660127 ในยุคนี้ต้องมาเรียนกับพ่อครูจึงจะบรรลุอรหันต์ได้ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1rbMzK7hoo_rivsVj4YmN2N8l1wNOo-BVyA12U4N_sOA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/10dMKuTQmMfVD8YfwM1NpbU_Dc_fzTuix/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Oh2hilRZhog
และ https://fb.watch/ijwaU70Qmb/
พ่อครูว่า… วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ เราก็มาฟังกันต่อไป นี่หนังสือออกใหม่ โชว์หน่อยปัญญา 8 เล่ม 2 ไม่หนาเท่าไหร่ 489 หน้า
อาตมาก็เอาปัญญา 8 ซึ่งเป็นความรู้ความฉลาดชนิดที่เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งยังเขียนอยู่ทุกวันนี้ก็ยังเขียนต่ออีก ไม่ใช่ว่าเล่ม 2 จะจบยังมีเล่ม 3 ปาเข้าไป 600 กว่าหน้าแล้ว 700 กว่าหน้าเข้าไปแล้ว ว่าจะหยุดขยาย อ่านทวนไป เพื่อดูว่าเรียบร้อยหรือยัง มันก็ยังขยายอยู่นั่นแหละ มันยังไงไม่รู้ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะขยายให้ละเอียด มันควรขยายก็ขยายไปเรื่อย
ซึ่งความรู้ของพระพุทธเจ้าที่สอนเป็นความรู้โลกุตรธรรมนี้ มันรู้รอบจริงๆ เรียกว่ารอบวนกว้างขึ้น หรือวนเป็นก้อนหอย วน สูงขึ้นสูงขึ้นสูงขึ้น สูงสุด ความรู้ของพระพุทธเจ้าก็ถือว่าสูงสุด ความรู้ที่เราพูดกันอยู่นี้ยังไม่สูงสุดไม่ถึงสุดยอดของพระพุทธเจ้า เราก็ว่ากันไปต่อได้เรื่อยๆ
มาอ่าน sms
SMS วันที่ 25 – 26 ม.ค. 2566
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน · กราบขอบพระคุณ..ในเมตตาและกรุณา ของ อา ‘น้อมยอดธรรม’..เจ้าค่ะ อานี่เอง..คือ ผู้อยู่เบื้องหลังความ ‘อิ่มอุ่น’ ในยามเช้า..อันได้แก่.. น้ำข้าวต้ม..น้ำขิง..น้ำโคคลาน เจ้าค่ะ!! อนุโมทนา…สาาาธุ.เจ้าค่ะ
เลขมงคล..ที่จะออกงวด ณ วันที่ ๑๓ กพ. ๒๕๖๖ คือ ๘๘๘๘ ภายใต้ ชื่อ ‘อัฎฐาริยสัจจายุ’ .นี้ ท่าน ส เดินดิน เคยปรารภว่า หนึ่งในเป้าหมายของงานนี้ คือ นอกจากบริหาร-บริการ ให้พ่อครู..มีอายุวัฒนะ ยาวถึง ๑๐๐ ปี แล้ว ท่านที่เป็นลูกๆ ทั้งหลาย ได้โปรดใส่ใจในสุขภาพของเตง..ด้วยการ Re-engineering จะได้ร่วม ‘ฉลอง ๑๐๐ ปี’ ด้วยกันอย่างชื่นมื่น..แบบชาวเกาะ..ไม่ทิ้งไผไว้ข้างหลัง..เจ้าค่ะ กราบ..สาาาธุในกุศลเจตนานี้!! สู้ๆ..อย่างเข้มๆด้วย ‘อิทธิบาท๔’..เจ้าค่ะ
น่าสงสาร..ชาวพุทธที่เป๋ออกนอกวงโคจร..ด้วยความเข้าใจผิดว่า การหลุดพ้นคือหงบ..เงียบ..เฉยๆ?!? ตลอดชีวิต..พระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า..นับเริ่มที่ทรงตรัสรู้ เป็นต้นมา!! ล้วนแต่ทรงชี้ ลงที่ ‘กิเลส_ตัณหา_อุปาทาน’!!! เป็นเหตุให้..สังสารวัฎ..หมุนวน!! ดังนั้น..การหลุดพ้น คือ พ้นจากสังสารวัฏ ด้วยการ..กำจัด ‘กิเลส_ตัณหา_อุปาทาน’ ชิมิ..เจ้าค่ะ ขอสัมมาทิฎฐิด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ถูกต้องแล้ว ขยายนิดนึง วงโคจรคือวงวน ในจิตวิญญาณของคน เกิดมามันวน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างนี้เป็นต้น หรือ กิเลสมันเกิด เกิดแล้วมันก็พักยก มันไม่ตาย มันสะสมเพิ่มเติมขยายตัวอีกด้วยซ้ำไป แถมกิเลสสะสมเข้าไปเติมก็ขยายไป ถ้าอวิชชา ถ้าความไม่รู้มันจะเป็นอยู่ในคนตลอดกาลนานเลย
เพราะฉะนั้นตั้งแต่อวิชชาเกิดมาไม่รู้จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้คิดดูสิ มันจะสะสมอวิชชามาหนาเท่าไหร่ ทั้งหนาทั้งหนักทั้งมากทั้งเยอะ มันจะเท่าไหร่กัน ทุกวันนี้ดูในสายที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า สายเทวนิยมต่างประเทศสายพระเจ้ากัน เขาไม่รู้กันเลยนะ โอ้โห..ฆ่ากันแกงกัน โอ้โห.. เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆเลย ฆ่าแกงกัน เบ่งกัน เพื่อที่จะแสดงอำนาจ บาตรใหญ่อะไรกันประเทศต่างๆ
ชาวพุทธเราแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นที่เป็นแบบโลกุตระอย่างประเทศไทย พุทธอื่นๆที่ใกล้ๆเคียงๆก็ยังไม่เข้าไปวุ่นวายในเกมฆ่าแกงกัน ยังเห็นชีวิตเป็นผักเป็นปลา ฆ่ากัน ด้วยระเบิดสมัยใหม่ด้วยอาวุธแบบใหม่ ก็เห็นแต่น่าสงสารไม่รู้จะทำยังไงได้ ผ่าน
_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม · กราบนมัสการพ่อครู ด้วยเศียรเกล้าฯ กราบนมัสการท่านสมณะ และท่าน สิกขมาตุ ทุกรูปด้วยความเคารพยิ่ง เจริญธรรมพี่น้องทุกฐานะค่ะ “คนฉลาดสร้างอาหาร…” “ชีวิตหนอ พออยู่พอกิน” และรายการ “9 ตามพ่อ” สร้าง “ใจบันดาลแรง”ให้อดีตนักวิชาการคนนี้ ลงจากหอคอยงาช้าง มาสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร” อย่างจริงจังกว่าทุกครั้ง ในยามที่ต้องมาเกื้อกูลน้องสาวผู้มีพระคุณค่ะ ขณะนี้ ไม่ต้องซื้อผักสวนครัว เกือบ 10 ชนิด ยามเช้าของทุกๆวัน จะมีจิตยินดี ที่จะลงสวน ดูความงอกงาม ของพีชะ แต่ละต้นแต่ละแปลง ซาบซึ้ง ของถึงพลังของพีชะ ที่พืชผัก ต้นไม้แต่ละต้น ทำงานอย่างไม่อู้ทั้งกลางวันกลางคืน เป็นพลังงานบริสุทธิ์จริงๆค่ะ จิตใจก็พลอยเบิกบานแจ่มใสมีพลัง ที่น่าปลื้มเล็กๆ ก็คือ สามารถทำให้น้องสาว ผู้เคยอยู่หอคอยที่สูงกว่า ลงมาติดดิน รดน้ำ โยกน้ำบ่อ ทดลองปลูกผัก จากความรู้ที่ได้รับจาก social ผลดีอีกประการหนึ่งก็คือ ธรรมะ 2 ระหว่างพี่น้อง ต่างจริต และทิฐิ ลดลงเป็นลำดับค่ะ
กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯ ขอบพระคุณพี่น้องกสิกรบุญนิยมทุกท่าน รวมทั้งคุณตายแน่ มุ่งมาจนค่ะ
พ่อครูว่า… เปี๊ยกนี่ ก็ต้องขอบคุณเขา เขาทำงานขยัน มีรายการของเขาออก คนเดียวทำ One Man Show Production เลย ทำเองอะไรเองแล้วก็ส่งออกมาออกอากาศ สัมภาษณ์ไป โอ้โห.. ชี้ชวนพวกที่ให้ไปสร้างต้นไม้ปลูกต้นไม้ขยายต้นไม้กัน ปลูกป่าบ้าง ปลูกต้นไม้ดีๆบ้าง อะไรต่ออะไรกันบ้าง ทำพืชชนิดที่เป็นอีกแบบหนึ่งคือ พืชยืนต้น ต้นไม้ป่าไม่ใช่เน้นพืชกินก็เป็นอีกอันหนึ่ง ก็ต้องขอขอบคุณเขาที่ทำได้อย่างอุตสาหะวิริยะ ทำอยู่คนเดียวนานจะเป็น 10 10 ปีแล้วนะ เปี๊ยกทำ เอ้า.. ทำต่อไปเปี๊ยกเอ๋ย แก่แล้วมันจะทำไม่ได้ ไม่ได้ทำนะ ตอนนี้ยังหนุ่มอยู่อายุยังไม่ถึง 70 ทำต่อไป ถึง 50 หรือยังนายเปี๊ยกนี่ ยังไม่ถึงมั้ง
_Pichest Boonwiroon พิเชษฐ์ บุญย์วิรุฬห์ : – ผมเคยได้ฟังจากพ่อครูและท่านสมณะว่า ความผิดที่เราทำในขณะหลับและฝันไปนั้น พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นอาบัติ ถึงอย่างนั้นก็ตาม บางครั้งเวลาที่ผมฝันว่าทำอะไรผิดศีลผิดธรรม พอตื่นขึ้นมาแล้วระลึกได้ผมก็ยังรู้สึกละอายใจ ไม่สบายใจจริง ๆ ครับ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจที่มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ยังไม่ได้ทำจริงตอนยังตื่น ๆ อยู่ หากได้เผลอไปทำตอนตื่นอยู่ล่ะก็ คงต้องทุกข์ใจอย่างมากแน่ ๆ …
ความรู้สึกอย่างนี้จะถือว่าเป็นความยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ครับ –
กราบเรียนถามพ่อครูด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ถ้าเผื่อว่าคุณปล่อยปะละเลยจริงๆไม่ได้ประโยชน์อะไรจากความฝันเลย มันก็กลายเป็นเรื่องเผลอไผไป มันก็ไม่ดีแต่ถ้าเผื่อว่าคุณรู้สึกอย่างนี้ว่า รู้สึกแล้วเอามาเตือนตนมันก็เป็นประโยชน์
มันไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น คุณจะยึดมั่นถือมั่น คุณก็รู้สิ อาการยึดมั่นถือมั่นมันเป็นอย่างไร อาการเห็นแล้วก็เข้าใจแล้วเราก็ทำความเข้าใจปฏิบัติไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมัน ก็ทำความเข้าใจได้สำเร็จก็รู้แล้วก็วาง
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกได้นำความที่อาปะพรตะวันบอกลูกว่า เดือนกุมภาพันธ์บ้านราชจะมีงาน ไปเล่าให้แม่ฟัง และก็ขออนุญาตแม่ว่า ลูกขอไปช่วยงานพ่อครู พอลูกขออนุญาตแม่ แม่บอกว่า แม่ก็อยากให้ลูกไปช่วยงานพ่อครู แม่ยังบอกอีกว่า ถึงแม้เรายังไปอยู่วัดยังไม่ได้ เวลามีงานพอไปได้เราก็ไปช่วยงานพ่อครูค่ะ แต่แม่ก็พูดพึมพำว่ามีปัญหาที่สุขภาพแม่นี้แหละ ลูกจึงบอกแม่ให้แม่ดื่มน้ำมากๆแม่จะได้แข็งแรง ตื่นเช้าให้แม่ทำท่าบริหารของพ่อครู3ท่าค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… คำว่า ปะ ย่อมาจาก ปฏิบัติไปสู่ความเป็นนักบวช คือผู้ปฏิบัติของชาวอโศกเพื่อจะก้าวเข้าสู่ความเป็นนาคหรือกรักต่อไป ผู้ชายก็เป็นนาค ผู้หญิงก็เป็นกรัก ต่อจากนาคก็เป็นเณรก็เป็นสมณะ ส่วนผู้หญิงนั้นก็เป็นผู้ปฏิบัติแล้วก็เป็นกรัก ก็คือนาคนี่แหละสวมผ้าสีกรัก โกนหัว แล้วก็เป สิกขมาตุ ต่อไป อย่างนี้เป็นต้น
_Aud Caravo อู๊ด คาราโว · มีการพูดถึง พอใจ ขอบใจ นึกได้แต่ไม่ได้เสริม พ่อครูท่าน เคยตั้งชื่อ แม่ของลูก๒ ของผมว่า ใจซึ้ง ความหมายซึ้งใจยิ่งนัก ยังอยู่เป็นเรื่อง เป็นราว ให้พวกเรา พวกเขา ได้พึ่งพาอาศัย ณ อาวาสถาน ดอยรายปลายฟ้า กราบนมัสการ สาธุ สาธุ สาธุ ครับผมครับ
พ่อครูว่า… ก็เป็นการระลึกได้ในสิ่งที่ได้เกิดแก่กันและกัน บอกกันปฏิบัติกันรู้สึกซาบซึ้งใจกันก็ว่ามา
เทคโนโลยีเจริญมากแสดงถึงความเสื่อมของมนุษย์
_Saksri Maimeethong ศักดิ์ศรี หมายมีทอง · พ่อครูเน้นกสิกรรม เพื่อเป็นการฝึกจิตวิญญาณของลูกๆ ผมเชื่อว่า ในกาละที่พ่อครูเป็นพระพุทธเจ้า ยุคนั้นๆ กสิกรรมเท่านั้นเป็นหลัก ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เกิดขึ้นในโลก จะต้องเป็นยุคที่เทคโนโลยีไม่เจริญเหมือนปัจจุบันนี้แน่นอน ความเชื่อนี่จะถูกมั๊ยครับ พ่อครูจึงฝึกลูกๆโดยมีนัยสำคัญด้วย แถมเป็นประโยชน์ต่อโลกในปัจจุบันอย่างมากมายด้วย
พ่อครูว่า… เทคโนโลยีในสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีความเจริญอย่างนั้น เทคโนโลยีที่เจริญแสดงถึงความเสื่อมชนิดหนึ่งโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางอาวุธยุทธภัณฑ์ และเทคโนโลยีเชิงได้เปรียบ เทคโนโลยีที่เป็นเชิงได้เปรียบของคนที่มีทุนรอนมากๆมีเงินเยอะๆก็ซื้อเทคโนโลยีนี้ไปอำนวยความสะดวกและอำนวยความได้เปรียบของตน นี่ก็เป็นเรื่องที่เลวร้าย ฟังให้ดีนะอาตมาไม่ได้ไปใส่ความไม่ได้ไปว่าอะไร มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เทคโนโลยีที่มันมีมากๆอย่างที่คุณตั้งข้อสังเกตนี้ในยุคพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าจะอุบัติ เทคโนโลยียังไม่เจริญถูกแล้ว เพราะพูดไปแล้วเมื่อกี้ เทคโนโลยีเจริญนี้คือยุคเสื่อมของมนุษยชาติ
เราห้ามไม่ได้นะ เทคโนโลยีเจริญแล้วเอามาใช้เป็นประโยชน์ เอามาใช้แต่ทางที่เป็นคุณค่า ห้ามไม่ได้ มันเอาไปใช้ทางเป็นโทษ เป็นภัย อย่างที่มันเป็นมันร้ายแรงมากเลย สุดท้ายมันจะใช้เทคโนโลยีนี่แหละที่ว่าเจริญ นี้แหละล้างโลกเลย ที่จะพูดกันนี้
ทุกวันนี้ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วแต่ละประเทศ กดปุ่มพร้อมกันนี่หมดเลยโลกนี้จะแตกหรือไม่แตกก็ไม่รู้โลก มันระเบิดกันไม่รู้มีคนละกี่สิบกี่พันกี่ร้อยกี่พันลูกกัน นี่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะไม่ใช่ว่าพูดเล่น นี่คือเทคโนโลยีเจริญแห่งใหม่ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคนี้ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำอะไรได้ ก็ได้แต่ให้โพธิสัตว์อย่างอาตมาเมื่อยอย่างนี้พูดไปเถอะ ผู้ที่มีปัญญาฟังแล้วรู้เรื่องได้ประโยชน์ก็มาเอา ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ไปงมงายอยู่กับไอ้เรื่องเหล่านั้น
อาตมาถึงระดมพวกเรามาสร้างสิ่งที่เป็นหนึ่งในโลกคืออาหาร และอาหารเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอาหารหลักของมนุษยชาติ แต่มนุษย์ก็ไปหลงกินเนื้อสัตว์กินปูกินปลากินอะไรต่ออะไร ก็พูดไปแล้วเอาล่ะไม่ต่อ
ชีวิตสุดประเสริฐ 4 ประการสั้นๆง่ายๆ
_แก่นนวน มาลัยขวัญ · เชื่อฟัง เชื่อถือ. เชื่อมั่นคำสอนพ่อครูเจ้าค่ะ. ที่ชุมชนแก่นอโศกได้ปลูกอยู่ ปลูกกินตามกำลัง ทำให้มีกิน มีแบ่งปันและได้สร้างกุศลเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… เชื่อฟังเชื่อถือ ก็ไปปฏิบัติ ได้เกิดมรรค เกิดผล เป็นประโยชน์ขึ้นมา จนเกิดความเชื่อมั่น
พ่อครูว่า… ทุกวันนี้เป็นผลจริงๆที่อาตมาพาทำพวกเราก็ 1 พึ่งตนเอง
1.จริงๆนั้นคือไม่เป็นหนี้
2.ทำอยู่ทำกินได้อยู่ได้กินพออยู่พอกิน
3.ทำให้มากให้เกินที่เรากินเราใช้ ไม่ใช่ทำแต่เชิงเหมือนข้าวกรอกหม้อ มีแต่พออยู่พอกินไปวันๆไม่ใช่ แต่ทำให้เหลือให้มากขึ้น ทำให้เกินกำลังเรามีเราก็ขยันเราก็ทำไป แล้วก็แบ่งแจกเพื่อแผ่คนอื่น เท่านี้แหละชีวิตสุดประเสริฐแล้ว ชีวิตเจริญ ชีวิตประจำ ชีวิตเจริญสั้นๆง่ายๆ 3-4 ระดับ
ไม่เป็นหนี้ ทำอยู่ทำกินเลี้ยงตัวรอดทำให้มากทำให้เกิน แล้วแบ่งแจกผู้อื่น แบ่งแจกไม่ใช่ไปค้าไปขายเอากำไรหรือไปโลภโมโทสัน เผื่อแผ่แก่ชีวิตอื่นเป็นประโยชน์แล้วตัวเองก็หมดทุกข์
ความหมดทุกข์อยู่แค่นี้ง่ายๆ แต่เราไปหลงโลกมันครอบงำมันหลอกลวงให้เราติดยึดอะไรตามโลกสารพัด ไม่ว่าจะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ครอบงำ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มันมอมเมาแย่ไปหมดเลย
กว่าที่พวกคุณจะรู้ตัวว่าไปหลงเพ้ออะไรรอบตัว ที่ไร้สาระเสียเวลาเกิดมาแล้วก็มีแต่กิเลสแล้วก็ไปทำร้ายสร้างวิบากกรรมให้แก่ตัวเองเยอะกว่าจะลดลงมาแล้วก็มาเป็นผู้รู้ที่เป็นความเจริญสูงสุด เป็นที่จบ โอ้โหไม่ง่าย
หลักประกันสูงสุดยอดในศาสนาพุทธ 2 ประการที่คนควรได้
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน · Wow.!! ฟัง..ประวัติ บรรพชนอโศก..ยุคบุกเบิกนี่..ลำบากมาก..นะเจ้าคะ!! กราบขอบพระคุณ..ในความ..บุกเบิก..บากบั่น..ของ พ่อครู (Superhero) และ บรรพชน ทุกๆท่าน ด้วยความซาบซึ้งและประทับใจ..อย่างยิ่งยวด เจ้าค่ะ กาละนี้..อโศก สมบูรณ์ ในที่ทุกสถาน..ในกาละทุกเมื่อ..แว้ว!!
น่าปลื้มมมมม..มั่กๆเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… จะเรียกว่าสมบูรณ์อาตมาว่าได้ขนาดนี้ก็เรียกว่าสมบูรณ์พอ ชีวิตทุกวันนี้ที่อาตมาพาปฏิบัติธรรมกันมา 50 ปี ทุกวันนี้นี่แต่ละชุมชนสังคมชาวอโศกแต่ละชุมชน ชุมชนเล็ก ชุมชนน้อย ชุมชนใหญ่ที่สุดเหมือนราชธานี อยู่กันอย่าง “อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ”
เป็นพยัญชนะที่เจตนาเอาความหมายมาตั้งเพื่อที่จะให้ฟังเข้าใจ อ๋อ มันเป็นการจะเรียกว่า ชี้นำก็ได้ ชี้นำแล้วก็พยายาม อธิบายขยายความว่าถ้าเราทำได้เป็นลำดับๆอย่างนี้ เป็นพัฒนาการของชีวิตสังคมก็เจริญ ทำได้แล้วมันมีประโยชน์คุณค่าเลยต่อมนุษย์ นี่ 1. นะ
-
ศาสนาพุทธนี้สุดยอดอิสระ
2.สบาย สบายดีภาษาบาลีภาษาพระพุทธเจ้าคือ สัปปายะ สัปปายะก็ตรงกันข้ามกับคำว่า อปายะ แปลว่านรก อบาย คือ ความเสื่อม สัปปายะคือความไม่เสื่อมความเจริญความสบายจะเรียกว่าสวรรค์ก็สวรรค์ ถ้าผู้ที่ยังติดยึดภพชาติอยู่ก็เป็นสวรรค์คือมันเจริญขึ้นมันพัฒนาการขึ้นไป จากโลกียะไปเป็นโลกุตระ
3.สงบ คำนี้สูงสุดคือ สันตา มันหมายถึง กิเลสออกไปจากจิต กิเลสมันไม่มากวนจิตเลย จิตมันก็อิสระเสรี จิตมันก็มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ได้หมายความว่าสงบคือทำให้จิตมันนิ่ง ให้หยุดการเคลื่อนไหว จนมาบังคับให้กายไม่เคลื่อนไหวกลายเป็นคนเฉื่อย กลายเป็นคนช้าๆ มันไม่แคล่วคล่องว่องไว ไม่ปราดเปรียวว่องไว ซึ่งเป็นความเข้าใจของความสงบแบบเดียรถีย์ มันค้านแย้งกันในตัว
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วเกิดปัญญา ปัญญาข้อที่ 2 ข้อที่ 3
ปัญญาข้อที่ 3 จะรู้จักความสงบ 2 อย่าง สุดยอดลึกซึ้งเลยสงบที่กล่าวนี่แหละ เป็นความสงบอย่างโลกุตระ อันหนึ่งเป็นความสงบอย่างโลกียะ 2 อย่างนี้
เพราะฉะนั้นในคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นคำสอนที่สูงสุดแล้ว จบแล้วในความเป็นมนุษย์ ในความเป็นมนุษยชาติโดยเฉพาะในศาสนาพุทธเราพูดเต็มที่ว่า ความเกิดมาเป็นคน เป็นจิตนิยาม เป็นความหมุนเวียนของธาตุจิตนิยาม ถ้าไม่รู้ มันจะไม่จบ กลายเป็นจิตนิรันดรเหมือนอย่างชาวเทวนิยมหรือศาสนาพระเจ้า มันก็จะติดยึดอยู่อย่างนั้นตลอดไป นิรันดรเลย เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เขาไม่สามารถที่จะรู้ว่าจิตนิยามหรือจิตวิญญาณนี้ มันเป็นแค่ธาตุปรุงแต่ง มันเป็นแค่ธาตุ 2 ธาตุที่มาจับกัน เป็นธาตุ 2 ธาตุมาจับกัน เรียกแยกง่ายๆขั้นต้นว่าเป็นรูปกับนาม มาจับตัวกันแล้วปรุงแต่งกันเกี่ยวข้องกันสังเคราะห์สังขารกันขึ้น แล้วก็เกิดสารพัดเป็นกรรม เป็นนิยายเป็นพฤติกรรมพฤติการณ์ของมนุษย์แต่ละชาติแต่ละชาติแต่ละชาติ แล้วไม่มีจบ
ไม่มีจบง่าย ถ้าไม่เจอศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่เรียนรู้อย่างสัมมาทิฏฐิจนกระทั่งสามารถบรรลุ บรรลุมรรคผลบรรลุอรหันต์เป็นต้น ก็ไม่สามารถที่จะทำให้จิตนิยามนี้ สูญสลายหายไปจากกาละ สูญสลายหายไปจากโลกหายไป จากกาละ จากมหาจักรวาล จากเอกภพเลย จิตวิญญาณที่เป็นอัตตาของแต่ละคนนี้ เลิก เรียกว่า ทำการตายแบบสลายกาย กายสเภทา หลังกายแตกตาย หลังจากนั้น ปรัมมรณา
จิตวิญญาณของผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วสามารถสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย ตัวตนของผู้นั้นหมด สูญสิ้น จิตนิยามสูญสิ้น อัตตาสูญสิ้น ความเป็นธาตุรู้หมดไม่มีแล้ว หรือ จะอยู่นิรันดร จะไม่สลายหายไปเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย จะเกิดแล้วเกิดอีกก็มีหลักประกัน
หลักประกันที่ 1 คือ จะไม่ทำชั่วเลยไม่ว่าจะเป็นชั่วในสมมติ สมมุติโลกยุคไหนก็ตามที่เขาสมมุติกันว่าอย่างนี้ดีอย่างนี้ชั่ว ก็จะทำดีไม่ทำชั่ว ตามที่เขาหลงใหลกันได้ ทุกกาละเทศะ จะอยู่อย่างนั้นตลอดกาลนาน นี่เป็นหลักประกันเลย จะเกิดอีกกี่ชาติก็ไม่ทำชั่ว ทำแต่ดีอย่างเดียว
-
รู้จักจิตนิยามอย่างแท้จริง แล้วทำให้จิตนิยามนี้สลาย หมดตัวตนอย่างที่กล่าวไปแล้วอธิบายไปแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตของตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมไปได้สูงสุด หรือจะอยู่ก็อยู่อย่างได้เป็นอมตะ ไม่ทำชั่วทำแต่ดี และไม่ทุกข์ไม่สุข อยู่ไปแล้วก็ช่วยมนุษยชาติให้เป็นอย่างนี้ สูงสุด คือ หมดทุกข์หมดสุข ดีชั่วก็มีแต่ดีถ่ายเดียว เป็นคนประเสริฐค้างฟ้าเลย เป็นดาวค้างฟ้าและจะอยู่ก็อยู่อย่างเจริญจนสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งประกาศศาสนาแล้วก็ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนจะเป็นพระพุทธเจ้าสมัย 2 เป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวแล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปทุกพระองค์ ทุกคนสูงสุดที่จุดนี้ จิตนิยามของมนุษยชาติ
นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและทำได้สำเร็จ ซึ่งเป็นความรู้ที่ตรงกันข้ามกัน มันเข้าใจกันผิด ก็เลยกลายเป็นคนละเรื่อง คนละทางกับเทวนิยมหรือศาสนาของศาสดาต่างๆ
ศาสนาพุทธเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกันหมดทุกองค์ ไม่ขัดไม่แย้งกันเลย และเกิดในยุคใดยุคหนึ่ง ไม่ได้ซ้ำซ้อนกัน หรือในเวลาใกล้ๆกันพระพุทธเจ้าก็ไม่เกิด 2 องค์พร้อมกัน ไม่เหมือนเทวนิยมที่จะมีศาสดามากมาย โอ้โห..เยอะแยะเป็นร้อยเป็นพัน แข่งกันดีไม่ดีฆ่ากันด้วยซึ่งศาสนาพุทธไม่มี นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้
เทวนิยมจะไม่ค่อยมีบารมี ชาวเทวนิยมเป็นคนส่วนมากของโลก พลเมืองโลกมี 7,000 กว่าล้านประมาณนั้น ในขณะนี้ ผู้ที่เป็นศาสนาเทวนิยมนี้ มีมากกว่า พุทธจะมีถึง 10% หรือเปล่าไม่รู้ นอกนั้นเป็นศาสนาอื่นๆ ตอนนี้อิสลามมากที่สุด นอกนั้นก็เป็นคริสต์เป็นอะไรต่ออะไรเป็นฮินดูก็เยอะ ฮินดูนี้คือศาสนาที่วนเวียนมาเป็นพุทธแล้วมันเสื่อม ฮินดูหรือพราหมณ์ มันเสื่อมไปจากพุทธ มันก็ตกไปเป็นอย่างนั้นกลายเป็นเทวนิยมไป
เดี๋ยวนี้เมืองไทยก็ตามซึ่งเป็นศาสนาพุทธมาตั้งแต่ประเทศเปิดหรือเกิดประเทศ สร้างประเทศมา ก็ถือศาสนาพุทธในประเทศมาแล้วตลอด แต่มันเสื่อมทุกวันนี้พุทธศาสนาเสื่อม เสื่อมจริงๆไม่ใช่ว่าใส่โทษลงโทษ หมู่ใหญ่เลย เป็นคณะที่บริหารประเทศ คณะที่บริหารศาสนาอยู่ในประเทศทุกวันนี้ ก็เป็นหมู่ที่ผิด เสื่อม
นี่อาตมาขอพูดตรงๆขออภัยที่ต้องพูดความจริงมันเสื่อม ไม่ได้ประโยชน์ นอกจากไม่ได้ประโยชน์และเป็นโทษต่อตนเอง และไม่ได้ลงโทษนะ เป็นผู้ทำบาป ทำภัยให้แก่ศาสนาพุทธ ทำบาปทำภัยให้แก่ศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาพุทธโลกุตระให้กลายเป็นโลกียะที่ หยำฉ่า ที่แปดเปื้อน กลายเป็นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน กลายเป็นประเพณีหรือเป็นโลกียโลกธรรมที่จัดจ้าน โอ้.. ไปติดหลงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรต่ออะไรกัน สารพัดสาระเพ แล้วก็ไปสร้างจารีตประเพณีที่ในยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่มี มันเกิดปรุงแต่งสร้างจารีตประเพณีบานปลายออกไป เลอะเทอะไปหมดเลย
อาตมาเห็นแล้ว เนื้อยเหนื่อย เพราะฉะนั้นบวชมาก็จะไปทำประโยชน์เพื่อที่จะลดสิ่งที่มันผิดเพี้ยนไปจากสังคมสงฆ์ ทำไม่ได้ ก็เลยต้องขอประกาศทำส่วนตัวเถอะ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็มีธรรมวินัยอยู่แล้วคือประกาศ นานาสังวาส อาตมาก็ประกาศนานาสังวาสกับสงฆ์ บวชเมื่อพ.ศ 2513 ประกาศนาสังวาส 2518
อยู่กับหมู่เขาก็ยากสารพัด อยู่ 5 ปี พ.ศ.2518 ก็ขอประกาศนานาสังวาสออกมาตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าซึ่งเขาไม่มีความรู้อยู่ 5 ปี 2518 ก็ขอประกาศนานาสังวาสออกมาตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าซึ่งเขาไม่มีความรู้ อาตมาออกมาเขาก็เล่นงานอาตมาซึ่งเขาทำผิดพระธรรมวินัยเป็นบาปเป็นภัย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง ก็ได้แต่สงสาร ก็ยอมให้เขาทำมันจะได้ไม่ยาวนาน ขนาดนั้นยังยืดยาดยาวนานไม่ใช่น้อย หลายปีทีเดียวกว่าเขาจะหยุด จนเอาอาตมาติดคุก อาตมาต้องออกไปไม่เป็นศาสนาพุทธ อาตมาก็ไม่ยอมจะไม่เป็นศาสนาพุทธได้อย่างไรเพราะว่าศาสนาพุทธคือสิ่งที่อาตมาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ จะให้อาตมาออกไปมันจะได้ยังไง ซึ่งมันไม่ได้ อาตมาก็ยืนหยัดยืนยันไม่ใช่ดื้อด้านดันทุรังอะไร จนกระทั่งสุดท้ายก็จบไปตามธรรมกลายเป็นนานาสังวาส แต่เขาก็เข้าใจอาตมา เข้าใจอโศกว่าเป็นพวกนิกายเป็นพวกนอกรีต คนส่วนใหญ่ก็ครอบงำกันอย่างนี้ เขาก็ครอบงำกันได้ เพราะจริงๆแล้วมันเป็นคนโง่มากกว่าคนฉลาด คนฉลาดจึงจะมาเข้าใจอาตมา คนโง่เขาก็ต้องเชื่อสิ่งที่มันผิดๆนั้นก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่ได้ประหลาดอะไร เป็นความจริงเป็นธรรมดาธรรมชาติของมัน
อาตมาได้ขนาดนี้ สามารถที่จะช่วยประชาชนพลเมืองในยุคนี้ได้ประมาณนี้ อาตมาก็พอใจ พอใจๆ พอใจแล้วได้ขนาดนี้ประมาณนี้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรมที่พาหยุดเกิดในปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้ก็มาพูดถึงเนื้อหาสาระของพระพุทธเจ้า ก็พูดวนซ้ำซากแต่ขยายความให้เห็นในเหลี่ยมมุมในมิติต่างๆไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้านี้ตรัสรู้ ธาตุ 2 ธาตุ เป็นหลักใหญ่ เป็นจุดเกิด
เหมือนกับวิทยาศาสตร์ ไอสไตน์ค้นพบธาตุ 2 ธาตุ หรือสภาวะ 2 สภาวะ ไอสไตน์ก็รู้อันหนึ่งก็คือ รู้ว่าในโลกนี้มันเป็นการเกี่ยวข้องการปรุงแต่งกันของ Space and Time สเปซคือทุกอย่างของอวกาศหรือเรียกกันว่าโลหะแท่งทึบทั้งหมดรวมทั้งหมดในอวกาศ กับกาละคือ time ของวัตถุของสสาร
ส่วนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ 2 อย่างคือ Karma and Time of Continuum กรรมคือ จิตวิญญาณพาเกิดภาพเป็นจิตวิญญาณเป็นอัตตาเป็นของตน และก็ดำเนินไปกับเวลา เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาขั้นจิตวิญญาณขั้นเป็นธาตุรู้ขั้นโลกุตตระ ก็จะยิ่งกว่าที่ไอน์สไตน์รู้ เพราะไอน์สไตน์ก็รู้ในระดับของวัตถุ ของธาตุพลังงานทางสสาร ซึ่งชีวะก็ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปจะก้าวเข้าไปนิดๆหน่อยๆเรื่องของชีวะก็พอรู้เรื่องของ จะเป็นสัตว์เป็นพืชอะไรก็รู้เล็กๆน้อยๆ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้หมดเลยในระดับอุตุที่เป็นธาตุดินน้ำไฟลม จนกระทั่งถึงพืช พีชะ จนกระทั่งถึงจิตนิยามจนรู้ว่าในจิตวิญญาณมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นทายาทเป็นมรดกของตน สืบทอดไปเลย
จะเรียกว่าเป็นสรีรพันธุ์ไม่ได้ เป็น กรรมพันธุ์จริงๆ แต่เขาไปเข้าใจกันว่า กรรมพันธุ์เป็นเรื่องของสรีระเป็นเรื่องต่อทอดทาง DNA ทางยีนซึ่งมันไม่ใช่ กรรมพันธุ์ไม่ใช่ทางยีนทาง DNA ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต่อทอดเป็น กรรมทายาท เป็นทายาททางจิตวิญญาณซึ่งเป็นของตน ไม่ใช่ของพ่อแม่ DNA พ่อแม่ปู่ย่าตาทวดไม่ตกทอดกันไม่ตกเป็นเผ่าเป็นพันธุ์สืบทอดกัน สืบทอดกันของใครของมันด้วยกรรมของตนๆ จึงเรียกว่า กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ
ซึ่งอาตมาก็คงจะไม่ได้ขยายความทั้ง 5 อย่างนี้ก็ขอผ่านไปก่อน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่าธาตุ 2 ธาตุนี้ จับกันเป็นจุดเกิดเป็นจิตวิญญาณหรือเป็นจิตนิยามขึ้นมาคือนามกับรูปเป็น 2 ภาวะ
2 ภาวะภาษาบาลีว่า เทวฺ นามกับรูปมันมีความสัมพันธ์กัน มันเกี่ยวข้องกัน มัน relative เกี่ยวข้องกันขึ้นมาเป็นความเกิด ความเกิด เรียกว่า ชาติ หรือชาติ เป็นตัวกลางๆคำว่า ชาติ เป็นความเกิดกลางๆแล้วพระพุทธเจ้าก็ขยายความเกิดนี้ไปอีก 5 ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
ความเกิด 5 อย่างนี้ผู้ที่มีจิตนิยามแล้วจะเกิด 5 อย่างนี้แหละปรุงแต่งกัน ขยาย5อย่างคร่าวๆก่อน คือ
เกิดสัญชาตญาณ เกิดชาติ สัญชาติก็คือต่อกันมา มีความจำในการต่อเป็นสัญชาติญาณเรียกสั้นๆว่าสัญชาติ
สัญชาติก็คือมันมีความจำ มันมีความสืบเนื่อง มันเป็นอัตโนมัติ พอเกิดมาใหม่ทุกอย่างก็เป็นกรรมกิริยาอัตโนมัติเองเลย เป็นสัญชาตญาณ
โอกกันติ ก็จะมีการเกิดของกรรมกิริยาปัจจุบันที่จะมีการปรุงแต่งกันใหม่ที่จะสัมผัสที่จะเกิดใหม่สะสมลงเรียกว่า โอกกันติสั่งสมลงไปในจิต ก็เป็นตัวเกิดตัวใหม่ ตัวนี้แหละเป็นตัวแปรของคนทุกคนจิตวิญญาณทุกจิตวิญญาณ เมื่ออวิชชาก็ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้เรื่องว่ามันมีอะไรเข้ามาปนจะปรุงใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เมื่ออวิชชาก็มีแต่กิเลสเพิ่มเติมหนาเข้าไปใหญ่
เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้าจึงรู้ทันตัวนี้ แยกได้เป็น 2 อย่าง ที่มันเกิดเป็นโลกียะ เกิดไปเป็นตัวโง่อวิชชา มีวิชชารู้ทัน ก็ไม่เอาแล้วไปเป็นโลกียะที่มันเติมแต่กิเลสแล้วก็โง่เพิ่มเติมกันอย่างไม่หยุดยั้งเลย หยุดได้ ไม่ให้กิเลสมันเติมเข้าไปอีก ก็ทำความเกิดใหม่ลดลงจนกระทั่งไม่มีกิเลสเพิ่มเลย ลดลงเรื่อยๆเรียกว่าจึงเป็นการเกิดตัวใหม่ นิพพัตติ เป็นการเกิดที่ลด ความดับของกิเลสแล้วเป็น นิพพัตติ หรือนิพพาน มันยังไม่มีนิพพานเต็มก็เรียกว่า นิพพัตติ
อภินิพพัตติ คือการเกิดชนิดที่ไม่มีกิเลสอีกแล้ว เป็นผู้ที่มีนิพพานสมบูรณ์แบบ อภินิพพัตติ
นี่เป็นการเกิด 5 ประการที่พระพุทธเจ้าท่านเข้าใจแล้วทำจิตวิญญาณให้เป็นอย่างนี้ได้เรียบร้อยอย่างนี้เป็นต้น
แล้วท่านก็มารู้ถึงมันเกี่ยวข้องกับโลก เกิดเป็นปฏิจจสมุปบาท ความเกิดธาตุรู้ 2 ตัวนี้ ที่วิญญาณหรือจิตนิยามนี้มันอวิชชา มันก็พาเกิด เกิดมาอย่างไม่รู้ความจริง มันเกิดอยู่อย่างไม่รู้ความจริงที่บริบูรณ์หรือสัมบูรณ์จริงๆเลย มันก็มีแต่กิเลสเพิ่มขึ้นมาปรุงแต่งขึ้นไปเป็นสังขารปรุงแต่ง แล้วก็เป็นวิญญาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นามรูป 2 ตัวก็ไม่รู้ต่ออีกนั่นแหละ มันก็ปรุงแต่งกันไปเป็นอายตนะ เพราะฉะนั้นอวิชชา จึงเกิดสังขาร สังขารจึงเกิดวิญญาณนามรูปจึงเกิดอายตนะ 5 ตัวนี้
อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ 5 ตัวนี้
อายตนะก็คือตัวตนที่มันปรุงแต่งกันตั้งแต่ภายนอกจนกระทั่งถึงภายในเป็นตัวตนนามรูปเป็นอะไรต่ออะไร จับตัวกันเป็นตัวตน ตนคือตัวตนนี่แหละ เกิดอายตนะ เกิดทวารสองทวาร ภายนอกภายในเป็นรูปนามแล้วก็คู่กันอีก เป็น ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน จนกระทั่งถึงภายในเป็นคู่ที่ 6
พวกนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้รายละเอียดของจิต เจตสิก รูป จนกระทั่งรู้แจ้งถึงนิพพานด้วย แล้วก็นำมาเปิดเผยนำมาอธิบายขยายความให้รู้
ทีนี้การจะปฏิบัติ การจะเรียนรู้ต่อจากสังขาร วิญญาณ นาม รูปอายตนะ พระพุทธเจ้าก็สอนต่อว่า จะต้องรู้ด้วยผัสสะ เมื่อมีผัสสะก็เกิดเวทนา เกิดเวทนาในเวทนา แล้วก็มีตัณหา แล้วก็มีอุปาทานซึ่งเป็นเหตุสำคัญเลย คือ ตัณหากับอุปาทาน มันทำให้เกิดภพ เกิดชาติ
คือ ถ้าเป็นตัณหาก็คือกิเลสกำลังเคลื่อนไหว ถ้าเป็นอุปาทานก็คือกิเลสจับตัวกัน สะสมนิ่งเป็นอุปาทานที่ยึดติดต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็เกิดธาตุอวิชชาอยู่ มันก็สะสมภพสะสมชาติไม่มีจบไม่มีหยุดไม่มีหย่อน แต่ทาง ศาสนาเทวนิยมนี้ เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้ ศาสนาพระเจ้าเขาไม่มีความรู้เรื่องนี้ เขาไม่มีความรู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน
เมื่อเขาไม่มีความรู้ เขาก็จำนนต่อความจริง จำนนคือยังอวิชชาอยู่ แล้วอวิชชาของเขาคือเขาไม่รู้จักตัวสำคัญ เขารู้ได้ทางโลกีย์ คู่เดียวคือดีกับชั่วแล้วก็ไปดีชั่วตามสมมติ สมมุติของแต่ละกลุ่มแต่ละหมู่ไม่ตรงกันไม่เหมือนกันเลย เอาล่ะก็ดี ก็ทำจุดที่ดีที่ยึดถือกันนั่นแหละแล้วก็อยู่กันสงบอยู่กันอย่างถือว่าจะเจริญก็แล้วแต่เจริญอย่างโลกีย์เขาก็อยู่กันไป
ของศาสนาพุทธก็รู้เรื่องนี้รู้ดีรู้ชัดเจนและทำได้อย่างที่อาตมาก็อธิบายไปไม่รู้กี่ทีแล้วว่า สามารถทำให้จิตนี้ทำดีไม่ทำชั่วเลยจะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติก็มีหลักประกันเลย นี่สูงสุดก็เป็นโลกียนี่สูงสุดก็เป็นโลกียะ โลกียะก็ทำไม่ได้แม้แต่ทำให้ดีตามโลกียะที่สมมุติกัน จนมีธาตุรู้ที่รู้ทันโลกียธาตุ. เกิดชาติไหนก็รู้ว่าดีอะไรชั่วคืออะไรแล้วไม่ทำชั่วอีกไม่ว่าจะชาติไหนชาติไหนเป็นหลักประกันที่ยั่งยืนถาวร
ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมที่ลดความเวียนเกิดเวียนตายในโลก
นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของมนุษยชาติที่เป็นอีกอันหนึ่ง โลกุตตระก็คือสุขกับทุกข์ สุขกับทุกข์นี้เทวนิยมไม่ประสีประสาไม่รู้เรื่องเลย นอกจากไม่ประสีประสาแล้วยังมีอวิชชางมงายด้วยติดความสุขมีความชังความทุกข์และไม่เคยมีความรู้ที่จะศึกษาเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นจึงมีธาตุจิตหรือจิตนิยาม ธาตุ อัตตา ของชาวศาสนาเทวนิยมทุกศาสดา ที่เป็นศาสนาพระเจ้าเป็นสุขนิยม แล้วก็ไปจบที่ความไม่รู้ บอกว่าตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้า หลงว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของสุขเป็นผู้บันดาลสุขเป็นผู้จัดทำให้แต่ละคนไม่ทุกข์ ไปฝากเอาความสุขความทุกข์อยู่ที่พระเจ้า จะปรารถนาหรือประสงค์ เป็นความประสงค์ของพระเจ้าทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นจะให้ใครสุขคือพระเจ้า หรือแม้แต่จะให้ทุกข์ก็คือพระเจ้า ถ้าได้รับความทุกข์เมื่อไหร่ก็บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าได้รับความสุขก็บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงได้แต่อ้อนวอนประจบประแจงพระเจ้าไป พยายามที่จะให้พระเจ้ารัก คารวะระลึกถึงพระเจ้าวันละ 5 หน อะไรก็แล้วแต่ หรือว่าอ้อนวอนพระเจ้าเสมอๆ ท่องสวดมนต์ ระลึกถึงพระเจ้าเสมอๆ
ศาสนาเทวนิยมก็จะเป็นอย่างนี้ แต่ของพระพุทธเจ้ารู้เลยว่าพระเจ้าไม่มี ถึงมีก็คือธาตุจิตนิยามของตนเอง พระเจ้าก็คือเป็นพระเจ้าของตนเอง เป็นธาตุรู้ที่ถือว่าธาตุรู้นี้คือความรู้ ความรู้ความฉลาดหรือแถมเรียกว่าความจริงนี้ก็ได้ เป็นธาตุรู้ที่เหมาเข่งเลยว่าเป็นความรู้ความฉลาดเหมาเข่ง
ผู้ใดที่รู้และฉลาดและสุดจบความรู้นั้นเป็นความจริงของตน แล้วตั้งตนเป็นศาสดา ก็มีบริวารมาเรียน กลายเป็นศาสนาเป็นลัทธิย่อยจนกระทั่งถึงลัทธิใหญ่ ลัทธิใดที่มีความรู้มากทางโลกียะ มีความฉลาดมากแล้วเขาก็จบว่านั่นเป็นความจริง ได้เท่าไหร่ก็ของแต่ละศาสดาแต่ละศาสนา ซึ่งความรู้ความฉลาดความจริงนั้นก็คือของศาสดาเองแต่ละองค์นั่นแหละ ผ่านกรรมวิบากของตนเองได้ความรู้และความฉลาด
สรุปเป็นความจริงของตนสูงสุด ยิ่งสูงสุด axiom ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เขายึดถืออย่างนั้นจริงๆเลยเป็นความรู้ที่ยอดจบแล้ว ไม่มีใครจะรู้เกินกว่าพระเจ้าหรือพระบุตรที่เอาคำสอนมา พระบุตรก็ไม่กล้ารับรู้ ไม่กล้ารับรองว่านี่เป็นความรู้ของตน ที่ศาสดาของศาสนาเทวนิยมแต่ละองค์เอามาสอน มันเป็นของตนแต่ท่านไม่รู้ไม่เชื่อไม่กล้าที่จะรับเอามาเป็นของตน ก็เลยมอบให้ของใครอื่นก็แล้วแต่เพื่อพรางคนทั้งหลายว่าความรู้สุดยอดอย่างนี้ คนเป็นไม่ได้หรอก ต้องมีอะไรพิเศษอย่างหนึ่งเป็นสุดยอดความรู้เลย คือพระบิดาพระเจ้าประทานให้พระบุตรเอามาประกาศแก่โลกแก่มนุษยชาติให้รู้จักความจริง และเป็นความรู้ความฉลาดแบบนี้ให้ปฏิบัติตามเถอะจะสูงสุดด้วยความจริงเท่าพระเจ้า จะรู้จะฉลาดสูงสุดเท่าพระเจ้า แต่เขาก็บอกว่าไม่มีใครจะสูงสุดเท่าพระเจ้าแม้แต่พระบุตรก็ไม่ได้ เพราะพระเจ้าก็ดีพระบุตรก็ดีไม่ใช่คน คนเป็นไม่ได้
นี่คือความต่างของศาสนาเทวนิยมกับศาสนาพุทธ แต่พุทธนั้นพิสูจน์เลยว่า ความรู้ก็ดีความฉลาดก็ดี ความจริงก็ดี ไม่ใช่พระเจ้าเป็นเจ้าของ แล้วไม่อยู่นิรันดร เป็นความรู้ของแต่ละคนเอง พิสูจน์ได้ จะสุขจะทุกข์ก็ทำเอง จะดีจะชั่วก็ทำเอง พิสูจน์ได้ไง
พิสูจน์จนสุดท้ายจะทำให้จิตนิยามของตนเองสลายเป็นดินน้ำไฟลงไปเลย จบเลิกเกิดเลย ทำได้ พระเจ้าจะทำอะไร ตายแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า จ้างก็ไม่ไป ทำลายของตัวเองสลายเป็นดินน้ำไฟลม อย่างนี้เป็นต้นเป็นการพิสูจน์ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แค่ทางรูปธรรมทางสสารพลังงาน แม้แต่ชีวะก็รู้บ้างเล็กๆน้อยๆในระดับพืช ในระดับจิตวิญญาณนั้นไม่รู้จบ ไม่รู้จิตวิญญาณสมบูรณ์แบบเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า นี่คือความรู้ของมนุษยชาติในโลก ที่ทรงค้นพบเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน ชาติทั้งหลายแหล่เทวนิยมหรือศาสนาพระเจ้าก็มนุษย์เหมือนกัน ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่สามารถที่จะทำให้ แม้จะพูดถึงความดีความชั่วก็ทำได้อย่างมีหลักประกันว่าเกิดอีกกี่ชาติรู้เลยว่าการเกิดวนเวียน การเกิดการตาย การตายการเกิด
แต่ทางโน้นเทวนิยมที่แย่ที่สุดก็คือ ตายชาติเดียวและไปอยู่กับพระเจ้า ไม่รู้จักการเวียนเกิดเวียนตายเลย เทวนิยมที่รู้จักการเวียนเกิด เวียนตายบ้าง ก็ค่อยๆรู้เพิ่มขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นเทวนิยมที่พัฒนาขึ้นมาก็จะรู้จักการเวียนเกิด ว่ามันไม่ได้ไปตายแล้วอยู่กับพระเจ้านิรันดรนะ มันจะต้องมาเกิดอีก มีชาติ 2 ชาติ 3 ชาติ 4 ชาติ แต่เขาไม่รู้รายละเอียดว่า อวิชชาพพาเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้ามีอวิชชาจะพาเกิดวนเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนับชาติไม่ได้เลย วนแล้วก็ สะสมกับวิบากที่มันอวิชชาด้วย มันก็สะสมกันแต่ความเลวร้าย เพราะฉะนั้นในโลกที่หมุนเวียนอยู่ มันจึงเป็นยุคที่พระพุทธเจ้าท่านเกิด สอนความจริง ก็ลดคนที่จะไปจุดที่จะต้องหมุนเวียนอยู่ในโลกลดลงไปได้บ้าง
คนที่ยังไม่รู้ ก็เป็นไปเพราะฉะนั้นเมื่อกาลเวลาเวียนไป มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา สอนให้คนรู้จักการหยุดหมุนเวียน ดับความเป็นมนุษย์ได้จำนวนหนึ่ง จนกระทั่งศาสนาพุทธเสื่อมลง ก็ดับได้น้อยลงๆ น้อยลงๆ ศาสนาพุทธเสื่อมไปเสื่อมไป โลกียะก็จัดจ้านยิ่งขึ้น กลายเป็นยุคที่มันยิ่งเลวร้าย เรียกว่ากลียุค นี่มันก็ใกล้ขึ้นมาเพราะศาสนาพระพุทธเจ้ากึ่งหนึ่งแล้ว 2,500 ปี ศาสนาพระพุทธเจ้ามี 5,000 ปี
พอถึงกึ่งหนึ่งนี่มันเสื่อมจนอาตมาเกิดมา มายืนยันประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ที่เข้ามาสืบทอดเข้ามากอบกู้ด้วย กอบกู้ความเสื่อม ซึ่งมันเสื่อมจริงๆ อาตมาทุกวันนี้ก็เปิดเผยทุกอย่างพูดตรงๆ คำอธิบายเนื้อหาสาระสัจจะของธรรมะที่อาตมาอธิบายต่างๆนานา นี่ก็เขียนถึงความรู้นี่แหละ ไม่มีอะไร
ศาสนาพุทธรู้ครบจบดีชั่ว สุขทุกข์ จะตายสูญหรืออยู่นิรันดร์ก็เลือกได้
ปัญญา 8 เล่ม 2 ยังมีเล่ม 3 เล่ม 4 นะ จะบอกให้ หรือขอบอก ยังมี ยังไม่ได้พิมพ์ต่อ จะพิมพ์ต่อ ผู้ที่เขาพิมพ์ต่อไปก็รู้สึกจะเมื่อยแล้ว รู้สึกจะไม่ค่อยขมีขมันเหมือนเมื่อก่อน แต่อาตมาก็ต้องเข็นเขา เข็นเขาให้ทำพยายามทำเถอะ พอมีสะตุ้งสตางค์ ยุคนี้ก็ไม่มีอะไรมากนัก พวกเราทุกวันนี้จนลง แต่เหลือเพิ่มขึ้น นี่เป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ พวกเรานี้ทำชีวิต ชาวอโศกนี้ทำชีวิตให้เป็นคนจนลงได้ แต่จะมีส่วนเหลือเพิ่มขึ้นนี่เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติที่เป็นมนุษย์ที่ร่วมกันตั้งหน้าตั้งตากันมาจน แต่จะมีเงินคงคลัง จะมีเงินสะพัดดีขึ้นกว่าพวกโลกียะ เพราะว่าโลกียะมันก็แย่งกันแล้วเอาไปเก็บกักตุนเอาไปออกดอกออกผล เอาไปทำโลภภโมโทสันมีพิธีการโลภภใส่ตัวเองหอบกอบโกย มันก็เลยผู้ที่ไม่ฉลาดพอก็แพ้ ผู้ที่ได้เปรียบก็ได้ไป เสร็จแล้วก็มีแต่เติมความขี้โลภ ภ ความได้เปรียบ ความชอบอกชอบใจที่ตัวเองฉลาดได้เปรียบ ฉลาดแกมโกง ฉลาดเฉโก มันก็เลยมีแต่เพิ่มโลกียะที่เป็นกิเลสหนาเข้าไปใหญ่เลย
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าจึงต้องเข้ามาช่วยโลก นี่ช่วยมาได้มันเสื่อมไป 2,500 ปีแล้วอาตมาก็จะมาต่อให้ไปถึง 5,000 ปี ตามสัจจะของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ที่จะทำได้จากนี้ไปแล้วนี่มนุษยชาติเสื่อม ขั้นศาสนาพุทธเกิดไม่ได้เลย 5,000 ปีไปแล้วศาสนาพุทธ เหลือแต่โมเมนตัมของมัน ซึ่งบางจางจนกระทั่งไม่เรียกว่าเป็นพุทธแล้ว แล้วมันก็จะฆ่าแกงกันล้างโลกเลย
ซึ่งศาสนาทางเทวนิยมเขาก็ล้างโลกเหมือนกัน แต่เขาไม่ล้างด้วยไฟบรรลัยกัลป์ เขาล้างด้วยน้ำท่วมโลก เขาบอกว่าจะมีผู้มีบุญเท่านั้นที่จะได้ขึ้นไปในเรือโนอาร์ เขาก็พอรู้ เทวนิยมก็พอรู้อย่างนี้อยู่บ้างทางสายศรัทธา แต่มันอธิบายกันไม่ออก มันไม่จบ ของพระพุทธเจ้านั้นอธิบายอย่างเทวนิยมได้ รู้อย่างเทวนิยมรู้ทั้งหมด และก็รู้ทางโลกุตระของพระพุทธเจ้า สามารถที่จะทำตัวเองนี้ช่วยโลก แล้วตัวเองก็เลิกตัวเองไป จนจบเลย ถ้าจะไม่เลิกตัวเองจะช่วยโลกอยู่ต่อไปเป็น พระอวโลกิเตศวร ได้ก็อยู่ไปสิ ไม่มีใครห้ามไม่มีใครว่า คุณไม่ยอมที่จะประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าจะเป็นปัจเจกพุทธเจ้า เวียนตายเวียน เกิดช่วยโลกต่อไปอีก ไม่รู้กี่ล้านชาติก็ทำไป นี่ก็เป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่จะเป็นสิทธิเป็นอิสรเสรีภาพของคุณที่จะทำอย่างนี้ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ที่จะเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีก
ซึ่งก็มีหลักประกันว่า
-
ไม่ทำความชั่วอีก
-
ไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์
-
มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษมีภัยอะไรเลยในการที่จะเกิดวนเวียนอีก มีแต่งานหนักงานช่วยมนุษย์โลกไปเลยตลอดกาล ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งคนเลย สุดยอดแห่งความเป็นมนุษยชาติ
นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ถ้าจะเกิดเป็นคนอีกนี้มีหลักประกันของคน คุณเกิดไปเลย จะมีปณิธานเป็นโพธิสัตว์ช่วยมนุษยชาติอยู่อีกกี่เท่าไหร่เท่าไหร่ก็เกิดเลย
ซึ่งอาตมารู้เรื่องนี้ดี และอาตมาทำมาจนกระทั่งเข้าใจแล้วว่าไม่ไหวแล้ว ก็ยังมีปณิธานอยู่ว่าจะเป็นสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้เท่านั้นเอง เป็นพระพุทธเจ้าได้ อาตมาก็เป็นเหมือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ขอเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตอนนี้ก็ยังไม่ถดถอยที่จะยอมแพ้ว่าจะเลิกเป็นพระพุทธเจ้า แม้จะเห็นทุกข์มากมายจริงๆ เข้าใจเรื่องทุกข์นี้อย่างสุดยอดเลย มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
แม้จะหมดทุกข์ทางอริยสัจหมดไปแล้ว จะเป็นทุกขขันธ์เลี่ยงไม่ออก ในทุกข์อีก 6 ประการมันเลี่ยงไม่ได้ แต่ทุกข์อีก 4 ประการมันดับได้ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ทุกข์ขันธ์ ทุกข์ต้องเจ็บต้องป่วยต้องทำการงานต้องหาอาหารให้ร่างกายซึ่งจะไม่สาธยายช่วงนี้
เพราะฉะนั้นในสิ่งที่รู้ สิ่งที่เป็นความรู้ความฉลาดและเป็นความจริง พระพุทธเจ้านี้ รู้สุดยอด รู้ครบรู้ถ้วน รู้บริบูรณ์สมบูรณ์ รู้หมด รู้ในความมีกับความไม่มี แล้วก็เป็นผู้ที่จะจัดการความมีกับความไม่มีเอง เป็นผู้เป็นเอง ในตำแหน่งผู้เป็นเองนี้คือ อภิภู
สยังอภิญญา เป็นเองแล้วข้ามชาติมาได้ อย่างอาตมาปางเจ็ด เป็น สยังอภิญญา เป็นความรู้อภิญญา
อภิญญา คื อความรู้ 5 ประการ กับความรู้ที่ใช้ทบทวนความจบอีก 3 ประการ เรียกว่า ความรู้ทั้งหมด 8 เรียกว่า วิชชา 8 นี่คือความรู้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นความรู้ที่ 5 ประการนี้อาตมาก็มี 3 ประการก็ทบทวนได้ เป็น ความรู้เป็นวิชาที่รู้ถ้วนรู้จบรู้รอบรู้ครบสมบูรณ์แบบ เรียก ด้วยภาษาบาลีว่าเป็นอภิญญา อภิญญาเป็นความรู้ เป็นปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ตามคำสอนเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์
เช่นสอนศีล มีศีล แล้วให้มาเรียนรู้ศีล ปฏิบัติตามศีลแต่ละข้อๆ การปฏิบัติก็มี 3 ข้อใหญ่ๆเรียกว่า อปัณณกปฏิปทา 3 คือ เวลาปฏิบัติแล้วก็ต้องรู้ รู้ตัวทั่วพร้อม ถ้ามันไม่รู้ก็ทำตัวให้รู้เรียกว่า ชาคริยานุโยคะ แล้วก็สำรวมอินทรีย์ หรือ จะเรียกว่า สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ ตื่นรู้แล้วก็มีชีวิตอยู่กับโภชเนมัตตัญญุตาแล้ว รู้ว่าต้องรู้จักจัดการประมาณการกินการใช้ ย่นย่อลงมาชีวิตเหลือที่สุดก็คือเรื่องการกินการใช้
คำว่า การใช้ นี่คือพฤติกรรมการกระทำทุกอย่าง การใช้ คือ การกระทำ ทำงาน กรรมกิริยาทุกอย่าง จัดการอย่างโน้นอย่างนี้ ยิงปืน ขว้างลูกระเบิด ฆ่าฟันคน ฆ่าสัตว์ ทำร้าย เป็นการใช้ ใช้กรรมกิริยาของตนเองทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นคนที่อวิชชาไม่รู้กรรมกิริยาของตนเอง ทำชั่วทำบาป แม้ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน คุณก็บาปแล้วที่จะมีกรรมวิบากต่อกัน ยิ่งฆ่าคน กรรมวิบากที่ผูกจัดจ้าน แล้วก็มีกลยุทธ์กลวิธีที่จะทำร้ายแก้แค้นอะไรกัน ยิ่งกว่าหนังจีนกำลังภายในซับซ้อนไม่รู้กี่ชาติ แต่คนก็ไม่รู้ว่าการฆ่ากันมันเกิดวิบากซับซ้อนแก้แค้น ซึ่งเขาไม่รู้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นกรรมเป็นวิบาก จริง
ฆ่าสัตว์เดรัจฉานก็เป็นกรรมวิบาก ฆ่าคนก็เป็นกรรมวิบากที่ซับซ้อนแก้แค้นกันไม่รู้กี่ชาตินานนับเท่าไหร่เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็เลยฆ่ากันเป็นผักเป็นปลา ก็กินปลาหรือฆ่าเป็นเนื้อ เป็นสัตว์ 2 ขา4ขาเป็นสัตว์น้ำสัตว์บก ฆ่าแกงกินกันไป
คนที่รู้กรรมวิบากอย่างนี้ จะไม่มีไปกินเนื้อสัตว์ เพราะมันมีวิบากมันจองเวรจองกรรมกันทั้งนั้น ไปห้ามมันได้ที่ไหน เพราะฉะนั้นคนไม่รู้ก็ไปกินเนื้อสัตว์กัน พูดแล้วอธิบายกันเท่าไหร่ๆ คนไม่มีภูมิจะรู้เท่าทัน อธิบายอย่างไร มันก็ไม่รู้มันเป็น อเวไนยสัตว์ สัตว์ที่สอนให้ตายอย่างไร ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจไม่มีภูมิทำที่จะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น แค่คนที่ยังกินเนื้อสัตว์ ก็เป็นอเวไนยสัตว์ที่สอนกันไม่ได้แล้ว เยอะไป เยอะไหม เป็นชาวพุทธเองนี่แหละ มันเสื่อมจนกระทั่งพูดยังไงก็ไม่เชื่อ พูดอย่างไรก็ไม่รู้ เขาก็ไปกินเนื้อสัตว์ก็เป็นกรรมเป็นวิบากของเขา ซึ่งอาตมาขยายความแล้ว เล่าในชีวกสูตร มันเป็นบาปเป็นเป็นเวรภัยที่จองเวรจองกรรมต่อกัน พระพุทธเจ้าอธิบายละเอียดไปแล้วนะใน 5 ข้อนี้
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) เป็นอกุศลเจตนากล่าวชื่อสัตว์นั้นขึ้นมา ถ้าคุณไม่รู้จักสัตว์ใดเลยคุณไม่รู้จักชื่อสัตว์ใดเลย แน่นอนคุณก็ไม่มีเจตนาจะไปทำร้ายมันจะเอามากินอะไรก็แล้วแต่ เพราะคุณไม่รู้จักสัตว์นั้นเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณจะเจตนาทำร้ายสัตว์แล้วคุณไม่รู้จักหรือจะไปกล่าวชื่อสัตว์อย่างไร คุณก็ต้องรู้ว่าสัตว์นั้น กล่าวชื่อสัตว์นั้นเริ่มต้นบาปแล้ว ใช่ไหม นี่ อธิบายละเอียดยิ่งขึ้นแล้ว
ข้อที่ 1 เลยคุณกล่าวชื่อสัตว์มีเจตนากล่าวชื่อสัตว์นี้มันบาปแล้วนะมันไม่ดีแล้ว คุณจะเอามันมาทำไม เอาเถอะคุณจะเอามันมาเลี้ยงก็ตาม คุณจะเอามันมาใช้งานก็ตาม คุณจะเอามาฆ่ากินก็ตาม ต่อให้คุณเอามาเลี้ยงยิ่งเป็นวิบากซ้ำซ้อน ผูกพัน ติดยึดกัน
แทนที่คุณจะต้องไปทำงานกับคนคุณก็ต้องมาเลี้ยงสัตว์คุณก็ต้อง ดีไม่ดีรักมันประคบประหงมมันมาก มันไม่ได้ทำอะไร มันยิ่งกลายเป็นสัตว์ที่เหลิง มันกลายเป็นสัตว์ที่โง่หนักเข้าไปอีก ให้แต่คนเลี้ยง ให้แต่คนประคบประหงม ไม่ช่วยตัวเอง ช่วยตัวเองไม่เป็น เลยกลายเป็นเสียสัญชาติความเป็นสัตว์ คุณทำร้ายสัตว์ต่อไปอีกใช่ไหม เห็นไหมมันซับซ้อนเข้าใจไหม
เพราะฉะนั้นคุณเอาสัตว์มาเลี้ยง เอามาประคบประหงม ดูแลทุกอย่างเลยยิ่งกว่าลูก แล้วสัตว์มันจะโง่หนักเข้าไปอีกขนาดไหน มันก็จะต้องวนเวียนว่า กูจะต้องเกิดเป็นสัตว์แบบนี้อีกให้คนมารักนี่แหละ มันก็ประจบประแจงผู้ที่รักมันอีกซ้อนซับซ้อนเข้าไปใหญ่โตเลย มันก็เกิดจากความรักความชัง ความรักความชัง ชัง ก็ฆ่าก็แกงกันตลอดรักก็ผูกพันกัน จองเวรจองกรรมติดยึดกันนานหนักกว่ายิ่งกว่าการฆ่ากันอีก ไม่จบ
เห็นไหม ความไม่จบของความผูกพัน กัน มันไม่มีจบ พระพุทธเจ้านี้ไม่ได้ใจดำไม่ใช่ว่าให้ผูกพันสัตว์แล้วจะไปทำร้ายสัตว์ไม่ทำร้ายสัตว์
-
ปล่อยสัตว์ไปตามยถากรรมวิบากกรรมของเขา
-
ช่วยคน พระพุทธเจ้าไม่ให้ไปวุ่นวายกับสัตว์เดรัจฉานแม้แต่จะไปฆ่าแกงเขา แม้แต่ไปกินเขา แต่ช่วยคน เป็นสัตว์ที่จะไปช่วยสัตว์ช่วยคนด้วย เพราะฉะนั้นประเภทที่เขาช่วยสัตว์เช่นเอามันมาทำงาน เอามันมาฝึกให้มันรู้จักอันนั้นอันนี้ควรจะเป็นเหมือนคน มันก็เจริญชนิดหนึ่งก็ได้ รับทราบกรรมวิบากแบบนั้นใส่ จิตนิยามของมันไปค่อยๆพัฒนาขึ้นมาบ้างเป็นต้น นี่คือความซับซ้อนของอะไรต่ออะไร อาตมาอธิบายเหล่านี้เป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องละเอียดมาก มันไม่หมดง่ายๆขยายไปเล็กๆน้อยๆ
สรุปแล้วแค่สอนคนนี้ แล้วคนก็ อเวไนยสัตว์สอนไม่ได้อีก มีมากกว่าคนที่สอนได้ด้วย พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ เพราะฉะนั้นบุรุษหรือคนที่สามารถที่จะฝึกได้ ท่านไม่ตรัสว่าสตรีด้วยนะ ท่านตรัสว่าบุรุษด้วยนะ ที่ควรฝึกได้ เท่านั้น ยิ่งกว่าใครๆ ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ยิ่งกว่าใครๆเขาทำ ได้
เพราะฉะนั้นในความหมายภาษา บุรุษที่ไม่ควรฝึก เรียกว่า อเวไนยสัตว์ ท่านก็ไม่ฝึกไม่เสียเวลา เพราะว่าบุรุษที่ควรฝึกนั้นก็ไม่ใช่น้อยแล้วอย่างเช่นอาตมาทำนี้ อาตมาสอนทุกวันนี้ พวกคุณเข้ามา มีการคัดเลือกในตัวนะ
คัดเลือกโดยที่เรียกว่าเราไม่ไปตัดสิทธิ์ใคร คัดเลือกโดยภูมิปัญญาของพวกคุณเอง พวกคุณเองบอกว่า อ๋อ.. อย่างโพธิรักษ์สอนนี้ต้องเข้ามาแล้ว ท่านเป็นอารยะต้องเข้ามาในหมู่บ้านนี้ได้ด้วย เข้ามาสอนฟังธรรมได้ทุกวันนี้ได้ด้วยอิสระของคุณ ตามปฏิภาณปัญญา ความเป็นจริงของคุณจะเข้ามาได้
คนที่อยากเข้ามารู้ดีอย่างที่คุณรู้กันแล้ว แต่วิบากเข้ามาไม่ได้ มันก็น่าสงสารอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นธรรมะนี้จัดสรรทุกอย่าง ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ อิสระที่สุด มีปัญญาที่สุด แล้วนอกจากมีปัญญาแล้วทุกคนก็รู้จักกรรมวิบากทุกอย่าง ทำให้แก่ตนเอง จนสามารถหลุดพ้นจนสามารถเป็นอรหันต์ได้
เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นคนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าตัวเองที่จะต้องทำตนให้เป็นอรหันต์ให้ได้ เป็นกรอบ 1 อรหันต์เป็นกรอบที่ 1 ถ้าคุณจะอยู่เป็นคน ก็มีหลักประกันว่าคุณไม่ทำชั่วตามสมมติโลกเลย คุณจะเกิดอีกกี่ชาติก็มีหลักประกัน
-
คุณจะรู้ทุกข์ ดีชั่วก็รู้แล้วทำได้แล้วสำเร็จแล้ว รู้สึก เทวนิยมไม่เรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ดี ชั่วเป็นโลกียะ ความสุขความทุกข์เป็นเรื่องของโลกุตระศาสนาเทวนิยมไม่เรียนรู้ไม่รู้สุขรู้ทุกข์แล้วหลงโง่กับความสุขด้วยเป็นความสุขนิยม แล้วสุขกับทุกข์มันเป็นมายาเป็นตัวเดียวกันคู่หูกัน ฉีกออกจากกันไม่ได้เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งนี้ คุณแยกมันออกจากกันไม่ได้หรอกมันมี 2 หน้า คุณเอาสุข คุณก็ได้ทุกข์ เสร็จแล้วคุณก็จะต้องมีสุขมีทุกข์อย่างนี้แหละหมุนเวียน นี่แหละสิ่งที่เป็นกรรมวิบาก