660301 แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1s5ggMZjtt_GjPflpzlO9jE4tmcvqyNNR9WNgmAdjPWo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1r-6RbpDTOB9PED6zWLAS5vp3VDKSVx65/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/c4ASoQWY_WQ
และ https://fb.watch/i-2lQoCKIl/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล รายการพุทธศาสนาตามภูมิแสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์เวลา 18:00 น ถึง 19.30 นโดยประมาณ
โดยปกติชีวิตคนก็แสวงหาโลกีย์ ไปฟังสิ่งที่มิจฉาทิฏฐิซ้ำแล้วซ้ำ ส่วนพวกเราเป็นชีวิตชาวโลกุตระ ก็มาฟังธรรมแล้วๆเล่าๆไม่เว้นแต่ละวัน ฟังมาหลายสิบปี บางคน 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 จนปฏิบัติได้ไปตามลำดับ จนใช้ชีวิตเป็นปกติของคนโลกุตระทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วก็ยังศึกษาต่อไปอีกต่อไปอีกจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ในฐานะเป็นโพธิสัตว์ระดับสูง ที่สามารถปฏิบัติไปโดยไม่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ แต่พวกเราต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่จะเพิ่มสัมมาทิฏฐิจึงจะพัฒนาตัวเราเองได้ดี จนกว่าจะพัฒนาไปเป็น สยังอภิญญา ด้วยตัวเราเองได้เราจึงจะพึ่งพาตัวเองได้สำเร็จทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ ตอนนี้เรามีหน้าที่เป็นสาวก รักษาให้จริงจังแล้วเอาไปปฏิบัติจริง พ่อครูก็จะชี้นำในสิ่งที่ควรทำ ตอนนี้ทำกสิกรรมนะ ตอนนี้ศาลาปันสุข ตอนนี้การเมืองนะทำอย่างนี้นะ ก็ชี้ พวกเราก็ดำเนินตามเพราะพวกเรายังไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะเสียสละได้มาก บางทีจิตเราอยากเสียสละแค่นี้ แต่พ่อครูก็ดึงให้พวกเราเสียสละเพิ่มขึ้นไปอีก เราก็ได้ทำเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้พอพัฒนาเจริญมากยิ่ง วันนี้เราก็มาฟังธรรมจากพ่อครูกันต่อเพื่อจะได้เจริญในด้านการปฏิบัติธรรมมากขึ้นเสียสละมากยิ่งขึ้น ช่วยเหลือสังคมมากยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกๆคน
กิเลสสำหรับเด็ก 6 ขวบ ที่ควรปฏิบัติลดละ
_ดช.ธัมโม.. (พุทธเทียนธรรม วารีสระ) … คำถามของเขาก็คือ กิเลสคืออะไร
พ่อครูว่า… อ้าวฟัง ดช.ธัมโม … กิเลสคือความขี้เกียจ กิเลสคือความซน ดื้อ กิเลสคือความไม่ขยันหมั่นเพียร กิเลสคือ ความว่ายากสอนยาก นี่แหละคือกิเลส เอาแค่นี้ก่อน แล้วเอาไปปฏิบัติเอาไปทำให้ได้ อย่าให้มีสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ว่ากิเลสคืออะไร คือความดื้อ ความซน ความขี้เกียจขี้คร้านอะไรพวกนี้ เอาไปทำให้ได้ เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ยังมีอะไรอีกเยอะไม่ต้องห่วง ทำได้แค่นี้แล้วหลวงปู่ให้อีกมีอีกเยอะ กิเลสมีอีกเยอะเอาไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน
_SMS วันที่ 27-28 ก.พ. 66
_กิตติมา เอกมาไพศาล · เมื่อมีผัสสะ เกิดเวทนาสุขทุกข์ แสดงว่าจิตเราวิ่งไปทำนาเขาแล้ว ต้องรีบดึงกลับมาให้ไวค่ะ ไม่งั้นเรื่องยาว
ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจากอโศก (พ่อครู สมณะและสิกขมาตุ) ชีวิตนี้คงยังหมกมุ่นกับการหาเงินให้ได้เยอะๆ เก็บเงินเยอะๆ ไม่รู้จักพอสักที ความโลภเติบโตตลอดไม่เคยพอ กราบขอบพระคุณอย่างสูงเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… เออ ดี มีความเข้าใจอย่างนี้และปฏิบัติให้ได้ มีความเข้าใจจริงอย่างนี้และสำนึกอย่างนี้ปฏิบัติจริงอย่างนี้อาตมาก็ภูมิใจแล้ว แล้วคนที่มีความเข้าใจอย่างนี้และปฏิบัติตนอย่างนี้ได้จริงสำเร็จจริง มันจะเป็นการแก้ปัญหาให้สังคมมนุษยชาติ แก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติ อย่างจริงที่สุดและถาวรยั่งยืนด้วย เอาไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
ขณะขณะอย่าล่วงเลยไป พึงเพียรเข้าสู่หมู่มิตรดีให้ได้ในชาตินี้
_สินอโศก · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ดิฉันไปกินข้าวที่บ้านราช แล้วได้คุยกับอาอ๋อยอย่างเป็นเรื่องราวเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่รู้สึกว่ายิ่งคุย ก็ยิ่งต้องกลับมาเริ่มใหม่หลายอย่าง อาอ๋อยจะต้องกลับเดนมาร์ก และแนะนำให้คุยธรรมะกับคุณกรักเพราะอยู่ใกล้กัน ดิฉันยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องให้ผู้รู้แนะนำสั่งสอน เพราะหากไม่ถูก ผู้รู้จะได้ช่วยแนะนำเพื่อให้ถูกตรงยิ่งขึ้นค่ะ
ในทุก ๆ วันที่ได้ฟังธรรมจากพ่อครู จากท่านสมณะและท่านสิกขมาตุชาวอโศกแล้ว ดิฉันได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองและของโลกใบนี้ค่ะ ก็คือ ดิฉันเข้าใจถึงกายนอก ที่ต้องอาศัยเพื่อให้อยู่ได้ มันละเอียดและทำให้เข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
พ่อครูว่า… ดีมาก ผู้หญิงเข้าใจยิ่งฟังธรรมมากๆแล้วยิ่งได้ปฏิบัติเห็นผลจริง และอยู่กับหมู่กลุ่มหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า กัลยาณมิตโต กัลยาณสหายโย กัลยาณสัมปวังโก มันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงๆ เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์มันสุดยอดแล้ว ท่านก็ตรัสไว้ไม่ยากนะอาตมาว่าชัดๆ แต่คนมันเข้ามาไม่ได้ก็เข้าใจก็เห็นจริงเห็นใจอยู่เหมือนกัน แต่ผู้เข้ามาได้แล้วอย่าพยายามถ่วง อย่าพยายามถ่วง พยายามปรับปรุงตนพัฒนาขึ้นไป มันเป็นโอกาส ที่ดีที่สุดแล้ว ที่จะได้พบอย่างนี้
ถ้าเราเองตายไปจากชาตินี้มันไม่แน่ว่าหมาไล่เนื้อคือวิบากบาป มันจะวิ่งได้ทันตอนที่เราตายไปแล้ว เสร็จแล้วไม่ให้เราเกิดมาเร็วหรือเกิดมาไปตกอยู่ในหมู่อื่นที่ไม่เข้าหมู่นี้ มันจะเสียโอกาส เพราะฉะนั้นต้องทำ ทำคะแนนเข้าไว้จนตายไปแล้วหมาไล่เนื้อที่เป็นวิบากบาปไล่ไม่ทัน และจะได้เข้าหมู่อีกมันจะได้พากันไปได้ดี นี่ก็แนะนำไว้ ผู้ใดเห็นว่าเป็นความขวนขวาย ความพากเพียร อย่าปล่อยขณะให้ล่วงเลยไป
ขณะอย่าล่วงเลยไป ผู้ใดปล่อยให้ขณะล่วงเลยไปจะพากันไปยัดเยียดอยู่ในนรก ขณะนี้ นานแค่ไหนมันนิดเดียวนะ อย่าปล่อยให้ขณะล่วงเลยไป เพราะผู้ที่ปล่อยปละละเลยขณะไป ทำให้ไปตกยัดเยียดอยู่ในนรก สำนวนเพราะ สำนวนดีแต่บางคนเข้าใจได้ยาก
มีพืชผักผลไม้เอาไว้เชิญชวนให้ช่วยกันปลูกไปแจก
_พันธุ์ พอเพียง · สำนักข่าวทอปนิวส์ เอาข่าวมาเล่าว่า ประเทศอังกฤษ ขอจำกัดการขาย แตงกวา พริกหยวก มะเขือเทศ เพราะเกิดภาวะอาหารขาดแคลน โดยเฉพาะมะเขือเทศ ให้ซื้อได้คนละ 3 ลูก ต่อคน ต่อวัน ส่วนที่บ้านราช พ่อท่านบอกว่า มีแต่คนปลูก แต่ไม่มีคนเก็บ 2 ข่าวนี้ แตกต่างกัน อย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ครับ
พ่อครูว่า… เอาพืชผักผลไม้ที่ทำด้วยพวกเรานี่แหละ เอามาโชว์เอามาประกอบฉาก เสร็จแล้วก็ค่อยๆทยอยขนไปเข้าครัว แล้วก็ทยอยเก็บมาอีกเอามากินเอามาโชว์ เอามาโชว์ส่วนหนึ่งส่วนกินก็กินไป อย่างนี้
ซึ่งจริงๆแล้วที่โชว์นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องการอวดอ้าง แต่ต้องการชักชวนให้คน ออนซอน ให้คนส่วนใหญ่เห็นแล้ว ออนซอน แปลเป็นไทยว่าชื่นชม โสมนัส ยินดีด้วยมากๆยิ่งๆเลย ออนซอนเด๊ ว่ามันช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆ
อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเราได้มารวมตัวกันแล้วมาเป็นคนชนิดนี้ แต่ก็ยังพยายามเร่งเร้าเร่งรัดให้พัฒนา พื้นที่ยังมีอีก ขยันทำให้มันมากกว่านี้แล้วแจก นี่เราก็แจกกันอยู่หรือขายให้ถูก ขายบ้าง บางคนเขามีศักดิ์ศรีเขาไม่รับแจกหรอกขายก็ขายถูกๆ เขาก็ซื้อกันไป จะได้อยู่ได้กินได้อาศัย
นี่อย่างนี้สงสารนะพวกต่างประเทศขณะนี้ นี่ขณะนี้เขารายงานมา ที่เอามาจัดฉากวันนี้ มีมะเขือเทศที่สวนเพื่อฟ้าดิน ผักสลัดต่างๆสวนคุณปะดาวสู่แสงพุทธ กล้วยจากศีรษะอโศก มะเขือเทศข้างล่างจากบ้านคุรุปลากระพง ชมพู่จากสวนไวพลัง อย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่าง ยังมีพืชอื่นๆอีกเยอะหลายอย่าง
ซึ่งมันเป็นอาหาร อาหารของคน ไม่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ พืชนี้แหละกินไปเถอะรับรองว่าอยู่ได้อยู่ยงคงกระพัน อายุยืนยาวด้วย กินเนื้อสัตว์จะอายุสั้นลงไปด้วย กินเนื้อสัตว์นี่อายุจะทอนลงไป
นี่บอกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อังกฤษ จำกัดการซื้อผักผลไม้ หลังขาดตลาดหนัก
_เอาข่าวมาเล่าว่า ประเทศอังกฤษ ขอจำกัดการขาย แตงกวา พริกหยวก มะเขือเทศ เพราะเกิดภาวะอาหารขาดแคลน โดยเฉพาะมะเขือเทศ ให้ซื้อได้คนละ 3 ลูก ต่อคน ต่อวัน
พ่อครูว่า… น่าสงสารคนพวกนี้มันจะเกิดจริงๆ คนไม่เป็นความสำคัญในความสำคัญอันนี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมตัวทำเอาไว้เพื่อช่วยเหลือที่คนที่เขาต่อไปจะขาดแคลน เรามีความรู้ก่อน เข้าใจโลกก่อน เข้าใจสิ่งสำคัญนี้
อาตมาว่าทำเถอะ ยิ่งทุกวันนี้การสื่อสารมันไปได้เร็ว ไปได้มาก ไปได้สะดวก เพราะฉะนั้นเราหาตลาดขายหรือแจกไปเถอะ มีคนที่เข้าใจในการติดต่อ เพื่อที่จะสะพัด ขายหรือแจกสิ่งเหล่านี้แก่คนออกไปอีก แม้ในประเทศนี้ก็เถอะ แจกก่อนก็ได้แจกในประเทศเรา คนอื่นๆในแว่นแคว้นจังหวัดไหน ที่ขาดแคลน เอาพวกนี้ต่อไปก่อนก็ได้ เสร็จแล้วใครมีความรู้ที่จะต่อไปอีกสู่ประเทศต่างๆอื่นๆข้างนอกเขา นอกประเทศอีก ก็เอา
สรุปแล้วเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้อื่นให้ยิ่งๆขึ้น อันนี้แหละ โอย..ซื้อได้คนละ 3 ลูกเจ้าประคุณ น่าสงสาร
_ส่วนที่บ้านราช พ่อท่านบอกว่า มีแต่คนปลูก แต่ไม่มีคนเก็บ 2 ข่าวนี้ แตกต่างกัน อย่างไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ครับ
พ่อครูว่า… มีคนเก็บอยู่ รุณฯ ก็ยังพาเจ้าปุณย์ ไปเก็บมะเขือเทศมาให้อยู่ทุกๆวัน อายุ 2 ขวบแล้วเขาก็ฝึกให้ไปเก็บเอามาแจก เอามาเผื่อแผ่ เอามากินอย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งมันต้องเกิดในโลก มันมีข้อเปรียบเทียบที่จะเห็นจริงเป็นได้ อย่างประเทศตุรกี ใครจะไปคิด ตุรกีกับแผ่นดินไหว ตายไปจะ 40,000 แล้วเท่าที่เห็นศพ อย่างนี้แหละน่าสงสาร
หรือแม้ว่าเขาไม่ได้เกิดภัย จะเป็นแผ่นดินไหว จะเป็นสึนามิจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ธรรมชาติ ภัยธรรมชาติ ผู้ที่อยู่ในบรรยากาศที่จะได้รับภัยธรรมชาติมันก็เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง
ส่วนไทยนี่ เป็นประเทศที่อยู่ในภูมิประเทศที่ดีที่สุดในโลกแล้ว เหตุปัจจัยที่จะมีธรรมชาติที่จะทำให้ทุกข์ร้อนลำบากไม่มากเหมือนเขา มันประกอบไปด้วยวิบากกรรมที่เป็นอจินไตยอย่างแท้จริงด้วย
นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารของพวกเราเก็บมาถ่ายภาพมา คือมันโชว์อย่างที่เรียกว่าอยากให้คนเขาเห็นความสำคัญไม่ได้อยากอวดโชว์อ้างอะไร
ในภาพมีหัวแครอท เจ้าปุณย์และครอบครัวเอามาให้ดู
_เพชรตะวัน ธนะรุ่ง · ชอบฟังรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวนมากค่ะ เข้าใจง่าย เป็นธรรมะ ที่ นำมาวิเคราะห์ เขื่อมโยงกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ภาษาพื้นๆ เข้าใจได้ง่าย ตรงสภาวะของตนค่ะ กราบขอบพระคุณมากค่ะ
พ่อครูว่า… เป็นคนอยู่ที่นี่เก่าแก่ ไม่ค่อยเห็นหน้า จบการศึกษาดอกเตอร์ แล้วยังต้องพยายามฟังภาษาง่ายๆภาษาเข้าใจง่ายๆ ก็อยู่ในนี้แต่อาตมาไม่ค่อยเห็นหน้าเท่าไหร่ อยู่ในบ้านราชฯนี่แหละ
สมณะฟ้าไท… เขาอยู่ที่บ้านคำกลาง
พ่อครูว่า… บ้านอยู่ในบ้านราชนี้เขาก็มี ก็ว่าไป
_แก้วลา ไชยวงค์ · เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ดิฉันได้รับหนังสือปัญญา 8 แล้ว ขอ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ตอนนี้เล่ม 4 แล้วจะไปถึงเล่ม 5 หรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังไม่ได้ตัด ยังดี rewrite อยู่ ได้หน้า 100 ถึง 200 ที่จริงไปถึงหน้า 700 800 แล้วก็เอามาทวน ว่าจะพยายามไม่ขยายเท่าไหร่แล้ว แต่มันก็อดไม่ได้ นิดน่าๆๆ ก็เลยยาวไปเรื่อยๆ แต่ก็เอา มันก็ไม่เสียหลายหรอก มันก็ได้ประโยชน์ ขยันเขียนอยู่ ยังทำได้ก็เอา
_ช่อทิพ หนูทอง · กำลังฟัง หนังสือส่งเสียง ปัญญา 8 จากไลน์ บันทึกโพธิรักษ์โพธิกิจ อยู่ เพราะตอนนี้สายตาไม่ดี อ่านเองไม่ได้ค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมายังชอบฟังเลย ผู้อ่านตอนนี้ก็อยู่ที่อเมริกา ก็เอามาออกอากาศ สื่อสารมันดี คนอ่านก็เป็นดอกเตอร์ โอ้ Doctor เรามีเยอะ อีกหน่อยเดินชนกันหัวแตกแล้ว
_ศรีนวล อินปล้อง · กราบคารวะท่านพ่อครู ลูกจะรับฟังปรับปรุงแก้ไขตัวเองติดตามท่านพ่อครู กับอาจารย์หมอเขียวทุกวันค่ะ สุโขทัยค่ะ สาธุค่ะ
_อุบล คนโก้ · เตรียมสัมภาระที่จำเป็นพร้อมเดินทางไปร่วมงานที่ปฐมอโศก ลูกๆสันติไปเตรียมงานตั้งแต่วันที่ 25 แม่ๆจะตามไปวันที่ 3 ค่ะ ลูกคอยดูแต่ปฏิทินอโศกว่าจะมีงานอีกเดือนไหน เตรียมพร้อมเดินทางตลอดค่ะเพื่อไปช่วยงานค่ะ
พ่อครูว่า… ดี มาช่วยตอนมีงานก็ยังดี ถ้าตอนไม่มีงานมาก็ยิ่งดีใหญ่ ดีไม่ดีก็มาอยู่ที่นี่เลย
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ..สิ่งที่พ่อครูเคยกล่าวว่าท่านนายกประยุทธ์ เป็นโพธิสัตว์นั้น ยิ่งนานวันยิ่งเห็นชัดขึ้น จากสโลแกนว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อ” ทุกอย่างเห็นเป็นรูปธรรมถึงความซื่อสัตย์ ความขยัน มีสมรรถนะ รับใช้และช่วยเหลือประชาชน ในหลายมิติ ทำความกระจ่างสร้างปัญญาให้ประชาชน ในการปราศรัยใหญ่ที่ชุมพร และนครราชสีมา เป็นการปราศรัยที่ไม่ไปพาดพิงพรรคอื่นในทางให้ร้ายรุนแรง มีแต่คำพูดที่สร้างความเชื่อมั่น ให้มีความภาคภูมิใจในมาตุภูมิ แผ่นดินเกิด ให้รักประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ฟังแล้วชื่นใจค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สอนลูกๆให้มองคนเป็นค่ะ
พ่อครูว่า… ดีแล้วมองคนเป็น ก็เข้าใจอย่างที่อาตมาแนะนำ แล้วก็มองว่าเห็นจริงตามที่อาตมาแนะนำ ก็เรื่อง อาตมาไม่ทำเรื่องที่ไม่จริง
ศีลของภิกษุมี 43 ไม่ใช่มี 227 ข้อ
_tell star • จุลศีล หรือ ศีลของนักบวช มี 26 ข้อ ทำผิดศีลเสียเกือบครึ่ง ยังมีหน้ามาสอนธรรมะอีก ปฏิบัติศีลให้ได้ก่อน ค่อยสอนผู้อื่น
พ่อครูว่า… ที่จริงศีลของนักบวช อยู่ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าก็ย้ำว่าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งภิกษุทั้งหลาย ก็ย้ำอยู่ในศีลทุกๆข้อ ไม่ใช่มีแค่จุลศีล แต่มีมัชฌิมศีลและมหาศีลด้วย มีทั้งหมดตั้ง 43 ข้อ
เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาในเมืองไทยไม่เอาแล้วศีล ยังเหลือติดอยู่แค่ติ่งหูมีศีล 5 ศีล 10 ของเขาศีล 10 ก็ยังกระพร่องกระแพร่งผิดพลาดเลอะๆเทอะๆ เกินกว่าศีล 10 ในจุลศีล มันมี 26 ข้อในจุลศีล ก็ยังตกหล่นไม่ได้เรื่องพากันเลอะเทอะ
เพราะมันเสื่อม คนเสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้า ภิกษุไปหลงยึดว่า ศีลคือวินัย 227 ไปถามเถอะ ถามว่าพระมีศีลเท่าไหร่เขาก็ตอบว่ามี 227
227 มันคือวินัย ความต่างกันระหว่างวินัยกับศีลก็ไม่เข้าใจแล้ว ไม่รู้ว่ามันต่างกันอย่างไรอย่างนี้เป็นต้น เอาล่ะ ไม่ลงรายละเอียดขยายความ พูดและเขียนไว้เยอะแล้ว ไปศึกษาติดตามดู
_จาก ซึ้งซื่อ วิเชียร ครับ กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ
ระยะนี้ พ่อท่านได้มีพลังเทศน์สูงยิ่งและหลากหลายยิ่งจนติดตามไม่ทันเลยครับ แต่ก็พยายามดูและฟังด้วยความตั้งใจตลอดครับ ในงานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ ๔๗ ที่ปฐมอโศก ขอให้พ่อท่านเทศน์โดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆมาขัดขวางตลอดงานด้วยครับ กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าอาตมาก็คงไม่มีอะไรขัดขวางในการเทศน์ในการแสดงธรรม เตรียมการเตรียมอะไรที่จะไปเทศน์อยู่ ให้ได้รับประโยชน์ดี แต่ก็แน่นอนไม่ต่างไปจากที่เคยเทศน์ไว้แล้ว แต่จะลงย้ำซ้ำในรายละเอียดต่างๆ วันนี้วันที่ 1 มีนาคมแล้ว
ทีนี้ก็มีของผู้ต่อมา
_กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
จากการที่เป็นอาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์มา 10 ปี ทำงานบรรยายและเป็นแบบอย่างที่จะทำให้นิสิต นักศึกษา เกิดปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถตนเองมีมาตลอด แม้กระนั้นก็เป็นการทำงานกับปัญญาชนในวงแคบ ไม่กล้าเปิดตัวในฐานะนักวิชาการที่จะให้ความรู้กับสังคม เป็นอุปกิเลสบางอย่างที่มีในใจ แต่วันนี้ความคิดตกผลึกว่า ถึงเวลาที่ควรทำอะไรที่น่าจะเกิดประโยชน์กับสังคมมากขึ้นตามวิชาชีพในฐานะนักวิชาการ จึงขอนำถวายพ่อท่านอ่านบทความ “บำนาญ ส.ส. กับช้างป่วย!!” ซึ่งเป็นครั้งปฐมฤกษ์พร้อมทั้งเรียนขอคำชี้แนะตามเห็นสมควร ก่อนที่จะนำเผยแพร่สู่สาธารณะต่อไปค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
ชิดตะวัน
28 กุมภาพันธ์ 2566
บำนาญสส.กับช้างป่วย!!…
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล
อาจารย์เศรษฐศาสตร์การเมืองและการคลัง ประจําคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ไม่นานมานี้ ส.ส. ในสภาบางท่านได้หยิบยกประเด็น ช้างป่วย หมายถึง บํานาญข้าราชการก้อนจํานวน มหึมา คือภาระทางการคลัง เป็นส่วนประกอบสําคัญที่ทําให้ประเทศไทยมีงบประมาณประเภทรายจ่ายประจํา สูงกว่าร้อยละ 70 ของเงินงบประมาณทั้งหมดในแต่ละปี
ในประเด็นดังกล่าว สื่อมวลชนหลายสํานักได้นําเสนอข่าวเกี่ยวกับ บํานาญ ส.ส. ความตอนหนึ่งว่า “ใน ปัจจุบันผู้เคยเป็นส.ส.หรือส.ว.ตั้งแต่ 2-3 ปีได้รับบําเหน็จบํานาญร้อยละ 20 ของเงินเดือน และจนท้ายสุดเป็น 20 ปีขึ้นไปได้รับร้อยละ 70 ของเงินเดือน…” ซึ่งข้อมูลตามที่ระบุนี้ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ก่อให้เกิดความสับสนในวงกว้าง ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการจึงไม่อาจนิ่งเฉย เพราะการให้องค์ความรู้ทางวิชาการอย่างตรงไปตรงมา แก่สังคมคือพันธกิจสําคัญของวิชาชีพ
ข้อมูลอัตราเงินบํานาญที่ถูกกล่าวอ้างข้างต้น เป็นรายละเอียดในร่างบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบ ร่างพระราชกฤษฎีกาบําเหน็จบํานาญ เสนอขึ้นในปี พ.ศ. 2548 ช่วงสมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นความพยายามในการผลักดันกฎหมายบําเหน็จบํานาญข้าราชการให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายฉบับนี้ ถูกต่อต้าน ขัดขวาง จากหลายภาคส่วน ที่ไม่อาจยอมรับ ความโลภโมโทสัน ความเห็นแก่ตัวของบุคคลที่อ้างว่าอาสามาทํางานรับใช้ประชาชน ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวต้องล้มเลิกไป
อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวว่า ส.ส. ส.ว. เมื่อพ้นจากตําแหน่งแล้วไม่เป็นภาระทางการคลังของประเทศ ก็คงจะไม่ถูกต้อง เนื่องจากในปัจจุบันอดีตสมาชิกรัฐสภาได้รับเงินเลี้ยงชีพ ภายใต้พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อผู้เคยเป็น สมาชิกรัฐสภา พ.ศ. 2556 ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ยุคที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้นําประเทศ โดย เหตุผลประกอบการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีความตอนหนึ่งว่า “…เพื่อตอบแทนคุณงามความดีและ ความเสียสละแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา” ซึ่งสมาชิกภาพได้สิ้นสุดลง จึงสมควรให้มีกองทุน เพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา….” โดยแต่ละเดือน ส.ส. ส.ว.มีหน้าที่สมทบเงินจํานวน 3,500 บาท นอกเหนือจากเงิน งบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการจัดสรรเข้าสู่กองทุนในทุกๆ ปี รวมถึงแหล่งเงินส่วนอื่นตามที่กฎหมายฉบับนี้กําหนด สําหรับผลประโยชน์ที่อดีตสมาชิกรัฐสภาจะได้รับครอบคลุมสิทธิหลากหลายประการ อาทิ การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน การศึกษาของบุตร รวมถึงเงินเลี้ยงชีพแต่ละเดือนในอัตรา 9,000 -35,600 บาท ซึ่ง แปรผันตามระยะเวลาการดํารงตําแหน่งสมาชิกรัฐสภา
แท้ที่จริงยุคกรีกเริ่มต้น งานการเมืองคืองานอาสา เป็นการทําหน้าที่โดยไม่มีแม้ค่าตอบแทน อย่างไรก็ดี กองทุนตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ยังถือว่ามีความเหมาะสมในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากเงินสมทบที่ ส.ส. ส.ว. ต้องจ่ายเข้ากองทุน ประกอบกับผลตอบแทนเมื่อหมดวาระในแต่ละเดือนที่ไม่สูงเกินไปนัก เพราะการมีกฎหมายให้ผู้แทนปวงชนได้รับเงินเลี้ยงชีพภายหลังลงจากตําแหน่ง คือขวัญกําลังใจ เป็นแรงผลักดันให้คนดีคนเก่งคนกล้า ที่อยากเข้าไปทําหน้าที่อย่างสุจริต มีหลักประกันในการดํารงชีพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ นอกจากนี้ การที่ภาครัฐจัดสรร งบประมาณเข้ากองทุนในแต่ละปี ก็คงทําให้สมาชิกรัฐสภาได้ตระหนักถึงบุญคุณคนในแผ่นดิน โดยการประพฤติ ปฏิบัติตนให้มีคุณงามความดี มีความซื่อตรง มีความเสียสละ สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายการจัดตั้งกองทุน มิฉะนั้นแล้ว ส.ส. ส.ว. ก็จะเปรียบดั่งเชื้อโรคที่ทําให้ประเทศอ่อนแอ คือ ช้างป่วย เป็นภาระของประเทศชาติ ตลอดไป
สําหรับรายละเอียดกองทุนฯ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก
https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=85994&filename=index
พ่อครูว่า… อาตมาก็เคยพูดพาดพิงถึงเรื่องนี้ งานการเมืองคืองานอาสา ผู้อาสาทำผู้เสนอตัวอาสาได้รับใช้ไปช่วย มันฟรีนะ ไม่ได้ต้องการเอาสิ่งตอบแทน ผู้ที่อาสาและต้องการสิ่งตอบแทนยังไม่บริสุทธิ์
พ่อครูว่า… เรื่องของบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำ อาตมาเคยพูดนะว่า ข้าราชการประจำนี่แหละคือนักการเมืองตัวสำคัญ คือผู้ที่ทำงานรับใช้ประชาชนประจำเมืองเลย ข้าราชการประจำ เป็นผู้รับใช้ประชาชนประจำเมืองแล้วได้ค่าใช้จ่ายเลี้ยงตัวเองไป เป็นตัวหลักในการทำงานกับชาวเมือง พลเมืองกับประชาชน ไม่ว่าสังคมไหนก็แล้วแต่ ข้าราชการประจำ
ส่วนข้าราชการการเมืองเป็นข้าราชการจร เป็นคนรับใช้ประชาชนจร แต่ข้าราชการประจำนี่แหละนักการเมืองตัวจริง
มีบทความอีก ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
_‘เงินบำเหน็จบำนาญ’ ข้าราชการการเมือง หรือ ข้าราชการประจำ ใคร ‘ช้างป่วย’ 27 ก.พ. 2566 จาก น.สพ คมชัดลึก
สส.อาสาเข้ามาทำงาน รับเงินเดือนสูงลิบกว่า 100,000 บาท มีผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญการ ผู้ติดตาม รวม 8 คนและมีค่าตอบแทนอื่น รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท นี่ยังไม่นับ ‘เงินบำเหน็จบำนาญ’ แล้วใครที่เป็น ช้างป่วย กันแน่
จริงหรือที่มีข่าวอีกแล้วว่า “พิธา ยืนยัน ถ้าไม่ตัดก็จะขอลดเงินบำนาญข้าราชการ เพราะมันคืองบช้างป่วย ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน” ครั้งอภิปราย ร่างพ.ร.บ งบประมาณ ปี2566 ก็เคยอภิปรายฯ และตั้งคำถามรัฐบาล ประมาณว่า เงินเดือนสวัสดิการบำนาญข้าราชการที่เพิ่มขึ้นทุกปีเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ประเทศเป็น ช้างป่วย จะแก้อย่างไร?
จนเป็นข่าวครึกโครม สะท้าน“หัวใจข้าราชการบำนาญ”ไปแล้วในช่วงนั้น จนต้องออกปฏิเสธข่าวนี้ เป็นพัลวันว่า ไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญข้าราชการแต่อย่างใด แต่แล้วครั้งนี้ออกมาในทำนองเดียวกันอีก พร้อมชี้แจงเป็นข่าวปลอม บิดเบือน อืม!.นะ จริงหรือไม่? คนพูดรู้ดีที่สุดเพราะเรา “โกหก” ทุกคนได้ แต่ “โกหก” ตัวเองไม่ได้หรอก นอกจาก “สมองป่วย” เพราะจำสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้
ทบทวนอีกครั้ง ข้าราชการประจำ เริ่มทำงานด้วยเงินเดือนน้อยนิด เมื่อเทียบกับเอกชนและหากเทียบกับ สส.ในคุณวุฒิเท่ากัน เงินเดือนเขาไม่ถึงเศษ 1 ใน 10 ของเงินเดือนสส.ในปัจจุบันนี้ แต่เขาก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อประเทศชาติ ตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบเพราะใจที่มุ่งมั่น ต้องการพัฒนาประเทศ ช่วยพี่น้องประชาชน
เพราะฉะนั้น ข้าราชการประจำ จึงเอาบำเหน็จบำนาญเป็น “เครื่องเตือนใจ” ว่าเอาล่ะ “จน” ก็ “จน” ไป แต่เมื่อเกษียณแล้วยังดูแลตัวเองและลูกหลานได้
การจะหาเสียงกับใครโดยเฉพาะ วัยรุ่น ก็หาไป แต่รู้หรือไม่ว่า“วัยรุ่น” เหล่านั้นกว่าจะเรียนจบมีงานทำ ส่วนมากก็มาจากเงินบำเหน็จบำนาญที่พ่อแม่ ญาติพี่น้องได้รับจากรัฐบาลมา และกว่าเขาจะได้รับก็ต้องทำงานถึง 25 ปี ถึงจะได้บำนาญ และ 15 ปีถึงจะได้บำเหน็จ
แต่นักการเมือง สส.อย่างพวกท่าน ที่อ้างว่ารักชาติ รักประชาชนอยู่ในสภา (อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง)เพียง “2 ปี” ก็ได้บำเหน็จบำนาญแล้ว จริงๆแล้ว เวลาหาเสียงพูดเองว่า “อาสา” มารับใช้ประชาชน ควรได้รับค่าตอบแทนที่พอเหมาะก็พอแล้ว เพราะ “อาสา” เข้ามา
แต่จริงๆเงินเดือนที่ได้รับสูงลิบกว่า 100,000 บาท พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญการ ผู้ติดตาม รวม 8 คน และมีค่าตอบแทนอื่นๆอีกรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท นี่ยังไม่นับรวม“บำเหน็จบำนาญ”แล้วใครคือ“ช้างป่วย” กันแน่
มาดูกันผู้ทรงเกียรติ สส./สว. ทั้งหลายได้รับบำเหน็จบำนาญอย่างไร
ผู้เคยเป็นสส.หรือสว.ตั้งแต่ 2-3 ปีได้รับบำเหน็จบำนาญร้อยละ 20 ของเงินเดือน
เคยเป็น 3-7 ปีได้รับร้อยละ 30 ของเงินเดือน
เคยเป็น 7-11 ปีได้รับร้อยละ 40 ของเงินเดือน
และจนท้ายสุดเป็น 20 ปีขึ้นไปได้รับร้อยละ 70 ของเงินเดือน
“ถาม” อีกครั้งใคร“ช้างป่วย”
สามอาชีพกู้มนุษยชาติ ที่ชาวอโศกทำได้จริง
พ่อครูว่า… ฟังให้ดีนะในสังคมประเทศมันมีอย่างนี้อยู่ ที่พูดมานี้อาตมาก็ฟังแล้วไม่น่าจะผิดไปจากความเป็นจริง น่าจะเป็นความจริงทั้งหมด
นี่คือสิ่งที่ว่ากันเป็นวาทกรรมอยู่ในสังคม อาตมาก็เอามาแสดงความเห็นด้วย อย่างพวกเรานี่นะชาวอโศก อาตมาสอนแนะนำและให้พากันทำให้สำเร็จ เป็นคนที่ไม่ต้องไปเป็นภาระของสังคม ฝึกไปไหนพวกเราเองนี่แหละทำงานสร้างสรรค์แล้วก็เสียสละเกื้อกูล ตัวเองก็ลดกิเลสรู้จักกินรู้จักใช้ ไม่ไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในสังคม แล้วก็อยู่อย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ผู้ใดขาดแคลนผู้ใดบกพร่อง คนที่เหลือเฟือคนที่มีเกินพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป หรือสุดท้ายมีกองกลาง ทุกคนทำมาหาได้ ทั้งๆที่พวกเราชาวอโศก เป็นผู้ที่ทำมาหาได้สร้างสรรค์ขยันทำงานอยู่
มีวัตถุผลผลิตที่ทำ ก็มีไม่มากไม่มายหรอก มีกสิกรรม มียา มีเครื่องประกอบอะไรต่ออะไรบ้าง แต่ที่เป็นหลักๆก็คือ ผลผลิตที่มากที่สุดก็คือเป็นหลักแท้ๆก็ อาตมาก็เน้นให้ทำกสิกรรม นอกนั้นเราก็ทำ ทำยาทำปุ๋ย ที่เป็นงานหลัก งานขยะ 3 อาชีพกู้ชาติ กสิกรรมธรรมชาติที่ไร้สารพิษ ปุ๋ยสะอาดแล้วก็ขยะวิทยา ค่อยๆพิสูจน์อันนี้ไป ยังไม่ลงรายละเอียดอันนี้
แล้วเราก็ทำได้พอสมควรดีขึ้นแล้ว อาตมาก็ยังเร่งเร้า เร่งรัดกันอยู่ ว่าให้ทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันสำคัญเป็นหนึ่งในโลก ปุ๋ยก็เป็นรอง ขยะก็เป็นรอง แต่สำคัญทั้ง 3 อย่างนี่แหละ ซึ่งคนยังไม่ค่อยเข้าใจละเอียดลออพอ เราก็ได้พิสูจน์แล้ว แม้แต่เรื่องขยะ
กิจการขยะเราก็ยังไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ ถ้าใหญ่โตก็จะเป็นทุนรอน นอกจากจะได้ทุนรอนแล้วยังช่วยสังคม ช่วยประเทศชาติ เพราะว่าเก็บขยะมาหมุนเวียนทั้ง
-
มาใช้ซ้ำ
-
เอาไปแก้ไข ปรับปรุง ตกแต่ง
-
เอาไปสังเคราะห์ใหม่ เอามาใช้
-
รีเจ็ค หมดทางที่จะทำอะไรได้แล้ว ก็เอาไปทิ้ง ก็เลิกไป อย่างนี้เป็นต้น ยังไปเรื่อยๆยังไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามช่วยกัน
หลักฐานการบริหารประเทศได้เจริญดีของนายกฯประยุทธ์
แต่พอพูดถึง เรื่องของประเทศในขณะนี้ ส่วนรวมของประเทศไทย เราก็ช่วยประเทศไทยมาตลอดแต่อาตมาพูดมากไม่ค่อยดี เพราะจะเป็นการทวงบุญทวงคุณที่ไปทำอะไรให้แก่สังคมประเทศชาติ ลำเลิก ของตัวเองขึ้นมาอวดอ้าง ที่จริงเอามาประกาศความจริงก็พูดไปแล้วยืนยันให้คนอื่นเห็นความสัมพันธ์แล้วก็ปฏิบัติตามอย่างนี้เถอะ เพราะฉะนั้นก็เลยพูดบ้างไม่พูดบ้าง
ทีนี้พูดถึงสังคมขณะนี้ที่บริหารกันอยู่ ที่นายกประยุทธ์ทำอยู่ ก็มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นผลงานที่มันเทียบกันได้เห็นๆเลยนะ ไม่ใช่ว่าเราพูดเอง ชมกันเองอยู่ในประเทศ มันเป็นการให้ค่าหรือว่าเขาก็มีการทำสถิติอยู่เหมือนกัน
อย่างเช่น เราขณะนี้ความเจริญว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลก อันดับที่ 30 จากที่เขาสำรวจกัน เว็บไซต์ Thaipost รายงานมาตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าเขาจัดให้กรุงเทพฯอยู่ในอันดับ 30 เมืองดีที่สุดในโลก Best City In The World เป็นที่ 2 ของอาเซียนเป็นที่ 30 ของโลก
เพราะฉะนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เอามารายงานบอกต่างๆไปพูดนำไปแล้วเมื่อกี้นี้
แม้แต่ในเชิงการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาเศรษฐกิจ ก็มีแนวโน้มของตลาดที่มีจุดแข็งจุดอ่อน ถูกจัดอันดับขึ้นไปเรื่อยๆ ติดอันดับอยู่ในกลุ่มของพวกกลุ่ม100 ค่อยๆขึ้นไปถึงกลุ่ม 10 ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ ก็พัฒนาไป
เห็นความเจริญก้าวหน้าไปไกลลิบเลย มาตั้งแต่ได้มีนายกรัฐมนตรีได้นำพาประเทศชาติไป
เขามีวิธีการที่จะมาตรวจสอบ เขาหยิบมาแยกเป็นประเด็นว่า
1.สถานที่ (Place) ประกอบไปด้วย สภาพภูมิอากาศ ความปลอดภัย สถานที่ท่องเที่ยว และพื้นที่ใช้ชีวิตนอกบ้าน
2.ผลิตภัณฑ์ (Product) ประกอบไปด้วย ความเชื่อมโยงของสนามบิน พิพิธภัณฑ์ อันดับของมหาวิทยาลัย และสถานที่จัดงาน/การประชุม
3.ประชากร (People) ประกอบไปด้วย การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน และการสำเร็จการศึกษา
4.ความมั่งคั่ง (Prosperity) ประกอบไปด้วย การมีบริษัทชั้นนำของโลก GDP อัตราการจ้างงาน และความเท่าเทียมของรายได้
5.กิจกรรม (Programming) ประกอบไปด้วย การแสดงทางวัฒนธรรม ประสบการณ์ในการเที่ยวยามค่ำคืน ร้านอาหารที่มีคุณภาพ และสถานที่สำหรับการเลือกซื้อสินค้า
-
การส่งเสริม (Promotion) ได้แก่ การค้นหาบนสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลการรีวิวบนสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
ซึ่งประเมินจาก 6 หัวข้อข้างต้น ทำให้กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 30 ของโลก และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน
พ่อครูว่า… นี่ก็เป็นเรื่องการก้าวหน้าที่เราไม่ได้พูดเอง สังคมต่างประเทศองค์กรต่างประเทศ ที่เขามีการตรวจสอบพวกนี้กัน เพื่อที่จะให้เห็นว่าสังคมมนุษยชาติในโลกนี้ มีอะไรเกิดขึ้นมีอะไรเจริญหรือเสื่อม ตามความรู้สากลเขาก็ว่าไป
_นายกฯ พร้อมเดินหน้าผลักดันและส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยกระดับไทยเป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก”
26 ก.พ. 2566 – นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ความสำคัญกับระบบสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้สำเร็จตามแผน ทั้งนี้ ผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (ปี 2560 – 2569) ได้ดำเนินการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดังนี้
1.ดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาและฟื้นฟูการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นที่นำร่องในจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่
-
ดำเนินการภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จาการท่องเที่ยวในปีงบประมาณ 2565 – 2566 มีผลดำเนินการ เช่น การยกระดับสถานประกอบการตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพระดับสากล พัฒนาเมืองสมุนไพรและจังหวัดท่องเที่ยว ยกระดับการสร้างสรรค์สินค้า บริการและการบริหารจัดการท่องเที่ยวยั่งยืน โดยในปี 2567 จะจัดทำกรอบการจัดทำคำของบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวคุณภาพสูง โดยมีโครงการส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอยู่ภายใต้แนวทางดังกล่าว