660828 เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #38 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1N8PIZC6b1I0OTnWv4woYUy_O8sqTcGwJ/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/14yy3FUuN8LqCoyqUlxbSFlLUo4OKSlwi/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660828—38-e28kae5
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/UggswWbd4Gw
และ https://fb.watch/mIfU10pJkU/
พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ
เรามาเริ่มกันที่ แต่ละคนเป็นคนที่พูดแสดงอะไรออกมาเป็นเหตุปัจจัยให้อาตมาได้นำมาแสดงธรรม เพราะจริงๆแล้วอาตมานี่ คุณพูด ก.ไก่ ข.ไข่อะไรออกมา อาตมาก็แสดงเป็นธรรมะได้หมด เพราะฉะนั้นเป็นเหตุปัจจัยให้พวกคุณเกี่ยวข้องมีความเข้าใจ มีความรู้สึกมีความเห็นอย่างนี้ว่า มันเป็นอย่างนี้เลยแสดงออกมา ก็นำอันนั้นมาเป็นเหตุเป็นปัจจัยก็เกี่ยวเนื่องกันไม่ใช่คนเดียว ฟังคนอื่นพูดเกี่ยวข้องกันด้วยนะ
พSMS วันที่ 25 ส.ค. 2566
จิตที่เป็นอุตุธาตุกับจิตที่เป็นพีชธาตุต่างกันอย่างไร
_สินสมนึก · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุด มีความสงสัยจึงถามมาเพื่อแก้ไขสัญญา
จากปัญญา 8 เล่ม 2 หน้า 339 ข้อ 290 ข้อ 1 การเกิดผลเป็นอุตุธาตุ หน้า 340 บรรทัดที่ 13
อุตุธาตุนั้นมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น จากการศึกษาที่ผ่านมาตามความเข้าใจของลูก ลูกเข้าใจดังนี้
-
อุตุธาตุ เป็นเพียงรูปร่าง แท่งก้อนวัตถุดินน้ำไฟลม ไม่มีสัญญา มีสังขาร
-
พีชธาตุ นั้นมีรูป สัญญา สังขารเท่านั้น เพราะพีชไม่มีความอาฆาตพยาบาทแล้วจึงไม่มีเวทนาและวิญญาณ
-
จิตธาตุมีครบขันธ์ 5
ลูกจึงเกิดความสงสัยเมื่ออ่านมาถึงบรรทัดที่ 13 ทุกครั้งว่าช่วงกาละใดที่อุตุธาตุ มีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้นเช่นเดียวกับพีชธาตุ ก็เชื่อมต่อกับจิตธาตุเหมือนกัน ก็มีแต่รูปสัญญาสังขารเหมือนกัน ..
พ่อครูช่วยขยายความ จิตที่เป็นอุตุธาตุกับจิตที่เป็นพีชธาตุ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ขออภัยต้องการแก้ไขสัญญาเก่าสร้างสัญญาใหม่ครับ
กราบขอบพระคุณด้วยพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ..สินสมนึก 20 ส.ค. 66
พ่อครูว่า…คุณซักตรงนี้มาก็ดี แต่อาตมาก็ได้เปรยได้พูดไปแล้วบ้าง ถึงเรื่องของ 1. มหาภูต 2. ภูตคาม 3. เจตภูต
เพราะฉะนั้นในภาวะที่ทุกอย่างมันจะเหลื่อมกัน มันจะค่อยๆเชื่อมกันอยู่ของพลังงานที่เป็นวัตถุ แล้วค่อยๆกลายมาเป็นพืช กลายๆมาเป็นจิต พัฒนาขึ้นมาเป็นพืช พัฒนาขึ้นมาเป็นจิต มันมีสภาวะของมันจริงๆ
ที่บอกว่าอุตุธาตุมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น ถ้าจับความแต่ตรงนี้ อุตุนิยาม ไม่ใช่ชีวะ ไม่มีชีวะเลยใช่ไหม ทีนี้ สัญญานี่ มันเป็นชีวะเริ่มแล้ว อุตุเป็นสังขารเท่านั้น เป็นพลังงานบวกลบ ปรุงแต่งกันอยู่ มันไม่มีชีวะ ไม่มีธาตุสัญญา ไม่มีธาตุชีวะเลย แต่อาตมาไปเขียนว่า อุตุนิยาม มีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น มันก็ไม่ผิด ถูกต้อง ที่คุณท้วงมา อุตุนิยาม มีสัญญาด้วยหรือ? แต่มันมีสังขารนั้น..ใช่ แต่มันไม่ได้มีสัญญา ไม่มีตัวกำหนดตัวมันเอง ถ้าพีชธาตุนั้น มีรูป สัญญา สังขาร
ที่จริงจะว่าไปแล้วอุตุก็มีรูป ยังไม่ได้พูดถึง ละไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นธรรมดาของรูป เป็นมหาภูตรูป ทุกอย่างต้องมีรูปทั้งนั้น แม้แต่ อรูป ก็เป็นรูป ทั้งๆที่มันบอกว่า อรูป ไม่ใช่รูปแต่มันก็เป็นรูป อย่ามาเถียง! มันไม่มีพยัญชนะจะพูดแล้ว
อรูป ไม่ใช่รูป แต่มันก็เป็นรูป อย่ามาเถียง ไม่มีตัวจะพูดแล้ว
เพราะฉะนั้น พอบอกว่าอุตุธาตุไม่มีสัญญา มีแต่สังขาร ก็พืชธาตุเท่านั้นถึงจะมีสัญญา สังขาร เพราะพืชไม่มีความอาฆาตพยาบาทแล้ว จึงยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นจิตนิยาม หรือยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ มันยังไม่ครบขันธ์ 5
ลูกจึงเกิดความสงสัยเมื่ออ่านถึงบรรทัดที่ 13 ทุกครั้งว่า ช่วงกาลใดที่อุตุธาตุมีแต่สัญญากับสังขารเท่านั้น เช่นเดียวกับพืชธาตุ ก็เชื่อมต่อไปถึงจิตธาตุเหมือนกันก็มีแต่รูป สัญญา สังขาร เหมือนกัน
เป็นแต่เพียงยังไม่มีเวทนา ยังไมมีวิญญาณ ไม่มีสัญญา เป็นแต่เพียงสับสนว่าเดี๋ยวก็ว่าอุตุเป็นเพียงสัญญาและสังขาร เดี๋ยวก็มีเพียงแต่สังขารอย่างเดียว มันยังไง
อันนี้จริงๆแล้ว มันก็น่าจะกล่าวว่า อุตุนี่มีแต่สังขาร ไม่มีสัญญา มันก็น่าจะกล่าวเช่นนั้น แต่ทีนี้อาตมาก็คงจะพอมาพูดถึงมหาภูต แล้วก็ภูตคาม แล้วก็เจตภูต
มหาภูตนั้นแน่นอน มันเป็นอุตุ 100%
พอเป็นภูตคาม เริ่มมาเป็นชีวะแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นชีวะอย่างสมบูรณ์ ยังมีภูตคาม มีพีชคาม
ภูตคาม ยังไม่ขยับตัวออกไปเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบของมันเท่าไหร่ มันยังเป็นรากเป็นเหง้า ยังเป็นก้อน เป็นตัว ยังไม่มีปัญจะสาขา หรือยังไม่มีส่วนอะไรที่ออกไป พอเป็นพีชคาม ก็ออกลักษณะที่เป็นพืชแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นมหาภูต ภูตคาม และเจตภูต
เจตภูต ก็มีลักษณะของจิต เริ่มมีลักษณะของธาตุวิญญาณ ธาตุจิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นในความหมายที่อาตมาได้พูดแล้ว อาตมาไม่ได้พูดเองหรอก มีอยู่ในพระไตรปิฎก มีพยัญชนะพวกนี้ อาตมาเจอพยัญชนะพวกนี้แล้วจึงเอามาพูด ซึ่งเป็น สัตตะ เป็น ปาณะ แล้วก็เป็นภูตะ เป็นชีวะ
เพราะฉะนั้น ภูตะนี่แหละ ที่มันจะจาก ลักษณะละเอียดของวัตถุขึ้นมาหาพืชขึ้น ขึ้นมาหาจิต มหาภูตะ คือ วัตถุแท้ๆ สสารพลังงาน พอเริ่มมาเป็นภูตคาม มันจะเข้ามาหาชีวะแล้ว เมื่อกี้แถมพีชคามด้วย
ดูเหมือนสู่แดนธรรมจะท้วงหน่อยหนึ่ง
เจตภูตเหลื่อมมาหาจิต ก็เป็น 3 เส้า เหลื่อมมาหาจิต ส่วนย่อยที่มันเริ่มพัฒนาพลังงานตามที่จะ breed ตัวเองขึ้นมา มันก็เป็นไปตามลำดับ ทีนี้มาแยกเป็นมหาภูต ภูตคาม เจตภูต 3 อย่างก็จะง่ายขึ้น
-
สสารวัตถุแท้ 2.ภูตคาม เพิ่มมาเป็นพืชขึ้นมาแล้วจึงมาหา 3.เจตภูต เริ่มมามีอาการลักษณะธาตุของจิตเข้าไปร่วมหน่อยๆแล้วนะ เป็นต้น
ฉะนั้นการพัฒนาของชีวะต่างๆมันจึงเป็นไปละเอียดละอออย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็จะค่อยๆเข้าใจไป ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ บางทีมันก็ไม่มีพยัญชนะจะสื่อ เขาก็เอามาซับซ้อนวนกัน มันก็เลยทำให้เราวนไปตามพยัญชนะที่สื่อเหล่านั้นบ้าง
อาตมายิ่งอธิบายไปนี้ยิ่งงงไหม ยิ่งวนยิ่งสับสนไหม กระจ่างขึ้นก็แล้วกัน เอาเท่านี้เดี๋ยวจะวนไปอีก
พ่อครูมีปกติไม่มีความโกรธ
_คนบ้านราช …ระยะนี้มี SMS เข้ามาในรายการมาก มีทั้งชมทั้งติ บางคนก็ตำหนิอย่างหยาบคาย แต่พ่อครูก็มีอาการสงบและไม่โกรธ
พ่อครูว่า… ที่จริงอาตมาไม่ได้โกรธจริงๆใครจะด่าจะว่า อาตมาไม่เคยโกรธให้คนด่า ไม่เคยโกรธ คนจะด่าคนจะว่า มันเป็นสัจธรรมมันเป็นสัญชาตญาณของอาตมา คนด่าเขาก็ด่าสิ เป็นคำด่าของเขาเราก็คือเรา
แต่ก่อนอาตมาไม่รู้ละเอียด พอมาฟังคำตรัสคำสอนพระพุทธเจ้าก็เจอคำตรัสคำสอนว่า คนเขาจะด่าเรา ก็เหมือนเขาเอาสำรับอาหารนี้มาถวายเรา แล้วเราก็ไม่ได้รับสำรับอาหารนั้น มันก็ตั้งอยู่ของมัน มันก็เป็นของเขา เขาจะเอาไปหรือเขาไม่เอาไป เอากลับไปหรือไม่เอากลับไป สำรับอาหารนั้นเราไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง หรือเราไม่ได้กิน ไม่ได้ไปเป็น ไม่ได้ไปร่วมกับอันนี้เลย มันก็ตั้งของมันอยู่ของมัน เขาจะมาเอาของเขาคืนไปหรือไม่คืนไป มันก็เป็นอันนั้น ชัดเจนนะ
คือมันรู้เขารู้เราอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นแต่เพียงว่าถ้าเขาด่าเรามา เขาว่าเรามา เราทำเป็นทิ้งเฉยๆ จริง เวทนาเราไม่มีปัญหา แต่ความจริงล่ะ เราเป็นตามที่เขาด่าไหม เราต้องเอาอันนี้แหละมาใช้ตรวจสอบตนเอง เออเว้ย..เขาด่ามาถูก เราเป็นอย่างที่เขาเป็น ถ้าไม่มีอคติเข้าข้างตัวเองเราได้ประโยชน์ แต่ถ้าเรามีอคติเข้าข้างตัวเอง ทั้งๆที่เขาพูดถูก คุณก็เข้าใจผิด คุณก็ไม่ได้แก้ตัว หรือคุณเองคุณทำเฉยเมย ไม่สน จะด่าก็ด่าไป เราไม่ฟัง เราไม่เอามาคิดมาปรุงมาแต่งมาตรวจสอบอะไรแล้ว คุณก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อกันและกันในอะไรอื่นเขา มันก็อยู่โลกของคุณคนเดียว ก็ไม่ได้เรื่องอะไร
เพราะฉะนั้นคำด่า พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า คำตำหนิกับคำชม ท่านตรัสถึง 2 อย่าง เขาด่าหยาบ ด่าแรงก็อีกเรื่องหนึ่ง คำชมไม่มีคุณค่าเลยแม้แต่ทำให้เกิดความละหน่ายจางคลายจากกิเลส ใดๆ มีแต่จะทำให้เกิดกิเลส
ท่านถึงเรียกว่าคำชมหรือคำสรรเสริญว่าคือคำต่ำทราม คำสรรเสริญยกย่องชมเชยก็คือคำต่ำ โอ้โห..ลึกซึ้งไหม ฟังแล้วเราก็ยิ่งเข้าใจว่าจริงนะ คนเรามันหลงระเริงไปกับคำสรรเสริญยกย่อง แล้วมันไม่ได้ดีได้ดิบอะไรเลย
เอาล่ะ เราดีจริงตามคำชมก็แล้วไป ถ้าเราไม่ได้ดีจริงตามคำชมเราก็บ้าไป ไม่ได้เรื่องอะไร คำชมเท่ากับตัวเขาเองช่วยตรวจสอบให้เรา เขาบอกอันนี้มา เราก็ตรวจสอบว่าจริงไหม เขาชมมากเกิน
อย่างอาตมาพวกคุณชม อะไร กราบคารวะอย่างสูงส่งยิ่งยอดอะไรว่ามา บูชาอย่างยิ่งอะไรมา เคารพอย่างสูงส่งยิ่งอะไรอย่างนี้นะ เราฟังแล้วเป็นคำชมยอดเยี่ยมเลยนะ แล้วอาตมาก็มาตรวจดูความจริง ว่าเราควรจะต้องปล่อยให้เขาพูดอย่างนี้ไหม อาตมาเคยพูดไปแล้ว ก็มาเห็นว่ามันเป็นความจริงนะ อาตมาไม่ได้มีตัวตน ไม่ได้เห็นแก่ตัวตนอะไร เขาชมจริงอย่างนี้ จริงอย่างไร อาตมาก็ดูออกว่ามันจริงตาม กาละ เทศะ ฐานะ กาละนี้ อาตมาก็ว่าอาตมาเป็นคนที่ไม่มีใครสูงเท่า กาละนี้ไม่มีใครจะรู้เรื่องโลกุตรธรรมสูงเท่าอาตมา อาตมาก็สูงยิ่งจริงในยุคนี้ ตาม กาละ เทศะ ฐานะ อาตมาก็อยู่ในฐานะที่สูงยิ่งตามกาละนี้
แน่นอน มันมีความแตกต่าง เทศะต่างๆ หรือมันเคลื่อนย้ายไปไม่เที่ยงแล้วตาม กาละ เทศะ ฐานะ อาตมาก็ว่าเป็นความจริงก็ต้องให้เขายืนยันความจริง เพื่อที่จะประกาศความจริงลงไปว่า ไอ้ที่คุณเข้าใจมันไม่เหมือนกับที่อาตมาเป็น มันแตกต่างกัน
มาเรียนรู้ความแตกต่างว่า ที่คุณยึดนั้น อาตมาก็คน คุณก็คน อาตมาเป็นอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ คุณก็ทำอย่างคุณทำ ทีนี้อาตมาโชคดีมากที่ยังมีพระไตรปิฎก อาตมาก็ยืนยันพระไตรปิฎกสาธยาย อธิบาย จริง..คุณก็อธิบาย คุณก็สาธยายพระไตรปิฎก คำเดียวกันคุณก็อธิบายอย่างของคุณ อาตมาก็อธิบายอย่างของอาตมาอีกซะด้วย แล้วก็ยังแตกต่างกันอีก
แล้วทีนี้ก็ต้องเจาะลงไปถึงเนื้อแท้เลยว่า แล้วจริงๆของคุณน่ะ คุณเป็นได้หรือเป็นไม่ได้ด้วย 1. 2. ที่อาตมาพูดนี้ว่าเป็นได้หรือเป็นไม่ได้อีกด้วยเหมือนกัน โลกุตระของเราบอกว่ามันเป็นคนจนอย่างนี้เป็นต้น มาเป็นคนเสียสละ มาเป็นผู้ที่มีความสุข มาเป็นคนมีสาราณียธรรม 6 มามีวรรณะ 9 อย่างนี้เป็นต้น
มาเป็นสังคมคนมีศีลอย่างนี้เป็นต้น มันตรงตามพระไตรปิฎกไหม อาตมาก็จบตรงนี้ คุณก็ยึดถือพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันอยู่เหมือนกันอยู่ พยัญชนะตัวเดียวกัน อาตมาก็นำมาขยายความทุกอย่างว่าพระพุทธเจ้าสอน คุณก็มองพระพุทธเจ้าสอนให้ไปรวย ให้มีลาภยศ แบกลาภยศกันอยู่ เป็นสงฆ์คณะใหญ เราก็บอกว่าสงฆ์คณะเราไม่เห็นอย่างนั้นหรอก เราทิ้ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วเราก็มาเป็นของเรา เราว่าเราจบ เราตรงกับพระพุทธเจ้านะ เขาว่าของเขาตรงกับของพระพุทธเจ้าก็เรื่องของเขา แล้วเราไม่มีปัญหา ส่วนเขาจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาก็เรื่องของเขา
เราก็จบอยู่ที่ตรงที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่าง ความเข้าใจของคุณก็เป็นอย่างหนึ่ง ความเข้าใจของเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างเชื่อธรรมวาทีของตนเอง คุณก็มีธรรมวาทีของคุณ คุณก็ดำเนินไป ศึกษาไป ปฏิบัติประพฤติไป คุณก็ได้ตามของคุณ เราก็ได้ตามของเรา มันก็จบอยู่ที่ตรงนี้..นานาสังวาส นี่คือสัจจะที่อาตมาได้พยายามอธิบาย พยายามที่จะสอน
_อีกทั้งยังคงมีความเบิกบานพ่อครูก็ยังมีความสงบ บางคนมาด่าหยาบๆคายๆ แต่พ่อครูก็ยังมีอาการสงบไม่โกรธ อีกทั้งยังมีความเบิกบาน ไม่ย่อท้อต่องานเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย
พ่อครูว่า… อันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาอยากให้พวกคุณสังเกตหรือคนข้างนอกเขาสังเกตไม่ได้หรอกเขาไม่รู้ละเอียดพอ อาตมาไม่เคยมีความเครียด ไม่เคยมีความที่มันจะไปในทางลบ ในทางอาการเศร้า อาการโศก อาการหมอง อาการอะไร มีแต่เบิกบานร่าเริง สังเกตไหม
อาตมาไม่มีความเศร้าความหมอง อาตมาอโศกะจริงๆ อโศกะแท้ๆ ไม่มี โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ..ไม่มี..หมด นี่เป็นการแสดงสัจธรรมความจริงและอาตมาก็บอกความจริงกับพวกคุณ ถ้าอาตมาไม่เป็นจริง ก็เป็นปาราชิกของอาตมา แต่อาตมาเป็นจริง มีความเบิกบาน ไม่ย่อท้อต่องานเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย
เรื่องเผยแพร่ศาสนานี้ มันย่อท้อได้ยังไง ยุคนี้มันยากหรือง่าย สุดแสนยากเลย มันเข็นเขาขึ้นครก คงรู้นะเข็นเขาขึ้นครก มันยากกว่าเข็นครกขึ้นเขาขนาดไหน มันเข็นเขาขึ้นครกจริงๆเลย แต่อาตมาก็ต้องทำเพราะว่ามันไม่มีทางเลี่ยง ก็ต้องทำ
_ไม่ย่อท้อต่องานเผยแพร่ศาสนาอีกด้วย
พ่อครูว่า… ทั้งๆที่เขาจะเอาตาย แต่อาตมาเป็นแมว 9 ชีวิต ไม่ยอมตาย เขาจะไม่ให้แสดงธรรมเลย แต่สุดท้าย..หมดแล้วทางโน้นไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาทำให้อาตมาไม่แสดงธรรม เขาเองเขาทำของเขาเอง จนกระทั่งมีการตัดสินทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม มันพิพากษาเรียบร้อยหมดเลย แล้วอาตมามาทำงานนี้
_ด้วยความไม่โกรธ
พ่อครูว่า… ดี อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาไม่โกรธด้วย
_เป็นคุณสมบัติข้อ 1 ของพระอรหันต์ ก่อนออกบวชพ่อครูมีรายได้เดือนละ 20,000 บาทมากกว่าเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีอีก พ่อครูก็ทิ้ง ลาภ นั้นๆมาอย่างไม่แย่แสแสดงความไม่โลภของพ่อครู มีคำตำหนิหรือพ่อครูก็ไม่ได้ดีใจหรือทุกข์ร้อนอะไร แสดงว่าพ่อครูอยู่เหนือโลกธรรมอย่างแท้จริง
พ่อครูสามารถสอนให้ชาวอโศกถือศีล 5 ละอบายมุข มากินอาหารมังสวิรัติได้ทั้งชุมชน
พ่อครูว่า… นี่ก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ มากินมังสวิรัติได้ทั้งหมู่บ้าน ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนกินมังสวิรัติหมดทุกหมู่บ้าน
_แสดงว่าคำสอนของพ่อครูถูกตรง จึงทำให้คนละลดกิเลสได้จริง หัวข้อธรรมบางอย่าง เช่น เวทนา 108 หรือเรื่องศีลพ่อครูก็สามารถอธิบายได้ชัดเจน แต่ดิฉันยังไม่ได้ยินครูบาอาจารย์สำนักไหนที่อธิบายเรื่องนี้
พ่อครูว่า… อันนี้จริงที่สุด จริง
_แม้แต่ศิษย์สายหลวงปู่มั่นก็ตาม
พ่อครูว่า… แน่นอนสายหลวงปู่มั่นไม่มีปัญญาจะอธิบายหรอก เพราะว่าไม่เอาเรื่องบัญญัติ เรื่องตำรา เรื่องการศึกษาทางพยัญชนะพวกนี้เลยเอาแต่นั่งหลับตา อย่างง่ายๆตื้นๆหลับไป หลับไป อย่าให้จิตออกจากตัว แล้วก็จะบรรลุทุกอย่าง เหมาเข่งไว้ในนั้นหมดเลย
ส่วนพวกสายที่เขาศึกษาบัญญัติ ศึกษาพยัญชนะ ศึกษาภาษาหลักการอะไรต่างๆพวกนี้สิ เขาก็อธิบาย แต่เขาไม่ได้อธิบายอย่างอาตมา
อย่างเวทนา 108 นี้ก็มีในพระไตรปิฎก มีหลักฐาน ก็ตรัสไว้พระพุทธเจ้าแบ่งแยกไว้บ้าง ตรัสไว้แต่ไม่ได้ขยายละเอียดนะเอามาแจกแจงกับพวกเรา เวทนา 2 เป็นอย่างนี้ เวทนา 3 เป็นอย่างนี้ ท่านตรัสเอาไว้สั้นๆ เวทนา 5 เป็นอย่างนี้ เวทนา 18 เป็นอย่างนี้ เคหสิตะ เป็นอย่างนี้ เนกขัมสิตะ เป็นอย่างนี้ เวทนา 36 อันรวมทั้ง เนกขัมสิตะ เคหสิตะ ปัจจุบันเป็นอย่างนี้นะ อดีตเป็นอย่างนี้ อนาคตเป็นอย่างนี้นะ รวมหมดเลยขยายให้เห็น ว่า อวิชชา 8
ก็มี 1 2 3 4 คือ อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
5.คือส่วนอดีต 6. คือส่วนอนาคต 7. ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต 8. เป็นปฏิจจสมุปบาท นี่คืออวิชชา 8
อาตมาก็อธิบายขยายความหมดทุกอย่าง แม้แต่ว่า เอาทำไม 5 คือส่วนอดีตอนาคตคือส่วนที่ 6 แล้วทำไมมาย้ำซ้ำอีก ทั้งอดีตและอนาคตอีกเป็นอันที่ 7 ก็พูดมาแล้ว แล้วมันต่างกันอย่างไรถึงมาอยู่ที่นี่ ก็มันต่างกัน มันมี 2 อย่างอยู่ในนี้ แล้ว 2 อย่างเป็นยังไง
ก็คือส่วนอดีต มันก็คือส่วนอดีต มันไม่เท่ากัน มันไม่ใช่ 0 ส่วนอนาคตมันก็ไม่เท่ากัน มันไม่ใช่ 0 ส่วนอนาคตก็จะเป็นไม่ 0 ได้ ส่วนอดีตก็เป็นไม่ 0 ได้ ผ่านปัจจุบันมาก็มีอดีตแถมเข้าไปเรื่อยใช่ไหม
อนาคตยังไม่มาแต่มันก็ต้องมีอนาคต มันยังไม่ถึงปัจจุบัน มันก็เป็นอนาคต พอถึงส่วนอนาคตมันก็ยังไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของสูญ มันยังมีอนาคตอยู่ เอาอนาคตมาสู่ปัจจุบันมันก็เป็นปัจจุบันแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงไป
แต่ทั้งส่วนทั้งอดีตและอนาคตมัน 0 แล้วทั้งคู่ มันไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว อดีตก็เป็นสูญ อนาคตมันก็เป็นสูญ เพราะฉะนั้นทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตนี้ ท่านไม่ได้ขยายความไว้แต่อาตมาขยายความว่ามันต่างกันอย่างไร เมื่อมันสูญทั้งคู่ก็ไม่เหมือนทั้งส่วนอดีตไม่เหมือนทั้งส่วนอนาคตสิ ท่านถึงกล่าวว่าเป็นอีกอันหนึ่งอย่างนี้เป็นต้น ชัดเจนไหม
แล้วจากนั้นก็เป็นปฏิจจสมุปบาท อาตมาก็อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว แล้วการอธิบายนัยยะต่างๆที่ละเอียดละออพวกนี้ไม่อยู่ในตำราที่ขยายความ ที่เขาอ่านกันในอรรถกถาจารย์ อาตมาไม่เคยอ่านอรรถกถาจารย์เลย และไม่สนใจด้วย อย่างของพระพุทธโฆษาจารย์ คัมภีร์วิสุทธิมรรคที่เขาถือกัน เขานับถือเป็นตำราหลักเลยนะ อาตมาก็ไม่ได้เคยอ่าน มีแต่เขายกมาก็อ่านตามที่เขายกมาหรือว่าท่านพุทธโฆษาจารย์ว่าไว้อย่างนี้เหรอ ก็จึงได้เห็นว่าพุทธโฆษาจารย์ยังไม่บริบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ ยังมีมิจฉาทิฏฐิ ยังมีเทวนิยมอะไรต่ออะไรอีกตั้งเยอะแยะ อาตมาก็เข้าใจก็เห็นเป็นไปตามภูมิของท่าน
แล้วอาตมาก็อธิบายของอาตมา แม้แต่แค่เรื่องศีล อาตมาก็อธิบายอย่างของอาตมา
_พ่อครูอธิบายได้ชัดเจน ดิฉันยังไม่ได้เคยฟังสำนักอื่นอธิบายอย่างนี้ แต่สายอาจารย์มั่น
พ่อครูว่า… ขออภัย เขาไม่มีภูมิอย่างอาตมาจะอธิบายได้อย่างไร อย่าว่าแต่สายอาจารย์มั่นเลยแม้แต่สายท่านมหาประยุทธ์ก็ยังไม่ได้อธิบายอย่างอาตมา
_แม้แต่พ่อครูก็สะอาดบริสุทธิ์เรื่องผู้หญิง เรื่องเงินๆทองๆอีกด้วย
พ่อครูว่า… อันนี้เรื่องตื้นๆหยาบๆ เรื่องผู้หญิงก็ตาม เรื่องเงินๆทองๆอะไรก็ตาม เป็นเรื่องตื้นๆหยาบๆ และก็เป็นเรื่องหลักที่จะเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ตรวจสอบแล้ว เรื่องเงินกับเรื่องผู้หญิงนี่นะ ต้องใช้ระยะเวลาด้วย ก็เอามาใช้เป็นเครื่องตรวจสอบได้
_แค่นี้ก็น่าเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าพ่อครูเป็นพระอรหันต์ได้แล้วค่ะ พระเทวทัตไม่ได้มีความเคารพศรัทธาพระพุทธเจ้าเลย แต่พ่อครูเทิดทูนบูชาพระพุทธเจ้ายิ่งนัก แล้วพ่อครูจะเป็นเทวทัตได้อย่างไรล่ะคะ
พ่อครูว่า… แค่นี้ก็เป็นประเด็น อาตมาเคารพพระพุทธเจ้ามากมายบูชายกย่องพระพุทธเจ้าอย่างกับอะไรดี อาตมาจะไปเป็นพระเทวทัตได้อย่างไร ทำไมคุณไปขี้ตู่ไปว่าคน ทั้งๆที่ประเด็นเล็กๆแค่นั้นก็ชัดๆอยู่แล้ว คนหนึ่งตำหนิลบหลู่พระพุทธเจ้า อีกคนหนึ่งเทิดทูนพระพุทธเจ้า แล้วมันจะเป็นคนเดียวกันได้ยังไง เขาหาว่าอาตมาเป็นพระเทวทัต คนที่ตู่อาตมานี้เขาผิดหรือถูก โง่หรือฉลาด
_พวกเราไม่ได้ศรัทธาพ่อครูอย่างงมงายไร้เหตุผล แต่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่าใครกล่าวคำที่เป็นธรรมวาทีแท้หรือเทียม คิดไปคิดมาพ่อครูก็เทศน์โปรดศิษย์ท่านหลวงตามหาบัวมานานแล้ว แต่ไม่มีใครเกิดปัญญาหลุดมาได้สักคน ทำไมพ่อครูจึงยังไม่หยุดค่ะ
พ่อครูว่า… ก็อาตมาก็ทำตามพระพุทธเจ้าไง แทงด้วยหอก 100 เล่มเช้า กลางวันอีก 100 เล่ม เย็นอีก 100 เล่ม มันก็ไม่ตาย ไม่แทงมันก็ยิ่งไม่ตาย ไม่สะดุดอะไรเลย ไม่มีใครช่วยเลย ช่วยเขาหน่อยเถอะ มันไม่ตายก็รู้ว่ามันแทงไม่ตาย แต่ก็อย่าใจดำเลย หอกอาตมาทุกวันนี้ 100 เล่มเหลืออยู่ไม่กี่เล่มแล้ว ทำไม่ทัน ทำหอกใหม่ขึ้นมาแทงไม่ค่อยทัน เพราะท่านหนังเหนียวกว่าการแทงของอาตมา หนังเหนียวเกินกว่าอาตมาจะทำหอกได้เร็วทันความเหนียวของคุณ ความเหนียวของคุณเร็วกว่าอาตมาเหลือเกิน
นี่อธิบายสภาวะเข้าใจไหม ความเหนียวของคุณมันหนาเหนียวกว่าการกระทำหอกของอาตมาที่แทงคุณยังไม่ทันเลย นี่ก็พูดความจริงนะ
ปางนี้พ่อครูมากอบกู้ศาสนาคือมาเก็บกวาดศาสนา
_นานมาแล้วได้อ่านหนังสือเป็นหนังสือรายเดือนที่พวกเราเขียนจำไม่ได้ว่าชื่อคอลัมน์อะไร แต่จำเนื้อหาได้ไม่ลืมเลย คือมีพระรูปหนึ่ง เป็นพระภิกษุสมัยพุทธกาลหรือนิกายเซน
พระองค์นี้ท่านได้ทำความเพียรด้วยการกวาดใบไม้ไป พิจารณาไป จนท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ กลับเข้ามายุคนี้มีพระนิยตโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ได้แสดงกายธรรมนี้ให้ลูกๆได้เห็น
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ท่านเขียนมานานแล้ว ชื่อหนังสือแสงสูญ ชื่อเล่มว่า ปุ้งเต้าเส้าสิ้ว มีภาพปกนักศึกษาใส่เสื้อครุยปริญญา จับไม้กวาดทางมะพร้าวทำความสะอาด และลูกๆจะได้เห็นภาพของท่านหลายๆท่า เห็นกันจนคุ้นตา มีอยู่ในหนังสือบ้าง ในปฏิทินบ้าง หรือแม้แต่หุ่นขี้ผึ้งก็ปั้นรูปลักษณะจับไม้กวาด พ่อจับไม้กวาดใช้ไม้กวาด พ่อแสดงกายกรรมนี้เพื่อจะสื่อสอนให้ลูกๆเข้าใจอะไรหรือคะ
พ่อครูว่า… ก็ จะขยายความเยอะก็ได้นะแต่เอาล่ะขยายความนิดหน่อย 1.สื่อความให้เห็นว่าอาตมาเองนี้ เกิดมาชาตินี้ต้องมากวาดทำความสะอาด นี่ก็ง่ายๆ เพราะมันสกปรกจริงๆ ศาสนาพุทธทุกวันนี้มันสกปรก ก็ต้องกวาด นี่คือความหมายง่ายๆตื้นๆ
-
อาตมาไม่ได้เป็นคนสูงคนส่งอะไร อาตมาก็คือคนกวาด ปัดกวาดธรรมดานี่เอง ก็มาทำความสะอาดเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนสูงคนส่งอะไร และก็มาเป็นงาน คำว่าอาตมามาเป็นผู้กอบกู้ธรรมะ ฟังแล้วเป็นคำสูงมากเลย แต่ก็คืออาตมาเป็นผู้มากวาดทำความสะอาด ฟังชัดไหม
อาตมามาทำงานสูงเหลือเกิน มากอบกู้ศาสนา มากอบกู้ธรรมะโลกุตรธรรม ก็พูดไปมากแล้ว ก็นัยยะเดียวกันกับอาตมามาทำความสะอาด เพราะเขาเอาของสกปรกเลอะเทอะใส่เข้าไปในศาสนา อาตมาก็ต้องมาทำความสะอาด แม้แต่ในบัญญัติภาษา ที่ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่กระเตื้อง ไม่น่าจะกระเตื้อง
เช่น คำว่า บุญ อาตมาก็อธิบายว่าเขาเข้าใจยังไม่ได้ บุญ เขาเข้าใจเป็น กุศล
คำว่า กาย คำว่า กายนี้เป็นเบื้องต้นเลย ง่ายกว่าบุญอีก เขาก็ยังเข้าใจผิดอยู่ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นยิ่งคำว่า “กาย” เป็นคำต้นจะต้องรู้ก่อนเลย ถ้าไม่รู้คำว่า “กาย”ก่อนเลยนี่นะ เขาปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธยังไม่สัมมาทิฏฐิ “กาย”คำแรกยังไม่สัมมาทิฏฐิ เขาไม่ได้เลย ไปไม่ได้เลย ศาสนาพระพุทธเจ้า
เพราะกายนั้นมันเป็นลักษณะ 2 กายไม่มีลักษณะ 1 กายมี 2 เสมอถ้ามีกาย ถ้าไม่มีกายก็เป็น 0 ถ้ามีกายก็ต้องเป็น 2 ถ้าไม่มีกายก็เป็น 0
เพราะฉะนั้น พืชมันไม่มีกาย กายมันต้องมีจิต ต้องมีเวทนา มีมโน แต่พืชมันไม่มี จึงไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์
ถ้าสัจธรรมเท่านี้เขาเข้าใจไม่ได้ ไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว เขาจะไปปฏิบัติได้ยังไง จะทำจิตของตัวเองให้ไม่เป็นกาย แล้วก็ไม่มีกาย แล้วการทำได้นี้ไม่ใช่หมายความว่าคุณเองยังต้องไม่มีกาย คุณทำได้แล้วคุณยังต้องอาศัยกาย จนกระทั่งสุดท้าย กายสเภทา กายนั้นยังต้องแตกเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม..เลย ปรัมมรณา สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน มันจึงจะไม่มีกายอีกเลย นิรันดร ไม่มีสภาพ 2 อีกเลย
ฟังชัดเจนขึ้นไหม ลึกซึ้งไหม เขาเข้าใจอย่างนี้ได้ที่ไหน เมื่อเขาเข้าใจไม่ได้ ศาสนาพุทธก็คือเสื่อมแน่นอนจากความเข้าใจผิด ความเข้าใจพยัญชนะสำคัญๆ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า บุญ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า สมาธิ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่า ฌาน
วันนี้ตั้งใจจะอธิบายเรื่องของฌานต่ออีก
กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา
_สว่างแสง ขวัญดาว · กราบนมัสการพ่อครู สมณะฟ้าไท สมณะด่วนดี สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฟังท่านฟ้าไทท่านกล่าวได้ชัดเจนว่า หากเราเห็นกิเลสในตัวเรานี้เหมือนโรคร้าย เราก็จะเพียรพยายามเอากิเลสออกให้ได้ แต่หลายครั้งที่ลูกยังเป็นเพื่อนรักกับกิเลสอยู่ ลูกขออนุญาตถามในส่วนที่พ่อครูว่า ในศาสนาพุทธมีเวทนาเป็นกรรมฐาน ลูกฟังมาหลายครั้งแล้วยังไม่เข้าใจค่ะ แล้วทำไม สัญญา สังขาร ตัณหาฯลฯ ไม่เป็นกรรมฐานบ้างคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…กรรมฐานแปลว่าอะไร กรรมฐานแปลว่า ที่ตั้งของการปฏิบัติ ของกระทำ ของการประพฤติ เพราะฉะนั้น ที่ตั้งของการประพฤตินี้อาตมาบอกว่าเวทนานี้เป็นที่ตั้งของการประพฤติ ไม่ใช่อาตมาเป็นคนกล่าว แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่มีเวทนา ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาไม่มี ก็ไม่มีที่ตั้งหรือไม่มีที่..ท่านใช้ศัพท์คำว่าฐาน ไม่มีฐานะที่จะพึงปฏิบัติได้
เพราะฉะนั้นฐานที่ตั้งแห่งการประพฤติ หรือเรียกเต็มคำว่ากรรมฐาน มันก็ต้องคือเวทนา
ทีนี้เวทนานี่มันเป็นนามธรรม มันไม่ใช่รูปธรรม เพราะฉะนั้นความหลงผิดของศาสนา ตั้งแต่พระพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรค ไปเอาเขาใช้คำว่า กสิณ กสิณก็คือกรรมฐานของการปฏิบัติธรรมของเขา แล้วก็ไปเก็บกสิณมา ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเลย แต่เอามารวมเอง
จริง จะต้องใช้บ้างในสิ่งที่เป็นสมถะ สมถะคือใช้จิตไปกำหนด ให้หยุด ให้นิ่ง อยู่กับสิ่งที่เรากำหนด เช่น กสิณ 10 พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่อันนั้น จ้องจิตอยู่กับอันนั้น เราต้องการจะสงบด้วยสมถะเราก็ต้องเข้าใจ เราจะสงบด้วยปัสสัทธิ
สมถะก็แปลว่า สงบ ความสงบ 2 อย่างปัสสัทธิก็เป็นความสงบ แต่มันเป็นความสงบ 2 อย่าง ปัสสัทธิมันเป็นโลกุตระ สมถะมันเป็นโลกียะ
สมถะก็ทำง่ายๆเอาจิตไปจดจ่อไว้ เทวนิยมหรือเดียรถีย์เขาก็ทำ แต่ว่าจะทำให้เป็นปัสสัทธิให้เป็นความสงบที่มันไม่ใช่เอาจิตไปจดจ่อแต่เป็นจิตรู้แจ้ง กว้างหมดเลยแต่กิเลสมันไม่มีมากวนเลย จิตมันก็ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียว สะอาดบริสุทธิ์ รู้แจ้ง รู้จบ รู้ทั่ว รู้ทั่ว รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงอยู่ในตัวมันเองหมดเลย มันไม่ใช่บื้อๆทื่อๆ มันคนละความหมาย คนละทิศเลย นี่คือความสงบ 2 อย่าง นี่ก็ไม่ใช่อธิบายได้ง่ายๆ
ปัญญาข้อที่ 3 ได้รู้จักความสงบ 2 อย่าง ถ้าเข้าใจความสงบ 2 อย่าง ปัสสัทธิกับสมถะ จะปฏิบัติธรรมได้ดีมากเลย แต่คนยังเข้าใจอันนี้ไม่ได้ บรรลุไม่ได้หรอก จะไม่ง่ายที่เขาจะเข้าใจ ได้แต่พูดๆ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าปัญญา 8 เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่ต้องเอามาศึกษาต้องเอามาขยายความ ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ที่เขายกย่องในเรื่องศาสนาพุทธก็ไม่เคยลงลึกไปถึงพวกนี้ อย่าว่าแต่พวกนี้เลยคำว่า “กาย” คำว่า “บุญ” คำว่า “สมาธิ” คำว่า “ฌาน” เขาก็รู้กันทั่วคำพวกนี้ เขาก็ยังไม่ได้เข้าไปเป็นสัมมาทิฏฐิอะไร
เพราะฉะนั้น อาตมาก็จำเป็นต้องมากอบกู้อย่างที่ว่านี้ แสดงความจริงที่ว่าอาตมากอบกู้นั้นคืออะไร ก็คือทำความจริงนี้ให้ปรากฏ อธิบาย สาธยาย พาให้ปฏิบัติ เกิดผลจริง คุณก็จะเป็นคนที่รับรองยืนยันว่าอาตมาพูดนี้ถูกต้อง เขาทำได้ คุณทำได้ คุณถูกต้อง
คุณทำได้ คุณก็รู้เป็นปัจจัตตัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของอิสระเสรีภาพด้วย ของใครของมัน แล้วถ้าคุณยอมรับ คุณก็มาเอง มาได้อันนี้แล้วคุณก็เห็นจริง แล้วก็เอาชีวิตมาศึกษาธรรมะนี้
อาตมาเองสบายใจ ภูมิใจ ยังอบอุ่นใจที่ว่า อาตมาจะมาแสดงธรรมทีไร พวกคุณก็มานั่งอยู่ไม่ได้น้อย เป็น 10 เป็น 100 ทุกวัน ไม่ใช่มีเล็กๆน้อยๆ 5 คน 10 คนอะไรก็ไม่ใช่ นอกจากจะไปในสถานที่ที่มันไปในดงทางโน้น พวกเราก็ไม่ค่อยมี มันก็จะมีน้อยแน่
หรือว่าไปบรรยายแล้วแม้แต่ทางโน้น อาตมาก็บรรยายธรรม ไม่เคยเห็นว่าอาตมาบรรยายธรรมแล้วมีคนมาฟังน้อย เสร็จแล้วก็ยิ่งน้อยลงไปน้อยลงไปแสดงธรรมก็ยิ่งหายไปๆ เหลือน้อยนิดลง มีแต่เพิ่มขึ้น ตอนแรกเริ่มมีน้อย พออธิบายไป มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอจบแล้วมีจำนวนมากขึ้น อาตมามีแต่เห็นอย่างนั้นทุกที แม้จะไปอธิบายในที่ข้างนอก ในที่นี้แน่นอนก็ยังไม่ค่อยออกไปเท่าไหร่ นอกจากจะมีเหตุปัจจัยพิเศษอะไร
น้อย เพราะพวกเราที่มานี่ อาตมาไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปล่อหลอก ไม่ได้ไปอ่อยอะไรให้มา คุณมาด้วยความอยากจะมารับ เพราะฉะนั้นคุณจะบังคับตัวเอง คุณจะเห็นดีเห็นงามที่จะต้องฟังทำให้จบ ไม่งั้นอาตมาจะเทศน์ชั่วโมง 1-2 ชั่วโมง คุณก็ว่าต้องฟังให้จบ มันเป็นเรื่องของคุณทั้งนั้นไม่ได้บังคับ
คุณค่าของคนที่เต็มใจมาฟัง แค่นี้อาตมาพอใจแล้ว ไปอ่อย ไปหว่านล้อม ไปโกย ไปหาเรื่องเอาปริมาณมวลมาเฉยๆนั้น มันไม่ได้เกิดจากสัจจะเลย อาตมาไม่ได้นิยมกระทำแบบนั้นเลย ไม่ชอบที่จะทำแบบนั้น นี่ก็เป็นนัยยะละเอียดของสิ่งที่มีทั้งเจตนารมณ์ มีทั้งการประพฤติการกระทำ อาตมามีเจตนารมณ์อย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ก็พูดไป
เจาะลึกเทวทัตยุคดิจิตอลที่หาความเลวเพิ่มไม่ได้อีก
_Kensupakit เคน ศุภกิจ : พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี ถูกตัดสินจำคุก ก็ถูกกล้อนผม แม้มีอาการป่วยหนัก ก็รักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ปวดไหล่ขวา และมีอาการเรื้อรังจากการ ทำการผ่าตัดบอลลูนหัวใจมา 3 เส้น ยังอยู่เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นสิทธิพิเศษ นอนร่วมกับผู้ต้องขังอื่น ไม่มีห้องพิเศษ
พ่อครูว่า… ก็ไม่ได้ไปเปรียบเทียบกับใครนะ แต่คุณว่ามันมีนัยแฝงไหม ว่าไปเปรียบเทียบกับใคร มีนัยแฝง ไปเปรียบเทียบกับทักษิณ ที่เป็นเหตุการณ์เกิดในปัจจุบันนี้
อาตมาไม่ไปวิจารณ์หรอกทักษิณ ขออภัย อาตมาพูดตรงๆว่ามันหาที่เลวอะไรไม่ได้จากเขาอีกแล้ว มันครบสมบูรณ์แบบแล้ว อาตมาหาที่เลวอีกจากเขาไม่ได้เลย มันครบสมบูรณ์แบบแล้ว จริงๆนะอาตมาพูดจริง โอ้โห!
อาตมาว่าเทวทัตในยุคนั้นก็ว่าร้ายแล้วนะ แต่นี่ซับซ้อน ยุคดิจิตอลจริงๆ เทวทัตยุคดิจิตอล
แล้วเห็นอัตตาของคุณทักษิณนี่ เจ้าพระคุณเอ๋ย! ความที่จะเป็นตัวกูยิ่งใหญ่ ตัวกูจะเอาตามใจกู แค่ไปเข้าคุก จะต้องกล้อนผม จะต้องไปแต่งเครื่องแบบของชาวคุก เท่านี้คุณทักษิณก็ลดไม่ได้ ตายดิ้นแน่ คุณคิดเถอะว่าคนอย่างนี้นี่มันจะเป็นยังไง
เพราะฉะนั้นก็เลย โอ้โห…อาตมาเคยพูดมาก่อนแล้วว่าคุณทักษิณเข้ามานี่นะ เขาจะเป็นคนแก่ เขาจะเป็นคนป่วย เขาจะเป็นคนอะไรต่างๆนานาที่จะต้องให้คนอื่นให้อภิสิทธิ์แก่เขา ก็จริงไหม เป็นเรื่องจริง เพราะความเห็นแก่ตัวของคนเนี่ย มันพูดได้หมดเลย
ก่อนจะมานี่ชกกระสอบทราย กระโดดเต้นอะไรได้ พอมาแล้วนับโรคไม่ถ้วน แล้วก็ว่าแก่แย่แล้ว คือมันเป็นพรีเทนเดอร์ที่..จนสุดจะกล่าว
อาตมาว่าในโลกมีตัวอย่างที่เหมือนเทวทัต เป็นประโยชน์ตรงที่ว่า เป็นตัวอย่างอันเลวทรามให้แก่โลกยุคพระพุทธเจ้า โลกยุคนี้ก็ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่พูดต่อ
_Thiwakon Chumcheed ทิวากร ชุมจืด : 25 ส.ค.66 ที่สวนป่านาบุญ 1 พวกเราร่วมฟังธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิจากพ่อครู สิบกว่าชีวิตครับ ภาพเสียงชัดครับ
_ไม้หอม บุญสุภาพ • ดูTV.บุญนิยมแล้ว วันต่อมาดูทบทวน Youtube
พ่อครูว่า… ก็ดี ขยันดูไป
_เบิกฟ้า หาพุทธแท้ · ระบบเงินดิจิทัลที่จะแจกคนละหนึ่งหมื่นบาทนั้น ถ้าเขาทำสำเร็จ…คอยดูนะครับ…ผลกระทบที่ตามมาจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจของประเทศ แล้วเมื่อนั้นคงสนุกแน่ๆ…ยิ่งกว่าแช่แป้ง
พ่อครูว่า… จริง ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์จบปริญญาโท ดูเหมือนจะจบปริญญาโท 2 ใบนะคุณเศรษฐา ก็ว่าไปเถอะเรื่องเหตุการณ์ของโลกของสังคมประเทศ
_บุญญากร พัฒนสัตถาพร : คุณเศรษฐา นายกฯคนใหม่ อดีตคือผู้บริหาร อสังหาริมทรัพย์ มหาชน ยุคลุงตู่ มีกำไรมากทุกปี ครับ
พ่อครูว่า… ก็เป็นที่รู้กันอยู่ เขาก็เป็นนักทำมาหากินที่เฉลียวฉลาดร่ำรวยก็เป็นคนรวยคนหนึ่ง นี่ยังไม่เปิดทรัพย์สินนะว่ามีเท่าไหร่
คุณทักษิณมีข้อดีอะไรให้เอาเป็นแบบอย่างได้บ้าง
_Portchara Thongom พชร ทองอ้ม : กราบเรียนถามพ่อท่านถ้าจะยกตัวอย่างเรื่องความดี คุณทักษิณมีข้อดีอะไรที่น่าเอาแบบอย่างครับ กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ฉลาดพอเลยที่จะหาความดีของคุณทักษิณมาให้คุณ อาตมานึกออกอันนึง เขาเป็นคนรักครอบครัว ใช่ไหม หรือจะพูดให้ลึกให้ชัดก็คือ เขาเป็นคนเห็นแก่ครอบครัว จริงๆมันก็เลวคือเห็นแก่ครอบครัวเป็นหนักหนาสาหัส คนอื่นชิบหายตายโหงช่าง ครอบครัวกูได้ร่ำได้รวยได้มากอย่างเดียว
มองในแง่ตื้นๆก็เหมือนความดี รักครอบครัว ก็เห็นเท่านี้ จริงๆอาตมาเห็นเท่านี้ทักษิณ แล้วความรักครอบครัวของเขานี่นะ มาขยายตัวออกไปว่า เขาเหมือนรักพรรคพวก จนพรรคพวกหลงรักเขา เพราะเขาแสดงออกว่าเขารักพรรคพวก จนพรรคพวกหลงรักเขา ขอใช้คำว่า หลงรักเขา ไม่ขยายความต่อ เลยมีพวก มีหมู่ มีคณะไม่ใช่น้อย
เพราะเขาเป็นผู้จบด็อกเตอร์มาทางอาชญวิทยา มีเหลี่ยมคูทำให้คนยอมรับนับถือ โดยเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเป็นเครื่องล่อ แล้วก็ขี้เหนียวอีกต่างหาก ล่อ โดยไม่ได้ให้นะ แค่ได้ล่อแล้วคนก็ติดเบ็ดมาจริง แล้วเขาก็ไม่ได้ให้ใคร สุดท้ายพรรคพวกที่ทำช่วยเขาก็ไปติดคุก เขาก็ซื้อเครื่องบินส่วนตัวขี่ร่อนไปทั่วโลก แม้แต่ที่สุดจะติดคุกก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องติดหรือไม่ติดทุกวันนี้ นี่ก็น่าสงสารประเทศไทยอย่างมากเลย
อาตมาว่าจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวก็ได้ ถ้าเผื่อว่าข้าราชการให้อภิสิทธิ์แก่ทักษิณงวดนี้ อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวก็ได้ ตอนนี้ก็เริ่มก่อหวอดประท้วงการให้อภิสิทธิ์แก่ทักษิณนี่ ก็ดูเถอะ แล้วมันยังเนื่องเกี่ยวกับเศรษฐา ซึ่งไม่ได้ขาดจากทักษิณเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดการประท้วงคราวนี้ คุณเศรษฐาจะขาหักขาเป๋ไหม อาตมาก็มองเห็นอย่างนั้นอยู่ไรๆ ก็ไม่ขยายความ เดี๋ยวจะหาว่าอาตมาไปเพ่งโทษ
ขอสรุปไว้ที่ว่า ถ้าคุณทักษิณดันทุรังจะใช้อภิสิทธิ์มากเกินไป จะกระทบมาถึงคุณเศรษฐาแน่ ก็ให้ไว้แค่นี้
พิจารณาอย่างไรให้ชนะกิเลส
_นางจับใจ ธนะโภค : กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนรายงานการทำหน้าที่จัดการกับกิเลสโทสะที่เป็นตัวสำคัญทำให้บรรยากาศทั้งตัวเอง และคนรอบข้างปั่นป่วนไม่สงบ ดังนี้ ค่ะ
-
โจทย์ (ลูก หลาน) เป็นผัสสะ
-
ช่วงที่ทำงาน(สัมมาอาชีพ) กับลูก หรือ หลาน สิ่งที่ทำให้เกิดโทสะมากสุดก็ตอนที่โจทย์(ลูก หลาน) ลืมบ่อยๆ ทำงานไม่ได้ตามที่กำหนด ดิฉันก็จะเกิดโทสะ(หวื่อ) บางครั้งก็แพ้ บางครั้งก็ชนะ(กิเลส) กราบขอคำแนะนำจากพ่อครูฯ ทำอย่างไรจะชนะกิเลสโทสะ มากกว่าแพ้ คะ
พ่อครูว่า… คุณก็รู้สิว่าไปแพ้กิเลสมันดีนักเหรอ ก็ชนะมันให้ได้สิ มันอยู่ที่ตัวคุณจะมาถามอาตมาได้ไง ก็รู้สิว่ากิเลสมันไม่ดี โทสะมันไม่ดี คุณก็ต้องสร้างความเห็น สร้างความรู้ สร้างความฉลาด สร้างปัญญาให้มันมีธรรมฤทธิ์อย่างที่อาตมาอธิบายธรรมะไปแล้ว
ปัญญามันเป็นพลังงานทางจิตที่มันมีสิ่งที่เป็นธรรมฤทธิ์ กิเลสมันเห็นหน้าปัญญาแล้วมันไม่รอหน้า ก็พูดไปซ้ำๆซากๆ โอ๊ย..ปัญญามาแล้ว กิเลสมันวิ่งหนีหูตูบเลย พูดเป็นพยัญชนะ เป็นภาษาให้ฟังได้แค่นี้ คุณต้องสร้างความเห็นจริงว่า เฮ้ย..โทสะมันจะอยู่กับเราทำไม เกิดอาการเมื่อไหร่โทสะ คุณก็ต้องพยายามเข้าใจว่า อารมณ์หรือว่าเวทนา ถึงได้บอกว่าอยู่ที่เวทนาเป็นกรรมฐานเป็นที่ตั้งของการปฏิบัติ คุณก็รู้เวทนาในเวทนา ให้ได้ว่า ให้เวทนามันคือความรู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นเวทนาแท้ ไอ้ที่มันเป็นโทสะ มันเป็นเวทนาเก๊ แล้วคุณจะให้เวทนาเก๊นี้อยู่เป็นเพื่อนกับเวทนาจริงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่จ๊ะ
อาการของจิตที่มันโกรธ เสียใจ น้อยใจ เว้าใจ แหว่งใจ มันเป็นอาการของตัวเองทั้งนั้นเลย คุณหัดฝึกมันจริงๆเลยว่า คุณรู้สึกตัวให้ได้ ถ้าไปโกรธแล้วมันไม่ดี เราจะทำใจในใจอย่างไร ทำเวทนาในเวทนาอย่างไร อย่าไปมีอาการนี้ คุณก็เอาสัญญากำหนด อาการ ลิงค นิมิต อาการไม่โกรธ อาการใจว่างๆ ใจกลางๆ อาการใจดีๆหรืออาการใจไม่โกรธ นี่คือพยัญชนะ อาการใจดีคุณเป็นไหมล่ะ ใจว่างๆใจดีๆไม่ต้องโกรธนี่ มันเคยเป็นไหม ก็ทำอย่างนั้นนะ
ให้มันเป็นอาการไม่ดีแล้วคุณก็ไม่ชอบ แล้วคนก็ทำสิ่งที่ตัวเองที่คุณไม่ชอบก็ถือว่าดีไหม หรือว่าการใจมันไม่ดีแล้ว ไปทำมันทำไม โง่ อวิชชา ก็เท่านั้นเอง ใจของคุณ คุณจะน้อย คุณจะเสีย คุณจะทุกข์ คุณจะยาก คุณจะดีหรือคุณจะไม่ดี คุณทำเองทั้งนั้น
รู้มันให้ได้ว่ามันไม่ดีแล้วก็อย่าไปทำมันสิ รู้ให้ถูกต้องก็แล้วกันอย่างนี้ อย่าไปเห็นสุขเป็นทุกข์ อย่าไปวิปลาส เห็นความไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน เห็นความไม่เที่ยงว่าเป็นความเที่ยงอะไรพวกนี้ อย่าไปวิปลาสก็แล้วกัน ไปเห็นสุขเป็นทุกข์ ไปเห็นทุกข์เป็นสุข เห็นความไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็นว่า เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น คุณก็ต้องรู้ว่ามันเป็นวิปลาส 4 ให้ชัด เอา อธิบายเอาหลักวิชามาพูดหมดแล้ว
ประหยัดกับขี้เหนียวต่างกันอย่างไร
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · เรียนถามพ่อท่าน ระหว่างคนประหยัดกับคนขี้เหนียว อันเดียวกันใหมครับ
พ่อครูว่า… ขี้เหนียวเป็นศัพท์ภาษาไทย คนประหยัดนี่เป็นภาษากึ่งๆ กึ่งๆภาษามาจากไม่รู้ว่าภาษาลึกๆของบาลี ของสันสกฤต ก็เป็นอย่างไร มาจากคำว่ามัธยัสถ์จะไปเป็นประหยัดได้ยังไง
ถ้าจะพูดตามความเห็นของอาตมา ขี้เหนียวมันเป็นคนขี้ตืดจริงๆ ขี้ไม่ให้หมากิน มันหวงแหน มันขี้ตืด มันขี้เห็นแก่ตัว ขี้เห็นแก่ของตัวเอง
แต่ประหยัดนี่มันคือคนไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เป็นคนมัธยัสถ์เป็นคนรู้จักใช้ รู้จักจ่าย ด้วยการระวังอย่าให้มันเฟ้อ อย่าให้มันเกิน อย่าให้มันมากไป จ่ายแต่พอให้มันน้อยๆหน่อย พอเหลือไว้บ้าง แต่ขี้เหนียวนี่ไม่ให้ใครเลย อธิบายโดยสภาวะธรรมก็ได้แค่นี้เอง
_สู่แดนธรรม… นึกถึงโศลกที่พ่อท่านตั้งไว้ คนขี้เหนียวนี้น่าจะเทียบไม่ได้กับโศลกของพ่อท่าน ถ้าคนขี้เหนียวนี้เขาจะประหยัดสุดแต่ไม่ได้ประโยชน์สูง พ่อท่านเลยให้โศลกว่า “ประโยชน์สูงประหยัดสุด” นี่ถึงจะเข้าข่ายครับ
พ่อครูว่า… เก่งมาก อาตมาก็ว่าไปแล้วก็ลืมเลือนไป อธิบายด้วยพยัญชนะภาษา ถ้าไปอย่างท่านจันทร์ ท่านเพาะพุทธก็จะบอกว่าโอโห้…คมบาดเลย “ประโยชน์สูงประหยัดสุด” โอ้โห..คมบาดเลย ถ้าชมอย่างท่านจันทร์ เป็นเพลงอาริยะหมายเลข 1
ฟังเสียงด่าอย่างไรให้เกิดปัญญาไม่ใช่แค่สมถะ
_Somprasong Supavit สมประสงค์ ศุภวิทย์ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพ ขออนุญาตสนทนาธรรมครับ มีคนด่าเราด้วยภาษาต่างชาติ เราไม่โกรธ เพราะเราไม่รู้ภาษา หรือเราได้ยินแค่คลื่นเสียง เกิด ดับ กระแสปฏิจจสมุปบาทเกิดไม่สมบูรณ์ ถ้าเราฝึกฟังเสียงภาษาไทย ให้ได้ยินแค่คลื่นเสียง เกิด ดับ บ่อยๆ จะเห็นโสตวิญญาณเกิด ดับ ทำให้เข้าถึงความจริงเหนือสมมุติ หรือโลกุตรธรรม ได้ไหมครับ?
พ่อครูว่า… ไม่ได้..มันไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริง 1. มันโง่เขาด่าก็หน้าด้านเฉยไม่รู้เรื่อง นอกจากโง่แล้วยัง โด้ยังด้านด้วย เฉยไม่รู้ไม่ชี้
มันก็เหมือนคนด่าหมาที่มันเดินมาตัวหนึ่ง หมามันจะไปรู้เรื่องไหม มันก็เดินของมันเฉย เป็นคนอย่างนั้น มันไม่ได้เรื่องหรอก มันต้องฟังว่าเขาด่าเรื่องอะไร เขามีความหมายอะไร
1.อาตมาเคยอธิบายแล้ว ถ้าด่าสาดเสียเทเสีย เขาด่าไปปากเปราะไปเฉยๆ ไม่ได้อะไรหรอก ด่าตามประสานิสัยสัญชาตญาณคนขี้ด่า ก็ด่าอย่างทิ้งๆขว้างๆสาดเสียเทเสีย ไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไร ด่าด้วยอารมณ์บำเรอความโกรธ แล้วก็ด่าสาดเสียเทเสีย ก็เลยไม่รู้ว่าเราเป็นจริงตามที่เขาด่าหรือเปล่า เขาไม่ได้กำหนด ไม่ได้มาเปรียบเทียบ ไม่ได้กำหนดเนื้อหาอะไรอย่างนั้นเลย
ทีนี้เขาก็ด่าเราอย่างมีการกำหนดรู้เนื้อหา แล้วเขาก็ด่าอย่างนี้ว่ามันดีอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น เรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรอย่างนี้ เอออย่างนี้สิ เราก็นำพา เอาคำด่านั้นมาพิจารณาว่า เราเป็นอย่างที่เขาว่า ที่เขาตำหนิอะไรต่ออะไรหรือไม่ ถ้าเป็นก็ขอบคุณเขา ถ้าเราไม่ได้เป็นก็แล้วไป คนนี้เขาไม่รู้ความจริงว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาด่าผิด ด้วยความไม่ฉลาดหรือความโง่ก็อยู่ที่เขา
เป็นอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัส เขาด่าเราเหมือนเอาสำรับกับข้าวมาตั้งไว้ เราก็พิจารณาแล้วเราจะกินหรือไม่กินควรหรือไม่ควรก็ไม่เห็นจะต้องกิน อันนี้ไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็ตั้งไว้อย่างนั้น เขาจะมาเอาคืนไปหรือไม่มาเอาคืนไปก็เรื่องของเขา อธิบายผ่านไปแล้ว
_สู่แดนธรรม… ปัญหาของคุณ สมประสงค์เขาถาม 2 ชั้นนะครับ เขาถามว่า ถ้าเราจะฝึกฟังแต่เสียงภาษาไทย พิจารณาแค่เกิดดับ จะถือว่าเป็นสมถะหรือไม่
พ่อครูว่า… มันเป็นแต่เพียงสมถะ มันเกิดดับๆ มันก็ได้อย่างหนึ่ง อย่างแค่สมถะ มันไม่ได้เป็นวิปัสสนา มันไม่รู้เรื่อง ที่อธิบายไปแล้ว ว่าเขาด่าอะไร เขาด่าสาดเสียเทเสีย ไม่สาดเสียเทเสีย มีความหมาย เขาด่าอย่างนั้นถูกตัวเราหรือไม่ เป็นอย่างที่เขาว่าเขาด่าหรือไม่ก็พูดไปแล้ว ก็ถ้าไปทำสมถะอย่างนั้นคุณก็ทิ้งไป แต่คุณไม่ได้เจริญอะไร ก็เหมือนไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ได้เจริญอะไร คุณปัดทิ้งไปเฉยๆ ผ่านกาลเวลาคุณก็ตายไปไม่ได้อะไร ตายไปชาติหนึ่ง ไม่ได้พัฒนาอะไรเลย พวกนั่งหลับตาสะกดจิต แค่นี้แหละไม่ได้อะไร
ดีไม่ดี คุณไปหลงผิดว่า 1.อันนั้นคือการได้มรรคได้ผลไปเป็นอรหันต์เก๊ 2. คุณไม่ได้มาศึกษาหาความเป็นจริงที่มันสัมผัสต่างๆที่เป็นวิปัสสนาญาณ อย่างเกิดความเป็นจริงเลย มันมีเหตุคือกิเลส มีความโกรธใหญ่ โกรธน้อย มีความโลภใหญ่ โลภน้อย มีความรักใหญ่รักน้อย อะไรเป็นกิเลสพวกนี้ ราคะ โทสะ โมหะ คุณไม่ได้มาทำพวกนี้ เลยเสียเวลาสูญเปล่า
ดีไม่ดีไม่ได้พิจารณาแล้วมันก็สะสมใส่ตัวเอง โดยไม่รู้แม้แต่เรื่องของการสัมผัสข้างนอก
-
ลาภ ยศ สรรเสริญ คุณก็ไม่ได้เข้าใจ คุณก็ต้องได้ต้องมีต้องเป็นไป ดีไม่ดีซ้อนอย่างมหาบัวนี่ไม่ได้ลาภ แต่ก็เป็นเล็นเฝ้าทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ ที่เรี่ยไรมาด้วย