660621 ศีลที่เป็นกุศลย่อมยังความเป็นอรหันต์โดยลำดับ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1sAeXfbt03xjUOFzkvUJhFyZPnlivqnhn/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1h8tlkQlyg2-09pg_J4hKJIC4qXXfJrlD/view?usp=drive_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/fFsIpizZzBU
และ https://fb.watch/liF1ppXycq/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
วันนี้ข่าวดังระดับโลกมีการลุ้นกัน มีพวกเศรษฐี 4-5 คนนั่งเรือดำน้ำที่จะลงไปสำรวจเรือไททานิคที่ล่มอยู่ก้นมหาสมุทร ความลึกระดับ 4พันเมตร คือ 4กิโล เขาพาทริปทัวร์ไป 3-4เที่ยวแล้ว แต่เที่ยวนี้อยู่ดีๆ สัญญาณหายติดต่อไม่ได้ ต้องระดมหลายประเทศช่วยเหลือ ลุ้นระทึกเพราะอ็อกซิเจนอยู่ได้ 3-4 วัน เวลานับถอยหลังยิ่งน้อยลง มันก็ลุ้นกันว่ารอดหรือไม่รอด การเดินทางอย่างนี้ไม่ใช่ถูกๆ ไปครั้งนึง 8 ล้าน 7 แสน มีมหาเศรษฐีระดับรวยๆจากหลายประเทศ อเมริกา ปากีสถาน ซีอีโอของคนที่คิดเรือดำน้ำก็ไปด้วย
พ่อครูว่า…เศรษฐีหาทางเที่ยวนอกโลกเขาก็ไป สักวันคงทะลุใต้ทะเลออกไปอวกาศเลย
สมณะเดินดิน…บางทีก็ไปอวกาศออกนอกโลกไปเลย กลับมาฉลอง ดีใจที่กลับมาปลอดภัย คนมีสตางค์นี่ ถ้าเป็นเรา จ้างก็คงไม่กล้าไป จะเอาชีวิตไปทิ้งทำไม แต่คนมีสตางค์นี่เขาทำอะไรเพื่อได้เห็นได้ฟังได้ดูสิ่งที่อะไรแปลกๆ
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีอะไรยอดเยี่ยมกว่า ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม ได้แก่ การเห็นพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต ซึ่งเป็นสิ่งรวมให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ อย่างนี้ไม่มาเห็นไม่มาดูกันเลย หรือว่า สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม ได้แก่การสดับธรรมของพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต อันนี้น้อยมากเลย แต่ถ้าอะไรบ๊องๆ ไม่ค่อยปกติคนจะดูกันเป็นล้าน
พ่อครูว่า…พวกเรานี้มาทุกวันเลย สวนานุตตริยะ ได้ฟังธรรมทุกวัน เดี๋ยวอาจจะมาจะเทศน์ เรื่องจิตวิญญาณพวกนี้
สมณะเดินดิน…อันที่ 3 คือ ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม ได้แก่ การได้ศรัทธาในพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต หรือการได้อริยทรัพย์ อันนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม
สิกขานุตตริยะ คือการศึกษาอันยอดเยี่ยม ได้แก่การฝึกอบรมอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกเราพยายามฝึกฝนศึกษากันอยู่
ปาริจริยานุตตริยะ การบำเรออันยอดเยี่ยม ได้แก่ การบำรุงรับใช้พระตถาคตและสาวกของพระตถาคต อันสุดท้ายคือ อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม ได้แก่ การระลึกถึงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต
บทสุดท้ายเขาอธิบายว่า การเห็น การฟัง การได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ที่ว่า ยอดเยี่ยม เพราะทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ความล่วงพ้นจากโศกะปริเทวะ สิ้นจากความดับสูญ ทุกข์โทมนัส เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน
อนุตตริยะ 6 ประการ
อนุตตริยะ แปลว่า ภาวะอันยอดเยี่ยม สิ่งที่ยอดเยี่ยม ในหมวดอนุตตริยะ 6 นี้ กล่าวถึงการเห็น การฟัง การได้ การศึกษา การบำรุง และการระลึก ที่ยอดเยี่ยม เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ล่วงพ้นโสกะปริเทวะ ดับสูญทุกข์โทมนัส และเพื่อการบรรลุญายธรรม กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อนุตตริยะ 6 ประกอบด้วย
-
ทัสสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม คือการเห็นที่ประเสริฐกว่าการเห็นอื่น ๆ หมายเอาการเห็นพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต รวมทั้งสิ่งทั้งหลายที่จะทำให้เกิดความเจริญงอกงามทางจิตใจ ในปัจจุบัน ถึงแม้พระตถาคตได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว แต่พระธรรมวินัยของพระองค์ยังคงอยู่ การได้เห็นพระธรรมวินัยของพระองค์ ก็เปรียบเหมือนการได้เห็นพระตถาคตเช่นกัน
-
สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม คือการฟังที่ประเสริฐกว่าการฟังอื่น ๆ หมายเอาการฟังธรรมของพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต ได้แก่การได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นการฟังที่นำประโยชน์มาให้ เป็นการฟังที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งสรรพสิ่งตามความเป็นจริง
-
ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม คือการได้ที่ประเสริฐกว่าการได้อื่น ๆ หมายเอาการได้ศรัทธาในพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต หรือการได้อริยทรัพย์ ๗ ประการ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และปัญญา
-
สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม คือการศึกษาที่ประเสริฐกว่าการศึกษาอื่น ๆ หมายเอาการศึกษาอบรมในอธิศีล อธิจิตต์ และอธิปัญญา คือการศึกษาและลงมือปฏิบัติเพื่อประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพาน
-
ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม คือการบำรุงที่ประเสริฐกว่าการบำรุงอื่น ๆ หมายเอาการบำรุงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต การที่ได้บำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการสนับสนุนปัจจัย 4 แก่พระสงฆ์สามเณรผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเพื่อธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ก็จัดเข้าในข้อนี้
-
อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม คือการระลึกที่ประเสริฐกว่าการระลึกอื่น ๆ หมายเอาการระลึกถึงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคต คือระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ด้วยจิตใจที่เคารพบูชา นั่นเอง
พ่อครูว่า…ที่พวกเราได้มา เป็นลาภานุตตริยะ เอาเงินร้อยล้านมาซื้อก็ไม่ได้ เป็นลาภของพวกเราอย่างยิ่ง
SMS วันที่ 19 มิ.ย. 2566
_คอยใคร…กราบเคารพพ่อครูครับ ช่วงนี้มีเรื่องผีมาเป็นประเด็นคุยกันหลายรายการเลยครับจากที่พ่อครูตอบเรื่องผีปอบไป ทั้งสมณะ ทั้งสิกขมาตุก็เอาเรื่องผีมาบรรยายธรรมฟังเพลินดีครับ ยิ่งเรื่องของสิกมาตุผาแก้วที่บอกต้องไปเซ็นชื่อว่า “มาแล้ว” ช่วงเดินไปก็กลัวไป มีเสียงอะไรหน่อยก็ต้องคอยคิดว่าเสียงอะไร แต่ทุกวันนี้สิกมาตุยืนยันว่าไม่กลัวผีแล้วครับ
มาถึงเรื่องของผมบ้างครับ ถ้าผมนั่งฟังธรรมเพลินๆ เริ่มซึ้งในธรรมรส แล้วในครัวมีเสียงโครมคราม ผมมักตกใจและจะรีบคว้าไม้กวาดทันทีครับ ไม่ได้เอามาป้องกันตัวนะครับแต่ต้องกวาดบ้านหน่อยครับ เพราะถ้ายังนั่งฟังเพลินๆต่อ อาจได้นอนฟังพระสวดแทนครับ ทุกวันนี้ผมเลิกกลัวผีตั้งแต่มาฟังธรรมพ่อครูครับ แต่กลัวคนที่บ้านมากกว่าครับ มาเล่าสภาวะเท่านี้ก่อนครับ ขอกราบลาพ่อครูด้วยความเคารพครับ
พ่อครูว่า… ดีมาก ฟังธรรมจนได้ดีนะ เรื่องผีเดี๋ยวค่อยมาว่ากัน
_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · ฝีปอบกับผีเปรต.ผีเดียวกันมั้ยครับพ่อ.
พ่อครูว่า…เดี๋ยวฟัง
_นพดล ทองโคตร · ผี เป็นอุปาทานคนหลง ยึดว่ามี และเป็นลักษณะเดียวกันกับกามราคะมั้ยครับพ่อครู
พ่อครูว่า… มากันเป็นทิวเลยเรื่องผี อาตมาก็คิดจะเทศน์อยู่เหมือนกันเรื่องผี ใช่ กามราคะนี่แหละผี เดี๋ยวจะได้เทศน์ละเอียดๆ ติดตามฟังดีๆ
_พร…ขออนุญาตกราบเรียนถามข้อสงสัยที่ว่า ..ความรู้ หรือธาตุรู้อย่างวิชชา ที่รู้ลึก รู้ละเอียด โดยการสัมผัสรู้ เป็นการรู้อย่างไร ขอกราบรบกวนช่วยยกตัวอย่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ฟังดีๆตรงนี้ ความรู้หรือธาตุรู้ ธรรมดาคนมีธาตุรู้เรียกว่า ความรู้ สัมผัสก็รู้ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทำงานกระทบสัมผัสมันก็จะรู้ แล้วรู้อันนั้นเรียกว่า ธาตุรู้ทั่วไป ทุกคนมี ถ้าไม่ประสาทตา หู จมูก ลิ้น กายไม่เสีย ประสาทไม่เสีย มีการกระทบก็รู้สิ่งจริงตามความเป็นจริงเรียกว่า ธาตุรู้ ทีนี้รู้อย่างวิชชาเป็นอย่างไรไม่ใช่รู้สามัญเป็นโลกุตระ ปัญญา ญาณ วิชชาเป็นธาตุรู้ที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้น รู้จิตแยกเจตสิกรายละเอียดต่างๆออก เช่น เวทนาก็แยกเวทนาได้ สัญญาก็แยกสัญญาได้ เวทนาก็มีหลายเจตสิกที่ทำงาน ซึ่งเราแยกกันตามที่พระพุทธเจ้าสอนกันมาถึง 108 สัญญาที่จริงมีมากกว่า 10 ที่เคยเรียนกัน เป็นสัญญา 2 สัญญา 3 สัญญา 4 อะไร
สังขารนี่เยอะเลย สังขารภายนอก ภายใน ทางกาย ทางจิตเป็นกายสังขาร จิตสังขารอะไรเยอะแยะ
วิญญาณก็คือองค์รวม เป็นธาตุรู้ เป็นองค์รวมที่เป็นธาตุรู้ เวทนาก็ตาม สัญญาก็ตาม สังขารก็ตามมากมาย ก็ชื่อรวมว่า วิญญาณ มาเรียนรู้วิญญาณ แยกเป็นสภาพสอง ศึกษาทีละคู่ ทีละคู่
ตั้งแต่มันรวมกันเป็นอายตนะ เสร็จแล้วเราก็สามารถแยกเป็นรูปเป็นนามได้เพราะฉะนั้น เริ่มต้นมีผัสสะแล้วมันก็เกิดเวทนา มันก็คือสังขารนั่นแหละ เวทนาปรุงแต่งขึ้นมาแล้วเราก็รู้รายละเอียดของเจตสิก รู้รายละเอียดของตัวตนแยกเวทนาออก จนรู้ตัวตน ตัวจริง ตัวปลอม จริงๆมีตัวอวิชชาเป็นตัวโง่ของเราเองที่มันทำให้เราหลงไปตามนั้น ความไม่รู้ ได้ยินมา กิระดั่งได้ยินมาคือกิเลส กิระฟหรือเอสะ
เสร็จแล้วก็หลงไปตามกัน จนมาได้ยินได้ฟังของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ลบล้างหมดเลยว่า มันไม่มีอะไร
จิตเป็นธาตุรู้ร่วมกันกับตาหูจมูกลิ้นกาย มันรู้จริงๆในขณะปัจจุบันกระทบแล้ว พอรู้ปั๊บมันก็หายไป ไม่มีอะไร(อนัตตา) แต่มันมีสัญญาความจำของเรา พอกระทบแล้วจำได้ แล้วเราก็ยึด ยิ่งไปหลงตามอุปาทานตามที่คนเขาว่าน่าเอาน่ามี ยิ่งยึดใหญ่เลย หรือของนี้ไม่น่าเอาไม่น่าเป็นไม่เอา จะจัดการทำลาย มันก็เป็นพลังงานโง่ที่ทำงานหนักขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้นเรามาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจบแล้วเนี่ย เป็นอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ มันจะชัดเจนเลย อย่างอาตมาพูดไปขยายละเอียดไปได้เรื่อยๆ มันเป็นอัปปมัญญาหรือเป็นสิ่งที่หาประมาณมิได้เลย ปรุงแต่งกันอย่างละเอียดมากมาย อาตมาถ้าอายุสัก 200 ปีอาตมาก็ขยายความไปได้อีก จะตามฟังไหม…ตาม
ถ้า 200 ปีก็อีกร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง ยาวนานไปอีก 100 กว่าปีเอง
อาตมายังมั่นใจว่า ชาวอโศกเราจะอายุยืน ตามดูเอาเองก็แล้วกัน แต่ละคน ใครตายก่อนก็ไม่ได้ดูต่อ ใครอยู่ต่อก็ได้ดูต่อ
วิชชาของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ
_ช่อทิพ หนูทอง · ดิฉันเป็นชาวอโศกมาหลายสิบปี ตอนนี้วิบากกรรมเบาบางแล้ว ถ้าจะทดลองไปอยู่บ้านราช เรียนถามพ่อครูว่า 1.ต้องไปขอนุญาตใครก่อน 2.อยู่อาศัยได้ที่ไหน 3.ลงฐานงานไหน คะ?
พ่อครูว่า… มาเลยมาเลยไม่ยากหรอก มา ง่ายที่สุดมาพบสิกขมาตุกล้าข้ามฝันก็ได้ เดี๋ยวจัดแจงให้ ปัญหาที่คุณสงสัยก็มาพบสิกขมาตุก็ได้ไม่ยาก สิกขมาตุดูแลอยู่ เป็นสิกขมาตุผู้ใหญ่
_ชาญณรงค์ จินดาธรรม · พิธาซื้อลอตเตอรี่ถูกเลขท้าย 2 ตัวคือเลข30…นั่นหมายความว่า เขาจะได้เป็น”นายกทิพย์”ไปอีกแค่30วัน หลังจากนั้นเขาจะได้เป็นว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านไปอีก 4 ปีครับ
พ่อครูว่า…น่าฟังนะคำพยากรณ์อันนี้ Wait and See แล้วจะคอยดู คุณคนนี้พยากรณ์แปลกๆดี แต่ก็ดูมีเหตุปัจจัย
_ซึ้งซื่อ วิเชียร · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ ตอนนี้พ่อท่านได้ประกาศพระธรรมมิกราษฎร์แล้ว ผมอยากกราบเรียนพ่อท่านให้อธิบายคำว่า พระธรรมมิกราษฎร์จะต้องมีศีลขนาดไหนและปฏิบัติกายและจิตอย่างไรจึงจะได้เป็นเช่นนี้ครับ ขอสัมมาทิฏฐิด้วยครับ
กราบนมัสการขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ถามเข้าท่าดี จะรวมไปอธิบายที่บอกไว้แล้วจะอธิบายเรื่องผีเรื่องเทวดา เรื่องมนุษย์ เดี๋ยวค่อยกลับไปอธิบายละเอียด
_narongs.1816 ณรงค์ • รักษ์โฆษกทีวีบางขุนพรหมผูกนาฬิกาด้วยแต่อวดว่าเก่งแสดงโวหารทางธรรมะนิกายใหม่มีมากมายในประเทศไทยกรมศาสนาแลบ้างเปล่า ดูโฆษกแต่งแบบพระ?
พ่อครูว่า… รักษ์กล่าวชื่ออาตมาผิด อาตมาชื่อรัก ไม่มี ษ.ฤาษีการันต์ งานนั้นเลิกมาตั้งนานแล้ว เลิกมา 50กว่าปีแล้ว อวดว่าเก่งอันนี้ใส่ความอาตมา ใส่ความอาตมาว่ามีสาเฐยยะ อาตมาไม่มีความอวดพูดแต่ความจริง ถ้าจะพูดให้ถูกต้องอาตมาพูดความจริงเก่ง
โวหาร คำนี้ไม่ใช่เป็นวาทกรรมโก้ๆ แต่เป็นภาษาที่บอกความจริง อาตมาไม่ได้เป็นนิกาย ใครเป็นนิกายคนนั้นอนันตริยกรรมเอง อย่าเอาเรื่องนิกายมาใส่อาตมา อาตมาจะขอ คนทำนิกายไม่เข้าใจสภาวะนิกายคืออะไร อาตมาไม่ทำนิกาย ใครมาทำให้อาตมาแยกจากสงฆ์ คนนั้นอนันตริยกรรม อาตมาไม่เคย อาตมาพยายามทำตามพระพุทธเจ้าพาทำแต่เขาไม่เข้าใจ อาตมาทำนานาสังวาสตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2518 จนถึงพ.ศ 2532 ผีเข้าอย่างไรก็ไม่รู้ เถรสมาคมโดยเฉพาะผู้รู้ที่เป็นปราชญ์เอกซัดอาตมา ทำอธิกรณ์อาตมาเลยนานาสังวาสทำอธิกรณ์กันไม่ได้อาบัติผิดธรรมวินัย เขาก็มาจัดการกับอาตมาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ต่างๆนานา ล้วนแล้วแต่มิจฉาทิฏฐิจากเถรสมาคมเป็นอกุศลเป็นบาป อาตมาได้แต่สงสารไม่รู้ทำอย่างไร อาตมาถูกทำโดยไม่ตอบโต้ไม่ให้มันแรง เขาก็ทำเอาทำเอาอย่างย่ามใจเพราะความโง่อวิชชาของเขา ขออภัยนะที่อาตมาอธิบายธรรมะนี้เป็นสัจธรรม อธิบายจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วถ้าผู้ที่ตั้งใจฟังธรรมะด้วยดี สุสูสัง ลภเต ปันยัง จะเข้าใจว่านี่เราเข้าใจผิดนะ
50 กว่าปีที่อาตมาแสดงตัวแสดงธรรมตลอด อาตมายังไม่ตายพูดได้แสดงได้ยังมีกำลังมีแรง อาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่มีงานอื่นมีแต่งานนี้แล้วจะไม่ให้อาตมาทำ ไม่ได้ คุณจะบาปหนาด้วยที่จะไม่ให้อาตมาทำ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทำงานนี้งานเดียว 45 พรรษาจนกระทั่งปรินิพพาน เป็นเรื่องสูงสุด เป็นอนุตตริยะอย่างสูงสุดสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาก็มาทำเรื่องนี้
ใครที่เห็นความแตกต่างไม่ได้เป็นเรื่องนิกาย เห็นความแตกต่างไม่ใช่แตกแยก เห็นความจริงให้ได้ เพราะฉะนั้นคนไหนทำใจในใจอย่างถูกต้องกำหนดถูก จิตของเราไม่พยายามไปเพ่งโทษ มันบาปเป็นอนันตริยกรรม ให้มองเป็นนานาสังวาส นานาสังวาสมากก็แตกต่างกันมาก ปฏิโกสนากันได้ค้านกันอย่างแรง ค้านคอแตกก็เรื่องของคุณ ค้านได้ อาตมาค้านอยู่ ตำหนิอยู่อย่างนี้ปฏิโกสนาได้
อย่าไปฟ้องร้องอย่าไปหาเรื่อง อย่าไปทะเลาะวิวาท นี่คือสัจธรรม
คุณไม่รู้เรื่องอะไรก็มาว่าอาตมา อาตมาสาธยายให้ฟังก็ฟังให้ดี คุณระวังให้ดีเถอะไปเห็นนิกายอะไรมากมาย เขาก็แตกต่างกันไป มันก็ยึดถือกันไปสารพัด เดี๋ยวจะได้สาธยายรายละเอียด เรื่องจิตวิญญาณที่อวิชชาอยู่ในนั้นหมด
ดูโฆษกแต่งแบบพระ? กรมการศาสนาก็แล ทำหน้าที่เลี้ยงตัวไปเท่านั้น มาศึกษาดีๆคุณณรงค์ อย่ามองอาตมาผิด คุณจะเสียประโยชน์ ศึกษาดีๆฟังด้วยดีไปศึกษากันไป อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลนโดยเฉพาะ ติเรือด้วยอวิชชา
_PayongsakKongsila พยงค์ศักดิ์ ก้องศิลา • แล้วท่านละเรื่องทางโลกได้รึยัง จิตยังวุ่นวายอยู่ใช่ไหม อืม ไม่น่ารอดๆ เกิดแต่กรรม
พ่อครูว่า…ได้แล้วจริงๆคุณเอ๋ย เรื่องลาภยศสรรเสริญโลกียะ เถรถรสมาคมเขาละไม่ได้ แต่อาตมาสิละได้อย่างสมบูรณ์ ฟังให้ดีนะคุณพยงค์ศักดิ์ เถระสมาคมท่านล่ะ ละเรื่องทางโลกได้หรือยัง ตอบว่าได้แล้ว
อาตมาว่า คุณจิตยังวุ่นวายอีกเยอะ ไม่น่ารอดๆ คุณนั่นแหละไม่รอด อาการน่าเป็นห่วง ไม่รอด ไม่รอด ไม่รอด คุณนั่นแหละเกิดแต่กรรมโดยเฉพาะแค่ทิฏฐิก็ยังไม่สัมมาอะไร เรียนดีๆศึกษาดีๆมองอาตมาในมิติใหม่ดีๆอย่าไปมองในมิติเดิม ตั้งใจศึกษาดีๆตั้งใจฟังธรรมฟังธรรมด้วยดีจะได้ปัญญา ถ้าฟังด้วยเพ่งโทษได้บาปแน่นอน
สู่แดนธรรม… พ่อท่านทำวุ่นให้วายแล้วครับ แล้วก็อยู่กับเขาได้
พ่อครูว่า… ยอดเยี่ยมมากวิจัย อาตมาก็แยกศัพท์แบบนี้เก่ง มหาประยุทธ์ก็ซัดอาตมาน่าดู ถ้าเอาศัพท์มาแยกแล้วเข้าใจสภาวะธรรมที่ดี เช่น นะโมตัสสะ ตัดซะ ถ้าคนฟังเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติได้บรรลุธรรมเลย แต่เขาก็ไปติดอยู่ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ติดอยู่ในความรู้หลักเกณฑ์ซึ่งมันเกิดทีหลังสภาวะ น่าสงสารคนพวกนี้หลงอยู่ในความรู้ แล้วก็เลยชาตินี้ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรก็วิเคราะห์วิจารณ์ไป ใครฟังด้วยดีก็ได้ปัญญา
_@Sayan สายัณห์ …กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ การที่เราทำเกษตรแล้วรู้สึกชอบพืชที่เราปลูก เมื่อพืชถูกแมลงทำลาย รู้สึกว่าจิตตก ขัดใจ แต่ไม่มาก(ปฏิฆะ) แบบนี้หมายความว่า เรายังติดอยู่ในรูปภพใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ดี อ่านจิตตัวเองได้ ใช่ ยึดเป็นเราเป็นของเรา ยึดเป็นภพเป็นชาติ มีเป็นเราเป็นของเรา พืชเรานะ แมลงมาแย่งเจาะของฉันนะ ฉันก็ขัดใจ จิตตกเพราะว่าเรียนมาสูง เราจะฆ่าแมลงก็ไม่ฆ่าสัตว์แต่จิตตก ไม่ชอบใจที่เธอแย่งกินผักฉัน ฉันรักพืชชอบพืช อ่านจิตอย่างนี้ออกดีแล้ว ก็แบ่งกันกินบ้าง จะไม่ให้มันกินเลย มันจะอยู่อย่างไร ทำอะไรที่พอจะแก้ไขไปให้คลายบ้าง มันปลูกไม่เป็นแต่เราปลูกเป็นก็เป็นกุศลเผื่อแผ่กันไป ใจเผื่อใจแผ่กันสิ
เพิ่มพูนการเสียสละไป ทำไปเรื่อยๆก็จะเจริญ เป็นภพเป็นชาติตามที่คุณถามมาว่าใช่ไหม ใช่
ทีนี้มาเข้าเรื่องผี เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องมนุสโส ฟังดีๆ
จิตผี ภาษาไทย ผี ภาษาบาลีเป็นเรื่องของมาร เปรต สัตว์นรก อวินิปาตะอะไรพวกนี้ ตกลึกจนไม่รู้จะลึกยังไง ตกลงไปในที่ต่ำ ในที่เสื่อม ในที่โง่
จิตของเรานี่แหละ มันเป็นอย่างนี้อยู่ในตัวเรา อย่างอวิชชาอย่างจิตผี จิตตกต่ำ จิตไม่เจริญ การเจริญของจิตนั้นขั้นที่ 1 เขาเจริญแบบโลกีย์ มีความเจริญอยู่ 3 ประการพระพุทธเจ้าตรัสไว้ 1. สมมติเทพแปลว่าจิตเจริญ 2. อุปปัติเทพ 3. วิสุทธิเทพ เป็นเทวดา 3 ประการ
สมมติเทพคือโลกีย์
อุปปัติเทพกับวิสุทธิเทพ โลกุตระ จิตเจริญแบบโลกุตระ
มาวิเคราะห์วิจัยเรื่องสมมติเทพ เทวดาโง่สมมุติโลกีย์ นี่เทวดาโง่ เทวดายังไม่เจริญ เทวดาคือจิตของคน จิตในปัจจุบันนี่แหละ จิต
1.ฆ่าสัตว์ คนฆ่าสัตว์นี่ก็จิตไม่เจริญ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์อะไรก็แล้วแต่สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กไม่เจริญ ไม่ใช่มนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพวกตกต่ำ เป็นพวกสัตว์นรก
2.ยังลักทรัพย์ ยังเอาของที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา เป็นทุจริตยังเป็นสัตว์นรกทุจริตมากโกงมาก เอาเปรียบเอารัดมากก็ยังเป็นสัตว์อยู่ ยังไม่ใช่เทวดาเจริญ ยังเป็นสัตว์
3.ยิ่งไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอย่างไปหลงละเมอเพ้อพกกับสิ่งเหล่านั้นแล้วหลงว่าเป็นเทวดา หลงว่าเจริญ หลงว่าได้เสพรส มายา สวย มายา เสพสวยสมใจสุข ปรุงแต่งหนัก ลึกเข้าไปหนัก โง่เข้าไปหนัก ปรุงมาเสพ ปรุงมาหลอกคน ดีไม่ดีปรุงมาขายอีกหลอกมาให้คนซื้อ ยกเป็นของไฮโซราคาแพง พวกนี้พวกมีลักขะ พวกคนเถื่อนคนไม่เจริญ ไม่ใช่อริยกะ เป็นคนเถื่อนแท้
เพราะฉะนั้นในศีล 3 ข้อนี้ ศีลข้อ 4 วาจาเพราะฉะนั้น 3 ข้อเป็นอย่างไร คุณก็พูดอย่างนั้นเป็นวาจา จิตยังงโง่หลงหนักเพราะทำอยู่ 3 ข้อนี้ ถ้ายังฆ่าสัตว์ก็ไม่ใช่จิตมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ผู้ที่จิตสูงแล้ว ยังฆ่าคน ยิ่งไม่ใช่มนุษย์หนักเข้าไปอีก ยิ่งสร้างอาวุธฆ่าคน ยิ่งคนเถื่อนมิลักขะหนักเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้นในมิจฉาวณิชชา5 อย่าง
1.การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2.การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3.การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4.การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5.การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
ถ้าเข้าใจจริงแล้วเลิกเป็นมนุษย์แต่คนที่ยังค้าขาย 5 อย่างอยู่นี้ยังเป็นเดรัจฉานยังเป็นสัตว์ สัตว์ต่ำสัตว์ตกนรกลึก ยิ่งมากหนักเท่าไหร่ยิ่งฆ่าสัตว์สร้างอาวุธฆ่าคนยิ่งบาปหนัก ยิ่งอวิชชาเป็นคนเถื่อนแล้วหลงว่าตนเป็นเทวดา จตุมหาราช ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้เรื่องเลย
อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดความจริงให้ฟัง อาตมาโชคดีที่พูดภาษาฝรั่งไม่ได้ก็เลยไม่มีคนต่างประเทศมาเข้าใจนี่เป็นกุศลของอาตมา ถ้าไม่อย่างนั้นนั่นมันด่ากูนี่หว่า อาตมาเจอแน่ เพราะอาตมาวิเคราะห์วิจารณ์จนถึงพระเจ้า ถึงศาสดาเทวนิยมที่พากันอวิชชา ต้องพูดขออภัยหน่อย แล้วมันเป็นความจริงที่ต้องขออภัยเพราะมันเป็นมารยาท เขาเชิดชูบูชาเพราะเขาเข้าใจเช่นนั้น เขาทำอย่างนั้นจริง ซึ่งมันก็ต้องพูดกัน จะว่าเป็นการข่ม เป็นการตำหนิก็ถูก เป็นนิคคัณหะ
หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ศีล 5 เป็นศีลที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์จิตเจริญ เอาศีลมาอธิบาย อาตมาอธิบายธรรมะชั้นสูงนะเอาศีลมาอธิบายก่อน ในศีลนี่แหละเป็นอภิธรรมที่ลึกซึ้ง จะขออธิบายต่อไปนี้
ศีลข้อที่ 1 ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ อธิบายแค่นี้แหละเดี๋ยวจะขยายความ
-
ละการฆ่าสัตว์ คุณยังฆ่าสัตว์อยู่ คุณยังเป็นผี ยังเป็นสัตว์ชั้นต่ำ คนที่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอามารักมาชังก็ยังเป็นกรรมวิบาก สัตว์เขาก็อยู่ไปตามประสาเขา ตามวิบากเขา เรามีวิบากมาเยอะไม่ว่ากับสัตว์หรือกับคน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานต่างๆ คุณก็กินเขามาหนัก ฆ่าเขามาหนัก เลิกซะเถอะชาตินี้ ฟังอาตมาหน่อย เลิกเสียได้ คุณจะได้ตัดบ่วงกรรม ตัดกรรมบ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์ เทวนิยมเขาไม่รู้เรื่องของกรรมวิบาก การไม่กินเนื้อสัตว์ เขาก็นึกแค่เป็นการกินเพื่อสุขภาพหรือเพื่อแฟชั่น เขาไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบากที่ซับซ้อนลึกซึ้งมากที่สุดเลย
อาตมาขอซ้ำ เคยพูดอธิบายหลายทีแล้วในชีวกสูตร ซึ่งเป็นบาป 5 ประการ บาป 5 ประการนี้ที่เกี่ยวกับสัตว์
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
เริ่มต้นตั้งแต่ที่สัญจิจจะ ปานังชีวิตา โวโรเปตุง จิตมีสัญญาสัญญาที่มีทิศทางจะไป ไปเกี่ยวกับปาณาชีวิตต่าง ไปเกี่ยวกับชีวิตจิตวิญญาณของสัตว์
ผู้ที่สัญญาของคุณเริ่มต้นในทิศทางในชีวกสูตรข้อที่ 1 เป็นบาปเป็นอันมาก
ท่านเพี้ยนไปแปลว่าจิตที่เจาะจงบุคคล จริงๆแล้ว ปานังชีวิตาไม่ใช่หมายความตื้นๆแค่เจาะจงบุคคล แต่เจาะจงต่อชีวิตไปมุ่งร้ายต่อปานะ จิตวิญญาณของชีวิต จิตวิญญาณมีทิศทาง
กล่าวชื่อสัตว์โดยมีจิตตัวนี้เป็นจิตเริ่มต้น บาปเป็นอันมากข้อที่ 1 แล้ว ฟังให้ดีมันละเอียดมากนะที่พูดนี้ สัญจิจจะ กล่าวชื่อสัตว์เท่านั้นบาปแล้ว
-
ไปจับมันมา แค่กล่าวชื่อนั้นบาปแล้ว นี่แหละจิตมุ่ง จิตเฉพาะเรื่องนี้ เรื่องเลวร้ายนี้ ไปแปลเบี้ยวบาลีว่า เฉพาะบุคคล ถ้าเผื่อว่าบริสุทธิ์โดยส่วน 3 ข้อที่ 1.กล่าวชื่อ ข้อที่ 2.ไปจับมันมา
ข้อที่ 3 บอกให้ฆ่า สั่งฆ่า บาปมาเป็นลำดับมากขึ้นๆ ข้อ 4 ฆ่าให้ตาย
เห็นไหมว่าเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระภิกษุ พระพุทธเจ้าบาปหนักมาก ไม่ใช่อาตมาพูดเอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน แต่คนเข้าใจไม่ถึงธรรม
ถ้าใครเข้าใจอย่างนี้ ใครจะไปฉันเนื้อสัตว์ ใครจะไปกินเนื้อสัตว์ มันเป็นวิบากกันและกัน เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ก็ยังโง่ ยังเป็นผี เป็นสัตว์นรก มันก็ยังบาป ยังตกนรกเพราะแม้แต่กิน แล้วไปแก้ตัวว่าพระพุทธเจ้าสอนว่ากิน สักแต่ว่าอาหาร ไม่ได้กินชิ้นเนื้อกินใส่ปาก มันเป็นการเลี่ยงบาลี ท่านไม่ได้แปลแต่ว่าจะกินอาหาร ท่านไม่ให้กินเพื่อไปติดรส ไม่ให้กินเพื่อมัวเมา แล้วกินเนื้อสัตว์บอกว่าไม่ติดรส ไม่มัวเมาขี้หมาแหนะ
แม้คุณไม่กินเนื้อสัตว์ กินมังสวิรัติ คุณยังกินมัวเมา ยังติดรสอยู่ให้คุณปัจจเวกขณ์ แล้วยังมาตีขลุมมาแปลว่า กินเนื้อสัตว์ไปเถอะ แล้วเอามาแก้ มันคนละขั้นตอนกันเลย มันคนละระดับกันเลย จิตยังหยาบแล้วมาตีความพวกนี้ แล้วให้ตัวเองทำหยาบๆอยู่ แล้วก็อ้างอิงไปใหญ่ ว่าสมัยพระพุทธเจ้า พระเทวทัตยังขอให้ฉันมังสวิรัติ พระพุทธเจ้าไม่ตั้ง หาว่าพระพุทธเจ้ายังฉันเนื้อสัตว์
ถ้าพระพุทธเจ้ายังฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้วจะออกกฎมาให้สาวกเลิกฉันเนื้อสัตว์ได้อย่างไร แค่นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว
เพราะท่านเจาะช่องให้ ไม่เช่นนั้นจะบีบคั้นเกินไป
_สู่แดนธรรม…มันมีกรณีบางกรณีเปิดช่องให้ภิกษุ
พ่อครูว่า…ท่านบอกว่าผีเข้าอย่างนั้นผีเข้า จิตวิญญาณต่ำ
มนุษย์มันเป็นอย่างนั้นเหมือนพวกติดยา ไปแย่งมัน มันฆ่าตายเลย ทำเป็นเล่นไปเถอะ
_สู่แดนธรรม…ทีนี้มาเรื่องเมตตาสัตว์
พ่อครูว่า…ไม่ฆ่าสัตว์ เมตตาสัตว์ วางอาวุธ วางศาสตรา ฆ่าสัตว์เดรัจฉานไม่เท่าไรแต่อาวุธที่ฆ่าสัตว์คน ฆ่าสัตว์เดรัจฉานไม่เท่าไรเขาวางไหม คือท่านตรัสอย่างผู้ดีว่า คนคือสัตว์ใหญ่ สัตว์ที่ไม่ควรฆ่า ถ้าคุณไม่ฆ่าสัตว์อื่นๆแล้ว คุณไม่ฆ่าหรอกคน มันบาปหนักกว่าฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าพระพุทธเจ้ายิ่งมีอัตราบาปหนักขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีปัญญารู้แม้กระทั่งเรื่องสัตว์เรื่องคนแล้วก็สร้างอาวุธฆ่าคน นี่คือผีขโมน ผีโหดร้าย ผีมิลักขะ ผีคนเถื่อนคนป่าคนไม่เจริญ
เทวนิยมไม่รู้เรื่องนี้น่าสงสารเขา สอนเขาไม่ได้ แก้ไขไม่ได้เพราะมันสุดวิสัย คนพวกนั้นไม่มีปัญญา ไม่มีภูมิพอจะรู้ ไม่มีบารมีพอจะมารู้ศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาผู้ดี เป็นศาสนาชั้นสูง classic
เพราะฉะนั้น ถ้าศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่เสื่อม ศาสนาพุทธที่เข้าใจโลกุตระอย่างที่อาตมาอธิบาย ถ้าสงฆ์ส่วนใหญ่อธิบายธรรมะเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมาอธิบายเป็นตัวอย่างโลกคงจะเจริญมาก โลกจะยกย่องเชิดชู
แต่เอาเถอะสักวันหนึ่งผู้ที่มีภูมิปัญญาจะเห็น จะเห็นยอดสุดยอดของมนุษยชาติ
แม้แต่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคนเท่านั้น จิตใจเขาก็สุดยอดประเสริฐแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ วางศาสตรา ไม่สร้างอาวุธฆ่าคน มีความละอาย รู้ว่าเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆเลย คุณแสดงความโกรธออกมาก็น่าละอาย แต่คนไม่มีหิริ ไม่มีความละอายก็แสดงความโกรธเฉย อย่างนี้ก็ต้องโกรธสิ ถ้าไม่โกรธก็ไม่ใช่คนแล้ว อย่างนี้คุณเป็นสัตว์นรก
ถ้าคุณเป็นมนุสสโส ผู้ที่มีจิตสูง คุณไม่ผีเข้าอย่างนั้นหรอก โกรธนั้นผีเข้าแล้ว แม้แต่คุณไม่ใช่โกรธ รักชอบเสพ เป็นผีแปลงตัวจากทุกข์เป็นสุข คุณวิปลาส เป็นคนยังวิปลาสในข้อที่เห็นทุกข์เป็นสุข
วิปลาส 4 มี 1. เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง 2. ไม่มีตัวตนเป็นตน 3. เห็นทุกข์เป็นสุข 4. เห็นไม่งามว่างาม ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น ไปแปลคำว่างามมันยาก ไปหลงว่ามันเป็นสุภะ
เพราะฉะนั้น พวกเรามาเรียนถึงขั้นปรินิพพานแม้แต่การมีปานังชีวิตตาก็ไม่น่าเป็นแล้ว เพราะฉะนั้นทำตนให้เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีเชื้อชีวิตปานังชีวิตตังก็ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นผู้ที่วางอาวุธ วางศาสตรา มีใจละอาย เอ็นดู ไม่ทำลายสัตว์ ไม่ทำลายมนุษย์ มีใจเมตตากรุณาเอ็นดู จริงๆแล้วอาตมาก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังมองพวกที่ยังสร้างอาวุธฆ่าคน ยังไม่เอ็นดูเขา ใจยังไม่เอ็นดูเขา มันเอ็นดูไม่ไหว เอ็นดูไม่ลง อาตมาไปเห็นคนสร้างอาวุธ มันยังทำไม่ได้ มันยังเห็นไม่ได้ จิตยังไม่ถึงขั้นอย่างพระพุทธเจ้าท่าน
_สู่แดนธรรม…แล้วพ่อท่านสงสารเขาไหมครับ
เอ็นดูมาจากกรุณาสงสาร
พ่อครูว่า… กรุณาคือการกระทำ กระทำให้เขาเลิกจากบาป ให้เขาเลิกจากไปหลงสุขหลงทุกข์ แค่ดีแค่ชั่วเทวนิยมเขาก็สอน ให้เลิกชั่ว ประพฤติดี แต่มาเลิกสุขหรือเลิกทุกข์ที่แหละ เพราะมันพูดกันรู้ง่าย เลิกทุกข์มันรู้ง่ายแต่เลิกสุข เลิกทำไมวะ มันยากกว่า แต่พวกเราเข้าใจ แล้วสุขกับทุกข์มันมายาหลอกเรา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีจิต ไม่มีกิเลสแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้วเรียกว่า อุเบกขา ปริสุทโธปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น จิตไม่มีกิเลสก็สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีสุขไม่มีทุกข์
อาการของจิตไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นอรหันต์กับอาการไม่สุขไม่ทุกข์ของเดียรถีย์ก็ทำได้เหมือนกัน จิตไม่สุขไม่ทุกข์ เขากดข่มทำหลอกตัวเอง ทำจนกระทั่งตัวเองไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะการกดข่ม เพราะการหลอกตัวเองไว้ เช่น พวกลืมตาใช้สติ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันเป็นสามัญลักษณ์ปล่อยวางใครจะเป็นยังไงช่างหัวมัน เราจะเป็นยังไงช่างหัวเรา มันก็โง่เอาอะไรมาประเล้าประโลมใจไปเฉยๆ ไม่ได้เจาะลึกเข้าไปถึงอาการของจิต อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ ไม่ได้เจาะเข้าไปถึงจิตพวกนี้ และไม่ได้แยกแยะ เหตุแห่งทุกข์เหตุแห่งสุข
ให้รู้อาการของกิเลสนั้น เลิกกิเลสนั้น จิตจึงจะไม่สุขไม่ทุกข์อย่างแบบสัมมาทิฏฐิด้วยปัญญาแล้วเลิก ไม่ใช่ไปเที่ยวกดข่ม(วิขัมภนะ)กับปัสสัทธิ วิขัมภนะก็กดข่มเป็นสมถะได้
ปัสสัทธิ เห็นจริงเห็นจังแล้วก็ระงับ ปัสสัมภยัง เป็นการระงับเป็นการสงบ ไม่ใช่ไปวิขัมภนะแล้วสมถะกันอยู่
วิปัสสนา เห็นอย่างยิ่ง เห็นด้วยการเกิดปัญญาญาน ในขณะที่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส เปิดรู้ มีกายมีจิต
การพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม นี่เป็นโลกุตระสมบูรณ์แบบ เมื่อคุณมีศีล
ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็พิจารณากายในกาย จิตมีจิต ธรรมในธรรมเกี่ยวกับสัตว์ แล้วคุณเกิดเวทนาอย่างไร กระทบแล้วคุณก็อยากกินเนื้อสัตว์ กระทบแล้วคุณก็ไม่ได้วิจัยวิจารเวทนา ความรู้สึก แยกกิเลสไม่ออก ไม่รู้บาปรู้บุญที่เกี่ยวกับสัตว์ ไม่ละอายเลย ไม่เอ็นดู ไม่กรุณา ไม่หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
คำว่า หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาตมาอธิบายหลายทีแล้วว่า ทุกเซลล์ทุกจุติที่มันเป็นชีวะขึ้นมาแล้ว จิตนี้เริ่มจุติจากพืชมาเป็นสัตว์แล้วอัตภาพของจิตตัวนี้อาจจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้ คุณไปทำร้ายเขาทำไม อาตมาเทศน์ไปกี่ทีแล้วจำได้ไหม
นี่คือหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ อาตมามีจิตหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่อย่างนี้ ปล่อยเขาเซลล์ที่เป็นจิตนิยามแล้ว พืชนี่แหละกินเข้าไปสิ ไม่ก่อบาปก่อเวร
เพราะฉะนั้น ศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่อธิบายเขายากมาก มันไม่มีภูมิที่จะรับ ไม่มีภูมิที่จะรู้เรื่อง อิสลามเขาก็ดีเริ่มดีขึ้นมาจุดหนึ่งคือเขาไม่กินหมูได้อย่างเดียว ละเว้นไม่กินสัตว์อย่างเดียว หมู ก็เริ่มแล้วนะ ส่วนคริสต์เขาก็มีลัทธินิกายไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาไม่อยากจะพูดต่อไปว่า อาตมามีเพื่อนอิสลาม ไปนั่งกับเขากินก๋วยเตี๋ยวหมู เฮ้ย…อย่าพูด ก็เพื่อนกันกับอาตมาเป็นอิสลามตั้งหลายคนเรียนด้วยกัน ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ก็เป็นที่รู้กัน เราก็ไม่พูดเพราะศาสนาพุทธ ฟก็กินไป ขออภัยที่เอามาเปิดโปง เป็นเรื่องจริงก็ดีเป็นจิตกุศลอย่างหนึ่งให้ละเว้นเนื้อสัตว์นะแต่ขอหมูอย่างเดียว ไม่รู้เหตุผลอะไร แต่ก็ไม่กินเนื้อหมู
_สู่แดนธรรม…ไม่กินหมู แล้วก็ไม่กินสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
พ่อครูว่า… เขาก็เริ่มดี เขาไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่กินหมู ส่วนคริสต์ก็มีนิกายที่เขาไม่กินเนื้อสัตว์
สมณะเดินดิน… พวกเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส (Seventh-day Adventism)
พ่อครูว่า… ก็ดี ก็เริ่มไม่กิน หลายเผ่าหลายหมู่อยู่
มาพูดถึงสมมติเทพ ยังวนเวียนอยู่ในบาปเวรทุกข์สุข เป็นเทวดาขี้เก๊ เทวดาไม่จริง เทวดาโลกียะต่อให้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง คุณก็จะต้องเวียนวนอยู่ในนรกสวรรค์ ยังกินเนื้อสัตว์ ยังฆ่าสัตว์ ศาสนาที่เขาไม่ฆ่าสัตว์เลยมีไหม ศาสนาอื่น ไม่นะ ศาสนาพุทธนี่ข้อ 1 เลยศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ มีฮินดู ฮินดูเป็นศาสนาเก่า ต้นตอของศาสนาพุทธนี่แหละ
เทวดาหมายถึงจิตสูง แต่จิตสูงในความหมายของเทวดานั่นคือเทวะแปลว่า 2 เขายังแยกไม่ออกว่า 2 นี่คือ
ถ้าเทวดายังติดสุข ยังมีสวรรค์ ก็เป็นเทวดาสมมุติยังไม่รู้เรื่อง ถ้าจะเป็นเทวดาก็ขอเป็นเทวดาสวรรค์ เป็นอุปาทาน เป็นจตุมหาราช เลวร้ายเพราะจะต้องสร้างอำนาจให้ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าโลกทั้ง 4 ทิศ จตุมหาราช
ถ้าได้มาดังใจเป็นดาวดึงส์ เป็นเมืองสวรรค์ที่สมใจ เป็นอาการที่ 33 ตวติงสะ ซึ่งเป็นอาการเก๊ไม่มีจริง คนมีแค่อาการ 32 เพราะฉะนั้นอาการอีกหนึ่ง เก๊ สมมุติเอาแล้วก็นึกว่าเป็นจริงแล้วคนก็เป็นจริงนั่นแหละผีหลอก เป็นเทวดาหลอกคุณ ผีแท้ๆ หนักกว่าผีปอบ ผีกระสืออีก
ผีกระสือนี้เลือกกินลำไส้เลยนะ ชอบกินเครื่องใน ผีเปรต เปตูผู้ตกต่ำ เปตะ ผู้โง่ผู้ตกต่ำ เดรัจฉานพวกขวางทางนิพพาน ยังไม่เจริญ อวินิปาต พวกขี้กลัวจะทำดี พวกขี้กลัวจะมาเป็นชาวอโศก เป็นพวกอสูรทั้งนั้นอสุรกาย นอกจากอสูรกายขี้กลัวแล้วยังขี้โง่ด้วยโง่น่ะ ไม่เข้าใจสิ่งที่ควรใกล้แล้วก็ไม่มาใกล้แย่เลย เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่รู้จักความเป็นมนุษโส ยังหลงเทวดาหลงผีอยู่ ถ้าชั่วก็ว่าเป็นผี ถ้าดีก็ว่าเทวดาแค่นั้นเอง เข้าใจง่ายๆตื้นๆแต่เป็นโลกียะ ก็ดีไปขั้นหนึ่ง ไม่ทำชั่ว ไม่เป็นสัตว์นรก ไม่เป็นผี แต่ก็เป็นผีฆ่าแกงคนอยู่ทุกวันนี้ เทวนิยมเขาไม่รู้เรื่อง แต่พุทธรู้เรื่องแล้ววางศาสตรา วางอาวุธแล้วมีแต่เอ็นดูกรุณา หวังดีเอ็นดูสัตว์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ เมืองไทยจะเป็นตัวอย่างที่มีคุณธรรมอันคลาสสิคอันนี้ เป็นโลกุตระธรรม ศีลข้อ 1 นี่แหละ แต่ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจแล้ว ปฏิบัติศีลอะไร ไปเรียนบวชให้ได้ตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในวงการศาสนา เป็นอนุศาสนาจารย์เลี้ยงชีวิตไปชาติหนึ่งๆ ก็เป็นโลกีย์อยู่อย่างนั้น
ผู้ที่ออกมาบวชก็เพราะว่ารู้เวทนาตั้งแต่มโนปวิจาร 18 เรียนรู้ทุกข์ ออกจากทุกข์ตั้งแต่กาม ปฏิฆะ แล้วรู้ว่าทำจางคลายได้ แต่เขาไม่ได้รู้ถึงขั้นปัญญา ญาณ ละเลิกจิตเจตสิก เรียนรู้สุขทุกข์
เนกขัมมะคือออกจากสุข ออกจากทุกข์ ท่านไปบอกว่าออกจากกาม ก็กามนั่นแหละมันใคร่อยาก อยากได้สมใจก็สุข ไม่สมใจก็ทุกข์
แค่ “อยาก”เป็นเหตุของสุขทุกข์ออก ได้เนกขัมมะข้อแรก ออกจากสุขทุกข์ ตั้งแต่เริ่มต้นการออกจากกามก็ไม่ได้เรียนรู้จริง ไม่ได้มาปฏิบัติจริง พวกเรามีบารมีเรียนมา ยังมีคนที่ติดตามฟังอาตมาอย่างน้อยไม่มีอคติ แต่ก็ถูกเถรสมาคมไปครอบงำไว้ว่าโพธิรักษ์ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ถูกเขาครอบงำง่ายๆก็ไปเชื่อเขา ก็ไม่ได้ฟังธรรม หรือฟังก็เพ่งโทษไม่มีความยินดี ไม่มีความพอใจที่จะฟัง แต่ถ้าคุณฟังด้วยฉันทะ ฟังแล้วมนสิการไป ทำใจในใจโดยมีผัสสะเป็นปัจจัยเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง แล้วคุณก็ปฏิบัติ เป็นสมาธิได้ สติคุณก็จะใหญ่ขึ้น ปัญญาคุณก็จะอยู่เหนือ(เน็ตติดขัด) สุดท้ายคุณก็เป็นอรหันต์ ในมูลสูตร 10
คำสอนพระพุทธเจ้าถ้าอธิบายแล้วฟังดีๆจะเข้าใจ อาตมาขยายความให้เข้าใจดีๆ จะได้อนิสงฆ์ 5 ประการในการฟังธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
พวกเราฟังธรรมแล้วเข้าใจก็จะได้ปฏิบัติประพฤติจริงๆ พวกคุณเป็นคนเจริญ เป็นอริยบุคคลจริงๆที่อาตมาพูดอย่างนี้ ไม่ใช่มายกย่องป้อยอยอเล่นๆ มันเป็นสัจจะ เป็นผู้มีปฏิภาณปัญญา อย่างญาดาคนนี้ก็เป็นไฮโซ เสร็จแล้วก็มาอยู่อย่างนี้ ผมเผ้าก็ไม่ย้อมแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วก็ หงอกได้ที่ไหน ย้อมเจ้าซะเลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่หัวซาแล้ว ผมจะหงอกก็ช่าง ผมมันก็เป็นไปตามธรรมของมัน ผู้ที่ได้เข้าใจทิศทางความเป็นจริงของชีวิต เลิกไปหลงเทวดาเลิกไปหลงเป็นผี มาเป็นมนุสโส คนที่ยังไม่มีศีล 5 ยังไม่ใช่มนุสโสยังไม่ใช่คนเจริญ ยังไม่ใช่อริยกะ พวกสร้างอาวุธฆ่าคน ฆ่าอะไรอยู่สร้างสิ่งที่มอมเมา ยังงมงายอยู่ในเรื่องของสัตว์ สิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่มอมเมาปรุงแต่งกัน เห็นแล้วอาตมาก็ว่ายากจริงๆ อย่างรายการโทรทัศน์นี่ชวนกันปรุงแต่งไปกิน “ชีพจรลงพุง” Eater อาตมาแปลว่าจอมแดก แสวงหากิน มันอร่อย มันสุดยอด มันมัวเมา มอมเมาสุดยอด ศีลข้อ 3 ไม่เคยรู้สึก ไม่เคยสังวร แม้แต่บวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้ว “อาหารวันนี้อร่อยโยม” ตายๆๆๆ ไม่ได้เข้าใจไม่ได้รู้เรื่อง บวชมามันน่าละอาย ไม่มีความละอายเลยแม้แต่เรื่องรสอาหาร นี่ก็วิจารณ์ให้ฟังถึงเรื่องสัจธรรมต่างๆ ก็เป็นการตำหนิ พูดให้รู้เรื่อง ให้สังวร ให้ระวัง พูดให้เนกขัมมะ เป็นฆราวาสก็เนกขัมมะได้ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ละกาม ละปฏิฆะ ละกิเลสไป
เพราะฉะนั้น ผู้อุปปัติเทพคือเทพที่รู้จักการเกิดของจิต โอปปาติกะโยนิ อุปปัติเทพ จิตเรามีกิเลสและเราก็รู้จักกิเลส จนกระทั่งสามารถเห็นชัดเจนว่ากิเลสนี้น่าละอาย กิเลสนี้น่ากลัว หิริโอตตัปปะศรัทธา ปัญญาเจริญเข้าที่เลย ก็ลดละ ลดละมา พยายามพากเพียรแม้จะเห็นว่ากิเลสมันยังยึด ยังติด มันยังมีอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งจิตของคุณเป็นกลาง
อย่างอาตมานี้ พยายามดึงความอร่อยขึ้นมา กินอาหารก็พยายามบอกปรุงมาเลยสุดฝีมือ ยกเว้นเผ็ดอย่างเดียว เขาก็พยายาม ทำไมปรุงรสมายังไม่เห็นอร่อยสักที ใครจะปรุงรสอาหาร
อร่อยๆให้อาตมาลองดูเลยจะให้รางวัล ปรุงมา อย่างว่าล่ะเดี๋ยวจะโดนเซ็นเซอร์ ลองดู อย่าให้มันเป็นพิษเป็นภัยมาให้ อาตมาฉัน
อาตมาว่าเดี๋ยวอาตมาจะภูมิคุ้มกันแย่พอดี ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มันก็ไม่มีปัญหาหรอก มันก็มีธาตุอาหารที่สมบูรณ์แบบ มันก็ใช้ได้ทุกอย่าง มันมีหมดแหละจะว่าไปแล้ว
_สู่แดนธรรม… ถ้าอาหารรสอร่อยแล้วจะมีผลดีกับพ่อท่านอย่างไรครับ
พ่อครูว่า..มันก็จะกินดีไม่ทรมาน อาตมากินข้าวบางที 2 ชั่วโมง มันไม่ถูกรสอะไรเลย มันก็กินยากไงไม่อร่อยเลย มันไม่มีรสอร่อย รสอร่อยมันตายไปจากจิตอาตมา อันนี้อาตมาพูดแล้วก็เหมือนคนดัดจริต เล่นลิ้นทำโก้ อาตมารู้เวทนาของอาตมามันมากเกินไป มันเวอร์ มันเลยเถิด มันควรจะต้องมาเข้าใจ เห็นเขาอร่อยก็อนุโลมกับเขาบ้าง แต่เราไม่ติดแล้วล่ะ ทำอย่างไรก็ไม่ติดแล้ว แต่เขาก็ว่าเขาปรุงมาเต็มที่นะรสอร่อยของเขา แต่อาตมามันทิ้งหมดเลยรสอร่อยของใครก็ทิ้ง อาตมาก็เลยยังไม่อร่อยสักที
_สู่แดนธรรม…พ่อท่านฆ่าผีหมดแล้ว ผีที่เป็นอารมณ์
พ่อครูว่า… ใช่ ผีที่เป็นเทวดาก็ไม่มี อาตมาเป็นจิตที่วิสุทธิ อาตมาพูดง่ายกับพวกเรา แต่กับคนอื่นเขาจะหาว่าหลงตัวหลงตน
วิสุทธิเทพ คือ ผู้ที่บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีแม้สุขทุกข์ ไม่มีแม้บาปบุญ อาตมาก็เป็นอรหันต์จริงๆไม่ได้พูดเล่น ทุกวันนี้อาตมาก็สบาย ไม่ได้มานั่งมังกุ ไม่ได้เหนียมเขิน พูดด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ พูดธรรมะทุกอย่างสะดวก ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย
_สู่แดนธรรม..มันคงมีผีหลอกที่ละเอียดลออมากอยู่
พ่อครูว่า… ใครจะทำเป็นผีมาหลอกอาตมาได้บ้าง ก็ลองดูสิ
_สู่แดนธรรม…ผีที่เราหลอกรู้ได้ยากที่สุดก็คือวิสุทธิเทพปลอมอรหันต์ปลอม อันนี้ถือว่าเป็นผีชั้นสูงได้ไหมครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า… มันคงไม่ได้หรอกก็ไม่รู้ก็ลองดูสิ ปลอมอยู่คุณจะไปเรียกว่าวิสุทธิได้อย่างไร วิสุทธิมันไม่ปลอมแล้วสุทธิ เอาพยัญชนะมาเบี้ยวบาลี คุณเอาเก๊ไปใส่วิสุทธิเขาได้อย่างไร อาตมาแยกอรหันต์เก๊ได้ ถึงได้พูดถึงได้บอก ว่าเก๊
เพราะฉะนั้นการฉันมื้อเดียว มีคนค้นพระสูตรต่างๆให้
รวมพระสูตร ภิกษุฉันมื้อเดียว
1.จุลศีล(เล่มที่ 9 ข้อที่ 1)
2.วิตถตสูตร (อุโบสถ ๘ ประการ ) (เล่มที่ 13 ข้อ132)
3.กีฏาคิริสูตร คุณของการฉันอาหารน้อย(เล่มที่ 13 ข้อ 222)
4.กกจูปมสูตร ประโยชน์ของการฉันอาหารมื้อเดียว(เล่มที่ 12 ข้อ 263)
5.อุโปสถสูตร (เล่ม 20 ข้อ 510 )
6.ภเวสิสูตร (เล่ม 22 ข้อ 180 )
7.พระภัททาลิฉันอาหารหนเดียวไม่ได้ (เล่ม 13 ข้อ 161)
(ภัททาลิไม่เห็นด้วยที่ทรงบัญญัติให้ฉัน 1 มื้อ ต่อมาได้ยอมรับ)
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าให้ฉันมื้อเดียวมีพระสูตรต่างๆที่ได้อ่านไปแล้ว แม้แต่ในจุลศีลก็มีอยู่ชัดๆ แต่เขาบอกว่าไม่มีพระพุทธเจ้าบอกให้ฉันมื้อเดียวมีที่ไหน แม้แต่ศัพท์ที่เขาว่าให้ฉันแต่ที่นั่งแห่งเดียวเขาก็ยังไม่รู้ ฉันมื้อเดียวนี่ก็เหลือแหล่แล้วชีวิต
แต่อาตมาบำเพ็ญมาก จนกระทั่งกลายเป็นยังยากที่จะกลับคืนมา สัญญาณมันดึงกลับคืนยาก ในจุลศีลก็มีบอกว่าฉันมื้อเดียว
สมณโคดมฉันหนเดียว ฉันหนเดียวอยู่ในจุลศีล ข้อ 6 พระไตรปิฎกเล่ม 9
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นผีหรือเป็นเทวดา ถ้าเข้าใจเทวดาสมมุติแล้วลดเทวดาสมมุติ ไม่ไปหลงเป็นจตุมหาราช มายา นิมารดีอะไรพวกนี้
สวรรค์ก็คือแดนหรือภพ คนที่ยังไม่เข้าใจว่าต้องเลิกสวรรค์นี่แหละคุณจึงจะเลิกนรก เขาก็ไปสอนกันแต่ให้เลิกนรกหรือเลิกทุกข์แล้วเขาก็ไม่เข้าใจว่า เรื่องสุขเรื่องทุกข์เป็นสิ่งเดียวกัน มันก็เลยไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางจะหลุดพ้นอะไรได้ พวกเราเรียนดีๆเทวะแยกให้ออก 2 อย่างนี้มันแยกไม่ได้ สุขกับทุกข์ แม้แต่กายเรื่องภายนอกภายในก็แยกไม่ได้ เพราะเทวะแปลว่า 2 เพราะฉะนั้นจะมาแยก 2 ได้ต้องเข้าใจว่าอาการ 2 อยู่ใน 1 สุขเป็นหนึ่งหรือทุกข์เป็นหนึ่ง แต่สุขทุกข์มันอยู่ด้วยกัน เผลอไม่ได้ เผลอปั๊บมันเป็นมายาหลอกเลย ต้องสิริมหามายา ผู้ใดทำจิตให้เป็นสิริมหามายาได้ เท่ากับผู้นั้นเป็นสิทธิธัตถะ สิริมายาก็เป็นสิทธัตถะ ทำจิตตัวเองให้เกิดเป็นสิทธัตถะ สิทธัตถะคือผู้ที่เลิกกิเลสตัณหาได้หมดสำเร็จแล้ว เป็นผู้สำเร็จในสิทธัตถะในเรื่องของกิเลส ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะมาเป็นสิริมหามายานี่ คุณจะอยู่กับสุขกับทุกข์ คุณจะอยู่กับโลกเขานี่อย่างอนุโลมปฏิโลม ได้เหมือนเล่นกล แต่ไม่เล่นกลหลอกคุณอยู่จริง อย่างอาตมาอนุโลมกินอร่อย จะมาว่าอาตมาไม่ติดเพราะเป็นสิริมหามายามีสิทธัตถะอยู่กับตัวแล้ว สิทธัตถะคือผู้ที่สำเร็จแล้วในการทำกิเลสตัณหาออกหมด นี่แปลภาษาให้ฟังไทยๆง่ายๆ
_สู่แดนธรรม...แปลว่าผู้มีความสำเร็จในประโยชน์อยู่
พ่อครูว่า…ก็ได้ เป็นผู้ที่หมดแล้วเรื่องกิเลสตัณหาของท่าน เป็นผู้ที่สำเร็จหมดแล้ว
ผู้สำเร็จประโยชน์อะไร ในคนเรามีประโยชน์อย่างยิ่งอะไร คุณไปล่าลาภ ได้ลาภเยอะเป็นประโยชน์ โอ้คุณจะหลงอยู่อีกนาน อีกกี่ชาติไม่รู้ น่าสงสารคนที่มาบวชเป็นภิกษุ ได้ลาภมาโดยการครอบงำเขา ขออภัยนะพูดชัดๆหลอกให้เขามาทำทาน หลอกให้เขามาบริจาค รวยลาภยศเละเลย มหาบัวนี้ยังดีอยู่อย่าง หลอกให้เขามาทำทาน แต่ไม่เอามาไว้เป็นของตัว แต่เอาไปฝากไว้ในคลังของประเทศเป็นดอลลาร์บ้าง เป็นทองคำบ้างเต็มประเทศ มหาบัวติดไปเป็นตัวกูของกู สมบัติของประเทศ ข้าเป็นคนหาเข้าคลังนะ เป็นตุ๊กแกเฝ้าทรัพย์ เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ภาคภูมิใจมากเพราะทำงานอันนี้ ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเพราะทำงานอันนี้ จนกระทั่งสถาบันรับเชื่อมโยงเลย ซึ่งมองในโลกียะก็ดูดี แต่มองในโลกุตระแล้วมหาบัวก็บอกว่าหลงกระทั่งเป็นอรหันต์ เพราะโลกียะพวกนี้ครอบงำจิตตัวเองว่าตัวเองทำสำเร็จยิ่งใหญ่ แล้วไปหลงหลับตาปึ้งบรรลุ แล้วจำวันที่เวลาบรรลุได้ด้วยนะ ซึ่งมันเป็นเดียรถีย์แท้ๆเป็นโลกโลกีย์ ขอย้ำอีกทีว่า หยุด อวิชชาเป็นผี อย่าไปหลงผีเป็นเทวดา อย่าไปหลงหลับตา เป็นเดียรถีย์ จะหลงเช่นนี้ก็เป็นตัวอย่างกันอย่างนี้ ขออภัยอาตมาวิพากษ์วิจารณ์หนัก ก็เอาก็วิพากษ์วิจารณ์มานานแล้วไม่อยากให้เป็น
อาตมาสงสารก็เห็นอยู่ว่าจมอยู่ในวัฏสงสาร จมอยู่ในมิจฉาทิฏฐิและอวิชชาอยู่ ใครจะกล้ามาว่ามหาบัวอย่างนี้บ้าง ว่าออกอากาศถ่ายทอดไปทั่วโลก ขอบคุณมหาบัวที่อาตมาบังอาจไปหยิบมาเป็นตัวอย่างในการใช้อธิบายธรรมะ เพราะพฤติกรรมปรากฏการณ์จริงอยู่ในสังคม อาตมาไม่ได้พูดลอยลม พูดมีเหตุปัจจัยจริงอ้างอิงได้ เพราะอันนั้นมันผิด ไม่ได้ชั่มหาบัว อาตมาสงสาร ไม่ได้ข่มคุณเพื่อจะยกตัวเอง อาตมาไม่ต้องยกตัวเอง เพราะยกอย่างไร เขาก็ไม่ขึ้นให้หรอก
สัจธรรมเท่านั้นถ้าคุณเห็นอาตมา คุณจะเข้าใจ(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน…ผี มีพระสูตรอธิบายให้เห็นว่าสิ่งที่พ่อครูพูดนี้สัมพันธ์กับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เรื่องสังวาสสูตร พูดถึงเรื่องผัวผีเมียผีอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้เขาใช้คำว่าสามี สามีในโลกนี้ยังฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ดื่มสุราเมรัย เป็นคนทุศีลมีบาปมีใจอันมลทิน มีความตระหนี่ครอบงำ มีข้อสุดท้ายแถมด้วยว่า ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์อันนี้คือผัวผี ความจริงตัวเองเป็นคนฆ่าสัตว์ลักทรัพย์อันนี้ก็แย่อยู่แล้ว ยังด่าว่าสมณะพราหมณ์ เห็นว่าเป็นทิฏฐิที่น่ากลัวมากเลย
ส่วนผัวผีเมียผีก็เหมือนกันภรรยาเขาก็ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกามด่าบริภาษสมณะพราหมณ์ นี่ถ้าอยู่ด้วยกันผัวก็ผีเมียก็ผีก็เรียกบ้านผีสิง บางทีได้ยินเสียงตูมตามตูมตามก็ให้ได้รู้ว่า มีผีสิงอยู่
ในพระไตรปิฎกก็ระบุไว้อย่างนี้แหละ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ถ้าเป็นผัวก็ผัวผี ถ้าเป็นเมียก็เมียผี แถมอีกว่า ตัวเองทำผิดยังไม่พอ ยังด่าบริภาษสมณพราหมณ์อีก ทำบาปอยู่แล้วยังไปด่าบริภาษให้ซ้ำบาปลงไปอีก
พ่อครูว่า… อาตมาพูดศีลข้อที่ 1 พูดอยู่แค่นี้ที่จริงอาตมาสอนอภิธรรม ผู้ปฏิบัติศีลเรียนรู้เรื่องศีลและปฏิบัติศีลได้ผลเรียกว่า อานิสงส์ของศีล 10 ประการ ในกิมัตถิยสูตรข้อที่ 1
การได้อานิสงส์ 10 ของศีล
กุสลานิ สีลานิ อนุปุพเพนะ อรหัตตายะ ปูเรนตีติ
ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตผลให้บริบูรณ์ไปตามลำดับ
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
-
วิราคะ (คลายกิเลส)