660220 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1xDRtE-TBsrMW2nrC0W9xgS2pK3U1uwKTEdAbKYZfdEA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/11lu64M4uJiZs9M2eqNbuGRc4XUgtGlWY/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/ymFHBc9ICRU
และ https://fb.watch/iPb4g8q40_/
สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ เราก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมฟังสิ่งที่ควรได้ยินได้ฟังกัน ตามชีวิตที่เห็นว่าทิศทางนี้เป็นทิศทางของความเจริญ มนุษย์ชาติเราเจริญ เจริญด้วยความรู้เจริญด้วยกรรม กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ด้วยวิถีทางแบบนี้แหละ ที่อาตมายืนยันว่าเป็นวิถีทางของพระพุทธเจ้า ที่ทรงค้นพบความจริงอันประเสริฐ และก็ได้เอามาตรัสสอนให้พวกเรารู้ตาม มาปฏิบัติตามจนมีผลสำเร็จตาม ก็ยังเหลือยังมียังเป็น ชีวิตแบบโลกุตรธรรมเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ พวกเรานี่แหละ จะยืนหยัดยืนยันว่าความเป็นโลกุตรธรรมเป็นอย่างนี้อย่างนี้ ซึ่งในโลกเขาประเด็นหลักๆง่ายๆของเขา จะไปหาทางรวยกัน เราก็จะพยายามหาทางจน เขาจะไปแย่งความสุขกัน ล่าความสุขกัน สุขด้วยการมีลาภเยอะมีทรัพย์สินเงินทองเยอะ สุขก็ได้มียศมีศักดิ์มีสรรเสริญเยินยอยกย่อง สุขเพราะมีอำนาจบาตรใหญ่ ได้เป็นเจ้าโลกได้เป็นเจ้าคนนายคน ได้เป็นคนที่อยู่เหนือเขา เบ่ง เห็นเขาเป็นคนลูกกระจ๊อกที่ จะจิกหัวใช้อะไรต่ออะไรได้ข่มขู่ได้อะไรพวกนี้
ความเห็นของโลกีย์เขาเป็นอย่างนั้น ของพระพุทธเจ้ามาเห็นทวนกันหมดเลยทวนกระแสกันกลับกันกับความเห็นของคนโลกๆเขา คนฟังคนที่พิจารณาได้ยินแล้วได้ฟังแล้วก็ มันจะเป็นอย่างนั้นมันจะดีอย่างไร มันจะเจริญอย่างไร ซึ่งมันมีสภาพซับซ้อนลึกซึ้ง ที่มันเป็นความเจริญ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมันเป็นสิ่งที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้อื่น ไม่ไปข่มขู่เขาไม่ไปแย่งชิงเขาไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ไปทำลาย อย่างที่เขาทำร้ายทำลายกันฆ่าแกงกัน เขาไม่รู้เลยว่าชีวิตคนมันเป็นชีวิตที่เกิดมาตามวิบาก ไม่น่าจะไปทำร้ายทำลายอะไรกันเลย
เรามาศึกษาฝึกฝนแล้วก็มีชีวิตอย่างที่พวกเราชาวอโศกนี้ ก็ขอสรุปลงตรงนี้ก่อน อย่างชาวอโศกเราพิสูจน์ยืนยันเป็นไปได้ ซึ่งอาตมาก็ได้สรุปลงไปอีก เรามาเป็นคนที่มีงาน มีงานปลูกผักปลูกพืช นี่แหละปลูกต้นหมากรากไม้ เอามาอยู่มากิน เอามาใช้อยู่กิน คนทุกคนไม่ว่าศาสนาไหนไม่ว่าชาติไหนไม่ว่าคนจนไม่ว่าคนรวยไม่ว่าคนที่จะยิ่งใหญ่หรือคนจะยิ่งเล็ก อย่างไรก็ต้องกินอาหารเลี้ยงชีวิต โดยเฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องเป็นเนื้อสัตว์ไม่ต้อง เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารจริงๆ
นี่ก็คือผลผลิตของพวกเรา ฟักทองมาจากส่วนปู่เถา มะเขือเทศมาจากสวนเพื่อฟ้าดิน กะหล่ำปลีเอามาจากสวนบ้านราชนี่แหละ ไม่รู้กี่หัวก็ตัดมาเอามาทำอาหารกินกันด้วย โชว์ได้ด้วย แตงร้าน เทียบกับหน้าอาตมา 1 ลูก นี่ไม่ใช่ของปลอมไม่ใช่พลาสติกนะแตงจริงๆ น่าจะกัดพิสูจน์ แตงร้านจากสวนริมมูล ตอนนี้แตงร้านแตงโมแตงไทย สวนริมมูลตอนนี้ปลูกแตงกัน อีกสัก 50-60 วันได้กินกันแน่
อาตมาพยายามเน้นย้ำพูดซ้ำพูดซาก ว่าถ้าเมืองไทยเรานี่นะเข้าใจกันจริงๆเลย และมีความรู้ความจริงกันจริงๆเลยว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือ พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ เป็นหนึ่งในโลก พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้เลยว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร คือสิ่งที่กินเข้าไปในร่างกายให้มีชีวิตยืนยาวไป มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ถ้าเข้าใจแล้วมาระดม โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศถ้าเข้าใจช่วยกันส่งเสริม ระดมกันให้มาทำงานนี้ งานบริหารหรืองานที่จะสร้างอุตสาหกรรมบ้างอะไรต่ออะไรบ้าง เรื่องที่จะไปทำประมงปศุสัตว์นั้นลดลง พัก มาทำพวกนี้กันให้มากๆๆๆๆๆๆ ไม่ต้องไประดมพวกโน้นกัน
อาตมาว่ามันจะเห็นผลจริงๆมันจะเหลือเฟือมันจะพออยู่พอกิน แล้วก็ส่งออกไปแพร่กระจาย ทุกวันนี้การขนส่ง การคมนาคมก็สะดวกเร็วไวแล้ว แจกหรือว่าขายให้ถูก เพราะว่าเรามีอยู่มีกินแล้วอย่างพวกเราชาวอโศกได้พิสูจน์แล้วว่า เรื่องธนบัตรเรื่องเงินเรื่องทอง มันเป็นเรื่องที่ปลีกย่อย เป็นเรื่องเล็กมากเลยไม่จำเป็นที่จะต้องไปแย่ง มาเป็นคนจนเราก็จนกันได้จริงๆ จนกันอย่างที่ มีการศึกษา จนเป็นคนจนที่มีการศึกษาตามที่พระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือว่าตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานี้ตรัสไว้ แล้วปฏิบัติจริงๆปฏิบัติมาเป็นคนจนจริงๆคนจริง อย่างมีปัญญามีความรู้มีความสุขมีความอิ่มเอม เกษมใสจริงๆเลย
จนกระทั่งเป็นคนจนที่มีปัญญาเป็นโลกุตระธรรมสมบูรณ์แบบ สำเร็จจริงๆ จึงจะเป็นคนผู้ที่มี เศรษฐกิจ เป็นคนจนนี่แหละที่มีปัญญาตามของพระพุทธเจ้าตามในหลวงร 9 เราตรัสไว้ อย่างมีภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดที่เต็มใจจน ตั้งใจจนมาจนกันจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ยืนยันเลยว่าเป็นผู้ที่จบ ในเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหา เรื่องเศรษฐกิจนี้เป็นเรื่องสมบูรณ์จบแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจได้แล้วมีของอยู่ของกินนี่แก้ปัญหาได้สำเร็จแล้ว เพราะว่าจิตใจของเรามีปัญญารู้ว่าสิ่งที่มันปลีกย่อยสิ่งที่มอมเมาสิ่งที่ครอบงำ ไปนิยมเป็นรสนิยมโลกๆเฟ้อๆฟุ้งๆอะไร เราเข้าใจเราเลิกละมา มันมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ง่ายๆ เป็นคนเลี้ยงง่ายเป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนจนกล้าจน มีความจนได้ จิตใจพอ
จิตใจมันพอจริงๆมันพอเพียงมันไม่เป็นหรอกไม่ไปอยาก ที่จะไปแย่งไปชิงอะไร มันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเพราะไม่ไปแย่งชิงกับเขา เขายังหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ไปแย่งกัน เราไม่ได้ไปเป็นผู้แย่งไม่ไปเป็นปฏิปักษ์ไม่เป็นคู่ต่อสู้กับใครเลย เมื่อเรามาสร้างอันนี้ได้มากๆสร้างพืชพรรณธัญญาหารได้มากๆเหลือกินเหลือใช้เราก็แจกจ่ายเผื่อแผ่คนอื่นไป ยิ่งแจกจ่ายเผื่อแผ่คนอื่นไปแล้วเราก็ไม่ได้ไปแย่งอะไรใคร ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร
นี่เป็นคุณธรรมอันประเสริฐยอดที่คนเราจะเข้าใจเลยว่า คนอย่างพวกเรานี้ จะเป็นคนมีคุณค่ามีประโยชน์จริงๆต่อคนทั้งหลาย ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัย เรียกด้วยคำยกย่องว่าเป็นคนประเสริฐ เป็นคนเจริญเป็นคนดี ถ้าจะใช้ภาษาแบบโลกๆคือเป็นคนที่น่าสรรเสริญยกย่องบูชาเคารพ ภาษาศักดินาหน่อยๆ แต่เราไม่ได้ติดใจในภาษาศักดินาหรือเรื่องศักดินาแบบนั้นหรอก แล้วเราก็มาเป็นคนจนที่สงบเสงี่ยม แล้วก็รับใช้มีประโยชน์ทำงานสร้างสรรค์ คนอื่นๆจะได้รับประโยชน์จากแรงงานของเรา จากความรู้ความสามารถของเรา แล้วเราก็ให้เขาโดยที่เราไม่ได้ไปติดใจว่าเราจะเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณอะไรจากเขา..ไม่ เราไม่คิดว่าเราจะไปเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณใคร เราทำเผื่อแผ่เกื้อกูลแล้วก็จบในตัวเอง มันสุดยอดแล้ว
เป็นสังคมที่จบในตัวเอง สำเร็จในตัวเอง ยั่งยืนถาวร มีอิสระ เพราะว่าเราอิสระ จริงๆไม่ต้องเป็นทาสใคร ไม่ต้องเป็นทาส แม้แต่ทางนามธรรม ทางรูปธรรมไม่เป็นทาสอยู่แล้วเพราะเราเลี้ยงตัวเองรอดพึ่งตนเองได้ ทางนามธรรมก็ไม่เป็นทาสใคร สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล แต่ละวันเราก็เพิ่มพูนเสียสละ ไม่ไปเอาเปรียบใครมีแต่เสียสละๆ เป็นความสุขสำราญเบิกบานใจที่ได้เสียสละ
ความสำเร็จอย่างนี้แหละถือว่าเป็นการจบกิจ จบกิจได้ทั้งทางด้านของเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของการเมืองการบริหาร ในเรื่องของความเป็นสังคมมนุษยชาติ
เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาการเมืองที่เขาแก้กันอยู่ทุกวันนี้โดยระบบโดยความรู้แบบโลกียะ ไม่มีจบ ไม่มีจบกิจ ไม่มีจบ มีแต่แก้ปัญหาแก้ปัญหาแก้ปัญหาแก้แก้แก้ ไม่สำเร็จ
เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ไปเรียนรู้ตามความรู้แบบโลกียะหรือแบบศาสดาเทวนิยม ทุกพระองค์เลย มันเป็นความรู้แบบปุถุชนทั่วไปโลกียะสามัญ เป็นแบบความรู้อย่างนั้น วนอยู่ในกรอบโลกียะทั้งโลก มีความรู้มีความฉลาดเฉลียวและก็ประสบความจริงได้ความจริง ก็อยู่ในกรอบของโลกียะ
แม้แต่ชาวพุทธแท้ๆทุกวันนี้ที่เสื่อมไปจากความรู้ความจริง ของพระพุทธเจ้า ไปได้แค่โลกียธรรมอยู่ทุกวันนี้ อย่างพุทธกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนใหญ่กระแสหลัก ก่อนที่อาตมาจะเกิดมาในยุคนี้ มาทำงานด้านนี้ เอาโลกุตตรธรรมมาประกาศมาขยายความ มายืนยัน ชาวพุทธแท้ๆเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ทำตำราพวกนี้ด้วย ตำราที่เป็นความรู้ที่มันผิดเพี้ยนไปแล้วของเขา มันเข้าไปอยู่ในโลกียะหมดเลย
อาตมาพูดชัดเจนแบ่งให้เห็นว่า โลกียะนั้น ก็มีความรู้แค่ความดี ความชั่ว อย่าไปทำชั่ว มาทำความดีกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ขัดแย้ง เราก็ต้องมาทำแต่ดี ไม่ทำชั่วเหมือนกัน และก็เป็นความรู้ของชาวโลกุตระของเราด้วยว่า ดีจริงๆ มันดีอย่างไร เขาดีอย่างสุจริตเท่านั้น สุจริต ความหมายของเขาเป็นโลกีย์คือสุจริต จะมีความหมายว่าอย่าไปแย่งไปชิงเขา แต่เขาก็ยังหอบหามลาภ ยศ สรรเสริญอยู่ แล้วมันจะไม่เอาได้อย่างไร ไม่ไปแย่งมาได้อย่างไร มันก็ยังอยากรวย อยากจะมีมากกว่าเขา แล้วก็มีอำนาจทางทรัพย์ มีอำนาจทางอำนาจ มีอำนาจทางยศศักดิ์ อะไรพวกนี้ มันก็เป็นความรู้วนๆอยู่ในโลกียะทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละกลุ่มแต่ละหมู่แต่ละสังคมแต่ละประเทศ ที่ไม่มีความรู้โลกุตตรธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ไม่มี เพราะว่าเขาเป็นศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ
แม้แต่พุทธเอง อาตมาก็พูดไปแล้วผ่านไปเมื่อกี้ ว่าเมื่อมันเสื่อมไปจนเกือบหมด หรือถือว่าหมดยังได้เลย อาตมาก็เอามาปลูกฝังขึ้นใหม่ ซึ่งอาตมาก็พูดอย่างที่คนเขาหมั่นไส้เลยว่า ไม่มีใครจะมายืนยันอย่างนี้ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ นำอันนี้มายืนยัน ย้ำยืนยันประกาศแล้วก็อธิบาย จนพวกเราเข้าใจใหม่ว่า ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กก็เข้าใจได้ มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เด็ก หนุ่มสาว ผู้ใหญ่จนกระทั่งแก่เฒ่าตายไปก็เยอะแล้ว เพราะอาตมาทำงานมา 50 ปี คนเข้าใจ ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย มองเห็นเข้าใจได้ ก็มามุ่งมั่นพากเพียรศึกษาปฏิบัติฝึกฝนจนกระทั่งได้มรรคผลแล้วก็มาอยู่รวมกันเป็นชุมชนเป็นบวรต่างๆกระจายอยู่ทั่วประเทศ เป็นชุมชนต่างๆ 10 ชุมชน 20 ชุมชน 30 ชุมชนอย่างย่อยๆพวกนี้ไป ชุมชนใหญ่ๆก็ 10 กว่าชุมชน
จริงๆมันก็ไม่ง่าย มันก็ยาก แต่ว่ามันประเสริฐ มันสูงสุด ตามที่พระพุทธเจ้าท่าน อาตมาก็อธิบายแล้วใครฟังแล้วก็น่าจะเข้าใจ ว่าพระพุทธเจ้านี้ใช้ชีวิตของพระองค์ สุดท้ายก็มาเข้าใจถึงเรื่องของชีวิตและเข้าใจถึงเรื่องสังคมมนุษยชาติ เห็นว่าอันนี้เป็นแกนหลัก เป็นแกนเป็นแก่นของมนุษยชาติและสังคม ความรู้ที่เป็นโลกุตรธรรมที่ท่านค้นพบ อันนี้ถ้าได้แล้ว มันก็เป็นหลักประกันของมนุษยชาติ หลักประกันของสังคม เป็นหิตะประโยชน์ เป็นความสุขของมวลประชาชน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ แล้วคนทั้งโลกก็ควรจะมาเอาอย่างนี้เรียกว่าโลกานุกัมปายะ
เพราะฉะนั้นก็เผื่อแผ่เกื้อกูลโลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์ให้คนในโลกเขาเข้าใจอย่างนี้ ว่า หิตะ ประโยชน์ที่เลิศยอดต้องมาสรุปลงอย่างนี้ จะเป็นความสุขสงบ ประเสริฐสุดอย่างนี้
อย่างนี้แหละที่เรียกว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ถ้ามีพลังงาน มีอำนาจ มีฤทธิ์แรงเรียกว่า อธิปไตย พลังงานทางกำลังสร้าง ไม่ใช่พลังงานที่จะไปสร้างอาวุธกัน แต่มาสร้างสิ่งที่ประเสริฐพืชพรรณธัญญาหารนี้ เอาไปแจกจ่ายกันเกื้อกูลกันเลี้ยงคนทั้งโลก
มันจะเป็นสังคมที่ยิ่งใหญ่ เป็นสังคมที่กว้างออกในโลก คนเมื่อฉลาดขึ้นจะหยุดการฆ่าแกงกัน จะหยุดแย่งชิงกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… คือ เท่าที่ผมสังเกตลำดับพัฒนาการ การแสดงธรรมของพ่อท่านมาแต่ละปีๆ ทำให้ผมได้มีโอกาสได้คุยกับสัมมาบัณฑิตคนหนึ่ง ได้ให้ข้อสังเกตว่า เมื่อก่อนพ่อท่านจะไม่พยายามให้พวกเราทำงานสังคมสงเคราะห์ พยายามให้ละกิเลส ศึกษาโลกุตตรธรรมให้มาก แต่ในสังคมมันขาดความเป็นสังคหะไม่ได้ มาถึงยุคนี้พ่อท่านต้องพยายามให้พวกเราทำสังคมสงเคราะห์ไปกับชาวบ้าน
คราวนี้ พวกสัมมาบัณฑิตก็ถกเถียงกันว่า เราทำแบบที่เราไปวิจารณ์เอาไว้มันจะต่างอะไรกับสังคมสงเคราะห์ที่เราเคยปฏิเสธมาครับ
พ่อครูว่า… ดี มุมเหลี่ยมนี้ คนในโลก เขาไปสงเคราะห์ผู้อื่น เป็นการหลอก ที่อาตมาเคยใช้ม็อตโต้ว่า “เลวที่สุดในแผ่นดิน คือ หากินบนคำว่า ช่วยเขา” จะไปช่วยเขาเหมือนอย่างพวกอุ้งอิ้งพวกเพื่อไทย จะไปช่วยๆๆ แล้วตลอดชีวิตตั้งแต่พ่อเขามา อาเขามา อาเขยหรือน้าเขย ที่มาแสดงบทบาทมันเป็นไปตามที่เขาจะมาพูดว่าจะช่วย คำว่าช่วยเขานี้ มันเป็นเรื่องมนุษยชาติที่มีคนช่วยเหลือก็ดี ก็ยินดี
แต่ในการช่วยเขานี่ เขาช่วยเราแต่เขามีเหลี่ยมมุมวิธีโกง วิธีกิน วิธีโลภ เอาเปรียบเอารัด ล้วงตับกินไส้ ไปหมด โลกซับซ้อน ไม่ใช่มาเอาเงินจากผู้คนเท่านั้น เพราะมาช่วยนี่คือคนทั่วไป จะเป็นคนที่จนมากหน่อย เขาจะไปแย่งเอามาจากคนรวยก็จะยาก เพราะคนรวยจะมีเหลี่ยมมุม รู้ทันกัน จะยากกว่า เขาก็จะมาแย่งเอาของส่วนกลางคือจากรัฐบาลของส่วนกลางของประเทศ แย่งเอาแล้วก็โกงเอาอย่างที่ทักษิณทำไป คดียังไม่ได้ว่าความกันไม่รู้อีกกี่คดี คดีตัดสินแล้วติดคุกก็ยังไม่ยอมมาติดคุก แล้วก็ยังจะพยายามที่จะผลักดัน โหดร้ายมาก
จะให้ลูกสาวคนเล็กสุดแล้ว ก็คงหมดแล้ว ถ้าหมดลูกสาว ลูกชายก็คงไม่เอาก็คงกลัวแล้ว อาตมาก็ว่า โอ้โห…ทำไมโหดร้ายจังเลย ตัวเองไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองเลวร้าย เอาลูกสาวมาแสดงความเลวร้ายอย่างเดียวกัน ความคิดเดียวกัน Concept เดียวกัน คือ เลวได้ที่เหมือนกัน
อาตมาขออภัยที่ต้องพูดชัดๆอย่างนี้ ไม่ได้ไปโกรธไปเกลียด ก็สงสารเขานะ ที่อาตมาพูดนี้พูดด้วยใจจริง สงสารว่า ทำไมเขาไม่รู้ตัว เขาไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเขาไม่แก้ไขตัวเองซะ มันเป็นกรรมเป็นวิบากของเขา อาตมานะเข้าใจมนุษยชาติถึงกรรมถึงวิบาก ไม่อยากให้เขาทำเลย
ถ้าเขาไม่ทำ เขาก็จะหมดวิบากบาป สังคมก็จะดีขึ้น แม้แต่ครอบครัวเขาก็จะดีขึ้น นี่เห็นว่าจะไปขุดเอาแม่อุ๊งอิ๊งออกมาอีก ตามกระแสสังคมนะ อะไรกันนักกันหนาหนอ แต่เราก็ไปห้ามไม่ได้หรอกความโง่ความฉลาดของคน คนโง่ก็ต้องทำตามโง่ของตน คนฉลาดก็ทำตามฉลาดของตน
โง่อย่างโลกีย์ โง่อย่างซับซ้อน โง่อย่างดักดาน มันก็น่าสงสารอีกมากๆๆ ซึ่งสภาพคำสอนที่พระพุทธเจ้าค้นพบนี้ มันเป็นเรื่อง ปฏิโสตัง เป็นความรู้ที่มันทวนความคิด ทวนความรู้ ตีกลับกับความรู้ที่ชาวโลกเขานึกว่าอันนี้ดีอันนี้ดี แต่ที่จริงมันยังเลว ไอ้ดีมันกลับเลวไอ้ดีมันกลับชั่ว ที่เขาเข้าใจว่ามันดีนะ มันไม่ใช่ มันกลับกันมัน ชั่วๆๆ เขานึกว่าอย่างนี้ดีมากๆๆ มันยิ่งชั่วมากๆๆๆๆ นี่เป็นสัจจะนะ มันไม่ใช่อาตมาไปพูดไปว่า ไปดูถูกไปข่ม ไปเหยียบย่ำอะไรเขา มันไม่ใช่
มันเป็นสัจจะที่อาตมาพูดนี่มันเป็นสัจธรรม ไม่ได้ไปพูดด้วยจิตใจที่เบียดเบียน จิตใจไปข่มไปขี่ไปทับถม ไม่ใช่
_สู่แดนธรรม… นี่เป็นคำตอบที่พ่อท่านได้ตอบเชิงแรก ยังมีเชิงที่สองอีกครับ คำตอบแรกคือคนที่สงเคราะห์ด้วยความไม่สุจริตใจ
แต่คราวนี้ผมจะถามถึงบรรดาคุณหญิงคุณนายที่เขาทำการสังคมสงเคราะห์ด้วยความสุจริตใจ แล้วเราก็ทำการสังคมสงเคราะห์แบบชาวโลกุตตระของเรา ซึ่งพฤติกรรมมันคล้าย แล้วของเรามีอะไรที่แตกต่างไปจากเขาครับ
พ่อครูว่า… มันเสียสละต่างกัน มันมีเจตนารมณ์ต่างกัน มันมีความมุ่งหมายที่ต่างกัน พวกเรานี้เสียสละอย่างถอดตัวถอดตน ลดกิเลสแล้วรู้จักว่ากิเลสมันยังอยากได้ อยากได้มากอยู่ อยากได้ลดลง อยากได้ลดลง อยากได้น้อยลง จนกระทั่งความอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ มันลดลงได้ จนกระทั่งไม่อยากได้อะไร แม้แต่เราสร้างสรรค์ ปลูกผักปลูกพืชได้อุดมสมบูรณ์ก็ไม่ได้ทำด้วยความอยากที่เหมือนกับโลกเขาอยาก
โลกเขาจะอยากคือปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารออกมาได้มากเหมือนที่พวกเราทำ มีทั้งความงดงามความหลากหลายความอุดมสมบูรณ์ ทั้งโลกเขาได้เพื่อที่จะเอาไปขาย เอาไปให้คนอื่นแล้วก็ได้สิ่งตอบแทนกลับคืนมา เป็นโลกียะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่ออะไรต่างๆนานา แต่เราไม่ใช่
นี่คือความซับซ้อนของความรู้ที่จะต้องรู้ในสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่จิตใจเป็นประธาน อันนี้แหละมันเป็นเรื่องยากที่คนจะต้องศึกษา เรียนรู้เพื่อที่จะมาฝึกฝนทำตนให้มีจิตอย่างที่พระพุทธเจ้าพาเป็น
แล้วพวกเราก็เป็นไปได้ที่ยืนยันอยู่นี้ ทุกวันนี้นี่นะ คนในประเทศไทย แม้แต่ผู้บริหาร ก็ยังไม่ชัดเจน อาตมาว่าอย่างนั้นนะ ยังไม่ชัดเจน พอจะรู้บ้างแล้วล่ะแต่ยังไม่กล้าที่จะทุ่มโถมลงมา เอาแบบนี้ ให้มันอย่างเดียวกันเหมือนกับชาวอโศกทำ มาเป็นคนจน มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นคนทำตนให้
-
หมดหนี้
-
ทำเลี้ยงตัวเองรอดพออยู่พอกิน
-
ทำเกินอยู่เกินกินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
-
เอาที่มันเกินมันมากเกินนี้เอาไปแจกเอาไปขายอย่างถูกๆ ไปแพร่ให้ไปเสียสละให้ผู้อื่นมากๆ