่างจริงใจแล้วก็อยู่มาจนกระทั่งเดือนนี้ อายุ 70 หรือยัง
หมอฟ้ารัก…อายุของฟ้ารักเท่าพ่อครูลบ 20
พ่อครูว่า… อาตมา 88 คุณก็ 68 มิน่ายังผมดำ แต่คนที่อายุมากแล้วเลย 60 70 อายุมากแล้วแต่ผมยังดำก็ยังมี
อาตมาเอง อาตมาพูดถึงธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว พูดทีไรแล้วมัน สุขเช่นนี้ นี่หรือจะลืม อาตมามีแต่คนบอกให้พักบ้างพักบ้าง เดี๋ยวคนข้างๆก็บอกว่า พักหน่อยพักหน่อย เอ๊… อาตมาก็ไม่ได้แกล้ง ไม่ได้ทำเล่นๆนะ มันก็ไปสบายๆ นั่งทำไป 2-3 ชั่วโมง
แต่ก่อนนี้อาตมาทำวันๆหนึ่ง 4 – 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมงก็นั่งต่อกันทำอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครมาทวงเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้เขาบอกว่าอายุมากแล้ว เจียมแก่ ไม่เจียมสังขารไม่ถูก
เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยังมีพลัง ยังมีกะจิตกะใจที่จะพากเพียร ยังพยายามที่จะไม่ขยาย แต่มันก็ผุดขึ้นมาโผล่ขึ้นมาอีก ขยายขึ้นมาขยายนั่นขยายนี่ ดูซินี่ทำเป็นแอ๊ค ขยายเศรษฐศาสตร์แบบที่เรามีความรู้ตามพระพุทธเจ้า มาตีความขยาย ซึ่งแน่นอนก็พูดกันไม่รู้เรื่องกับชาวเทวนิยมที่เป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ที่มีตำราอ้างอิงกัน มันไม่เหมือนแน่นอน มันมีนัยยะสำคัญที่ไม่เหมือนประเด็น 1 2 3 4 5 ต่างกันไป เขาจะทำความรู้เรื่องหรือ ต้องมาขาดทุน ต้องมาทำงานฟรีนี่แหละคือความเจริญพัฒนาก้าวหน้า ต้องไม่เก็บเงินเป็นกอบเป็นกองเป็นก้อนอะไรมากมายสะพัดออกไป ที่จริงมันสอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์ที่เขาต้องการแต่เขาทำไม่ได้แต่พวกเราทำสำเร็จก่อนแล้ว
คนที่ไปรวยกัน มันก็สะสมทุนรอน ดีไม่ดีเอาไปออกดอกเอาไปออกปันผลซ้อนอีก นี่เป็นระบบที่ซับซ้อนหลอก แล้วก็ เอาเปรียบเอารัดกันซับซ้อนระบบทุนนิยมนี้ ขออภัยเถอะ เลวจริงๆ ถึงได้เรียกว่า ทุนนิยมสามานย์
พ่อครูว่า… วันนี้อาตมาแสดงธรรมที่นี่ พรุ่งนี้ก็ว่างอีกวัน แล้ววันมะรืนก็จะกลับเข้าไปราชธานีอโศกแล้ว
สมณะเดินดิน… ฝ่ายการเงิน เขารายงานเรื่องตลาดอริยะที่เราจะจัดในเดือนเมษายน คิดว่า ยอดขาดทุนก็จะให้สูงขึ้นมาหน่อย เขาบอกว่าโชคดีที่พลังบุญจะเพิ่มให้ถึง 2 ล้าน ก็สงสัยว่าพลังบุญทำไมถึงเอาเงินตรงไหนมาได้ ก็ได้ข่าวว่าพลังบุญขายของไม่ดี ขาดทุนติดลบอะไรก็ เขาก็ชี้แจงว่าเพราะว่า เงินเดือน ยังมีก๊อก 2 เป็นเงินเดือนของพนักงานที่เราตั้งยอดตามอัตราของตลาด แล้วเงินตรงนี้ก็จะมีส่วนต่างเพราะแต่ละคนเอาเพียง 2,000 ถึง 3,000 มันจึงมีส่วนต่าง จึงมีก๊อก 2 เอามาให้ตลาดอาริยะขาดทุนไม่แพ้ตอนงานปีใหม่
ก็ทำให้เห็นว่า สิ่งเหล่านี้ก็สอดคล้องกับที่พ่อครูพยายามจะขยายเรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์โลกุตระ
มองอีกมุมก็น่าใจหายว่าเงินน่าจะสต๊อกเอาไว้ เก็บเอาไว้แต่ก็เอาออกไปเกือบหมดเกือบหมด มันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่จบกิจนะครับที่จะเข้าหาความสูญ
แล้วก็นึกถึงคำพูดที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิวัฒน์ที่เขาพูดถึงเรื่องมณีแดง ยาที่จะมาเพิ่มอายุขัยมนุษย์ เขาบอกว่าเงินเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะทำลายมนุษย์อยู่ตลอดเวลา เงินมีหน้าที่อย่างเดียวคือเป็นเครื่องมือของพระโพธิสัตว์ รู้สึกว่าเขาพูดออกมา มาขยายความให้พ่อครูนะครับ
พ่อครูว่า… เป็นเครื่องมือโพธิสัตว์อย่างไร โพธิสัตว์ไม่ได้ไปวุ่นวายกับเรื่องเงินๆทองๆ
สมณะเดินดิน… เครื่องมือให้โพธิสัตว์ประกาศเศรษฐศาสตร์โลกุตระครับ
พ่อครูว่า… ไหนๆแล้วก็ไหนๆแล้ว เอาให้ถึง 20:00 น ก็แล้วกัน วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะ พรุ่งนี้อยู่อีกวัน มีอะไรก็สะสางกัน จะไปเยี่ยมคนอายุเกินร้อย เดือนเมษายนก็ครบ 102 ปี โยมภิญญา เดี๋ยวพรุ่งนี้ ยังมีเวลาก็ได้ไปเยี่ยมหน่อย
อาตมาเคยพูดกับพวกเรา เราอายุ 80 ขึ้นไปก็หลายผู้หลายคนแล้ว มาตั้งแต่อายุ 30 หรือ 20 กว่าก็มี 40 ก็มี เดี๋ยวนี้ 80 เข้าไปแล้ว คนละ 30 ปี 40 ปี 50 ปี อยู่ได้ยังไง พามากิน นี่สมัคร สุนทรเวช เขาก็ว่าเราแต่ก่อน ไอ้พวกนี้นี่มัน กินกล้วย 1 หวีใช้งานทั้งวัน นี่ก็พูดประชด นี่ก็ไปสวรรค์แล้วล่ะสมัคร สุนทรเวช เขาอยู่หมู่บ้านอยู่ตรงกันข้ามนี่
คนเราแต่ละคน อาตมาเห็นจริงที่สุดเลยว่า คนเรานี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ แล้วอาตมาก็สรุปแล้วว่า กรรมนี่แหละคือ GOD คือพระเจ้าจริงๆ กรรมคือพระเจ้าตัวจริง
กรรมของเราเอง เราฝึกฝนเรียนรู้การปฏิบัติกรรม ทำกรรมของเราจนกระทั่งสามารถที่จะทำกรรม จนบรรลุอรหันต์ จนบรรลุธรรมะโลกุตรธรรมขั้นอรหันต์ แล้วก็ทำตนเองอีก จะอยู่หรือจะไม่อยู่เป็นอมตะบุคคล เป็นคนระดับที่ 9 ในมูลสูตร 10 เป็นอมตบุคคล เป็นคนมีวิมุตแล้วก็เป็นอมตะบุคคล
เป็นอมตะบุคคลก็คือ บุคคลที่จะตายก็ได้จะเกิดก็ได้ จัดการเองได้เลย ตายหลังจากการตายแล้วเรียกด้วยภาษาวิชาการว่า กายัสเภทรา ร่างแตก ปรัมมรณา หลังจากนั้นไปจะให้เป็นอะไรทำได้เอง จะให้เกิดอีกเวียนวนมาเกิดอีกก็ได้ อันนี้แหละในเถรวาทในทางพุทธศาสนาประเทศไทย เขาเป็นอุจเฉทิฏฐิ อรหันต์ตายแล้วต้อง 0 อรหันต์ตายแล้วเกิดอีกไม่ได้ เมื่ออาตมามาพูดว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดอีกได้ยืนยันหลักฐานว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ต่อเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องโพธิสัตว์เลย อาตมาเป็นผู้ที่ขยายความเรื่องโพธิสัตว์และก็ขอยืนยันว่าเป็นโพธิสัตว์เนื้อแท้ถูกต้องตรง
มหายานทางด้านโน้นเขาทางญี่ปุ่น ทางจีนอะไรที่เขามีมหายาน ไม่ใช่เถรวาทที่เดียวเขาก็มีโพธิสัตว์ แต่โพธิสัตว์เขาก็เลอะเทอะอีกบานปลายเป็นโพธิสัตว์นิรันดร โพธิสัตว์มีอัตตา อะไรก็ไม่รู้เละเทะไปหมด มันไม่ถูกต้อง กลับคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้ามาถึงยุคนี้ที่อาตมายืนยันว่า ศาสนาพุทธ 2,500 ปี ยุคนี้มันเสื่อม แต่ อาตมาก็มากู้กลับได้ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้อวดดี ไม่ได้อยากเบ่ง อยากข่มใครหรอก แต่ขอยืนยันว่า อาตมาพูดความจริง ทุกอย่างที่อาตมาพูดไปเป็นความจริงทั้งนั้น แม้แต่เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าจะเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รู้ได้ด้วยตนเอง มาอธิบายโลกนี้โลกหน้า มาต่อศาสนาในยุคนี้ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 คนฟังแล้วก็หมั่นไส้ คนที่เขาไม่เชื่อถือ อาตมาพูดจะไปน่าหมั่นไส้อะไร อาตมาพูดตามคำสั่งพระพุทธเจ้า อ้างอิงหลักธรรม ไม่ได้พูดลอยๆพูดเลยไม่อ้างอิง ไม่ อิงหลักอิงธรรม แล้วก็พามาปฏิบัติศึกษาแล้วก็เกิดหลักฐานยืนยันอ้างอิงได้อีกอย่างที่อาตมายืนยัน
ชาวอโศกมีอริยะ มีสมณะ 4 เหล่า เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆเพื่อที่จะยืนยันว่า ให้เขาเทียบดูว่า อรหันต์จริงกับอรหันต์เก๊ อาริยะจริง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริง กับ ของเขา เขาไม่สามารถแยกแยะแบ่งเกณฑ์ว่าเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เขาแบ่งไม่ได้ชัด เขาแยกจิตเจตสิกต่างๆ แยกรูปแยกนาม รูป 28 เอารูป 24 นาม 5 แม้แต่ สัญญา 10 เวทนา 108 เขาก็แยกภาษากันทางอภิธรรมเขาก็ท่องกันจ้อยๆ แต่เขาไม่ได้เข้าถึงสภาวะกัน แต่พวกเรานี้เข้าถึงสภาวะ เข้าใจ มโนปวิจาร 18 แยกเวทนา มโนปวิจาร 18
อาตมาเคยยืนยันว่าผู้ปฏิบัติธรรมถ้าแยกเจตสิกของตัวเองเป็น เคหสิตะ แล้วก็ทำให้เป็นเนกขัมสิตะ แล้วก็ทำจิตให้เป็นเนกขัมมะ ออกจากกาม ออกจากปฏิฆะ. ออกจากกิเลส ออกไปได้ตามลำดับๆ ถ้าไม่รู้สภาวะจริงของอันนี้ ไม่มีทางบรรลุอรหันต์หรอก เอาแต่นั่งหลับตา หลับตา หลับตาดับก็ไปให้ก้นแตก ปึ๊ง บรรลุอรหันต์ก็น่าสงสาร ก็ไม่รู้หลักของศาสนาพระพุทธเจ้าเลยอย่างนี้เป็นต้น
อาตมาพูดไปก็ต้องอ้างอิงความจริงบุคคลพาดพิงผู้นั้นผู้นี้บ้างนั่นแหละมันเป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำผิดทำไม่ดีทำไม่ถูก มันซ้อน เพราะมันมีของจริงก็จะได้อ่านง่ายยืนยันได้ ว่าอย่าไปทำเช่นนั้น
เช่น อย่าไปนั่งหลับตา อันนี้ยากมากเลยเพราะมันหลงเชื่อฝังจิตฝังใจมานานว่า ฌาน ต้องนั่งหลับตาสมาธิต้องนั่งหลับตา ขอยืนยันว่า ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ฌานวิสัยเป็นอจินไตย ฌาน ไม่ต้องนั่งหลับตา ฌานของพระพุทธเจ้าเกิดจากจรณะ 15 ข้อที่ 11-15
มี วิชชาเป็นยาดำ ต้องรู้ด้วยปัญญาตลอดสาย
เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดถึงอยู่อย่างนี้พูดด้วยความมั่นใจ พูดได้อย่างที่เรียกว่าองอาจแกล้วกล้า ไม่ได้เงอะงะว่า มันจะถูกหรือเปล่ามันจะผิดพลาดไหมไม่มี วิจิกิจฉา ไม่มีข้องใจ ไม่มีสงวนเลยว่ามันจะผิดนะคือมันจะถูกเต็มที่หรือเปล่า อาตมาว่า ไอ้ที่ยังไม่ค่อยชัดตัวเองจริงๆเลยนี่นะ อาตมาจะยังไม่พูดออกมา จะบอกว่ามีไหม ก็มี แล้วอาตมาจะพูดออกมาทำไม ยังไม่มั่นใจตัวเองแล้วจะให้ผู้อื่นรู้ทำไมแม้จะได้ยินก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปพูดทำไม ก็เอาที่มันชัดๆที่มันมีอยู่เยอะแยะไปละเอียดลอออะไรก็ชัดก็เอาออกมา
เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่มีภูมิถึงจริงๆ
1.ฟังไม่รู้เรื่อง
-
ฟังพอได้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แล้วก็ยังไม่ค่อยเชื่อ
-
ฟังเข้าใจได้ ค่อยๆเข้าใจมาเรื่อยๆยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น
4.มาเลยใช่แล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว ใครเคยพูดอย่างนี้บ้างไม่ไปไหนอีกแล้ว เจออโศกแล้วไม่ไปไหนอีกแล้ว ใครเคยพูดอย่างนี้บ้าง
บางคนก็แก่แล้วจะไปไหนอีกอย่างโยมกรุณานี่เท่าไหร่แล้วปีนี้อายุ
_โยมกรุณา..คาใจว่า คนที่เขาเอาการแต่งงานไปในโบสถ์นี่ร้ายกาจยิ่งกว่านั่งหลับตาอีก
พ่อครูว่า… อาตมาเคยท้วงแล้ว พระทำอย่างนั้นเป็นอาบัติสังฆาทิเสส แนะนำให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน สังฆาทิเสสนะ อาบัติสังฆาทิเสสนะรองจากปาราชิก อาตมาท้วงไปแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็อ้างอิงหลักธรรมอาตมาอ้างอิงตามหลักธรรมวินัย
คุณเองคุณชัดเจนเบื่อหน่ายชีวิตแล้วแต่เขาไม่เข้าใจ แม้แต่เป็นพระเป็นเจ้าเป็นระดับนั้น แล้วจะเอาเข้ามาจัดการทำงานให้แต่งงานกันอยู่ในโบสถ์ ของศาสนาพุทธนั้น จะร่วมกันทำสังฆาทิเสสอาตมาก็ท้วงไปแล้วเขาจะแจ้งทำกันอยู่ก็เรื่องของเขาอาตมาก็ไม่รู้ก็เห็นใจก็มันไม่รู้
พ่อครูว่า… อาตมาถามว่าอายุเท่าไหร่ ไม่ได้ถามว่าไปไหนมา 3 วา 2 ศอก
_แม่ชีกรุณา… อายุ 93 ปีแล้ว ถามพ่อท่านตรงนี้เลยอกจะแตก
พ่อครูว่า… ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นคนทางเขาทำอย่างนั้น คือมันไปยึดมั่นคนอื่นเขาประพฤติ อาตมาเคยพูดแรงๆ หยาบๆเลย ทำไม ส.ใส่เกือก ไปยุ่งอะไรกรรมใครกรรมมัน เขาทำก็คิดว่าเออ มันก็ประพฤติเขา กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ เขาทำก็เป็นกรรมของเขา เราไม่ได้ทำกรรมกับเขา เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาอย่าไปแส่
เป็นแต่เพียงว่ารู้ว่าเขาทำเช่นนี้ กรรมเช่นนี้เขาทำเช่นนี้ไม่ควรนะ เราสามารถที่จะแนะนำกันได้ เตือนกันได้ บอกกันได้อย่างที่อาตมาบังอาจ จะใช้คำนี้ก็ได้บังอาจจะเตือนเขาแนะนำเขา พูดไป
ที่จริงอาตมา เราชาวอโศกนี้เป็นนานาสังวาสกับเถรสมาคม ตามวินัยของพระพุทธเจ้านั้น ค้านกันได้ แย้งกันได้ ตำหนิกันได้ ปฏิกโกสนา
_แม่ชีกรุณา…สมเด็จ 2 องค์นี้มันรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้าอีก
พ่อครูว่า… ให้กินบุคแล็กระบายออกมา อย่าไปกินสลอดล่ะ สงสัยจะหูตึง ก็อย่างนี้แหละอายุมากขึ้นก็อย่างนี้ อาตมานี่พูดมากพูดซ้ำพูดวนรำคาญบ้างหรือเปล่า โยมว่า.. ไม่ จริงหรือเปล่า? จริง..ธรรมดาคนพูดซ้ำน พูดบ่น ทำไมไม่เบื่อ ไม่รำคาญเล่า
_ทพ.ฟ้ารักว่า…มันเป็นสัจจะ
พ่อครูว่า… ไม่หลงยึดผิดหรือ อาตมาก็ว่าอาตมาพยายามอยู่นะ ทำสิ่งที่มันไม่ได้ซ้ำซากจนเกินไป แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าซ้ำซาก ไปอ่านพระไตรปิฎกเถอะ รับรองคุณไม่อ่านข้ามให้มันรู้ไป ใครอ่านพระไตรปิฎกไม่ทนอ่านทุกตัวอักษรเรียงไปหรอก มันต้องมีวนแล้วท่านขยันซ้ำจริงๆ บางทีซ้ำตรัสอย่างนี้ขึ้นแล้ว 10 ข้อท่านก็ซ้ำ 10 ข้อนั่นแหละท่านก็ขยายเพิ่มนิดหนึ่ง บางทีคำเดียว บางทีวลีเดียวบางทีประโยคเดียว ขยายไปละเอียดจริงๆโอ้โห…สุดยอดจริงๆเลย
_แซมดินว่า…ของพ่อท่านไม่เบื่อเพราะพ่อท่านจะร้อยเรียงใหม่ มาประกอบใหม่ เพิ่มเติมขึ้น
พ่อครูว่า… เข้าใจอย่างนั้นแล้วได้อย่างนั้นจริงก็ดีแล้วล่ะอาตมาก็เจตนาให้เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ได้หมายความว่าสอนไปทุกวันนี้ วนอยู่ที่เก่าไม่มีอะไรต่ออีกแล้ว อาตมาว่ายังมีอะไรละเอียดๆที่เป็นอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการอยู่นะ
ทวนซิ 5 ประการมีอะไรบ้าง
1.ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้
-
เข้าใจชัดขึ้น
-
หายสงสัย
-
ทิฐิถูกตรงขึ้น
-
จิตผ่องใส จิตเลื่อมใสขึ้น