660825 ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1oPzKCmKtGM_QyOZQxGvDpW4HOpqzu6tA/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1aHbBKs_Af3eWNdQASa3tYWziJhk8cNI2/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660825—_128-kbps-e28gv0q
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/9R2UXMe0c34
และ https://fb.watch/mEi-arPyXN/
(มีซับไตเติ้ล) https://youtu.be/1dT46ETJu_I
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้คนที่เคยอยู่กับคนดีๆ เคยช่วยงานเราดี มีคุณความดี เราก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่า เหมือนลุงตู่ ขยันทำงานให้ประเทศมากมาย ตอนนี้คนก็รู้สึกจะขาดสิ่งที่ดีๆไป พ่อครูก็ทำสิ่งที่ดีให้พวกเรามากมาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ รวมกันทำอะไรร่วมกัน อะไรก็สำเร็จได้ง่าย ช่วยให้เราปฏิบัติธรรมได้ง่ายด้วย
คนเจริญคือคนมีฌานมีปัญญา พาตัวเองสู่หมู่กลุ่มสาราณียะ
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกคน พวกเรานี่เป็นคนที่เจริญจริงๆ เจริญที่ว่านี้ก็คือ รู้จักว่าชีวิต มันควรจะได้อะไร เกิดมาเป็นชีวิตคนเป็นจิตนิยาม เป็นสัตว์โลกที่ได้ชื่อว่ามนุสโส ถือว่าเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณที่จะทำความเจริญได้ถึงขั้น รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ ทุกสิ่งทุกอย่างในสรรพสิ่ง ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเรียกว่ารู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างในสรรพสิ่งก็หมายความว่า สามารถรู้ทั้งอุตุนิยาม รู้ทั้งพีชนิยาม รู้ทั้งจิตนิยาม รู้ทั้งกรรมนิยาม รู้ทั้งธรรมนิยาม
แล้วก็สามารถปฏิบัติบรรลุธรรม บริบูรณ์สุด สัมบูรณ์สุด จบสิ้นสุดได้ ถึงขั้น..
-
ถ้าจะเป็นคนอยู่ต่อไป จะเกิดแล้วเกิดอีก เกิดอีกเกิดแล้วกี่ชาติก็ตาม ก็จะเป็นคนหรือเป็นมนุสโส ที่ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะเกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติ ถ้าบรรลุธรรมอรหันต์ขึ้นไปแล้ว จะเป็นคนที่ จิตนิยามไม่มีตกต่ำ จิตนิยามจะเที่ยงแท้ อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำ จะนิยตะ จะเที่ยงแท้ต่อความเจริญ หรือทำแต่ดี กุสลัสสูปสัมปทา ไม่ทำบาปอีกเลย จะเกิดอีกกี่ชาติ กี่ชาติ กี่ชาติ ก็ไม่ทำบาป จะวนเวียนเกิดยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เกิดโดยที่มีหลักประกันว่า จิตวิญญาณนี้ อัตภาพนี้ อรหันต์ผู้ที่ผ่านอรหันต์แล้ว จะเกิดเป็นโพธิสัตว์อีกกี่ชาติก็ตาม ก็ไม่มีไปทำชั่วอีกแล้ว กรรมมีแต่กุศล เพราะได้ดับเหตุคือ สร้างพลังงานบุญ มีประสิทธิภาพสมบูรณ์แบบแล้ว มันได้ตัดกิเลส ฆ่ากิเลส บุญนี้มีปัญญา บุญนี้ต้องมีปัญญาตั้งแต่เป็นฌาน ฌาน1 2 3 4 คือปัญญา ที่รู้จักตัวกิเลส รู้จักวิธีละกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสไปได้อย่างแท้จริง จนหมดสิ้นกิเลส รู้จัก กตญาณ ญาณที่มันจบแล้ว สูงสุดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ผู้มีบุญจึงจะรู้จัก ฌาน ซึ่ง ฌาน เป็นภาษาของศาสนาพุทธ แต่มันนานมาแล้ว จนกระทั่งเดียรถีย์ที่เป็นศาสนาอื่นเอาไปใช้เป็นของตัวเอง ที่จริงเอาไปใช้แบบพุทธนั่นแหละแต่มันเพี้ยนไปจนกระทั่งกลับกลายวนเวียนไปสู่อย่างเก่าคือความเสื่อมไปเป็นเดียรถีย์ เป็นพวกออกนอกพุทธไป จนกระทั่ง คำว่าฌาน ก็มีอยู่แต่กลายเป็นว่า ฌาน คือการเพ่ง
เมื่อผู้ใดได้เข้าใจว่า ฌานนี่คือการเพ่ง เพ่งจิตจดจ่อ จับจุด จับอะไรไว้นิ่ง เป็นการบังคับจิตให้หยุด ผู้นี้เป็นฌานที่ผิดเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ฌานของพุทธไม่ได้ไปกำหนด ไม่ได้บังคับให้จดจ่ออะไรเลย ฌานคือปัญญา ฌานคือรู้หมดเลย ไม่ได้ไปจดจ่อ อิสรเสรีภาพ ไม่ได้บังคับอะไร เป็นธาตุรู้ที่รู้แจ้ง รู้จริง รู้สว่าง รู้ครบ รู้ความจริงตามความเป็นจริงหมด
พอเข้าใจไหมตรงนี้ มันเก่งละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขา เพราะฉะนั้น ฌานวิสัย เป็นอจินไตย ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าคนจะเข้าใจรู้ซึ้งถึงฌานที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็น อจินไตย ผู้ที่ถึงขั้นเป็นจริง มีจิตเป็นฌานจริง ที่อาตมาพูดนี้เอาของตัวเองมาพูด แล้วอาตมาก็เห็นเขาหลงผิดฌานกัน น่าสงสารที่สุดเลย แล้วก็ไปหลงยึดติด ไปหลงครูบาอาจารย์ ไปหลงการเชื่อถือตามๆกันมา แล้วก็ผิดตามๆกันมา
แล้วเราก็มาบอกใหม่ เขาก็ไม่มีปรโตโฆษะ ไม่มีการที่จะฟังเสียงสอง ฟังเสียงอื่นที่มันต่าง แล้วมันต่างแล้วมันไปยังไง มันน่าสนใจ มันน่าจะพิจารณา แล้วเขาทำแล้วมันได้ผลยังไง ถ้าติดตามดีๆจะเห็นว่า ชาวอโศกนี้ปฏิบัติตามที่อาตมานำมาสอนแบบทิฏฐิของอาตมา แบบความเห็น ความรู้ ความชัดเจน แบบอาตมา แล้วพามาเป็นแบบที่อาตมาพาเป็น พวกเราก็เกิดผล แล้วเอาไปตรวจสอบตามพระไตรปิฎก
ตรง สาราณียธรรม 6 ไหม ซึ่งในยุคนี้แล้วมันไม่น่าจะเกิดได้ ความเป็นผลถึงขั้นสาราณียธรรม 6 เป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็อยู่กันอย่างมีลาภ มีรายได้ มีผลประโยชน์ มีอะไรสร้างกันขึ้นมาก็เอามารวมกันเป็นกองกลาง กินใช้ร่วมกัน ไม่ยึดไม่แบ่ง ว่านี่เป็นของคนนั้นว่านี่เป็นของคนนี้ เป็นของส่วนกลาง แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ลาภธัมมิกา โอ้โหอาตมายิ่งพูด ยิ่งภาคภูมิใจว่าธรรมะพุทธเจ้านี้ถึงวันนี้ยังนำโลกุตรธรรมสุดยอดเยี่ยมขนาดนี้ เอามาประกาศ เอามาอธิบาย เอามาสาธยายให้ฟังกันแล้วเข้าใจ แล้วเอามาปฏิบัติจนกระทั่งมันเกิดผล บรรลุได้
พวกคุณมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่คนไม่บรรลุธรรมแต่เป็นคนบรรลุธรรมทั้งนั้นแหละ อาตมาพูดความจริงไม่ใช่ไปขี้ตู่ ไม่ใช่ไปหลงเลอะเทอะอะไร ไม่ใช่หลงงมงายอะไร ไม่ใช่ แต่เป็นสัจธรรมที่สุดยอด ซึ่งมันมีคุณธรรมที่ยืนยันเอามาอ้างอิง เอามาให้ตรวจสอบ สอบจิตใจตัวเอง สอบพฤติกรรมตัวเอง สอบชีวิตตัวเอง สอบสังคมกลุ่มหมู่ตัวเอง ว่ามันตรงตามพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม
มันก็ยังทำได้อยู่ ศาสนาพระพุทธเจ้า 2,500 กว่าปีแล้ว มันเสื่อมสุดๆ หมดเลย จนโลกุตรธรรมไม่มี ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นก็คือโลกุตรธรรม อันนี้แหละเป็นพิเศษกว่าศาสนาใดๆในโลก ศาสดาใดๆก็ไม่มีโลกุตระ นอกจากศาสนาพุทธและต้องสัมมาทิฏฐิด้วย แม้เป็นพุทธก็ต้องสัมมาทิฏฐิ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มี อย่างที่เห็นๆกัน
จะเป็นหมู่ใหญ่ขนาดไหน ก็ถ้าไม่เป็นก็ไม่ใช่พุทธแล้ว ขออภัยถ้าจะบอกว่าไม่ใช่พุทธก็ไม่เชิง ก็เป็นพุทธแต่เป็นพุทธเพี้ยน ไม่ใช่พุทธแท้ๆ นี่อาตมาก็ไม่ได้หมายความว่าได้ไปรังเกียจกัน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือว่าไปกดข่ม ดูถูกอะไรคนอื่นเขา ก็ไม่ใช่ เอาสัจธรรมมาวิจัย มาแจกวิภัช ให้ฟังว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ๆ มันแตกต่างกัน แล้วก็มาดูความแตกต่างกัน อันไหนมันควร อันไหนมันไม่ควร แล้วเราควรเอาอันไหน
อาตมาก็ยังภาคภูมิใจกับพวกเรา ยังมีดวงตา ยังมีความเฉลียวฉลาด อาตมาเห็นแล้วสบายใจแล้วภาคภูมิใจว่า อาตมาแสดงธรรมนี้ แสดงธรรมประเภทที่ไม่ได้ไปประเล้าประโลม เอาอะไรล่อมา เอาอะไรหลอกมา หรือบอกว่า คุณมานี่เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราไม่ได้สัญญาหรือเราไม่ได้ไปบอกเธอว่ามาที่นี่แล้วเธอจะได้อันนั้นอันนี้ ไม่ได้ไปเซ็นสัญญาอะไรกับใคร เธอมาก็มาของเธอเอง มาด้วยปัญญา มาด้วยความเฉลียวฉลาดของเธอเอง
ความฉลาดที่เป็นฌาน มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น
ลองอธิบายคำว่า ความฉลาด ดูบ้าง ความฉลาดนี่มีอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นยังไม่มีความฉลาด มีแต่ความรู้ที่เป็นโลกีย์เท่านั้น อยู่ในกรอบของโลกีย์ เป็น เฉโก เป็นหนึ่ง
เอา ฉ คือ 6 ของเขา ไปเป็น 1 เป็นเอก เลยเอา 2 อย่าง ของเขา 6 เอาไปรู้แค่ 1 เอก หรือเอกะ เลยกลายเป็น เฉก หรือ เฉโก พยัญชนะก็คือ ฉ ที่แปลว่า 6 เขาไม่มี 6
เพราะคนจริงๆมี 6 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ใช่ไหม นี่เป็นสัจธรรมของคน มี 6 แต่ไปโง่ รู้อยู่อันเดียว
หรือแม้มาลืมตา เปิดทวารทั้ง 6 ก็รู้มันอยู่แต่กรอบโลกีย์ กรอบเดียว ไม่ออกไปสู่กรอบ 6 กรอบที่จะรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขารู้แต่ใจ แล้วคำว่า กายนี่แหละ กายคือ จิต เจตสิก
กาย คือ จิต วิญญาณ มโน พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ เราเคยอ้างอิงจากพระไตรปิฎก _ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง เล่ม 16 ข้อ 230
เขาก็น่าจะสะดุดใจนะที่ศึกษาพระไตรปิฎกกัน อ่านเจอแล้วพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องกายอย่างนี้ เพราะว่าชาวพุทธไทยเข้าใจว่ากายไม่ใช่จิตแล้ว กายไม่มีจิตร่วมด้วย กายคือสรีระกาย กายคือร่างข้างนอกเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจว่า กายคือร่างข้างนอกเท่านั้น คนนั้นก็ไม่พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้ว ติดกระดุมเม็ดแรกของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าผิดแล้ว เม็ดแรกเลย เพราะฉะนั้นเม็ดอื่นๆผิดหมด เม็ดอื่นๆก็ยิ่งผิดบานปลายออกไปใหญ่โตเลยใช่ไหม
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจฌาน ฌานก็ต้องประกอบไปด้วยสภาพที่มันมีนามรูป มีปัญญา ทำงานร่วมกันเป็น 2 สภาพ เทวธัมมา มี 2 ทำงานร่วมกัน อันหนึ่งคือ ธาตุวิญญาณ ธาตุรู้ อีกอย่างหนึ่งคือทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่วัตถุ ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป ไปจนกระทั่ง ภูตคาม พีชคาม จนกระทั่งถึงจิตนิยาม เจตภูต ไปถึงจิตในยาม ไปถึง ปาณะ ไปถึงสัตตะ ไปถึงชีวะที่มันถึงขั้นจิตนิยาม แล้วก็รู้กรรมนิยาม การกระทำ กับทุกสภาวะเลย
โดยเฉพาะจิตนิยามนี้ ทำให้สุดท้ายศึกษาปฏิบัติจนรู้แจ้งว่า อ้อ จิตนิยามนี้คือธาตุปรุงแต่งกันอยู่ 2 เพราะฉะนั้นเราจะแยกธาตุนี้ได้อย่างไร มีปัญญารู้แจ้งรู้จริงว่าการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ทำให้มันดับไป แล้วดับอย่างถาวร ดับอย่างแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยก็ทำได้ พอทำได้แล้ว เราก็จะชัดเจนว่า ธาตุจิตวิญญาณนี่มันเป็นธาตุคู่ แล้วมันหลงคำว่าสุขนี่แหละเป็นตัวโง่ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
หลงคำว่าสุขนี่แหละ ตัวโง่ ไอ้ตัวโง่นั่นแหละตัวไม่รู้อวิชชา คือเป็นเหตุปัจจัย ตัวคู่กันกับธาตุจิต เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณที่มีตัวอวิชชาหรือตัวโง่ เป็นธาตุจิตคู่กันอยู่แยกไม่ออก ไม่รู้จักไอ้ตัวโง่มันเกาะอยู่กับตัวเรา มันเนียนอยู่ในตัวเราเลยไม่ใช่เกาะเท่านั้น มันเนียนเลย ไม่มีธาตุปัญญาที่จะไปรู้ว่าไอ้นี่มันสุขหลอก ไอ้นี่มันเป็นผีหลอก สุขนี้เป็นผีหลอก มันไม่จริงอะไรเลย
เพราะฉะนั้นผู้ใดเลิกสุขได้ เข้าใจสุขได้ มีปัญญา ไม่สนใจแก สุขไปเลยแก ที่แท้แกคือตัวทุกข์แท้ๆเลย ให้ข้านี่มีธาตุ 2 นี้ยังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอยู่ในกาละ เพราะฉะนั้นผู้ที่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมดธาตุวิญญาณที่เป็นอัตภาพของพระอรหันต์ กลายเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย
พวกเราอาตมาอธิบายอย่างนี้เข้าใจไหม และคิดว่าทำได้หรือยัง (ได้บ้างไม่ได้บ้าง) บางคนบอกว่าได้ บางคนบอกว่าไม่ได้ มันค่อยๆพิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ ทำได้
เราแต่ก่อนนี้ยังเกี่ยวเกาะ มี อาลัย อาศัย เป็นนิสัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัยอยู่นี่ นิสยะ อาลัย อาลยะ แล้วมีอาสยะ ต้องอาศัยมัน จนกระทั่งอยู่ที่ตัวเราเลยเป็นนิสัย ไม่ใช่นิสัยเท่านั้นแต่เป็นวิสัย วิสัยนี้ก็ชักจะเอาออกจากตัวเอง สยนี้ยากแล้ว ยิ่งไปหลงเป็นอนุสัยเลย ทีนี้หนัก
เทวนิยมเป็นพวกอนุสัยที่เป็น สย ที่เป็น สุขนิยม เป็นทาสที่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าคุณอยู่กับผี แล้วคุณก็เป็นผี หลอกตัวเองไม่ใช่หลอกใครหรอก หลอกว่าชีวิตนี้จะต้องมีสุข แล้วก็ไปดิ้นรนอยู่นั่นแหละ ไอ้ความดิ้นรนที่จะต้องไปแสวงหาสุข จะต้องเสพสุขให้ได้ หยาบที่สุดก็ทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ละเอียดไปก็ อัตตา สุข
ตั้งแต่มีกาม มีรูป มีอรูป ก็ไม่รู้จักรายละเอียดพวกนี้เลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วก็สร้างพลังงานขึ้นมาเรียกว่า ฌาน เป็นพลังงานกองเพลิงใหญ่ หรือไฟเป็นเตโชธาตุ
เพราะฉะนั้นพวกเดียรถีย์ ไปเข้าใจผิดนั่งเข้าฌาน ออกฌาน
ฌาน ของศาสนาพุทธไม่เข้าไม่ออก เข้าๆออกๆนั้นเป็นพวก เดียรถีย์ นึกว่าฌาน จะต้องไปอยู่ในภพแล้วทำให้เย็น ซึ่งไม่ใช่ ฌานนี่คือ พลังงานชนิดหนึ่งที่สร้างจิตเป็นพลังงานชนิดนี้แล้วมันหน้าที่อะไรมันทำหน้าที่ 2 อย่าง
ทำหน้าที่ทั้งร้อนและอบอุ่น เย็นอย่างพอดีๆ อาศัยสุดท้าย ฌานอาศัย แต่ที่ใช้อย่างเต็มที่ก็คือใช้เผากิเลสเลย ถ้าไม่มีฌานหรือปัญญา ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ถ้าไม่มีความรู้ระดับปัญญาระดับฌาน สลายกิเลสไม่ได้ เผากิเลสไม่ได้ ทำลายกำจัดกิเลสไม่ได้
เอาพลังงานด้านที่มีธาตุรู้ เผาจนกระทั่ง พระพุทธเจ้าไม่มีภาษาจะอธิบายแล้ว กิเลสมันรู้หน้าเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตถาคตเห็นเราแล้วรู้เราแล้ว ไปๆๆไป มันหนีหูตูบเลย หนีไปไกลลิบเลย ไม่กล้ารอหน้า ไม่กล้าเข้าใกล้เลย มันมีธรรมฤทธิ์ถึงปานนั้น ก็ใช้ภาษาพูดได้อย่างนั้น ผู้ที่มีสภาวะจริงเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติจึงจะพูดได้ แล้วบรรยายเป็นภาษา อาตมาอธิบายเป็นภาษาไทย สื่อเป็นภาษาไทยง่ายๆ ไม่ใช่บาลี ไม่ใช่ภาษาต่างประเทศใดๆเลย ภาษาไทยของเรานี่แหละ มาเตอร์ทัง(mother tongue) ภาษาของพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาเลยใช่ไหม แล้วรู้เรื่องดีทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นฌานคือพลังงานที่มันมีประสิทธิภาพรู้จักกิเลส เพราะมันมีปัญญารู้กิเลส เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่รู้จักกิเลส ก็ไม่มีการจะมาเผากิเลสทำลายกิเลสอะไรได้ เพราะเขาไม่มีความรู้อันนี้ความรู้ของเทวนิยมไม่มี
มันเป็นพลังปัญญาแท้ๆเป็นความรู้พิเศษ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธที่เป็นโลกุตระเท่านั้น มันพิเศษเท่านั้นจริงๆเลยไม่ใช่ไปยกตนเองใหญ่ข่มเบ่งศาสดาอื่นๆใดๆหรอก มันเป็นจริงๆเช่นนั้น มันไม่ใช่ความรู้ของชาวเทวนิยมโลกียะที่จะมารู้ได้เลย
โลกียะยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมีความรู้ที่ชื่อเรียกเป็นภาษาไทยๆว่า ความฉลาด เทวนิยมโลกียะหรือชาวตะวันตก ศาสนาพระเจ้าทั้งหลายไม่มีความฉลาด มีแต่ความรู้โลกียะ
ฉลาด เป็นภาษาไทยที่เพี้ยนมาจากคำภาษาบาลีว่า ฉฬายตนะ มันกร่อนมาจากคำว่า ฉฬายตนะ เป็นคำว่าฉลาด เป็น ด.เด็ก รู้ความรู้ครบทวาร 6 แล้วก็จัดการกับทวารทั้ง 6 ดับความสุข ความทุกข์ได้ด้วยเวทนา 108
เวทนาเป็นเจตสิก เป็นส่วนย่อยของความเป็นจิต แยกย่อยออกไป ธาตุรู้มันเป็นอย่างนี้ เก่งอย่างนี้ เอาไปใช้ทั้งเป็นสัญญา ทั้งเวทนา ทั้งสังขาร เจตสิก 3 แยกย่อยมา เรียนรู้จนกระทั่ง แยกเป็นเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108
พวกเราเรียน และอาตมาก็สาธยายแยกแยะให้ฟังชัดเจนด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่า อ๋อ..ความเป็นเวทนามันเป็นอย่างนี้ แล้วมันทำงานด้วยสัญญาเป็นตัวกำหนด สัญญาเป็นตัวแยกแยะออกมาจากสังขาร แล้วก็จัดการ จากสังขารมาเป็นเวทนา เวทนาเก๊ เวทนาแท้ จนกระทั่งเหลือเวทนาแท้ เวทนาเก๊ไม่มี พระอรหันต์หมดเวทนาเก๊ บุญหมด บาปหมด เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาป ปุญญปาปปริกขีโณ แล้ว
แล้วคนก็เข้าใจไม่ได้ว่าบุญคืออะไร บุญคือเพชฌฆาต บุญคือ กิโยตินตัดคอคน คนก็คือทาสกิเลส กิโยตินตัดคอกิเลส หรือจะเรียกว่า เครื่องประหารหัวสุนัขของเปาบุ้นจิ้น ที่พูดนี้หมายความว่า ไม่ได้ไปทำร้ายอะไร จะไปทำร้ายสิ่งที่ชั่วที่ต่ำ ความหมายของกิโย ตินทำร้ายคนตัดคอคนผิด เครื่องมือฆ่า
เพราะฉะนั้นคำว่าบุญนี้ ใครอย่าไปอยากได้ ไปอยากได้มาทำไม ให้มันทำบุญจนสำเร็จจนกระทั่งมันไม่มีในเราอีกแล้ว เป็นคนไม่มีบุญอีกแล้ว นี่เป็นคนสุดยอด เห็นไหมความผิดเพี้ยน ความเสื่อมของศาสนา เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้แล้ว แล้วคุณก็ทำพลังงานให้เป็นฌานเป็นบุญ คุณทำไม่เป็น เพราะคุณเข้าใจผิดแล้วว่า ฌานเป็นอย่างไร บุญเป็นอย่างไร
ฌาน คือตัวทำลาย แต่ฌานนี้เป็นสภาพ 2 ทำลายด้วย เป็นปัญญาด้วย เป็นปัญญา เมื่อทำลายกิเลสเสร็จ กิเลสหมดแล้วบาปหมดแล้วก็กลายมาเป็นกุศลถาวร เป็นกุศลที่ไม่ตกต่ำแล้ว นิยตนะแล้ว มีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีทำชั่วอีกเลย ไม่ทำบาปอีกเลย เป็นเครื่องอาศัยของมนุษยชาติ ธาตุจิตของเรานี่แหละแล้วเราก็ทำได้ แล้วก็เป็นเครื่องอาศัย ก็อยู่ในตัวเรา เราจะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติ เป็นธาตุจิตตัวนี้ก็ นิยตะถาวร มีแต่จะเจริญไปอีก บำเพ็ญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นโพธิสัตว์อย่างอาตมา บำเพ็ญสูงสุดก็เป็นพระพุทธเจ้า ปางนี้อาตมาก็ปาง 7 แล้วก็ไปเป็นปาง 8 ปาง 9 ต่อไป
จึงเอาของจริงที่เราเองมีมาพูด มายืนยัน ไม่ได้อวด พูดของจริงใครไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาพูดความจริง มีสิทธิ์พูดความจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่ได้มาทำเพื่อที่จะให้คนเชื่อ อาตมาทำความจริง ไม่ได้มาทำเพื่อให้คนเชื่อ แล้วก็จะได้บริวาร จะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ ส่วนมากเขาก็ด่า
เทวทัตยุคดิจิตอลมีตัวอย่างจริงในสังคมไทย
พวกคุณนี่ไม่ด่าอาตมาเพราะ พวกคุณมีดวงตารู้ว่าด่าได้ไง เป็นพ่อครูด่าได้อย่างไร ด่าท่านไม่ได้หรอก แต่คนที่เขาไม่รู้ พวกตาบอดไม่กลัวเสือ เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นเสือ ตาบอดไม่กลัวเสือ ก็เข้าไปให้เสือกินแล้วก็ตายแล้วก็เกิด แล้วก็มาให้เสือกินไป แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขาถูกเสือกัดกิน คือเขาถูกความโง่กัดกิน ขออภัย เช่น ทักษิณอย่างนี้ไม่รู้ว่าความโง่คืออะไร ทุกวันนี้ก็ยังทำความโง่ไปอีก ไม่รู้ตัว ไม่ลดละเลย หลงตนแล้วก็ยังพยายามเบ่ง อภิสิทธิ์ เอาอำนาจเบ่งใหญ่ แล้วก็จะต้องให้ได้ดั่งใจ ได้ดั่งใจอยู่ตลอดกาลนาน โอ้โห.. เป็นตัวอย่างที่อาตมาเห็นแล้ว น้อ คนที่มันสุดดันทุรัง ยึดอัตตา ยึดตัวกูของกู กูจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น ทำทีเป็นว่ายอมมาให้จับ ความผิด แล้วก็จะกลับมาเบ่งเรื่อยๆ จนไม่มีขี้จะแตกแล้ว เบ่ง ไม่มีขี้จะแตก
สมณะฟ้าไท… เขาเปรียบเทียบนักโทษการเมือง ต่างประเทศก็จะถูกจับ นักโทษการเมืองของประเทศไทยมา ตำรวจตะเบ๊ะ
พ่อครูว่า… ซึ่งมันแสดงถึง จะบอกว่าเมืองไทยหรือคนไทยนี้ฉลาด มันฉลาดหรือมันโง่กันแน่วะ ไปเคารพทักษิณอยู่ได้นี่ อาตมาขออภัยทักษิณว่าอาตมาไม่ได้ลบหลู่หรอก แต่คุณเป็นอย่างนั้นจริงๆอาตมาก็จำเป็นต้องพูดความจริง ชี้ความจริงให้ทุกคนรู้ตัวว่า ไม่ควรไปเอาอย่างคุณเลย เกิดมาอีกกี่ชาติ อย่าไปเอาอย่าง อย่าทำอย่างทักษิณ อย่าไปหลงเงินทอง หลงในลาภยศ จมอยู่กับอำนาจบาตรใหญ่ เจ้าประคุณ มันตัวอย่างเกินกว่าที่เทวทัตทำนะนี่ เทวทัตสมัยใหม่
สมณะฟ้าไท… แบบนี้ทำให้เขาหลงตัวเองมากเพราะว่า ไม่สำนึกในความชั่ว
พ่อครูว่า… ใช่ เป็นเทวทัตยุคดิจิตอล สุดยอดจริงๆเลย
ประเดี๋ยวเอา SMS มาพูดกันหน่อย
สังคมไทยหลังได้นายกฯคนที่ 30 อยู่ในภาพปรองดอง
SMS วันที่ 21-23 ส.ค. 2566
_“คนเฝ้าบ้านราช”
กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ เย็นวันนี้(24 ส.ค. 66) ท่านสมณะได้นําคลิปต่างๆ ของบรรยากาศการเมืองไทยในช่วงนี้มาให้ดู ทําให้ดิฉันนึกครึ้มอกครึ้มใจ คิดถึงเพลง 2 เพลง
-
เพลง คนร้อยเล่ห์ (อย่ามาสำออย คนร้อยเลห์ หัวใจโลเลล่อหลอกไว้)
-
เพลง เงินสั่งมา ของคุณชลธี ธารทอง(เงินใช่ไหมทำให้คนรวยผิดหวัง)
ตอนนี้คนไทยก็ได้นายกคนใหม่แล้ว ฟังคําแถลงการณ์ก็ดูดี แต่พอทราบประวัติก็ยังไม่น่าไว้วางใจนัก ต้องดูไปอย่างที่พ่อครูบอก
ดิฉันรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ที่มีพรรคต่างขั้วรวมกันอยู่ (พ่อครูว่า… อันนี้ก็เป็นนิมิตรที่ดี จะเป็นความจริงใจหรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่ )ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล คงจะคานอำนาจกันได้บ้าง นับว่าเป็นภาพของความปรองดองโดยแท้ ทําให้ฉันระลึกถึง พระพุทธรูปปางสมา นัตตตา(หลวงพ่อปรองดอง) ที่พ่อครูให้สร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
พ่อครูว่า… อาตมาทำพระพุทธรูป 3 ปางแล้ว
ปางแรกคือ ปาง ตรีลักษณ์
ปางที่ 2 คือ ปาง วิชิตอวิชชา องค์ยืน
ปางที่ 3 คือ ปาง นั่งประสานมือที่หน้าตัก ไม่ใช่ปางสมาธินะ เป็นปางสมานัตตตา
อาตมาสร้างพระพุทธรูป 3 ปางในชีวิตนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ เป็นสื่อใช้อธิบาย ใช้เป็นเครื่องหมายทางรูปธรรม อันเป็นศิลปะ สื่อความหมายให้เห็น ใช้ประโยชน์ มุ่งหมายอย่างไร มีเจตนา
ศิลปะต้องมีเจตนา ต้องมีจุดมุ่งหมาย เพราะฉะนั้นคนทำศิลปะทำอะไรออกไปเป็นรูปเขียน รูปวาดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมายเลย เจ้าตัวไม่เข้าใจเลยว่าเราเจตนาจะให้มี interest point ของมันคืออะไร ไม่รู้เรื่อง พวกนี้พวกสะเปะสะปะเรียกว่าศิลเปอะ ไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะต้องมีจุดมุ่งหมาย แล้วจุดมุ่งหมายนั้นเป็นมงคลอันอุดมเป็นโลกุตระหรือเป็นศิลปะที่แท้ เป็นไปเพื่อลดละกิเลส ละหน่ายจางคลายจากกิเลส รู้เท่าทันกิเลส จิตวิญญาณก็เจริญพัฒนา
ศิลปะทำให้คนลดกิเลส แล้วทำให้กิเลสตายจนเป็นอรหันต์ นั่นคือศิลปะที่เป็นพลังงาน ที่คนสามารถสร้างให้คนนี้ รู้แล้วก็จัดการกับตัวร้ายคือกิเลสได้ จิตใจก็เจริญ นี่คือศิลปะที่แท้ เป็นมงคลอันอุดมที่แท้
_และสมมุติว่าสงฆ์หมู่ใหญ่ของไทย หันมาปรองดองกับหมู่สงฆ์ ชาวอโศกบ้าง ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยนะคะ อย่างน้อยๆ ก็แค่นำวัตรปฏิบัติของสงฆ์ชาวอโศก ไปประพฤติปฏิบัติบ้างก็ดีมากแล้ว สาธุ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะค่ะ!
ท้ายนี้ ขอความกรุณา พ่อครูอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ของไทยในช่วงนี้ด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
“คนเฝ้าบ้านราช”
พ่อครูว่า… เหตุการณ์ต่างๆของไทยช่วงนี้ก็คงหมายถึงเหตุการณ์ของสังคมไทย สังคมไทยช่วงนี้มันก็อยู่ในสภาพปรองดอง อย่างที่เรากำลังเห็น กำลังเกิดอยู่ เป็นสภาพที่เกิดในปัจจุบันเลย เป็น status quo เลยที่กำลังเกิดในขณะนี้ นี่แหละเป็นสภาพเหตุการณ์ในเมืองไทย
อาตมามั่นใจนะว่า เจตนาเขาดี และอาตมาก็เชื่อมั่นว่า คุณเศรษฐานี่ ไม่ได้เข้าใจพลเอกประยุทธ์ แล้วก็ไม่ได้มาเสแสร้ง ทำการปรองดองญาติดีกับพลเอกประยุทธ์ เชื่อว่าคุณเศรษฐานี้ก็เห็นจุดดี ที่พลเอกประยุทธ์ได้ทำมา เป็นนายกผู้พี่ เขาเรียกด้วยสำนวนไทยว่าอาวุโส ที่จริงเรียกว่าเป็นภันเต พลเอกประยุทธ์เป็นนายกผู้พี่ แล้วก็ผ่านไปแล้ว ถ่ายทอดลงมาให้แก่เศรษฐา จะรับหน้าที่เป็นนายกต่อไป
แล้วก็ดูมันดีไปหมดตอนนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ดูดี เพราะฉะนั้นดีนี้จะเป็นดีขมหรือดีหวานก็ดูๆกันไปก่อน ดีกินยากหรือหลอกให้กินว่ามันหวาน กินได้แล้วที่จริงซัดเข้าไปมันขม จะเป็นดีอย่างไร ดีหวานหรือดีขมก็ดูกันไป ก็ดูเหตุการณ์
อธิบายเหตุการณ์ก็เห็นว่าดี นี่คือประชาธิปไตยเมืองไทย ขอสรุปตรงคำว่า ประชาธิปไตยเมืองไทย ให้ฟังอีกที
ในยุคพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อธิบายประชาธิปไตยไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเป็นยุคทาส แล้วก็เป็นยุคที่มนุษย์คนทั้งหลายในยุคนั้นก็ไม่รู้เรื่องว่าเขามีสิทธิ สิทธิมนุษยชนในตัวเอง อิสรเสรีภาพมันไม่มี มีไม่ได้ ยังไม่ได้มีความคิดพวกนี้เลย
ถึงมีความคิดก็ไม่สามารถที่จะเอามาให้คนปฏิบัติเป็นอิสรเสรีภาพจริงๆ มีสิทธิเต็มที่ได้ ถึงทำได้ คุณได้คนเดียว มันก็เป็นไปไม่ได้อีก มันต้องทำได้เป็นหมู่
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงเป็นคนเดียว ที่เอาคนมาเข้ารีต เอาคนมาอยู่ในธรรมนูญของท่าน อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ในหลักศีล อยู่ในหลักธรรม อยู่ในธรรมวินัยของท่าน เอามาใช้ประกาศธรรมนูญ ประกาศธรรมวินัยของท่านเลย ในทวีปอินเดีย แคว้นใหญ่อย่างแคว้นโกศล แคว้นมคธ ยอม แคว้นใหญ่ 2 แคว้นยอมเลย พระเจ้าแผ่นดิน 2 ท่าน พระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศลยอม ยอมพระพุทธเจ้า ให้อิสรเสรีภาพเลย โดยที่คนของแคว้น 2 แคว้นนี้จะมาเข้ารีตพระพุทธเจ้าเอาไปเลยสนับสนุนด้วย เพราะเอาคนไปทำดี ยอม ซึ่งมันไม่ได้ง่ายๆนะ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่ด้วย แล้วท่านชัดเจนว่าเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีความด้อยอะไรเลย มีแต่ความดีความเด่นเต็มที่สุดยอด นี่เป็นความชนะที่บริบูรณ์สูงเต็มบริบูรณ์เต็มแบบเลย นี่คือสัจธรรมที่มีในโลก ในยุค 2,500 กว่าปีผ่านมา เป็นของจริงไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่เรื่องคิดฝันเหมือนอย่างคาร์ลมาร์กซ์ ไม่ใช่
ของพระพุทธเจ้านี้สูงกว่าคาร์ลมาร์กซ์อีก อย่างสาธารณโภคีที่เราทำ คาร์ลมาร์กซ์เสียภาษี 100% ไม่ได้อย่างพวกเราทำ พวกเราเสียภาษีเกิน 100% สุดยอดกว่าเห็นไหม แล้วเสียภาษี 100% ก็ไม่เดือดร้อนเพราะเป็นสังคมสาธารณโภคี ซึ่งตำรายุโรป ตำรารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ใดๆ ก็ทำไม่ได้ ต้องตำราพระพุทธเจ้า ต้องมาสร้างจิตวิญญาณ มาพัฒนาจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณเกิดลดความเห็นแก่ตัว ลดตัวลดตน จนไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ นี่แหละสุดยอดประชาธิปไตย ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำพวกนี้
พระพุทธเจ้าใช้คำว่า อธิปไตย 3 กับประโยชน์ 3
อธิปไตย 3 มีโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย ประโยชน์ 3 มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
อายะ 3 กับ อธิปไตย 3 รวมกันเป็นภาวะ 2 เป็นธรรมะ 2 เป็นพลังงานอธิปไตยกับเป็นพลังงานสร้างประโยชน์
เพราะฉะนั้นพลังงานพวกเรามีพลังงาน 2 อธิปไตยกับประโยชน์ไม่มีตัวตน พลังงานก็คือพลังงานที่สร้างขึ้นในอัตตาธิปไตยของตัวเองก็ไม่เพื่อตัวเอง ไม่เห็นแก่ตัว เพื่อส่วนรวม เพื่อโลกทั้งนั้น โดยมีธรรมะเป็นตัวทรงไว้ซึ่งโลกุตรธรรม
เพราะฉะนั้นผลที่สร้างขึ้นมา พลังงานที่สร้างอะไรขึ้นมา จึงเป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นประโยชน์เป็นความสุข เพราะฉะนั้น 2 สภาพ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขนี่แหละจึงช่วยโลก
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตย ผู้ที่เป็น ผู้ที่ทำได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งอธิปไตย 3 และ อายะ 3 จึงคือพระเจ้าที่แท้จริง พระเจ้าที่มีภูมิปัญญาด้วย ภูมิปัญญา ฉฬายตนะด้วย ช่วยมนุษยชาติอยู่อย่างเป็นสุข อยู่อย่างเป็นประโยชน์ สุดยอดยิ่งกว่าประชาธิปไตยทางตะวันตก ทางพระเจ้า ตำราประชาธิปไตยที่เขาเรียนกัน
เพราะฉะนั้น ตำราประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ไม่มีใครอธิบายหรอก มีโพธิรักษ์อธิบายอยู่คนเดียว ยุคพระพุทธเจ้าก็มีพระสาวกที่มีความรู้ในระดับโลกุตระก็อธิบายได้ แต่ยุคนี้มีโพธิรักษ์ที่โลกุตระโผล่ขึ้นมา พวกเราก็ค่อยๆมาอธิบายตาม แจกแยกย่อยอธิบายไปเรื่อยๆ ก็เป็นผู้ที่ขยายโลกุตรธรรม ช่วยกัน
นี่คือสัจธรรมที่ อาตมาพูดไว้นี้ ตำราไม่ได้บรรยายพวกนี้เอาไว้หรอก อาตมาไม่ได้ไปอ่านจากตำราไหน อาตมาเป็นคนการศึกษาน้อย ไม่ได้อ่านตำราอะไรเท่าไหร่เลย เอาแต่ของตัวเองมาพูด มาขยายทุกวันนี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ยังไม่หมดเลย
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ที่ทำงานของอาตมาไม่มีตำราของใครต่อใครมากมายหรอก มีบางเจ้า แต่มีพจนานุกรมเยอะที่สุด พจนานุกรมต้องใช้ภาษาของเขา แล้วเขาแปลว่าไงคำนี้ ก็ต้องเอาไปใช้ตามเขา ถ้าเราไม่เอาตามที่เขาเข้าใจหรือเขามีความหมาย มันก็สื่อกันไม่รู้เรื่อง มันก็จะต้องใช้คำที่เขาบัญญัติ คำนี้เขาบัญญัติว่าหมายความอย่างนี้หรือ เราก็ใช้คำนี้ตามเขา แล้วก็พยายามที่จะเอามาให้เข้าใจไปสู่จุดหมายที่เราต้องการด้วย บางทีเขาเข้าใจอยู่แค่โลกีย์ เอามาใช้เป็นโลกุตระให้มันสมบูรณ์
หากเราใช้เงินดิจิตอล 10,000 บาทเจ้าบาปหรือไม่
_ช่อทิพ หนูทอง · เรียนถามพ่อครูว่า…ถ้าเราใช้เงินดิจิตัล 10,000 บาท เราจะบาปไหม?
พ่อครูว่า… ยังไม่ได้คิดเลย
สู่แดนธรรม …มันไม่มีทางจะได้ใช้
พ่อครูว่า… มันเป็นความฝันที่อยู่ในสายลมกับแสงแดด มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ Impossible
สมณะฟ้าไท… เขาบอกว่าจะทำให้ได้ภายในเดือนเมษายน
พ่อครูว่า… เมษาหรือเมซะ ถ้าเราใช้เงินดิจิตอล 10,000 บาท เราจะบาปไหม อาตมาไม่เข้าใจทีเดียวว่าเงินดิจิตอล 10,000 บาท มันมีความหมายกว้างลึกยังไง เขาหมายถึงยังไง ใครโม้ว่าอะไรดิจิตอล 10,000 บาทคือยังไง
_โยมว่า… เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย แจก
พ่อครูว่า… แล้วจะเอาไปใช้ยังไง แจกคนละ 10,000 บาทสำหรับคนอายุ 16 ปีขึ้นไป อาตมาก็ไม่ได้จับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แล้วคนไม่ถึง 16 ปีจะมาประท้วงนะ บอกว่าไม่ใช่คนหรือไงไม่ให้เขา แล้วทีคนอายุ 16 ปีขึ้นไปให้หมื่นบาท ทำไมต่ำกว่านั้นไม่ให้เขา เดี๋ยวเถอะถูกพวกนี้ไปขย้ำเอา
_สู่แดนธรรม… นายกก็เลยคุมกระทรวงการคลังด้วย
พ่อครูว่า… นั่นแหละคือมันคิดแล้วทำไม่ได้ คือพวกขี้โม้เอามาหลอกเขา จะให้อันนั้นอันนี้ ไปหลอกเด็กให้ทำอันนี้สิแล้วจะให้ขนมได้กิน โอ้โห พวกหลอกเด็ก
จะบาปไหม ก็มันไม่ได้ให้เรามาใช้ จะมาบาปอะไร ถ้าคุณไปร่วมก็ร่วมบาปนะ อย่าไปร่วมมือ
จริงๆทุกวันนี้อาตมามีชีวิตอยู่ไม่ได้ใช้เงินรัฐบาลเลย ทุกวันนี้นี่ อาตมาได้ 900 แล้วนะ อายุ 90 แล้วย่าง 90 แล้วได้ 900 บาท แต่โยมบอกว่าได้ 1,000 บาท ไม่รู้ล่ะตั้งแต่ 60 ปีมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อาตมาก็ไม่ได้เคยไปรับสักบาท อาตมาก็อยู่สบายๆ กระดาษชำระอาตมาก็เห็นว่าเป็นกระดาษชำระธรรมดาๆไม่ได้มีอะไร
เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็เหมือนกัน บอกว่าไอ้หนูทำอย่างนี้นะ มาเลือกเรานะแล้วเราจะได้ให้ขนม พวกลัทธิหลอกเด็ก
_>>อดีตนายกฯ. ชื่อ ป. (คนที่อยู่บ้านสี่เสาเทเวศร์) ท่านคล้ายลุงตู่มาก เช่น..เป็นทหารยศพลเอก เป็น นายกฯ.มาช่วงบ้านเมืองวิกฤต รักสถาบัน…เหมือนกัน….เรียนถามพ่อครูว่า คุณธรรมของอดีตนายกฯ.ป. เป็นโพธิสัตว์เหมือนลุงตู่ไหมคะ?
พ่อครูว่า… เป็น
รายละเอียดของการลากขันธ์ของพ่อครูเพื่อสืบทอดศาสนา
_ >>ดิฉันไม่รู้จริงๆจึงขอเรียนถามพ่อครู ว่าการตั้งพระเป็นใหญ่สุดในประเทศ (ขอไม่เอ่ยถึงตำแหน่ง) เขาวัดคุณธรรมเช่น เป็นอรหันต์ แล้วจึงดำรงตำแหน่งใหญ่สุดนี้ได้หรือเปล่าคะ?
พ่อครูว่า… ตอบได้เลยว่าไม่ได้หรอก อาตมาต้องอธิบาย ทางด้าน เถรสมาคมไม่ได้เข้าใจคุณธรรมแม้แต่ฌาน วิมุติ ปัญญาที่เป็นของโลกุตระ ไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะเข้าใจอรหันต์ โสดาบันก็ไม่ชัด สกิทาคามีก็ไม่ชัด เรียนมาตามพยัญชนะตามความหมายก็เรียนมา แต่ปฏิบัติจิตไม่ได้เข้าถึงฐานที่เป็นสัจธรรม สมณะ 4 เหล่า
เป็นโสดาบันแล้วก็มาเรียนรู้เป็นลำดับ ไม่ใช่โดยปริยายแต่ต้องมีธาตุรู้ชัดแจ้งเลยว่า กามคุณ 5 คืออะไร ไม่หลงใหลกับกามคุณ 5 แล้ว การไม่หลงใหลกามคุณ 5 นี่คือรู้ทันใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วลดจริงๆ เจตนาลด ลดแล้วก็อย่างพวกเรา เจตนาลด ลดได้
พวกนี้เขาจะยังไม่ลด เขาจะรู้โดยปริยายเท่านั้น เหลาะแหละ ยังลดบ้างไม่ลดบ้าง เขาจะไม่อ่านไปถึงเวทนาในเวทนา ความรู้สึกในความรู้สึก เขาจะไม่รู้จักอัสสาทะ รสอร่อย รสอร่อยของรูป รสอร่อยของเสียง รสอร่อยของกลิ่น รสอร่อยของสัมผัส รสอร่อยของอัตตาเลย เขาจะไม่ละเอียดละอออย่างนั้นแล้วเขาก็จะทำไม่จริง ทำจริงมันก็จะไม่มีจริงๆเหมือนอย่างที่อาตมาพูด ทุกวันนี้รสอร่อยมันไม่มีเลย อย่างที่อาตมาก็บ่นไปแล้วก็ลากขันธ์ไป ยิ่งลากขันธ์ ทำให้ยิ่งเห็นชัดเจนว่าความจริงมันเป็นเช่นนี้
คือ 1. อายุขัยของอาตมามันหมดแล้ว มันฝืน มันลากขันธ์ไป มันไม่ง่ายนะ
-
รสอร่อยมันไม่มี มันไม่มีอะไรชูรส แต่มันต้องกินไปให้ขันธ์ ต้องฝืนกิน รสไม่มี แล้วขันธ์เราก็หมดแล้วด้วย ควรตายแล้ว แต่ไม่ยอมให้มันตาย มันก็จะต้องฝืน ๆๆ เอ็งใส่เข้าไป ใส่เข้าไป ปริมาณไม่พอ เอ็งผอมด้วยนะ ไม่มีกำลังด้วยนะ เดินไม่ไหวนะ อาตมาก็กลัวจะเสียภาวะโพธิสัตว์ กลายเป็นไอ้กุ้งแห้ง เสียท่าหมดเลย ไม่ได้ ก็จะต้องให้มันสมสัดส่วน อย่างน้อยไม่พุงโลไม่อ้วน ขนาดนี้ก็ใช้ได้แล้ว
จริงๆนะ อายุ 90 แต่ก่อนท้องแขนโตงเตง เดี๋ยวนี้มันดีขึ้นเยอะ แล้วกำลังภายในอาตมา อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ฝืนอะไรมากมาย คิดว่าแข็งแรง แต่พวกเราจะพยายามดูรูปนอก เดินเดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็ประคอง เพราะเขาเห็นตัวเลขอายุอาตมามัน 90 เขาก็เลยช่วย ที่จริงไม่ต้องช่วยอาตมา อาตมาก็ไม่ถึงกับขนาดจะต้องหกล้มเจ็ดล้มอะไรหรอก จริง ไม่ 6 ไม่ 7 หรอก อย่างมากก็ 1 ล้ม 2 ล้มเท่านั้นแหละ ไม่ถึง 6 ล้ม 7 ล้ม แน่นอนอย่างเก่งก็พลาดท่าก็อาจจะหนึ่งล้มสองล้มแต่ไม่ถึง 6 แน่นอน นี่ก็อธิบายตามปฏิภาณของอาตมานะ มันมีสัจจะความจริงนะ 1 ล้ม เป็นอย่างไร 2 ล้ม เป็นอย่างไร 3 ล้ม เป็นอย่างไร
มันล้มถึง 2 เส้า 6 ล้มนี่ 2เส้า มันไม่ระมัดระวัง สติตก ความกำหนดรู้มันไม่ดี สติก็ไม่ดี สัญญาก็ไม่มี สถานที่ก็ไม่ชัดเจน ก็ล้มสิ ทั้งสติ ทั้งสัญญาทั้งสถานที่ ไม่กำหนด 3 อย่างนี้มันล้มแน่
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านแค่เซเท่านั้นครับ เซคือสาม
พ่อครูว่า… เซนะไม่ใช่เซะ ผู้ใดไล่หมาว่า เซะ ไล่ไก่ว่าโซ มันผู้นั้นคือลาว นี่คือนิยามของความเป็นลาว ผู้ใดไล่หมาว่า เซะ ไล่ไก่ว่าโซ มันผู้นั้นคือลาว อีสานสมัยใหม่รู้ไหม ไล่ไก่ว่า โซ ไล่หมาว่าเซะ ไล่ควายว่าฮุ่ยๆๆ
ตอบแล้วนะเรื่องโพธิสัตว์ แล้วพระเป็นใหญ่สุดในประเทศ เขาไม่ได้วัดคุณธรรมหรอก เขาไม่รู้เรื่อง เขาก็วัดตามแบบโลก โดยโลกุตระจริงๆไม่เกี่ยวหรอก จะมีตำแหน่งยศศักดิ์อะไรก็ไม่รู้ ดีไม่ดีลบหลู่กันเล่นด้วยความไม่รู้มันลบหลู่แล้วมันก็ไม่รู้จริงไปลบหลู่สิ่งที่เป็นสัจจะ ไปลบหลู่พระอาริยะ ไม่ต้องถึงอรหันต์หรอก ลบหลู่พระอาริยะก็ตกต่ำแล้ว
_DinNam Romfiy ดินน้ำ ลมไฟ· พ่อท่านรองเท้ากับเป้ผมพร้อมแล้วเดินธุดงปักกลด พร้อมแล้วครับ
พ่อครูว่า… เอ๊..มีนัยยะแฝงนะนี่ จะเป็นธรรมะหรือเป็นการเมืองกันแน่ อ้าวผ่าน
ทำอย่างไรจะเกิดปัญญาที่จะทำอุเบกขาเรื่องทักษิณกับไทย
_Kru Sa ครูซะ · ขาดปัญญาที่จะอุเบกขาเรื่องทักษิณกลับไทย ทำอย่างไรดีคะพ่อครู😅 นมัสการด้วยความเคารพค่ะ
_>>ชอบอ่ะ SMS ที่บอกว่าเป็นด้อมพระสยามเทวาธิราช ขอเป็นด้วยคนค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่มีความรู้ไม่มีปัญญาที่จะทำอุเบกขาเรื่องทักษิณ กลับไทย เขาก็เป็นคนไทยให้เขากลับมาเถอะ มันเป็นสภาพที่เราจะมีตัวอย่าง ตัวอย่างของพฤติกรรม ตัวอย่างของพฤติการณ์ พฤติกรรมของทักษิณ ก็ดูไปสิ มันยังไม่จบ ก็ดูไป เห็นแล้วว่ามันมีความลำเอียง มันมีความอคติ มันมีอะไรต่ออะไร เห็นไหม นั่นแหละ เราก็ได้ดูเป็นตัวอย่างพวกนี้ เป็นการแสดงความจริงให้พวกเราเห็น ไม่ใช่ว่าเราไม่มีตัวอย่างเลย นี่เป็นตัวอย่างที่แท้จริง เราก็ได้ดูตัวอย่างพวกนี้ ก็ใช้ศึกษา เขาเป็นตัวแสดงเป็นตัวละคร ที่เอาตัวเองเป็นตัวแสดง เป็นพระเอกหรือเป็นผู้ร้าย (เป็นผู้ร้าย) ให้เราดู ก็ดูไป
_ศิษย์เก่าสัมมาสิกขาฯ น็อป(หินเหล็ก) : ขอน้อมกราบเรียนถาม ว่า ในฐานะที่พ่อครูฯ เป็นผู้นำทางจิตวิญญานของชาวอโศก พ่อครูมีความคิดเห็นอย่างไร ต่อการกลับมาของนายทักษินฯ(อดีตนายกรัฐมนตรี) ในครั้งนี้ และเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย กราบนมัสการพ่อครูฯมาด้วยความเคารพอย่างสูง
พ่อครูว่า… ตอบไปแล้วเมื่อกี้นี้ อาตมาก็ไม่ได้ไปมีส่วนร่วม มันเป็นสัจจะของสังคมไทยที่จะจัดการกันไปเอง ก็ทำกันไป แต่ไทยมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ มันมีจิตเมตตา กรุณา เป็นพรหมวิหาร ไทยมีเรื่องนี้สูง มีพรหมวิหารสูง ฉะนั้นสุดท้ายมันก็ไม่ร้าย ไม่โหดร้ายอะไรต่อกันและกันหรอก มันก็จะอนุโลม ปฏิโลมกันไป ก็คงจะเป็นเช่นนั้น
_3177 : สีแดง สีส้ม ไม่ดีหรอกค่ะ ลุงตู่ดีที่สุด คนไทยส่วนมากเป็นคนตาบอดไม่กลัวเสือ และมีคนไทยส่วนน้อยที่มองเห็นความดีของลุงตู่ ลุงตู่เลยไม่ได้อยู่ต่อ
พ่อครูว่า… มันเป็นวาระเวลาของมัน แม้แต่ลุงตู่ก็มีวาระเวลา ที่จริงก็ไม่ได้หยุด ลุงตู่ก็ยังไม่ได้วางมือ ยังไม่ได้แก่มาก ตำแหน่งราชการก็ยังเหลือ แม้จะเปลี่ยนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้คนอื่นเขา ไปทำบ้าง ที่จริงคุณเศรษฐาก็ยกให้ลุงตู่เป็นที่ปรึกษา เป็นพี่ผู้ที่จะคอยให้คำปรึกษาหารือช่วยกันอยู่แล้ว ก็มีรูปธรรม มันเป็นนิมิตหมายที่ดีกันทั้งนั้น นี่เห็นได้ว่านี่คือ ประชาธิปไตยเมืองไทย ตกลงก็มาจบที่ดูไปกันต่อๆ
_นางจับใจ ธนะโภค : กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถามค่ะ
– เรื่องการกินอาหารแต่ละมื้อของดิฉัน ใครมาเห็นมักจะพูด ว่า ดิฉันเป็นคนกินง่าย กับข้าว(ขาดไม่ได้)แค่น้ำพริก ผักลวก ก็พอแล้วในความรู้สึกของดิฉันอยากจะบอก ว่า ดิฉันเป็นคนเรื่องมาก(เยอะ) กับอาหารการกิน ถ้าไม่ถูกปากและไม่มีประโยชน์กับสุขภาพก็จะไม่กิน เป็นอย่างนี้จริงๆ ขอถามค่ะ พอจะถูๆ ไถๆ ว่าเป็นคนเลี้ยงง่ายได้มั้ยคะ
พ่อครูว่า… ได้.. คุณรู้ตัวว่าคุณเป็นคนเรื่องมากกินยาก จนกระทั่งกินแค่น้ำพริกกับผักลวกก็ได้แล้ว ก็ดีแล้วล่ะ มันก็ง่ายแล้วก็อย่าไปกินแต่อย่างเดียว กินผักพืชผลไม้ผักสดอะไรก็กินบ้าง ไม่มีพริกก็กินบ้าง ให้มีธาตุอาหารถูกต้องครบ แต่มันก็คงไม่ขาดง่ายๆหรอก กินพืชกินผัก พวกเรากินสารพัดผักอยู่แล้ว
_ศศิกาญจน์ เพียรเริงพุทธ · ท่านสิกขมาตุสัจฉิกตา อธิบายได้อย่างชัดเจนเข้าใจง่าย เห็นภาพชัดเจนค่ะน้อมกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ🙏🙏
พ่อครูว่า… พวกเรานี้ช่วยอาตมาขยายความย่อยละเอียดลงไปแต่ละคนแต่ละคน ขอบคุณทีเดียว ก็ทำให้พวกเราได้เข้าใจๆ แล้วก็เป็นไปตามฐาน อาตมานี่เจตนาด้วย แล้วต้องทำด้วยก็คือ ต้องอธิบายธรรมะสูง ธรรมะลึก แล้วพวกเราก็เข้าใจรับได้ แล้วมาถ่ายทอดต่อ มาแยกแยะ มาอธิบาย มาทำให้เข้าใจในพื้นฐานเป็นลำดับๆลงไป เป็นลำดับ ลำดา ลงไป ขอยืมสำนวนของมหาบัวมาใช้ลำดับลำดา
ถือศีล 5 แต่เปิดดูคลิปโป๊ได้ไหม
_See U Ing Wong ซียู อิง หว่อง · ถือศีล 5 แต่เปิดดูคลิปโป๊ต่าง ๆ ได้ใหมครับ
พ่อครูว่า… ได้ไหม? ไม่ได้ จะละอายต่อบาปแล้ว เพราะว่าเป็นภัยเป็นปฏิปักษ์ต่อการเพิ่มกาม จะรู้ว่ามันเป็นการเพิ่ม ถ้าเป็นการเพิ่มแล้วคุณจะมาถือศีล 5 ทำไม ถือศีล 5 ก็มีให้ดู รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วคุณก็ต้องรู้เรื่องกามคุณ 5 คุณก็ต้องลดละหน่ายคลายลงไป แล้วจะไปเติมเหตุปัจจัยให้มันเพิ่มขึ้น แล้วมันจะไปเป็นศีล 5 ได้ยังไง อย่าไปใส่ไม้เอกก็แล้วกัน
จบกิจ คือรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน
_คำ ทด · กราบคารวะพ่อครูที่เคารพครับ ขอโอกาสเรียนถามข้อสงสัยครับ เมื่อถึงกาลสมัยพระศรีอาริยเมตตรัย ธรรมมะที่พระองค์จะประกาศจะเหมือนหรือแตกต่างจากธรรมะของพระพุทธเจ้าสมณะโคดมหรือไม่ครับ จะมีธรรมใดที่แท้กว่านี้ได้อีกหรือไม่ครับ กราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า… ประเด็นแรก อันเดียวกัน คือเป็นโลกุตรธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือให้รู้จักกิเลส ดับกิเลสได้ คนที่ดับกิเลสได้แล้วหมดสุขหมดทุกข์แล้ว พระพุทธเจ้าถือว่า จบกิจ
จบกิจคืออะไร จบกิจคือ รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้ว รู้ว่านิพพานคืออะไร รู้จิตเจตสิกคืออะไร รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วมีธาตุรู้ที่สามารถเข้าไปกำหนดรู้จิต กำหนดรู้เจตสิก คือจิตที่แยกย่อยลงไปเป็นเจตสิกต่างๆ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น หรือแม้แต่รายละเอียดของธาตุจิตที่แยกออกไปเป็น ปาณะ ภูตะ เจตภูต เป็นอะไรต่างๆนานา เป็นชีวะหลายๆระดับ ก็รู้รายละเอียดพวกนี้ไปหมด
จนกระทั่งถึงขั้นมหาภูต ภูตะ มหาภูตคือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเลย มหาภูต 4 จนกระทั่งมาเป็น ภูตคาม ยังแยกภูตคาม พีชคาม คือ มีใบ มีกิ่ง มีก้านออกไป ภูตะคือฐานจิต เป็นชีวะเกิดแล้วเรียกว่าเป็นหัวเป็นเหง้า มันเริ่มเป็นชีวะ ภูตคาม แล้วเจริญมาเป็น เจตภูต เป็นชีวะที่เริ่มมีจิต มีเจตะ จึงจะมาเป็น ปาณะ เจตภูติ ยังไม่ถึงเป็นสัตว์เต็มรูปต้องมาเป็น ปาณะ ใกล้ความเป็นสัตว์ ปาณะแค่ 6 จะมาเป็น สัตตะ คือเป็นสัตว์คือเป็น 7 จะเป็นจิตนิยามขึ้นไป เป็นรายละเอียด ตามทันไหมว่าเป็นพลังงานระดับต่ำ สูง มากน้อยกว่ากันอย่างไร
นั่นแหละเป็นการรู้เวทนา 5 รู้จักระดับที่เรียกว่า สุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา นี่เป็นระดับ เป็นดีกรีของมัน เป็นน้ำหนักของมัน เป็นขั้นตอนความเข้มข้น ก็แล้วแต่ความบางความจาง 5 ระดับใหญ่ๆ
ระดับทุกข์สุขถือว่าเป็นภายนอกเต็มที่ ถ้ารู้แจ้งจริงแล้วหมดทุกข์สุขในภายนอก ก็ลึกเข้าไปสู่ภายใน เรียกว่าโสมนัสโทมนัส ก็คือสุขทุกข์ที่เหลือเศษอยู่เป็น รูปภพ อรูปภพ ก็ลดอีกในโสมนัสโทมนัส จนกระทั่งไม่มี เป็นอุเบกขินทรีย์ เป็นความเป็นกลางแล้วไม่มีอาการของอัสสาทะ ที่เป็นทุกข์ เป็นสุข ที่เป็นโสมนัส ที่เป็นโทมนัส กลาง
แล้วจิตเป็นกลางนี่แหละมันถึงไม่มีรสอร่อย ซึ่งอาตมาเป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่มี พยายามจะฟื้นอย่างไร มันก็ฟื้นไม่ได้..รสอร่อย เพราะฉะนั้นอาตมาพูดนี่เป็นการแสดงสัจธรรม ความเป็นจริงของบุคคลไม่ใช่มาดัดจริต ไม่ได้มาเสแสร้งทำเป็นโก้เป็นเท่อะไร..ไม่ใช่ แต่เป็นการบอกความจริง ว่า
คนไม่มีรสอร่อยแล้ว คนฝืนอายุขันธ์นี้มันไม่ใช่เรื่องเบา ขออภัยไม่ได้พูดเพื่อที่จะให้เห็นใจ หรือมาสรรเสริญยกย่องอะไรหรอก มันเป็นสัจธรรม อาตมาอธิบายสัจธรรมต่างๆสู่ฟัง พยายามฟังดีๆ เข้าใจธรรมะที่อาตมาอธิบาย มันเป็นธรรมะที่ลึก แล้วเชื่อว่าพวกเราจะตามฟังแล้วเข้าใจว่า อ๋อ.. มีนัยยะลึกซึ้งพวกนี้ด้วยหรือ เรายังไม่ถึงก็พอตามได้ พวกคุณยังไม่ถึงอาตมา ไม่ใช่ว่าอาตมายกตัวอย่างเกินไปหรอก พวกคุณยังไม่เป็น แต่อาตมาเป็นพวกนี้แล้วมันถึงไม่ได้ไปใยดีอะไรหรอกกับการมีชีวิต ถ้าอาตมาไม่ได้ตั้งปณิธานเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้านะ อาตมาตายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไปนานแล้ว จริง แต่อาตมามีปณิธานไปเป็นพระพุทธเจ้า
เห็นทุกข์ มันทุกข์ มันต้องพยายามให้มัน พยายามที่จะสร้างสัจธรรมเพิ่มเติม สร้างบารมี สร้างประโยชน์ทำไป แล้วอาตมาก็กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าด้วย สืบทอดศาสนาจริงให้จริงด้วย
นางวิสาขามีอะไรที่ควรเอาอย่างและไม่ควรเอาอย่าง
_จรรยา ประเสริฐ · ยิ่งดิฉันได้ยินพ่อบอกว่า คุณเข่ง ใจแก้ว บรรลุธรรม ดิฉันเข้าใจว่า อย่างน้อยได้โสดาบัน แต่ที่สูง ๆ ขึ้นต่อไป ดิฉันไม่มีปัญญาเห็นได้ คุณเข่งอาจต้องเหนือกว่านั้นก็ได้ ส่วนมากคนอยู่ในวัด ในบวร ถ้าไม่ได้ธรรมขั้นหนึ่งแล้ว อยู่ไม่ได้แน่ ๆ ดิฉันนึกถึง นางวิสาขา ที่มีพี่น้องได้อรหันต์กันหมด มีนางวิสาขา คนเดียวที่ได้บรรลุโสดาบัน ซึ่งพ่อบอกว่า โสดาบันที่นางวิสาขาได้ คือยินดีกับโลก วนในวัฎฎะ แล้ว ต่อไป ๆ จะตกร่วง หรือเจริญขึ้นได้อย่างไร?? นางวิสาขาบำเพ็ญบารมีตามพี่น้อง ได้แค่โสดาบัน ดิฉันเคยฟังว่า เป็นเพราะท่านไม่ขวนขวาย สร้างให้สูงขึ้น เป็นสกิทา อนาคา แล้วอย่างนี้ติดแป้นไปอีกนานเท่าใด ตกร่วงอีกได้หรือไม่ งงมากค่ะ แต่ไม่ซีเรียส ดิฉันจะทำตัวเองให้ได้มรรคผลก่อน แล้วเราจะรู้เอง ดิฉันคิดได้แค่นี้ค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… คือนางวิสาขาเป็นตัวอย่างอันหนึ่ง ในลักษณะนี้ด้วยลักษณะที่เป็น วัฏฏภิรตโสดาบัน เป็นโสดาบันที่ติดอยู่ในวัฏฏะ ติดอยู่ในความยินดี ยินดีในสถานะตัวเอง มี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มีโลกธรรมเต็มรูป แต่ที่ว่าเป็นโสดาฯ อันนี้เป็น อจินไตย เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของบุคคลในยุคพระพุทธเจ้า เป็นอิสีติสาวก เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง ในตัวอย่างการติดแป้น
ก็จะต้องตายเกิด เกิดตาย ตายเกิด ถ้าเผื่อว่านางวิสาขานี่นะอาตมาก็ไม่ได้รู้รายละเอียดต่อไปว่า ถ้านางวิสาขาเป็นโสดาบัน เข้ากระแสไม่จริง มันก็ไม่ใช่นางวิสาขา ก็ไม่ใช่ตัวอย่างของโสดาบัน เพราะฉะนั้นนางวิสาขาเป็นตัวอย่างของโสดาบัน ก็บอกได้ว่าจิตเข้ากระแส โสตาปันนะ เพราะฉะนั้นก็จะต้องมี อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา มันยึกยัก ขึ้นๆลงๆๆขึ้นๆชาติแล้วชาติเล่าๆ ทุกข์ๆสุขๆๆๆๆตามที่ตัวเองมี
เพราะฉะนั้น นางวิสาขาก็จะมีทุกข์มีสุข จากเหตุแวดล้อมคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ตามวิบาก ถ้าวิบากนางวิสาขาทำได้ดี วิบาก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็จะทำให้นางวิสาขาต้องทุกข์ต้องสุขตามที่ตัวเองยังไม่มีปัญญาพอที่จะวาง อันนี้เป็น อจินไตย เป็นเรื่องของนางวิสาขา
แต่แน่นอนคุณจะต้องวนอยู่ในที่ระดับนี้อีกนาน ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ ซึ่งมันไม่ควรจะเอาอย่าง นางวิสาขา ควรเอาอย่างว่า เป็นผู้ที่มั่นคงในโสดาบัน แต่ไม่เอาอย่างที่เป็นคนติดแป้น เพราะฉะนั้นอย่าเอาอย่างนางวิสาขาตรงที่ติดแป้น แต่เอาอย่างโสดาบันที่เอาจริง
ถ้าเป็นโสดาบันที่ครบก็มี โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงที่สุดก็ช้า กาละเวลาที่ช้าพวกนี้นี่พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม ปปัญจารามตา ยินดีในความเนิ่นชาพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ยินดีในความเป็นโสดาบันให้ได้แล้วก็เป็นคนมีทานเป็นคนมีความอนุเคราะห์เกื้อกูลเป็นคนเสียสละ แล้วก็รวยมาก รวยมากจนกระทั่ง คนใช้ของนางวิสาขานี่ เป็นเศรษฐีอันดับ 6 ของยุคนั้น คนใช้นะ แล้วคิดสิว่านางวิสาขาจะรวยขนาดไหน และรวยด้วย ไม่ได้ทุจริตด้วย อย่าไปเทียบกับทักษิณ
การเกิดการตายเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับพระโพธิสัตว์
_สู่แดนธรรม… มีแฟนคลับทางบ้านถามมาครับ ถามว่า คนผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ถ้าได้เกิดอีกจะไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น คนที่เคยเป็นอรหันต์ชาติที่ผ่านมา มาเกิดชาตินี้ก็ต้องมากินเนื้อสัตว์ มาเล่นการพนันอีก แล้วก็มารู้สึกตัวทีหลัง ถามว่าการกินเนื้อสัตว์ หรือการผิดศีลต่างๆที่ทำมาแล้วก็เลิกได้ถือว่าตกต่ำไหมครับ
พ่อครูว่า… มันเป็น ลิงลมอมข้าวพอง แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ยังตกต่ำ ที่คุณพูดว่าตกต่ำ ที่จริงไม่ได้ตกต่ำหรอก มันเป็นการถูกครอบงำของกระแสโลก และวิบากของท่าน ท่านก็ต้องมากินเนื้อสัตว์ หรือว่าจะต้องมามีคู่มีกาม จะต้องมีอะไรต่ออะไรแบบโลก จะต้องมี ลาภ ยศ อำนาจบ้าง พวกนี้เป็นต้น เป็นโลกียะซับซ้อนลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น อรหันต์แล้ว อย่างอาตมานี่ ยกตัวอย่างอาตมาตัวเป็นๆ อาตมาชาตินี้ไม่ใช่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ อาตมากินแต่มารู้ทีหลัง ไม่มีใครมาบอก ไม่มีใครมาเป็นอาจารย์บอกว่าจะต้องกินมังสวิรัติ ไม่มี อาตมาก็รู้เองแล้วพากันเลิกเอง พาที่บ้าน ไม่มีใครเลิกตาม น้องๆก็ไม่มีใครทำตาม อาตมาไม่ได้ไปบังคับใคร ใครจะเลิกตามมาเห็นดีเห็นงามก็ทำตามเอา อย่างนี้เป็นต้น ประเด็นอื่นๆก็เหมือนกัน ก็ทำของเราไป เราไม่ได้ไปบังคับใคร ถ้าหากเกิดปัญญาเห็นจริงด้วยปฏิภาณปัญญาของตัวเองจริง ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ลดละอะไรมันเป็นไปเพื่อความหน่ายคลาย ชีวิตมันก็จมกับไอ้ที่เราติดอยู่นั่นแหละ
แล้วการเกิดการตายนี่มันไม่ใช่น้อยๆชาติ มันน่าเบื่อ อย่างอาตมานี่มันเบื่อมากเลย เบื่อชีวิตที่อยู่นี้จะลากออกไปแล้วก็ เพราะอาตมาเป็นอรหันต์จึงไม่ได้เบื่ออย่างทรมาน ถ้าอาตมาไม่ได้เป็นอรหันต์ อาตมาเบื่ออย่างทรมานแน่นอน เป็นความเบื่อของอาตมาที่เป็นอรหันต์และเป็นโพธิสัตว์แล้ว เป็นอจินไตย คุณนึกแทนไม่ได้หรอก นึกตามไม่ได้หรอก มันจะเป็นยังไง มันก็ได้แต่คำนวณคะเนเอาคาดคะเนด้นเดาเอา แต่มันจะเป็นจริง มันไม่เหมือนหรอก
_สู่แดนธรรม… แสดงว่าพฤติกรรมของคนที่เป็น ลิงลมอมข้าวพอง ก็เป็นพฤติกรรมของคนที่ยังไม่ใช่อรหันต์ แม้ว่า มันเป็นอรหันต์มีอยู่แต่ความเป็นอรหันต์ยังไม่เกิด ก็ถือว่าพระอรหันต์ไม่ได้ทำอะไรเช่นนั้น ที่ทำไปคือความเป็นคนโลกๆ
พ่อครูว่า… เป็นการถูกโลกครอบงำ พลังงานของโลกมันมีฤทธิ์ 1. แล้วก็ 2. วิบากของท่าน บางคนช้านาน บางคนกว่าจะรู้ตัว ไม่ช้าไม่นาน แต่ไม่มีใครมาสอนมาบอก อย่างอาตมาไม่มีใครมาสอนมา บอก ก็รู้เอง เห็นเอง สยังอภิญญาขึ้นไปไม่ต้องมีใครมาสอนมาบอก แต่ผู้ที่ต่ำกว่า สยังอภิญญา ต่ำกว่าระดับ 7 ก็จะต้องมีอะไรเป็นจุดสะดุดใจ เป็น อุคติตัญญูหรือวิปัญจิตัญญูไปตามลำดับ จนกว่าจะรู้ตัวเป็นเนยเน่าๆ กว่าจะมาทางนี้นะ ดีไม่ดีมาแล้วก็ตกต่ำ แล้วก็เวียนกลับไปได้อีก ซึ่งเป็นอจินไตย
ทำไมพ่อครูไม่ส่งเสริมให้นั่งสมาธิ
_สู่แดนธรรม… มีคนเข้าใจผิด ถามว่าทำไมท่านไม่ให้นั่งสมาธิครับ
พ่อครูว่า… เพราะมันหลงการทำสมาธิกันเยอะ ก็เลยห้าม ที่จริงก็ไม่ได้หมายความว่าอาตมาไม่ได้นั่งสมาธิ อาตมาก็นั่ง นั่งมาจนกระทั่งไม่ได้น้อยหน้ากว่าพวกที่เป็นพระป่าเขาทำไปได้แค่ไหน อาตมาไปทางนั้นอยู่ 8 ปี ไม่ใช่น้อยนะ อาตมาไปทางไสยศาสตร์ ไปทางเทวนิยม ไปทางแบบนั้น 8 ปี ทำอยู่อย่างนั้นไปด้วย เพราะฉะนั้นอาตมารู้หมดที่ท่านทำกันเป็นยังไง ได้ยังไง ไปถึงขั้นไหนยังไง อาตมารู้หมด ไม่ใช่อาตมาเป็นหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว ไม่รู้ว่าเขาได้เขาดีเขาเป็นอย่างนั้นๆ อาตมามี ผ่าน ใช้เวลา 8 ปี พระพุทธเจ้าใช้เวลา 6 ปี ไปอยู่ในป่า 6 ปี แต่อาตมาใช้เวลา 8 ปี มันก็เป็นเรื่องสัจจะที่เป็นไป ติดตามฟังไปดีๆ
ทำจิตให้หมดกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จึงเป็นอุเบกขาแท้
_Onwipa Griffiths อรวิภา กริฟฟิธ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ คิดถึง บรรยากาศนั่งฟังธรรมที่เฮือนสูญค่ะ แม้อยู่ที่ออสเตรเลียก็ปฏิบัติธรรมไม่ห่างใจ อ่านเวทนาทุกผัสสะ ค่ะ จับอาการชอบชังได้เร็ว แต่วิปัสสนาเอากิเลสออกได้เร็วบ้าง ช้าบ้างค่ะ เห็นความไม่เที่ยงของกิเลส ลูกถือว่าเกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด ได้พบสัตบุรุษชี้ทางถูกต้องถูกตรงให้ ปฏิบัติตาม ได้เกิดใหม่ในร่างเก่า ลูกชัดเจนว่าสุขทุกข์เกิดจากจิตที่หลงผิด ของเราสร้างขึ้นมาเอง แล้วยึดว่าต้องเป็นดั่งใจเราหมาย ได้ดั่งใจเป็นสุขไม่ได้ดั่งใจก็เป็นทุกข์ ชีวิตก็สุข ๆ ทุกข์ ๆ พอชัดเจนว่าสุขทุกข์คืออันเดียวกัน ก็คลายความยึดมั่นถือมั่นทำใจเป็นอุเบกขาค่ะ ลูกขอพากเพียรให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ สาธุ สาธุ
พ่อครูว่า… ดี กิเลสมันไม่เที่ยงหรอกอย่าไปกลัวมัน เอาให้มันตายให้ได้ เอาให้มันหมดเกลี้ยงไปจากจิตเลย กิเลสมันไม่เที่ยงหรอก
เป้าใหญ่เลย สุขทุกข์ โลกุตระคือสุขทุกข์ คุณอ่านเวทนาให้ดีให้จริงเลย ทุกขเวทนาสุขเวทนา โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนาและอุเบกขาเวทนา อ่านอาการที่มันอยู่ในระดับ 5 นี้ให้ชัด จนกระทั่งจิตของคุณเป็นอุเบกขา จิตคุณไม่มีโสมนัสโทมนัสเลย เที่ยงด้วย แข็งแรง ไม่แวบวาบไปหา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… เปรียบเทียบกัน ทุกวันนี้พ่อครูเทศน์ว่าคนหลับตาให้แก้ไข หากพวกเรามานั่งเพิ่มกันอีกก็จะไปกันใหญ่
พ่อครูว่า… หลับตาไม่รู้ความเป็นจริงของสุขของทุกข์ เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจโสมนัส โทมนัสที่ถูกต้องไม่ได้ ก็เดาเท่านั้น
สุขทุกข์มันเป็นตัวรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางทวารภายนอก แล้วไม่มาเรียนรู้ความจริงทางทวารภายนอก เพราะฉะนั้นก็หลงงมงายอยู่ ก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งรู้ตัวแล้ว แต่มันติดแล้วออกไม่ได้เหมือนอย่างมหาบัวติดหมากติดพลู
อาตมาเคยพูดหลายทีแล้วว่ามหาบัว อาตมาไม่เชื่อว่าไม่รู้ว่าตัวว่าเสพติด แต่มันติดจนกระทั่งไม่รู้จะทิ้งอย่างไรก็ต้องหลอกคนอื่นต่อกลบเกลื่อนว่า มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์มันไม่ได้เกี่ยวกับกิเลสอะไร
กิเลสแค่นี้ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลสเสพติด คิดดู พวกคุณพอเข้าใจไหม แค่ติดสิ่งเสพติดขนาดนี้ ใครเคยกินหมากบ้าง แล้ว ไม่ใช่เสพติดหรือเปล่า ไม่ได้เสพแต่ไปกินเล่น ไปกินลองเฉยๆก็ไม่มีปัญหา แต่เสพติดจนกระทั่งต้องเลิก ต้องละออก มันเป็นเป็นสิ่งเสพติดเหมือนคนเสพติดยาเสพติดทุกวันนี้ ไม่ใช่จะออกได้ง่ายๆนะ แต่นี่หลอกคนอื่นต่อเลย อาตมาถึงบอกว่าอาตมาไม่เชื่อว่ามหาบัวไม่รู้ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของหมากพลูนี้เป็นสิ่งเสพติด อาตมาไม่เชื่อจริงๆ ไม่ใช่ไม่ฉลาดนะ มหาบัว ถ้าจะยืมคำว่าฉลาดไปใช้ อาตมาว่าจะอธิบายคำว่าฉลาดอยู่ แต่มหาบัว ไม่มีความฉลาด ฉลาดนี้ขอยืมไปใช้เฉยๆ เฉลียวก็ได้ ไม่ได้รู้ในทวาร 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งเสพติดเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) กามคุณ 5 ไม่รู้จักว่าเสพติดอยู่นี่คือคนไม่ฉลาด คนไม่มี ฉฬายตนะ มีแต่จิตโง่ๆรู้ในทวารเดียว
เพราะฉะนั้นความรู้เทวนิยม ทางตะวันตก ไม่มีความฉลาด มีแต่ เฉกะ
หนึ่ง เฉกะ เอา หกไปดองเค็มเป็น เฉก เหลือหนึ่งเดียวเป็น เฉกะ เทวนิยมไม่มีฉฬายตนะ แล้วเป็น เฉกะ
แล้วเรื่องความสุขความทุกข์นี่แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ทำจิตให้ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เอร็ดอร่อย ไม่บวกไม่ลบ ไม่โสมนัสโทมนัสได้ ความสุขความทุกข์คืออันเดียวกันเป็นผีหลอก มันเป็น 2 หน้า ที่มันเป็นอันเดียวกันมันเป็นมายาผีหลอก เพราะฉะนั้นคุณเอามันออกหมดเลยความสุขก็ไม่มีความทุกข์ มันก็ไม่มีมันจึงเป็นผู้ที่ไม่มีสอง ไม่มีผีไม่มี 2 หน้า
ถ้าทำใจเป็นอุเบกขาแต่ไม่รู้จักกิเลสจริง มันก็ไม่บริสุทธิ์ ต้องทำใจให้ลดกิเลสที่เป็นเหตุ หยาบ กลาง ละเอียด หมดไป จิตมันจะเป็นอุเบกขาไม่ได้ไปทำอุเบกขาคือวางเฉยๆเป็นกดข่ม แต่เรียนรู้จิตให้เป็นฌาน แล้วก็อ่านกิเลสหมดเลยจนกิเลสมันไม่มีแล้ว ละเอียดจนสุขทุกข์น้อยๆ โสมนัสโทมนัสน้อยๆ อาตมาเคยอธิบายว่า มันเกือบหมดแล้ว มันไม่มีกับมันมีนิดหนึ่ง มันต่างกันน้อยมาก มันยากที่จะแยกออกจากกันว่ามันมีน้อยกับหมด เห็นไหม มันเทียบ แล้วเราจะรู้ของเราเอง
_เหนือ กาลเวลา · ผมเคยชอบส้มตำมากครับ พอมาอยู่บ้านราช..ส้มตำหวานเหมือนขนม
ทุกวันนี้ผมรู้สึกเบื่อส้มตำไปเลย มิตรดีสหายดี..(แม่ครัวดี..) มีอุปการะต่อเราเช่นนี้แล..
พ่อครูว่า… มันก็ยังไปรังเกียจรสหวานของส้มตำอีก มิตรสหายดีเป็นอุปการะต่อเรา อันนี้เข้าท่า
สัญญาไม่ใช่ปัญญา ปัญญามีแต่ในปัจจุบัน อดีตอนาคตไม่มีปัญญา
_9419 : ลูกขออนุญาตเรียนถาม พ่อท่านครับ ว่า”ลูกใช้สัญญา ความโกรธแค้นพยาบาท มากระทุ้งกระแทก ให้กิเลสมันฟุ้งขึ้นมา จนเกิดเวทนา แล้วใช้ฌานจัดการ ได้ไหมครับ ปัจจุบัน ผมทำอยู่บ่อยๆ ครับ”
พ่อครูว่า… คนใช้สัญญาเป็น เป็นคนทำงานปฏิบัติธรรมเป็น สุดท้ายก็ใช้สัญญากำหนดรับรู้กายในวิญญาณฐิติ 7 เป็นการตรวจสอบสมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย กายต่างกัน กายอย่างเดียวกัน ซึ่งจะมีสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิเป็นตัวตัดสิน
คุณก็ไปสร้างอาการของความโกรธแค้นขึ้นใส่จิตอีก มันก็ซ้ำก็ซ้อนอยู่นั่นแหละ แล้วเมื่อไหร่มันจะหมด
มาถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะอธิบายเรื่องฌานต่อ แต่นี่มีอีก 2 หน้า เวลาเหลือ 9 นาที
คุณอย่านึกว่าคุณมีฌานได้อย่างเก่งอย่างดี แต่เอาละคุณอาจจะมีสภาวะบ้าง แต่ความเป็นฌานที่สมบูรณ์มันไม่ใช่เล่นๆเลย ฌานวิสัย เป็น อจินไตย เป็นพลังงานที่สุดยอดเลย เป็นตัวปัญญาเต็มและเป็น เจโต ที่รู้จักภาวะ 2 เจโตรู้จักภาวะ 2
ภาวะ 2 คืออะไร คือภาวะที่รู้ทั้งมีและไม่มี ภาวะเจโตสุดท้าย รู้จักความมีและความไม่มี อันนี้เราใช้ให้มีประโยชน์ ก็คือฌานส่วนหนึ่ง เป็นพลังงานที่สุดยอดเลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์มีฌานไหม โอ้โห ฌาน ปกติ ฌาน เป็นพลังงานวิเศษใช้ ฌาน 1 2 3 4 โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4
หมายความว่า ฌาน 1 จะมีวิตก วิจาร จะมีคู่วิจัย วิจาร จะมีคู่แยกแยะสภาวะ 2 ได้เก่งมาก เร็วไว ตัดสินได้เร็ว แล้วก็จัดการกับสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ควร ทำได้ แล้วก็จะมีจิตยินดีในสิ่งที่เราได้ แล้วก็สงบเป็นสุข สุขคือความสงบ เสร็จแล้วก็คืออุเบกขาคือความบริสุทธิ์ นี่เป็น ชั้น อธิบายขั้นลึกขั้นสูงส่งแล้ว เพราะฉะนั้นศึกษาดีๆ ที่คุณทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ ศึกษาต่อ
_สู่แดนธรรม… แสดงว่าจะทำฌาน ก็ต้องมีเหตุปัจจัยสดๆใช่ไหมครับ ถ้าระลึกขึ้นมาเป็นสัญญาไม่จริงใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ ถ้าเป็นสัญญามันก็ไม่ใช่ เอาตัวที่สัมผัสปัจจุบัน สัญญามันเป็นความจำ มันเป็นการระลึกไม่ใช่ฌาน ต้องเอาปัจจุบันธรรมกำหนดรู้ เพราะฉะนั้นไปหลับตาไม่มีปัจจุบันธรรม ไม่มีทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติ ไปหลับตาไม่มีปัจจุบันมีแต่อดีตกับอนาคต หลับตาก็ขออภัย เมื่อกี้นี้สัญญามันบอกว่า กระทืบ ขอย้ำซ้ำลงไปอีกที ไม่ได้ใช้คำว่ากระทืบนะ ขออภัย ย้ำซ้ำ ไปอีกทีว่า เลิกเถอะ ในศาสนาพุทธไปนั่งหลับตานั่นน่ะ อย่าไปปฏิบัติ
เมื่อกี้นี้ถามว่า หลับตานะทำได้ไหม ก็เป็นอุปการะ อุปการะอะไรก็เคยอธิบาย
-
หลับตาแล้วก็ทบทวนธรรมะ ไล่เรียงธรรม อันนั้นอันนี้
-
พัก พักสบาย
-
ใช้ทำการเตวิชโช ก็ทำเตวิชโชเป็นหลักเป็นฐานจนกระทั่งตรวจสอบกิเลสตัวเอง มันเกิดมันดับ ตั้งแต่ที่เราปฏิบัติธรรมมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ มีอะไรเกิด มีอะไรดับ มีกิเลสเกิด ทำกิเลสดับได้หรือยัง หมดหรือยัง ตรวจสอบ จุตูปปาตญาณ อ๋อ.. หมดแล้ว สิ้นอาสวะนานแล้ว อาสวะคืออะไร ก็รู้ความจริงของตัวเอง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรวจสอบความจริงของตัวเองว่าอาสวะของเราหมดมันก็สมบูรณ์แบบ อย่างนี้เป็นต้น
_สู่แดนธรรม… ในหมู่อโศกเรา ที่เคยเข้าใจว่าการเอาสัญญามาระลึกทำ ฌาน ถือว่าเป็นอรูปฌาน ไม่ใช่หรือครับ
พ่อครูว่า… เป็นการทบทวนธรรมเป็น บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันไม่ใช่ปัจจุบันชาติ เมื่อไม่ใช่ปัจจุบันชาติก็ไม่ใช่ตัวจริง ความจริงไม่มีในอดีต ความจริงไม่มีในอนาคต ความจริงมีแต่ในปัจจุบัน เข้าใจแค่นี้ไม่ได้ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมโลกุตระหรอก ไม่ได้บรรลุหรอก คุณเข้าใจแค่นี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมาทำที่ความจริงนี้ จะไปทำทำไมกับอดีตกับอนาคต พระพุทธเจ้าแจกเอาไว้แล้วอดีตก็มี 18 อนาคตมี 44 เท่านั้น แล้วจะไปงมงายอยู่กับมันทำไม ทำตัวนี้จริงๆปัจจุบันให้มันจบแล้ว มันก็จบ อดีตกับอนาคต มันก็ได้ อดีต 36 อนาคต 36 ก็จบที่ปัจจุบัน 36 นี่ไง ก็เรียนรู้เวทนานี่แหละ ให้มีผัสสะ ให้มีเวทนา ก็เรียนรู้เวทนา 36 36 36 ก็จะจบในนี้ ไปหลับตามันเป็นโมฆะ
นิ่มๆก็ได้มันโมขา โมฆะ ไม่รู้สักทีมันสั้นๆ เอายาวๆก็ได้ มันโมขา รู้จักไหม ป่วยการมันไม่ได้เรื่องมันเสียเวลาเปล่า
เพราะฉะนั้นอาตมาพูดให้เพราะอะไร เพราะอาตมาเสียดายในพุทธศาสนา เขาเอาชีวิตมาทิ้งแก่แล้วก็ตายกันไปนั่งสมาธิกันเยอะ มาเถอะเลิกกันโน้นมาศึกษากับโพธิรักษ์นี่ ขออภัยไม่ได้แย่งลูกค้านะ อธิบายธรรมะ คุณจะมาก็คุณต้องฟังเข้าใจเองแล้วมาด้วยความเข้าใจด้วยปัญญามา แต่ถ้าคุณไม่ได้เข้าใจด้วยปัญญามา อาตมาก็ยากอีกมันหนัก เดี๋ยวก็เอาลัทธิอื่นมาเปื้อนอาตมาอีก ยุ่ง คุณมาด้วยปัญญาเข้าใจ มาเลยทางนี้
สวดมนต์กับพิธีกรรมไม่ใช่เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ
_ทวี หนองเป็ด ..ติดตามมานานปีเป็น10 ปีก็รู้สึกว่านักบวชของชาวอโศกและคำสอนธรรมะของพ่อครูไม่เหมือนนักบวชทั่วไปที่เคยเห็นเคยฟังมาฟังแล้วทำให้รู้จักคำว่ากิเลส..รู้จักสภาวะ..รู้จักสังขาร..รู้จักวิญญาณ..ผลัก..ดูด.เสื่อม..เจริญ กลับมามองนักบวชทั่วไปที่มีอยู่ส่วนมาก..มีแต่พูดโอ้โลมปฏิโลมให้ใด้มาชึ่งทรัพย์สินเงินทองลาภยศ สรรเสริญข.และสวดพิธีการต่างๆเพื่อลาภสัการะทั้งนั้นถ้าไม่ใด้พบคำสอนพ่อครูก็คงจะเชื่อตามคนส่วนมากว่านั้นคือสิ่งที่ถูกต้องทางศาสนาสรุปคือถือว่าเป็นบุญที่ใด็รู้จักใด้ศึกษาถึงแม้จะปฏิบัติตามใด้ไม่หมด..อย่างน้อยก็ใด้รู้..เห็นความจริงตามความเป็นจริงเจริญธรรมสำนึกดีเชื่อและนับถือในสิ่งนี้ตลอดชีพ
พ่อครูว่า… จริงที่สุด ถ้าไม่มีการสวดมนต์ ไม่มีพฤติการณ์ต่างๆไม่มีหรอกศาสนาพุทธในประเทศไทย ทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทยหากินกับการสวดมนต์และพิธีการ อโศกมีพิธีการก็ไม่เหมือนเขาที่เป็นพิธีการอย่างเขา ส่วนการสวดนั้นไม่มีเลย มีแต่เอาธรรมะพระพุทธเจ้าแท้มา เอาประณามคาถา ที่สาวกเป็นผู้แต่ง เอามาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 องค์ขึ้นไปไม่ผิดพระวินัยนะ ถ้าหากเอาธรรมะพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกัน 2 องค์ต่อหน้าฆราวาสนั้นเป็นอาบัติทุกการทำ ส่วนที่เขาสวดกันอยู่เป็นอาบัติกันทั้งนั้นนะ อาตมาพูดเขาก็ไม่กระดิกหู ไม่รู้ไม่เข้าใจ อาบัติอะไร เขาทำประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ทำแล้วจะกินยังไงอยู่ยังไง เขาหากินอยู่กับการสวด บอกว่ามันลึกซึ้งมันผิดอีกเยอะ
ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าการสรรเสริญเป็นความต่ำ ความเสื่อม ความทราม ยืนยันตาม พระไตรปิฎก คำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า สรรเสริญ ไม่ได้เป็นไปเพื่อละหน่ายคลายจากกิเลส เลย