660512 เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1q8LF503X5Di_eSHHBVbFg784j2VHH606/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1kYqp_c9l1u90NH58I_eRiDXIOGfdE6kH/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/PSza3XuqXO8 และ https://fb.watch/ktZigbkSMW/ สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้พวกเราไปเดินปลุกพลังเงียบ เป็นพลังบริสุทธิ์ ไปปลุกพลังเงียบ น่าจะเป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะมีขบวนจักรยาน ไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาใช้เสียงกัน กกต.ประเมิน จะมีคนมาใช้สิทธิ์สัก 80% แต่ดูจากที่ประชาชนตื่นตัวออกมาเลือกตั้งล่วงหน้า เขาประเมินใหม่ว่าปีนี้น่าจะมีคนมาใช้สิทธิ์ถึง 85% ถือเป็นยอดที่สูงมาก จะมีผลให้พวกที่ใช้กระสุนหาเงินซื้อเสียงกันไม่ไหว คนออกมาเยอะๆเงินก็จะสั่งไม่ได้ พวกเราไปเดินมีฝนตกด้วย ฝนตกที่ทุ่งศรีเมือง กับฝนตกที่บ้านราชนั้นไม่เหมือนกัน ที่บ้านราชนี้ตกมาอย่างหนัก แต่ที่ทุ่งศรีเมืองตกกำลังพอสบายๆ ทำให้เกิดความลงตัว พี่น้องเสื้อแดงจะอยู่บนรถ เป็นจำนวนมากไม่ค่อยจะได้ลงมาเพราะเห็นฝนตก ส่วนพวกเรามีเสื้อกันฝนพร้อมรบ มีสีสันที่มาร่วมรวมกัน ถือว่าพวกเรารวมไทยสร้างชาติได้สำเร็จแล้ว รวมเหลืองรวมแดง วันนี้เป็นวันนิมิตหมายที่ดีแม้ต่างสีต่างความเข้าใจ แต่เราก็รวมๆกันได้ ซึ่งชาวบ้านเขารู้จักพวกเราอยู่แล้ว รู้จักจากการมาซื้อของที่ตลาดอาริยะ เป็นตัวเชื่อมโยงทำให้ชาวบ้านรู้จักพวกเราเป็นส่วนใหญ่ บทบาทที่พวกเราออกไปเคลื่อนตัวทำให้มีคนมาดูบุญนิยมทีวีเพจ Facebook ถึง 10.3 ล้าน คนมาแสดงความรู้สึกที่ดีมากกว่าพวกเราอยู่เฉยๆ พ่อครูว่า… มันไม่ใช่วันสุดท้ายหรอก เป็นแต่เพียงว่าวันนี้เป็นวันที่ 12 พรุ่งนี้วันที่ 13 มันก็ใกล้จะถึงวันที่ 14 สรุปง่ายๆว่าเป็นวันสุดท้ายที่อาตมาจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเมืองกับเขา ซึ่งมันไม่ใช่ ไม่ใช่แค่นี้หรอก ยังจะวิจัยวิจารณ์ต่อไปอีก แต่มันหมายถึงว่า มันกำลังเข้มข้นเคี่ยวข้นกัน กำลังรู้สึกว่าอินเทรนด์กันอยู่ในอารมณ์เท่านั้นเอง เรื่องของเรื่อง ก่อนจะไปเรื่องการเมืองก็ขอ SMS ก่อน SMS วันที่ 10 พ.ค. 2566 _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้เห็นขบวนชาวอโศกมาปลุกพลังเงียบแล้วนับว่าล้ำหน้ากว่าคณะหาเสียงอื่นๆมาก ไม่มีใครเหมือน ใช้ความเรียบง่าย มาปลุกพลังเงียบ ใช้การขี่จักรยาน ใช้พืชผักมาตบแต่งรถแห่ ใช้คนแต่งตัวมอซอ ใช้ความอ่อนน้อมมาปลุกสำนึก แท้จริงแล้วประชาธิปไตยคืออย่างใด ลูกมีความสงสัยคือว่า มีพรรคการเมืองบางพรรคใช้คำว่าประชาธิปไตยแทนฝ่ายของตน แต่พฤติกรรมก้าวล่วงสถาบัน ก้าวล่วงวัฒนธรรมไทย ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่าแท้จริงแล้วประชาธิปไตยนั้นเป็นอย่างไร เป็นแบบพรรคบางพรรคว่าไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า… ต่างคนต่างเอาประชาธิปไตยยึดมาเป็นตัวประกันของตัวเองทั้งนั้นแหละ ทีนี้คำว่าประชาธิปไตยนั้น ใน Concept ของแต่ละคนที่เขากล่าว ของพรรคแต่ละพรรคที่เขายึดถือ มันมีนัยยะลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ คำว่า ประชาธิปไตย ต่างคนต่างถือว่า ตัวเองเป็นนักประชาธิปไตย เป็นผู้ที่ยึดถือความเป็นประชาธิปไตยทั้งนั้นแหละ แต่จะถูกจะผิดอย่างไร มันต่างกันไปเยอะ ซึ่งเขาก็เป็นประชาธิปไตยแบบคล้ายๆอเมริกา เพราะอเมริกาเขาไม่มีสถาบัน ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน หรือหลายประเทศเขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเขาก็ไม่อยากให้มี เหมือนอย่างฝรั่งเศสทำเสร็จไปแล้ว หรืออีกหลายๆประเทศทำให้ไม่มีไปแล้ว เขาก็กลายเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินก็ถูกของเขา ก็เป็นประชาธิปไตยแบบของเขา จะไปว่าเขาผิดก็ไม่ได้ เพราะเขามี Concept ประชาธิปไตยของเขาแบบนั้น แต่ของไทยเรามีพระเจ้าแผ่นดิน หรือแม้แต่อังกฤษก็มีพระเจ้าแผ่นดินซึ่งก้าวล่วงไม่ได้ นี่แหละคือสมมุติที่แตกต่างกันนัยยะธรรมดา เราจะไปเอาของเราไปยึดถือแบบของเขาทำไมของเขาเป็นแบบนั้น ก็ของเขาทำแบบนั้นก็ถูกของเขาสิ มันซับซ้อนอย่างนี้ แล้วแท้จริงประชาธิปไตยเป็นแบบใด เป็นการถามความรู้ที่ยิ่งใหญ่นะ ซึ่งประชาธิปไตยก็เป็นไปอย่างของแต่ละคนแต่ละ Concept ของเขา ที่เขายึดถือของเขาเข้าใจของ เขาว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็แตกต่างกันไป ปีนี้มาถามว่าแล้วแท้จริง ประชาธิปไตยเป็นอย่างไร ตอบ แท้จริงไม่มีความจริง ประชาธิปไตยก็เป็นความเห็นความเข้าใจความยึดถือของคนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม แต่ละประเทศ แตกต่างกันไป จึงเรียกว่าเป็นเทศะ เทศะคือความแตกต่างกันไป ไม่ผิด เพราะฉะนั้นเราก็เข้าใจให้ได้ว่า ของเขาก็ยึดถือเข้าใจเป็นแบบนั้นถูกของเขา เราไปว่าเขาไม่ถูกซึ่งก็เรานั่นแหละไปว่าของเขาผิด ตัวเราเองผิดไปจากเขา ก็เขาถูกของเขา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ไปยึดถือตัวตนก็ทะเลาะกัน แย้งกัน เถียงกันไปไม่จบ ถ้าจบแล้วก็เป็นนานาสังวาส เราก็เห็นว่าคนร่วมกันก็เข้าใจ เป็นคนร่วมกันแต่มีความคิดเห็นต่างกัน นานา แปลว่าแตกต่างกัน ต่างคนต่างถือกันไป ไม่เห็นแปลก อะไร เพราะฉะนั้นจะบอกว่าความจริงแล้วประชาธิปไตยเป็นแบบใดมันไม่มีหรอกของความจริง มันเป็นความสมมุติทั้งนั้น แต่ทีนี้ มันเป็นระบอบของการบริหารประเทศ เราก็มามองเอาตรงที่การบริหารประเทศ คุณจะใช้ภาษาเรียกแบบนั้นแบบนี้ แบบอเมริกา แบบอังกฤษ แม้แบบไทยมีพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกับอังกฤษ แต่ก็ยังมีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกัน ซ้อนๆอยู่ ไม่เหมือนกันทีเดียว แม้แต่ในกฎหมายก็ยังต่างกันในข้อกำหนดกฎเกณฑ์ กฎหมายเกี่ยวกับในหลวง เกี่ยวกับเรื่องของการเมือง กฎหมายก็มีนัยยะต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายกัน เพราะว่าลอกเลียนกันมา ไทยก็ไปลอกของเขามาก่อน แต่ก่อนนี้ก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อมาเป็นประชาธิปไตยแล้วก็ใช้ของทางด้านตะวันตก ด้านอังกฤษยุโรปมา เพราะฉะนั้นจะไปนับว่าเป็นความจริง มันไม่จริงหรอก เป็นสมมุติ ของใครก็ยึดถือกันไป _ตุ๊ก อัศวิน · พ่อครูท่าน..กรุณาปรารภธรรม โปรด ผู้มืดบอด ด้วยเมตตาธรรมยิ่ง..เจ้าค่ะ ดุจจุดเทียนในที่มืด..ถ้าใจไม่บอดสนิท..คงตามตรึกตรอง..และ..แจ้งใจในที่สุด กราบอนุโมทนา..สาาาธุเจ้าค่ะ พ่อครูว่า… แสดงว่าฟังแล้วเข้าใจแล้วตรึกตรองตามก็แจ้งใจ ก็ได้รับความแจ้งใจไปตามลำดับๆดีแล้ว ส่วนคนไม่รู้ก็มืดก็บอด จุดเทียนอย่างไรเขาก็ไม่เห็น ไม่มีแสงอะไรให้เขาเห็นหรอก เทียนสักกี่กระบุง กี่ตะกร้า กี่รถโกดัง ก็ไม่เห็นอะไร เพราะว่าเป็นเรื่องขององค์ประกอบของกิเลสมันมีเยอะ เราเรียกว่ากิเลส เขาก็ว่าเป็นความเห็นของเขา ก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป _แก้วตะวัน พวงบุบผา · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่ง… ความเป็นกลางเข้าข้างคนทำดี ให้เขามีความมั่นใจในกุศล คนทำดีเสียสละละตัวตน ปัญญาชนย่อมรู้เห็นความเป็นจริง ….ผลงานของนายกลุงตู่ทำสำเร็จตามนโยบายที่วางไว้ที่พ่อครูกรุณาอ่านมีมากมายจนสาธยายไม่หมด แต่พอถามประชาชนบางคนก็บอกว่า ลุงตู่อยู่มา 8 ปีไม่เห็นมีผลงานอะไร แสดงว่าการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลมีน้อยเกินไป จนไม่กี่วันที่ผ่านมาคุณอ้นทิพานันได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยยิงเลเซอร์ขึ้นไปบนเสาสะพานพระรามแปด เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์พรรครวมไทยสร้างชาติเบอร์ 22 จนเกิดแรงสะเทือนเลื่อนลั่น พรรคต่างขั้วนั่งไม่ติด ออกดาหน้ามาโจมตี จนสื่อทุกช่องต่างมารุมเพื่อเล่นงานคุณอ้น จนกลบข่าวทักษิณจะกลับมาเลี้ยงหลานเสียสนิท คุณอ้นคนดีนี่แหละที่เราควรปกป้องและเข้าข้างให้กำลังใจเพราะเธอทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้อย่างดีแล้วค่ะ พ่อครูว่า…รัฐบาลประชาสัมพันธ์น้อยไป อันนี้เห็นจริงด้วย แต่ก็ทำเนื้อแท้มากกว่านั้นดีแล้ว การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เดี๋ยวนี้มันมีเลอะเทอะเยอะแยะ มันกลบเนื้อหาไปเสีย ออกไปทางเพ้อเจ้อ โกหก หลอกลวงกันเต็มไปหมด อโหสิต้องทำกับคนตอนเป็นๆจึงได้ผล _อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · เรียนถามพ่อครู คำว่าอโหสิกรรม ควรใช้ตอนใหนดีครับ ใช้กับคนตายแล้วหรือว่ายังไม่ตายดีครับ พ่อครูว่า… คำว่า อโหสิกรรม หมายความว่า ใครทำกรรมอะไรมาก็แล้วแต่ จะทำร้ายทำแรงมากับเรา ทำผิดทำถูกมา ส่วนมากก็ทำผิดกับเรา แล้วเราไม่ถือสา เราก็เลิก อโหสิแปลว่าไม่ถือสา ยกเลิก อโหสิ ไม่ติดไม่ยึด ไม่จองเวรจองกรรมอะไรกัน อโหสิ มันก็เป็นเพียงปัจจุบันธรรม อโหสิที่ปฏิบัติต่อกัน ที่จริงบางทีแค่ปากพล่อยๆ บอกว่า เออ..อโหสิ แต่ใจยังไม่ได้อโหสิหรอก ใจมันยังยึดอยู่ มันยังจองเวรจองกรรมกันอยู่นะ ยังถือสากันอยู่นะ แต่ด้วยแบบว่าสังคมๆ พอบอกพูดมาก็ว่าดี พูดมาอโหสิก็ขั้น 1 ยกให้ ถ้าถามประเด็นว่าตอนไหนดี ก็ตอนคนเป็นๆนี่แหละ ตอนคนตายแล้วจะไปรู้เรื่องอะไร คนเป็นๆต่อกันนี่แหละ แล้วก็พูดกันแล้วมันก็จะยอมวาง บางทีมันก็วางกันได้ปล่อยไม่ยึดไม่ถือไม่พยาบาทไม่ถือสาต่อกันได้ อันนี้ก็เป็นสัจจะเหมือนกัน แต่ส่วนมากกิเลสมันไม่ยอมง่ายๆ แต่มันก็ทำเป็นเรื่องของโก้ๆเป็นเรื่องโลกๆไปให้มันดูดี บอกว่าไม่เอา อโหสิ ไม่ถือสา พูดไปมันก็ดูดีนะ ก็เป็นคุณธรรมอันดีอันนึง แต่จริงๆแล้วใจจริงๆมันจะอโหสิจริงไหม ส่วนกับคนตายนั้น คุณเป็นคนที่จะอโหสิ หากว่าอโหสิกับคนเป็นมันก็จะต้องเปลี่ยนแปลงกันอยู่ แต่คนที่ตายไปแล้วนั้นคุณจะไปบอกอโหสิกับคนตาย คนตายก็ไม่รู้เรื่องด้วย มันสูญเปล่า อโหสิกรรมกับคนตายมันสูญเปล่า สำหรับคนที่เราจะพูดกับเขา คนตายคนนั้นเขาไม่รู้เรื่อง แต่ตัวคุณนั้นคุณอโหสิ ถึงอโหสิหรือไม่อโหสิ คุณจะไปทำอย่างไรกันได้ล่ะเขาตายไปแล้ว มันอยู่ที่คุณ ถ้าคุณจองเวรจองกรรมอยู่ที่จิตของคุณอยู่ ต่อไปก็พัวพันกันอีก ส่วนคนตายไปแล้วเขาไม่อโหสิคุณ คุณบอกว่าอโหสิแต่เขาไม่ยอมอโหสิ เขาตายไปแล้วคุณจะไปแก้ไขเขาได้ยังไง ถ้าเขาผูกพยาบาทไปแล้วเท่านั้น หรือเขาอโหสิแล้วก็แล้วไป ถ้าเขาไม่อโหสิเขาพยาบาทแต่คุณบอกว่าอโหสิให้คนตาย มันจะได้ผลอะไร เพราะฉะนั้นก็ไม่มีผลอะไรหรอกต่อคนที่ตายไปแล้ว อโหสิก็พูดกันกับคนที่ยังเป็นๆนี่แหละ จะได้ผลไม่ได้ผลกันจริงก็ตรงนี้ เป็นแต่เพียงปากพล่อยๆก็ได้ผลน้อย ถ้าจิตใจมันอโหสิจริง วางจริง ปล่อยจริงก็ได้เยอะขึ้น เมื่อเห็นค้านแย้งจากผู้สัมมาทิฏฐิย่อมคือผู้มีบาป _SMS กราบนมัสการครับ ผมขอฝากถามพ่อครูครับ ท่านไม่ต้องบอกว่าเป็นผมนะครับ กลัวเด็กจะเกียดผม พ่อครูจะล้วงกระเบื้องออกจากคอลูกหลานอย่างไร ขณะนี้ลูกหลานที่ไร้เดียงสา ( ศิษย์เก่าสัมมาสิกขา) กำลังกลืนเศษแก้ว อย่างงมงาย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… อันนี้จะมีผลต่อลูกหลานที่เป็นศิษย์เก่า พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลย ไปแต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์แดงส้มนี้ไม่ได้เลย มีพวกเราบอกว่าเหมือนเป็นสัญญาณของกลียุค ที่เด็กถูกล้างสมอง ถูกปลูกฝังให้เป็นอย่างนี้ แต่คิดว่าคงไม่ได้ทั้งหมด เห็นนายกลงตู่ไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ชื่นชมลุงตู่เหมือนดาราเกาหลีเลย _คือเขาได้ปรามาสคนรุ่นเก่าว่า ถูกศาสนา-สถาบันครอบงำมายาวนานตกอยู่ภายใต้ คำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หลอกมาทั้งชีวิตเด็ก(ศิษย์เก่า) เขาปรามาสพ่อครูว่า “แค่พ่อครูประกาศว่า พลเอกประยุทธ์เป็นพระโพธิสัตว์ ก็เหม็นขี้ฟันแล้ว” เขาจะบาปมากไหมครับ เขาอกตัญญูไหมครับ หลายคนบอกว่า ปล่อยเขาไป พ่อครูคิดอย่างไรครับ เด็กคิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยวิธีเนรคุณ ผมน่ะเป็นห่วงจริงๆ พ่อครูว่า… บาป โดยสัจจะเป็นบาป เพราะอาตมาขอยืนยันว่าอาตมาพูดสัจจะ ถ้าเขาเห็นค้านแย้งแล้วก็ไปมีกรรม โดยเฉพาะออกมาทางวาจา ทางกายกรรมชัดเจน คือเห็นผิด เห็นคนละอย่าง ถ้าข้างไหนดีอีกข้างหนึ่งก็ต้องชั่วแล้ว ไปเป็นกุศลอีกข้างหนึ่งก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เป็นอกุศล จิตของเขามีความเห็น ความเข้าใจ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิสักนิดนึงก็คือบาป เป็นมิจฉาทิฏฐิได้บาป เขาก็อกตัญญู แต่ว่ามันเป็นอกุศลที่เขาเองเขาไม่รู้ มันเป็นอวิชชาซ้อนอยู่ลึกๆเขาก็ต้องทำตามนั้น สรุปแล้วก็คือเขาสะสมเอาอวิชชาใส่ตัวเอง สั่งสมมิจฉาทิฏฐิใส่ตัวเองไปเรื่อยๆ ก็จะไปคิดอย่างไร มันต่างคนต่างเห็น เขาก็เข้าใจของเขา บังคับไม่ได้ คนที่จะคิดอย่างไร ต่างคนก็ต่างคิดไป เขาจะเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีเนรคุณ ขยายความเข้าก็จะเห็นชัดเจนว่าเป็นบาป มันเกิดอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเปลี่ยนประเทศด้วยวิธีเนรคุณ เนรคุณประเทศ เนรคุณวัฒนธรรม เนรคุณสิ่งที่เราได้อาศัยเป็นอยู่ ได้อาศัยวัฒนธรรม ได้อาศัยสิ่งที่ดีงามของสังคมที่นับถือกันมายาวนาน อย่างอิสระ ไม่ได้ไปขึ้นกับระบบอื่นที่เขามาครอบงำ เป็นอิสระส่วนตัวสบาย ที่จริงทุกวันนี้อยู่แล้วสบายแต่เขาต้องการให้ขัดแย้ง มันก็ไม่สบาย แต่ผู้ที่อยู่อย่างคนส่วนใหญ่อย่างพวกเราแล้ว ประเทศไทยตอนนี้ ประชาชนก็ไม่ได้แย้งมากเหมือนที่เขาแย้งอยู่ ผู้ที่มาแย้งก็สบายก็สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล ถ้าลึกขึ้นไปก็อย่างพวกเราใจเกื้อกูล เพิ่มพูนความเสียสละไป ส่วนคนที่ยังไม่เข้าถึงขั้นโลกุตระ เขาก็ยังไม่เจริญอย่างที่อาตมาอธิบาย เป็นห่วงเขาก็ดี แล้วก็สงสารกัน เป็นพระมาหาเสียงช่วยลุงตู่ได้หรือ _คุณเบล ออแกไนซ์ · เป็นพระมาหาเสียงช่วยเหลือได้หรอ พ่อครูว่า… 1.อาตมาไม่ได้เป็นพระ คุณก็ไม่เข้าใจแม้ได้มองอาตมาก็มองไม่ออกว่าเป็นอะไร อาตมาไม่ได้เป็นพระ คุณจะบอกว่าคุณมีพระของคุณ แล้วคุณก็กำหนดว่าพระของคุณนั้นไปหาเสียงไม่ได้ ต้องให้อยู่เงียบๆ อยู่อย่างผู้เป็นคนใบ้ยังไม่มีเสียง อย่าไปหาเสียง ก็เรื่องของคุณ แต่ทีนี้เสียงคืออะไร เสียงของคุณก็คือเงื่อนไขว่าต้องช่วยเหลือด้วย พูดความช่วยเหลือก็มีอันเดอร์สตูทไว้ว่าช่วยเหลืออะไร นี่คงเป็นการช่วยเหลือลุงตู่ เอาให้ชัดๆง่ายๆ จะได้หรือ ซึ่งคุณเองคุณเห็นของคุณ มันก็ถูกของคุณ พระของคุณ คุณก็มองว่า ถ้าพระของคุณนี้มาหาเสียง คุณว่าได้เลย แต่อาตมาไม่ได้เป็นพระแบบที่คุณหมาย อาตมาก็มาหาเสียงช่วยเหลือลุงตู่อยู่จริง ได้หรือไม่ได้ ก็ทำอยู่เต็มที่เลยไม่ได้ยังไง ได้ ไม่ผิดกฎหมายด้วย เป็นประชาธิปไตยด้วย ตำรวจไม่จับ นี่ตอบครบๆไง เขาถามว่าทำได้หรือซึ่งก็ได้ อิสรเสรีภาพไม่ผิด เป็นแต่เพียงความยึดถือความเห็นเท่านั้นที่ต่างกัน คุณกับอาตมาก็เป็นนานา ความเห็น นานาทิฏฐิ _วนิดา ฯ. · โอ้ย อย่ามาพูดเอาใจลุงตู่ คนเขาด่าทั้งบ้านทั้งเมือง พ่อครูว่า… อาตมาเห็นจริงว่าไม่ควรจะด่า แต่คนด่านั้นอาตมาเห็นว่าด่าไม่ดี อาตมาก็ต้องถ่วงดุลความเห็นของสังคมเอาไว้ว่า คุณด่าทั้งบ้านทั้งเมืองนั้นมันมาก ความหมายของเขาคนด่าทั้งบ้านทั้งเมืองหมายความว่าคนด่าลุงตู่มาก คนด่าลุงตู่กับคนที่ชมลุงตู่ ชื่นชมลุงตู่ โดยค่าที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่ค่านิยมนะ โดยคุณค่าที่แท้จริงเลยของประชาชน อาตมาก็เห็นว่าลุงตู่ลงที่ไหนตลาดแตกที่นั่น ไปเดินที่ไหนในแดนใต้ แดนอีสาน แดนเหนือ แดนตะวันออกอะไรก็เห็นตลาดแตกทุกแห่ง เพราะฉะนั้นคนด่านั้นมันช่างด่า แต่คนที่เขาชื่นชมก็เป็นพวกเงียบ พวกสุภาพ ไม่ใช่เป็นพวกแจ๊ดๆแจ๋ๆ ก็ด่าก็ทำ แล้วขยันเสียด้วยนะ ดีไม่ดีพวกนี้รับจ้างก็มีก็ต้องทำไป ก็เป็นสัจจะเราก็ต้องมององค์ประกอบหรือว่าเหตุปัจจัยมันเยอะแยะ ก็เป็นไปอย่างนั้น สมณะโพธิรักษ์ คือสมณะในศาสนาพุทธ ไม่ใช่พระไม่ใช่ลัทธิ _ก็แล้วแต่ บันไรยนต์ · มันไม่ใช่พระครับเมื่อก่อนเคยเป็นพระ แต่ทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงจึงให้ออกจากการเป็นพระเลยมาตั้งลัทธิเอง พ่อครูว่า… ที่จริงอาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมาไม่ใช่พระ อาตมาเป็นสมณะ เขาก็ยังเข้าใจไม่ได้ ยังงมโข่ง ยังอยู่หลังเขา ยังไม่รู้รายละเอียด ไม่มีข้อมูล ไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย พูดไปส่งๆ แต่ก่อนที่ไหน เดี๋ยวนี้อาตมาก็ยังเป็นอย่างนั้น ที่คุณเรียกว่าพระ อาตมาก็ว่าความหมายของคุณนั้นอาตมาเข้าใจร่วมกันได้ ว่าอาตมาเป็นนักบวช อาตมาเป็นภิกษุของศาสนาพุทธ แต่ก่อนอาตมาก็เป็น เดี๋ยวนี้อาตมาก็เป็น แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสังคม อาตมาก็ว่าไปตามบัญญัติภาษาเขาจะว่ากันไป แต่เนื้อแท้สัจธรรมอาตมาไม่ได้เปลี่ยน ตั้งแต่บวชมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 มาจนถึงวันนี้ อาตมาก็ยังเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นมา แต่ต้นมาเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ ที่คุณว่าทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงเป็นการใส่ร้ายอาตมา อาตมาไม่เคยผิดวินัยสงฆ์ อย่าว่าแต่วินัยสงฆ์ร้ายแรง วินัยสงฆ์ตื้นๆ วินัยสงฆ์อ่อนๆอาตมาก็ไม่ได้ทำ คุณเองคุณอยู่กับกระแสพวกเฟค พวกอวิชชามิจฉาทิฏฐิ เขาครอบงำทางความคิดของคุณ คุณก็เข้าใจเชื่อตามอวิชชา เชื่อตามพวกมิจฉาทิฐิที่เขาเข้าใจอาตมาผิด ที่เขาใส่ความอาตมาบ้าง แล้วคุณก็เห็นด้วย เห็นตามเขา ถูกเขาครอบงำทางความคิด คุณก็ว่าอาตมาทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง ขออภัยที่พูดความจริงสู่คุณให้ฟังก็แล้วกันไม่ได้โกรธเคืองไม่ได้ถือสานะ แต่อธิบายความจริงให้คุณก็แล้วแต่ บันไรยนต์ ให้ฟัง ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรง แต่เถรสมาคมเป็นคนทำผิดวินัยสงฆ์ร้ายแรงกับอาตมา แล้วคุณนี้ก็เข้าใจผิดว่าให้ออกจากการเป็นพระ อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ ออกหรือเข้าอาตมาก็อยู่อย่างเดิม เขาจะให้ออกหรือไม่ออก อาตมาก็อยู่อย่างเดิม อาตมาไม่ได้มีลัทธิเอง อาตมามีศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นเองเอาของพระพุทธเจ้ามา ไม่ได้ตั้งเองเลย ประเด็นนี้เป็นประเด็นยิ่งใหญ่ อาตมาเคยอธิบายมาเท่าไหร่ คนยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกอย่างคุณก็แล้วแต่ บันไรยนต์ จะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆหรอกว่า ลัทธิก็ดี ศาสนาก็ดี มันก็มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันอยู่ ศาสนาคือ มีคำสอน ของเจ้าหมู่เจ้าคณะ ที่คนยอมรับมากเรียกว่าศาสนา มากจนตั้งเป็นศาสนา จนคนทั่วไปในโลก แต่ละประเทศแต่ละกลุ่มหมู่ยอมรับได้ ลัทธิก็เป็นคนที่กำลังสร้างนัยยะความเข้าใจของเขาอย่างของเขา แล้วมันก็ยังไม่ได้มีคนมีคณะหมู่กลุ่มเท่า มันก็ต่างกันตรงนี้ อาตมาไม่ได้ออกไม่ได้เข้าตามที่ใครเขามาทำ เขาพูดกันเขาพูดภาษาคำโกหก พูดภาษาคำที่ไม่จริง อาตมาไม่ได้ออกไม่ได้เข้ากับสิ่งที่เขาอย่างที่คุณคิดว่าออกๆเข้าๆ อาตมายังคงเป็นอย่างที่อาตมาเป็นตั้งแต่เริ่มต้น จนบัดเดี๋ยวนี้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… ความจริงต้องเห็นใจคนที่เขาเข้าใจอย่างนี้มากๆเลยนะ เทียบกับลุงตู่ ลุงตู่ทำงานมา 8 ปี ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้มีเวลาพักเท่าไหร่เลย ทำขนาดนี้คนยังมองว่า ประเทศไทยไม่พัฒนา เป็นเผด็จการ คือคนรุ่นใหม่เขามองว่าทำให้ประเทศไทย 8 ปีนี้เสียเวลาไปมากๆ อันนี้เป็นเพียงรูปธรรมที่มองเห็น ซึ่งจะมีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอะไรเยอะแยะ คนที่ไม่ชอบก็มองไม่เห็น อย่างพ่อครูพาพวกเราทำ ยิ่งเป็นเรื่องทวนกระแส ต้องเห็นใจพวกเขามากๆ เขาได้ยินข่าวอะไรทางลบมากๆ จะยิ่งยากกว่าทำความเข้าใจพลเอกประยุทธ์อีกเยอะเลย พ่อครูว่า… ความเห็นความรู้ความฉลาดของคนบังคับไม่ได้ แต่เป็นประเด็นให้อาตมาได้ใช้อธิบายธรรม คุณจะใช้ภาษาอะไรหนักๆจะทวงมาอย่างแรง ปฏิกโกสนาก็ได้ อาตมาไม่ได้เป็นปัญหา ไม่ได้ยึดถือหรอก อาตมาหยิบเอามาอธิบายนัยยะแง่มุมที่มันแตกต่างกัน เอามาขยายความให้ฟัง อาตมาก็ขอท้าวความให้ฟังนิดนึงว่า อาตมาเคยพูดด้วยความจริงมานานแล้ว ว่าศาสนาพุทธมันเสื่อม เสื่อมจากเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าคือโลกุตรธรรม มันเสื่อมจริงๆ อาตมาไม่ได้หาเรื่อง ไม่ได้ใส่ความ มันสูญหายไปจากวงการศาสนาพุทธเลย ในเมืองไทยแม้แต่บอกว่าเป็นเมืองพุทธ ถือศาสนาพุทธเป็นหลักเลย แต่ก็มีแต่ความรู้แบบเดียรถีย์ ความรู้แบบโลกียะแล้วมันก็ผิดเลอะเทอะเยอะ เมืองไทย มีไสยศาสตร์ มีเดรัจฉานวิชา อะไรต่ออะไรกันเต็มไปหมด อย่าว่าแต่อาบัติสังฆาทิเสสเลย อาบัติปาราชิกก็มีเยอะ ที่เขาทำไปเลอะเทอะเยอะแยะไปหมด มันใช้ไม่ได้ อาตมาจึงอยู่ร่วมไม่ได้ มันเห็นด้วยความจริงใจ ก็จึงประกาศลาออกมา ทนอยู่ได้ 5 ปี อาตมาบวชอยู่ในเถรสมาคม 2513 พอพ.ศ. 2518 อาตมาก็เลยประกาศแยกนานาสังวาส ก็ยอมเป็นพุทธอยู่ด้วยกันสังวาสเดียวกัน แต่มันเป็นนานๆมันแตกต่างกันอาตมาก็ประกาศตามธรรมวินัยเลย แต่เถรสมาคมที่เสื่อมมากจนไม่รู้จักธรรมวินัยก็มาเล่นงานอาตมา ซึ่งผิดวินัย เป็นอาบัติอยู่นะแต่ก็ไม่ได้แก้ไข อาบัติก็คาต่อไปยิ่งทับถมยิ่งซับซ้อนเป็นพระไม่ปกติ อปกตัตตะ เป็นพระไม่สมบูรณ์บกพร่องอยู่อย่างนั้น เขาร่วมทำร่วมเห็นอยู่เขาก็เป็นอยู่ ความเห็นมันก็คือความเห็น ความเป็นก็คือความเป็น เขาเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ คืออาตมาถูกเขาผิดนี่พูดตรงๆพูดความจริง เขาก็ซวย อาตมาก็เลยได้แต่สงสารเขา อาตมาไม่เคยโกรธเขานะ ตั้งแต่เขาทำแล้วเขาก็พยายามตีอาตมา ซัดอาตมาอย่างเป็นหลักเป็นฐานเลยนะ ขึ้นมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่ฆราวาส มันก็ไม่หนักเท่าไหร่ พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ จนกระทั่งมาถึงเป็นพระ จนกระทั่งท่านมหาประยุทธ์ หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ เขียนเป็นหนังสือมาเลยเป็นลายลักษณ์อักษรซัดอาตมา ซึ่งท่านก็เป็นที่นับถือของสังคมศาสนาพุทธ ก็เลยเอาใหญ่เลย ซัดอาตมาใหญ่เลย คนก็เชื่อตาม อาตมาก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะความเห็นของเขามันร่วมกัน ไปด้วยกัน แล้วเขาก็หาว่าอาตมาผิด อันใดที่เขาเห็นว่าอาตมาผิดอะไรร้ายแรงอย่างใด ซึ่งมันตรงกันข้ามกันเลย เขานั่นแหละผิดร้ายแรงยิ่งกว่า จะว่าไปแล้ว แล้วเขาก็บอกว่า เขาก็เลยไล่อาตมา แท้จริงแล้วอาตมาลาออกมาก่อนแล้ว ไม่ได้ถูกไล่ ลาออกมาอย่างสมัครใจด้วย ออกมาเป็นนานาสังวาส เป็นคณะสงฆ์ชาวอโศก ประกาศอย่างมีลายลักษณ์อักษรเลยนะ แล้วเขาบอกว่ามาตั้งลัทธิเอง ซึ่งมันไม่ใช่ คุณต่างหากออกมาเป็นลัทธิเพี้ยน เป็นศาสนาเพี้ยนจากของพระพุทธเจ้าไป อันนั้นต่างหากความจริง นี่คือความเข้าใจที่ทำความเข้าใจให้กันได้ยาก มันไม่ง่าย ก็ต้องค่อยๆอธิบายความจริง แล้วก็ยืนยันความจริง ผู้มีปัญญา มีตารู้จะมองออกว่า จริงๆแล้วเนื้อแท้ของศาสนาพุทธนั้นเป็นชาวอโศกหรือทางเถรสมาคม _Thapakorn Janbamrung ธภากร จันทร์บำรุง · เป็นพระแต่ตัวโดยแท้ เห็นผิดเป็นชอบ ไม่ต่างจากปาราชิก ตาลยอดด้วนหาดำเนินต่อได้ พ่อครูว่า… คนนี้ก็พิพากษาอาตมาใส่ความปาราชิกเลย ซึ่งไม่ได้อ้างอิงว่าอาตมาปาราชิกอันไหน ข้อไหนใน 4 ข้อ อะไรอย่างนี้เขาก็ไม่มีเหตุผล ไม่มีรู้เรื่องรายละเอียดอ้างอิง ใส่ความเอาดื้อๆ ถ้าแบบนี้เป็นพระมาทำก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส หาว่าคนอื่นปาราชิกด้วยความไม่มีมูล ก็ถือว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสสนะ ถ้าเป็นฆราวาสก็แล้วไปเถอะ หาว่าเป็นปาราชิกตาลยอดด้วนอะไรอย่าง อาตมาก็ไม่ได้จะพูดรายละเอียด พูดแก้ตัว ที่จริงพูดสัจธรรมให้ฟัง จะให้พวกเพื่อไถ-ก้าวร้าวหันมากลับใจเป็นไปได้ยาก _โพลชี้นำทำลายชาติ · ดีเจต้อย จตุพร พรหมพันธุ์ เจ๋งดอกจิก แรมโบ้ อีสาน กลับใจออกจากทักษิณ เพื่อไถได้ เด็กๆและเยาวชนไทยจะกลับใจออกจากพรรคก้าวร้าวได้มั้ยครับ ทำอย่างไรดีครับ พ่อครูว่า… เขาจะไปทำอย่างไรคุณพูดมา ดีเจต้อยเขาก็กลับใจมาแล้ว จตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้กล่าวเต็มปากแต่ก็ออกมาตรงกันข้ามกันแล้ว เจ๋งดอกจิกก็ออกมาชัดแล้ว แรมโบ้อีสานนั้นชัดเจนเลย ออกมาหมดแล้ว ก็จะให้อาตมาไปช่วยเพื่อไถกับก้าวร้าว อาตมาว่าคงช่วยยาก เพราะว่าเขาจมอยู่ในมุมมืด เขาจมอยู่ในนรก เขาจมอยู่ในแดนที่มันไม่เห็นแสงสว่าง ไม่รู้เรื่องอะไร ทำอย่างไรเขาก็ไม่กระเตื้องหรอก ทำอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกรู้สา เพราะฉะนั้นคงไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็เป็นตัวอย่างของคนในโลก ที่คนที่มืดอยู่แล้วก็มืดไป พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดแล้ว มืดมามืดไป แล้วก็มืดหนักกว่าเก่าอะไรไปมันเป็นอย่างนั้นอยู่จริง ก็คงจะทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะมันเกินกว่า อาตมาไม่มีสิทธิ์ เขาเห็นอาตมาเป็นตัวตลก เป็นตัวบ้าๆบอๆไปพูดไม่มีน้ำหนักอะไร ไม่มีน้ำหนักหรอก เขาไม่ฟัง เขามีพ่อที่เขาจะฟัง มีอาจารย์ มีศาสดาของเขาที่เขาจะฟังอาตมาพูดนั้นไม่มีน้ำหนักเขาไม่ฟัง ดีไม่ดีเขาจะด่าย้อนมาเยอะด้วยซ้ำไป อาตมาก็พูดยกตัวอย่างอธิบายสัจธรรม วิจัยวิจารณ์บ้าง ตำหนิบ้างที่มันผิด แล้วไอ้ที่พูดมาส่วนใหญ่มันผิดก็เลยต้องตำหนิเสียเยอะ จะชมนั้น พูดไปแล้วอาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะจะหาที่ชมมันไม่มี มันมีน้อย แล้วอาตมาไม่มีภูมิปัญญาที่จะหาที่จะชมเขา ก็ยังชมอยู่บ้าง แต่ก็น้อยประเด็นที่จะชมเขามันน้อย นี่พูดด้วยความจริงเลย ไม่ได้พูดใส่ความหาเรื่องแต่มันเป็นความจริงที่พูดไป เพราะเป็นยุคสมัยที่มันเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร ที่บอกว่า ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธจะผิดเพี้ยนไป คนจะไปเชื่อคนที่พูดเก่ง เหมือนปัจจุบันนี้แหละที่มีคารมคมคายพูดเก่ง ภาษาอะไรเก่ง อาตมาพูดนั้นบาดใจเหมือนไปทำร้ายทำลายเขา นี่มันเป็นสัจจะอย่างนี้ที่มันยาก ที่จะให้คนเข้าใจสาระสัจจะต่างๆ พ่อครูสอนโลกุตระนั้นมันยาก แต่ยิ่งต้องพยายาม เพราะฉะนั้นงานโลกุตรธรรมนี้มันยากมากเลย ยากที่สุด ที่อาตมาทำงานนี้มันยาก แต่อาตมาก็ไม่ได้ท้อแท้หรืออาตมาก็ไม่น้อยในความพยายาม อย่างที่สุดเลย ยิ่งต้องพยายาม ยิ่งต้องเพิ่มความพยายาม ก็เห็นว่ามันไม่ได้ผล มันน่าจะได้มากกว่านี้ สังขารอายุเราก็ร่วงโรยไปเรื่อย นี่รู้สึกว่าจะต้องพยายาม ขืนไปท้อถอยหรือไปท้อแท้ ไปลดความพยายามให้น้อยลง ให้มีความพยายามน้อยลงมันไม่ได้ มันต้องพยายามจริงๆ เพราะฉะนั้นยิ่งอาตมาพูด ยิ่งอาตมาเปิดเผย หรือบอกมุมบอกประเด็น บอกแง่ที่ผิดไปมากเท่าไหร่เท่าไหร่ มันก็ยิ่งกระเทือน มันก็ยิ่งทำให้คนมองคนละด้าน เขายึดถืออีกด้านหนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งได้รับกระทบ ในการกระทบตนกระทบท่านที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในภาษาคำสอนอันนี้ อย่าพูดกระทบตนกระทบท่าน อันนี้แหละ เป็นความหมายที่ลึกซึ้งมากเลย แปลว่ากระทบตนกระทบท่าน ภาษามันพูดตื้นๆง่ายๆ จริงๆกระทบแล้วคือพูดไปแล้วมันก็ไปถูก ไปแตะไปกระทบนั่นแหละ กับอีกฝ่ายหนึ่ง เราจะพูดฝ่ายดีชมฝ่ายดีมันก็กระทบฝ่ายดี เราจะไปพูดฝ่ายชั่วมันก็กระทบฝ่ายชั่ว ถ้าเรายิ่งไปพูดฝ่ายชั่วถูกต้องแล้วเขายึดว่าเขาดี มันก็จะต้องสะท้อนแรง เราพูดไปบอกว่าฝ่ายชั่วเป็นดี เราก็เป็นคนโง่ โง่แรง ไปมองที่เขาชั่วเป็นดีเราก็โง่แรง เขาชั่วเราก็ต้องบอกเขาชั่ว เราจะไปบอกเขาดี ไม่ได้ เราก็โง่แรง มันก็ผิดสัจจะ อาตมาก็ทำผิดสัจจะไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาชั่วก็ต้องบอกว่าเขาชั่ว เขาผิดก็ต้องบอกว่าเขาผิด ผิดมากผิดน้อยก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องบอกเหตุบอกผล บอกหลักบอกฐาน อย่างที่อาตมาพยายามเอาหลักฐาน เอาพระไตรปิฎกเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาอ้างอิง มายืนยันขยายความต่างๆนานา จนกระทั่งขยายความไปเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรมหรือเป็นธรรมะลึกซึ้งไปถึงจิต. เจตสิกรูป. นิพพาน มันก็ยิ่งชัดเจนสำหรับคนที่แสวงหา คนที่พยายามศึกษาพากเพียรศึกษาก็ยิ่งได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอย่างพวกเรานี่เข้าใจ จนกระทั่งรู้ว่าอาตมาเป็นคนที่จะต้องเคารพสุดเศียรรสุดเกล้า เขาก็พูดออกมาจากความจริงใจ อาตมาไม่เคยไปแนะนำว่าคุณจะต้องเคารพอาตมาอย่างสุดเศียรสุดเกล้านะ ถ้าจริงๆแล้วอาตมาควรจะเหนียม นึกอยู่ในใจว่าเหนียมเหมือนกัน คนมายกย่องยกยอด้วยพยัญชนะด้วยภาษาให้อาตมาสูงเหลือเกินนะ ไม่ใช่ว่าต่ำๆนะ เคารพสุดเศียรสุดเกล้าอะไรต่างๆนานา. มันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่นะ ซึ่งอาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ผิดไปจากความจริงที่เป็นหรอก แต่อาตมาพูดไปมันก็น่าหมั่นไส้ เพราะอาตมาเป็นผู้ที่ก็ควรเคารพอยู่ตามที่พูดที่ว่ามามันไม่ได้ผิด มันยิ่งสังคมผิดมาก แล้วมีคนถูกขึ้นมาคนหนึ่ง มันยิ่งเด่น มันยิ่งยอด ฟังเข้าใจไหมด้วยความหมายมันยิ่งเด่นมันยิ่งยอด และถูกอย่างโลกุตระด้วย มันยิ่งยอดใหญ่เลย ฟังดีๆนะอาตมาไม่ได้มาหลงตัวเองหรือว่ามาพูดชมเชยตัวเองยกย่องตัวเองอะไร อาตมากำลังพูดสัจธรรมสู่ฟัง เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆทำความเข้าใจให้ดีๆเถอะ พยายามศึกษาไป ผู้ที่มีภูมิปัญญามีดวงตาก็ได้ประโยชน์ ผู้ที่ไม่มีดวงตาก็แน่นอน จะให้อาตมาไม่พูด จะให้อาตมาไปพูดผิดๆเพี้ยนๆอาตมาก็บาป มันพูดไม่ได้ ถูกก็ต้องพูดให้ถูก ผิดหนักผิดมากอย่างไรก็ต้องว่ากันตรงๆตามน้ำหนักตามความเป็นจริงของมัน ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ตรงมันก็เข้าใจเพี้ยนไปมันก็ไม่ดี นี่คือสัจธรรมต่างๆที่ มันต้องเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้นเรามาพูดกันในเวลาที่เหลือ ความเห็นต่างเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้มันมีเป็นธรรมดา _สู่แดนธรรม… จากทางบ้านถามมาว่า เขาอยู่ในท่ามกลางสังคมที่มีความเห็นต่างหลากหลาย ว่าเท่าที่ทราบถึงวันนี้ ภายในพวกเราเองหลายคนก็ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่น ทิด หลายๆคนก็ไม่ได้เห็นด้วยกันกับการเลือกลุงตู่ หลายๆคนที่เป็นคนเป็นผู้ใหญ่ คนขายของหน้าตลาดสันติก็ยังมีพรรคฝ่ายตรงข้ามอยู่ในดวงใจ แล้วมามีรายได้อยู่ในนี้ ข้อมูลส่วนกลางที่เปิดให้ฟังเขาก็ไม่เปิดรับ อยากขอความกรุณาพ่อครูช่วยตอกย้ำสำนึก ให้คนเหล่านี้อีกครั้งด้วยนะคะ ขอให้บ้านเมืองได้คนดี พ่อครูว่า… ก็มันเป็นธรรมดาธรรมชาติความเห็นต่าง พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ทั้งพระองค์ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความเห็นต่างจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองยังมีพระชนม์ชีพอยู่นะในยุคพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่ในประวัติในพระไตรปิฎกมีเยอะแยะ เห็นต่างและรวนอยู่และป่วนอยู่ ตั้งแต่พระเทวทัต พวกฉัพพัคคีย์ หรืออะไรต่างๆนานาอยู่ในนั้น ก็มาป่วนก็มารวนอะไรอยู่ มีพระพุทธเจ้าทั้งองค์ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ แล้วอาตมาเป็นใครจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าที่จะห้ามได้ จะไม่ให้มีได้ มันห้ามไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นก็ดูที่ตัวเรา เห็นคนอื่นที่เขาเห็นแตกต่างกันไปหากว่าพอสนิทกัน พอที่จะคิดว่า เตือนเขาให้สติเขาบ้างได้ ก็ให้บ้าง ถ้าเห็นว่ามันสุดวิสัย มันเหนือวิสัยที่จะไปเอาไม้สั้นไปรันขี้เปล่าๆก็ไม่เข้าท่าอะไร ก็ต้องปล่อยให้เป็นไป เพราะไปห้ามไม่ได้หรอกในความรู้ความเห็น สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่นานาสังวาส นานาสังวาสนี้มันแตกต่างจากนิกาย จะขยายความนานาสังวาสกับนิกายให้ฟังเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งแล้วเป็นธรรมวินัยที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ทำนิกาย อย่างที่มีอวิชชา มิจฉาทิฐิหนักจนถึงขั้นอวิชชา คือเห็นกายเป็นคนละกาย นิกาย อันที่เป็น พรหมกายหรือธรรมกาย ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระพรหมกายหรือธรรมกายก็ดี มันหมายถึงตัวเราตถาคตนะ อยู่ในพระไตรปิฎกมี แล้วทางธรรมกายเขา เอาไปตีกินว่าเขาเป็นธรรมกายเป็นกายของพระพุทธเจ้า ที่จริงแล้วเขานั่นแหละยอดแย่ยอดนิกายเลย คือธัมมชโย สมีธัมมชโย เป็นสมี 2 ตัวด้วย หมายถึงคนปาราชิกไปแล้ว ต้องไล่ไปให้ไกลจากวงการศาสนาพุทธเลย อย่าให้มาฟัง เพราะมันเสื่อม เดี๋ยวนี้สมีที่ปาราชิกอยู่แล้วก็เอามาคลุกคลีอยู่เละเทะ ซึ่งมันเสื่อมจากธรรมวินัยไม่อยู่ในร่องในรอยของพระพุทธเจ้าเลย ลำบากมาก เค้าไม่เข้าใจคำว่ากายเป็นยอดเดิม 200 ไม่รู้เข้าใจเลย นิ แปลว่าไม่ คือ ไม่ใช่ธรรมกาย ไม่ใช่พรหมกายของพระพุทธเจ้า มันเป็นกายของ เดียรถีย์ ของซาตาน ของผีนรก มันเป็นเช่นนั้น กาย แปลว่าองค์รวม กายคือ จิตคือมโน คือวิญญาณ ที่เกี่ยวข้องกับภายนอกอยู่ แต่พระพุทธเจ้าท่านเน้นเอาที่จิต มโนวิญญาณ ตถาคตเรียกกายว่าจิตมโนวิญญาณ พระไตรปิฎกเล่ม16 ข้อ 230 เพราะฉะนั้นพวกที่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจเลย อันนี้แหละคือมิจฉาทิฏฐิที่ขอยืนยันว่า เถรสมาคมได้มิจฉาทิฐิจนอวิชชาไปแล้ว ในความเป็นกายและเขาก็ได้ทำนิกายแล้ว เขาก็ได้อนันตริยกรรม ผู้ที่ทำตนเองหรือสงฆ์ของหมู่ตนเอง ให้เป็นหมู่ที่แตกจากธรรมกายหรือพรหมกายของพระพุทธเจ้า เป็นนิกาย นั่นแหละคือผู้ได้ทำอนันตริยกรรมเป็นนรกหนัก เป็นนรกใหญ่นรกลึก โดยที่เขาเข้าใจสมมุติ เข้าใจปรมัตถ์ไม่ได้เลยสับสนไปหมดซับซ้อนด้วย ความซับซ้อนถูกต้องเป็นผิด ผิดเป็นถูกต้องสลับซับซ้อนจนไม่รู้กี่ชั้น เห็นผิดเป็นถูก แต่ละชั้นแต่ละชั้นไป 1 2 3 กลายเป็นทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นนิกาย เป็นอนันตริยกรรมข้อที่ 5 ทำให้สงฆ์เกิดความแตกแยก อาตมาทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยโดยประกาศนานาสังวาสในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 ทนอยู่ได้ถึง 5 ปีนะอยู่กับสงฆ์หมู่ใหญ่ แล้วก็เป็นสงฆ์ที่เป็นนิกายเป็นการออกนอกรีตไปแล้ว อาตมาอยู่ด้วยไม่ได้จึงได้ขอประกาศตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เสร็จแล้ว ยิ่งสงฆ์หมู่ใหญ่แสดงความจริงออกมาให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจความเป็นนานาสังวาสเขาก็ไม่ ยำเละอาตมาใหญ่เลย ดึงอาตมาเข้าไปอีกทั้งๆที่ ได้ลาออกมาตั้งแต่ 18 อยู่กันดีนะอาตมาก็อยู่มาได้ จนกระทั่งพ.ศ 2525 พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ ก็ไปเล่นงานท่านพุทธทาส แล้วก็มาแขวะเล่นงานอาตมาบ้าง เราก็สงสารนะ ตอนแกเข้าคุกก็ยังส่งข้าวส่งน้ำให้แกเลย ขออภัยที่พูดเหมือนรื้อฟื้นบุญคุณ แต่เราเห็นใจเข้าใจ เราไม่ได้ถือสาและอโหสินั้นเราไม่ได้มีอยู่ถือสาไม่ได้ติดใจอยู่แล้ว เขาน่าสงสารด้วย จนกระทั่งแกเขียนเป็นหนังสือออกมาว่าข้าวของท่านมียาง คือขอบคุณนั่นเอง ระลึกถึงบุญคุณพวกเรา ครูหนูนี่แหละเป็นตัวเชื่อมซึ่งครูหนูก็เสียชีวิตไปแล้ว ครูหนูชื่ออำไพ หุ่นตระกูล ช่วยกัน จนมา 2532 ทีนี้สมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือมหาประยุทธ์ ท่านเป็นคนเปิดเรื่องเลย ซัดอาตมาใหญ่ โดยไปยึดถืออาตมาผิด จริงอาตมาผิดเพราะยังไม่ได้เข้าใจในพยัญชนะ ไปใช้พยัญชนะสับสนผิดไปจากความจริงไปหน่อย ท่านก็ถืออันนี้เป็นใหญ่เป็นโต ตีอาตมาเละเลย ว่าอาตมาไม่มีความรู้ในสภาวธรรมของโลกุตรธรรมหรือธรรมะของพระพุทธเจ้า ใส่ใหญ่เลย เขียนหนังสือว่าอาตมา มา 3 เล่ม เถรสมาคมก็ร่วมกันใส่อาตมาใหญ่เลย ต้องไปอ่านในหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสที่อาตมาได้เขียนไว้ เป็นการเอาธรรมวินัยมาขยายความไว้ ว่าเถรสมาคมไม่น่าทำอย่างนี้เลย มันผิดมันเป็นบาป เป็นอกุศลแก่ตัวเองจริงๆ ก็ทำไว้ให้ผู้ที่เขามาศึกษา คนจะได้รับรู้ความจริง ไม่ได้เจตนาจะไปว่าไปด่าเขาหรอก แต่อาตมารักษาความจริง เอาประกาศความจริง มายืนยันความจริงที่มันผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ก็ทำออกไปเป็นหลักฐาน เสร็จแล้วก็จนป่านนี้อาตมาก็ว่าก็ยังไม่กลับใจ เหมือนอย่างฝ่ายแดงเขาก็กลับใจ จนกระทั่งจะหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดีเจต้อย จตุพรพรหมพันธุ์ เจ๋งดอกจิก แรมโบ้อีสานก็กลับใจมาหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ยกขบวนแดงกลับใจกันมา อาตมาว่าจะหมดเนื้อหมดตัวแล้วนะทักษิณ เพราะว่าผู้ที่เขามาถึงวันนี้แล้วมาไกลแล้ว ทักษิณถูกเขากลับใจออกมา แต่เขาเกรงใจยังไม่ประกาศตัวอีกเยอะ ยังไม่พูดยังไม่ประกาศตัว แต่ก็ไม่เอาทักษิณแล้วมันเป็นพวกเสียงเงียบจะมีอยู่เยอะ แล้วจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นัยยะของการเมืองก็ดี นัยยะของธรรมะก็ดี มนุษย์ต้องมีการเมือง มนุษย์ต้องมีธรรมะ จะบอกว่านักธรรมะมายุ่งอะไรกับการเมือง คนพูดนั้นคือคนที่ไม่มีภูมิปัญญาอะไร ไม่มีภูมิปัญญาที่จะรู้ว่าคนมันต้องอยู่กับการเมือง ต้องอยู่กับธรรมะ มันก็ต้องสนใจในเรื่องพวกนี้ แล้วก็เรียนรู้ให้ถูกต้อง ทำถูกต้องแล้วเราจะได้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูก ในทางที่ดี เกิดมาทั้งทีแล้วกรรมเป็นอันทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เรียกว่าธรรมะ การกระทำที่เรียกว่าการเมืองมันก็เป็นกรรมทั้งนั้น มันหลีกพ้นคำว่ากรรมไปไม่ได้ กระทำพฤติกรรมที่เรียกว่าการเมืองกระทำพฤติกรรมที่เรียกว่าธรรมะ ก็เป็นกรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันมีผลต่อชีวิตคุณทุกคน คุณละเว้นการเมือง ละเว้นธรรมะไม่ได้ หากว่าคุณละเว้นธรรมะสิยิ่งแย่ใหญ่เลย ก็พูดกันไม่รู้กี่ทีคำนี้ ถ้านักการเมืองหรือผู้ทำงานการเมืองไม่มีธรรมะนี้ชิบหายใหญ่เลย ใครๆก็พูดแม้แต่ท่านพุทธทาสก็พูด ความรู้แค่นี้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเป็นความรู้ง่ายๆ นักการเมืองยิ่งไม่มีธรรมะนี้ชิบหายเลยไม่ว่าสังคมไหนก็แล้วแต่ประเทศไหนก็แล้วแต่ “เมื่อไม่คำนึงถึงธรรมะ ไม่คำนึงถึงศีลธรรมแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรก สำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้ก็กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย” นี่เป็นคำพูดของท่านพุทธทาสบันทึกไว้ ท่านพูดไว้ก่อน เป็นเรื่องที่เขารู้กันอยู่ คนเรามีการกระทำ การกระทำงานจะไม่เรียกว่าธรรมะจะเป็นงานอาชีพเป็นกัมมันตะ คือ หรือ กรรมที่เรียกว่าอาชีพหรือกรรมที่เรียกว่ากัมมันตะ. กรรมที่เรียกว่าวาจา หรือสังกัปปะ ก็มี 4 อย่างเท่านั้นแหละที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมรรคมีองค์ 8 มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ถ้าหากมิจฉาทิฏฐิในกรรมต่างๆ คือเข้าใจผิดไป คุณก็ไปทำ กรรมต่างๆตามที่คุณเข้าใจผิดๆ คุณก็ได้อกุศลหรือได้บาป คุณก็ได้อันนั้น ท่านพุทธทาสก็เคยบอกว่าธรรมะกับการเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่การเมืองก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที ซึ่งมันก็ทำลายกันอยู่อย่างเห็นๆ เพราะฉะนั้นคนที่พูดกันอย่างเด็กเป็นเด็กจริงๆเลยว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง เป็นการพูดที่ไม่เดียงสาเลย ไม่อยากพูดว่าโง่ ไม่เดียงสาคือยังอ่อนเยาว์ ยังโง่ยังเป็นคนพาล ยังไม่ประสีประสาอะไรจริงๆ เป็นคนที่ตื้นที่โง่ที่ยังเขลาอยู่ ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นคนที่พูดอย่างนั้นเราก็จะต้องบอกให้เขารู้ตัวว่าเขาเองเขลายังตื้นไป ยังเป็นเด็กไม่เดียงสา ยังไม่เข้าท่าอะไร ก็เตือนให้เขารู้แล้วเขาจะรู้จะยอมรับหรือเปล่าก็เรื่องของเขา เราก็ให้ความจริงก็บอกความจริงไปเท่านั้น สำหรับผู้ใดที่สำนึกหรือรู้ตัวว่า เราเองแค่นี้ก็เข้าใจผิดแล้วหรือ แค่ว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองเป็นความเห็นที่ผิดแล้วหรือ มันก็ผิดแล้ว มันผิดอย่างหนักด้วยนะ มันตื้นๆแต่มันหนักมันร้ายแรง อย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง เป็นคำกล่าวที่เราดูง่ายๆตื้นๆ แต่มันร้ายแรงลงไปถึงมนุษยชาติและสังคม ความเข้าใจผิดอันนี้ มันดูง่ายดูตื้นแต่คุณทำง่ายๆตื้นๆนี่แหละ แต่มันมีผล มีผลกระทบถึงสัจธรรมมันลึก มันกินหนักมันร้ายแรงหนัก มันมีผลลงไปเสียหายด้วย เป็นผลถึงขั้น ปหายะ เป็นคนทำร้ายทำลาย คนที่กล่าวว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองนั้นเป็นคนทำร้ายทำลายตัวเองก็โง่ลงไป ให้คนอื่นได้ยินได้ฟังพาให้คนอื่นเข้าใจผิดหรือโง่ตาม และยิ่งโง่ตาม ไปประพฤติตามกันอีกก็เลยพากันชิบหายกันไปใหญ่ในนรก นรกก็ยิ่งลึกกันไปใหญ่ เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ได้เข้าใจอย่างที่เขาเข้าใจ อาตมาเข้าใจถูก อาตมาจึงต้องมาทำสิ่งที่ถูกซะ ส่วนเขาจะว่าเป็นความเข้าใจของเขา ถ้าเขาฟังธรรมด้วยดี สุสสูสังลภเตปัญญัง เขาก็จะได้ปัญญา แต่เขาฟังไม่ดี ตั้งจิตไว้ผิดก็ยิ่งไปใหญ่ ยึดมั่นถือมั่นว่าเราไม่ใช่อย่างที่เขาว่ามา เป็นความเห็นผิดที่หนักหนาสาหัส เขาก็ยิ่งจะซวยมาก อาตมาก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ก็ได้แต่แสดงธรรมและพูดไปด้วยความเมตตา ด้วยความสงสาร เห็นๆอยู่ พูดถึงพวกเราให้ชัดๆ ไปตำหนิเขาก็จะหาว่าเราปากจัด มาชมดีกว่า ชมก็ชมพวกเรานี่แหละ ชมโลกุตรธรรม ชมเนื้อหาสาระที่เป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธ เราเป็นมนุษย์ชาวพุทธที่เกิดมาในยุคนี้ ยุคโลกุตรธรรมเสื่อม แล้วอาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาประกาศ พวกคุณมีดวงตา ชาวอโศกมีดวงตา ฟังเข้าใจรับได้ก็เลยเอาชีวิตมาสนใจ เป็นคนไม่เสียชาติเกิด แล้วมาเป็นคนมีศีล แล้วก็มาปฏิบัติอปันกะปฏิปทา 3 จนกระทั่งเกิดสัทธรรม 7 จนกระทั่งเกิดฌาน ฌานของพระพุทธเจ้าเป็นฌานวิสัยที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่ฌานนั่งหลับตาสะกดจิตที่เขาทำกันอยู่ทั่วไปเป็นเดียรถีย์หรือทางเถรสมาคมหรือวงการพระป่า ซึ่งออกนอกรีตหมดแล้ว ขอยืนยันว่าฌานหลับตาเป็นฌานนอกรีต เป็นฌานนอกพุทธ ไม่ใช่ฌานที่เป็นฌานวิสัย ที่เป็นอจินไตยที่เป็นพุทธวิสัย เป็นฌานวิสัยที่เป็นแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตานี้ไม่ใช่เลย อาตนาก็ต้องพูดย้ำเพื่อให้เขาได้ยินได้ฟังให้ได้ตรวจสอบ อาตมาใช้คำว่าท้าทายให้มาตรวจสอบเลย อาตมายืนยันว่าที่อาตมาพูดอาตมาตำหนินี้ตำหนิถูกว่าคุณผิด ไม่ได้ตำหนิผิดว่าคุณถูก แต่ตำหนิถูกแล้วว่าคุณนั้นผิด ขอยืนยัน ที่อาตมาพูดอยู่นี่อาตมาเกิดมาเห็นความเสื่อมของศาสนา หรือจริงๆแล้วอาตมาได้ยืนยันแล้วว่าอาตมาเป็นคนมากอบกู้ศาสนาพุทธคืนมา ในยุคนี้ เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในมนุษย์ได้ จนเกิดกลุ่มหมู่มนุษย์ที่บรรลุโลกุตรธรรม เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 นี่พูดยืนยัน อ้างอิงหลักธรรมพระพุทธเจ้าเลยนะ ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่าทำได้สำเร็จ พวกคุณได้รับมรรคผลจึงได้อยู่รวมกันเป็นสังคมมนุษย์ที่อยู่กันอย่างสบาย คุณมาทุกคนอย่างอิสรเสรีภาพ. อาตมาไม่ไปหลอกลวง ไม่ได้ประเล้าประโลม ไม่ได้ปะเหลาะ พูดสัจธรรมแข็งๆด้วย พวกคุณก็เข้าใจ รับฟังได้แล้วเห็นดี จึงมาปฏิบัติศีลตามหลักปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่งก็คือกิน อยู่หลับนอน อปัณณกปฏิปทา 3 แปลง่ายๆว่า กินอยู่หลับนอน คือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วก็ได้มรรคผล ได้ธรรมะเจริญ เป็นความเจริญอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา เพราะจิตคุณได้รู้จักกิเลส จิตของคุณมีปัญญารู้จักกิเลส และทำให้ปัญญามีพลัง ปัญญามีอินทรีย์ มีพลัง มีฤทธิ์ กำจัดกิเลสไปได้ เพราะทำให้พลังจิตของคุณเป็นกำลัง เป็นกำลังปัญญาขึ้นมา เป็นอินทรีย์ของปัญญา เป็นพละกำลังของปัญญา มันจึงมีฤทธิ์มีอำนาจทำให้กิเลสลดลงๆๆๆได้ นั่นคือการเกิด ฌาน ฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตดับไม่รับรู้ ฌาน ที่มีความตื่นยิ่งมีปัญญามีความรู้ที่ชัดเจนกระจ่างแจ้งขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วมันทำกิเลสลดลงไปจิตใจก็ยิ่งกระจ่างใสประภัสสร. ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้คือคุณลักษณะของฌานศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตแล้วทำให้เป็น อสัญญีสัตว์ ให้จิตมันไม่กำหนดแล้วรู้ ให้จิต มันไม่มีความรู้สึก เวทนาก็ดับ สัญญาก็ดับ สัญญาก็เป็น อสัญญีสัตว์ เวทนาก็เป็นเวทนาดับ ไม่รับรู้สึกอะไร เป็นพรหมลูกฟัก เป็นเหมือนก้อนดินก้อนหินอะไรอย่างนี้ แต่ที่จริงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันก็สงบระงับลงไปเหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้แต่ความชิบหายแล้วหนอที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าไปทำผิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก ฌาน ไม่รู้จักตั้งแต่ไปหลับตา หลับตาแล้วไม่มีคำว่ากาย กาย ต้องมีภายนอก ไม่ขาดภายนอกภายใน กายต้องมี 2 สภาวะ ต้องมีทั้งภายนอกและภายในเสมอทำงานร่วมกันเรียกว่าอายตนะ ภายในกับภายนอกมีรูปกับนามแล้วมีอายตนะ แล้วต้องมีผัสสะเสมอ แล้วอายตนะนั่นแหละเมื่อคุณมีปัญญาชำแรกลงไป เรียนรู้ก็จะรู้เป็นเวทนาแล้วก็แจกเวทนาออกเป็นถึง 108 ได้ แจกเวทนาไปถึง 108 ตั้งแต่เวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 อาตมาไม่ได้พูดด้วยบัญญัติภาษาเท่านั้น อาตมาพูดนั้นอาตมาเอาสภาวะเป็นตัวตั้ง แล้วอธิบายออกไป เอาสภาวะเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาพยัญชนะเป็นตัวตั้ง อาตมาต้องระลึกเอาสภาวะก่อน แล้วค่อยมาระลึกเอาพยัญชนะมาแปะทีหลังแล้วพูด บางทีก็สับสนพยัญชนะหรือบางทีก็ระลึกพยัญชนะไม่ออก แต่สภาวะอาตมามีครบ จึงอธิบายรายจละเอียดของสภาวะได้ เพราะฉะนั้นคำว่านิกายคือ ผู้ที่ไม่รู้ต้นเลยตั้งแต่คำว่ากายมันมีภายนอกด้วยภายในด้วย เป็นกระดุมเม็ดแรกที่ผู้เข้าใจไม่ได้แล้ว ผู้นี้ก็คือผู้ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 เป็นกระดุมเม็ดแรกของศาสนา ผู้เข้าใจหรือพ้นสักกายทิฏฐิ เข้าใจคำว่ากายแล้วต้องมาดูที่ตัวเอง การศึกษาต้องมาเรียนที่ตัวเอง ถ้าพ้นตัวนี้ไม่ได้ ผิดตั้งแต่ตัวนี้เริ่มต้นก็ไม่ได้เลย อีกอันที่ 2 ที่จะต้องแยกกายแยกจิต เพื่อที่ให้ผู้ที่จะศึกษาไปนิพพานจะต้องแยกกายแยกจิต ให้รู้ว่ากายกับจิตนั้นเมื่อใดมีกาย จิตของเราทำให้ไม่มีกายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จิตกับกายมันไม่มี มันมีกายกับจิต แต่เราทำใจในใจ มนสิการทำแต่แค่ใจในใจเท่านั้น ให้มันไม่มีกาย คำว่าไม่มีกายคำนี้คือไม่ให้มันมีกายที่แยกเข้าไปถึง เจตสิก กายิกเจตสิก กับ เจตสิก มันมีกายกับเจตสิก แยกกายเป็นเจตสิกก็คือ แยกตัวปฏิบัติจริงคือ ตัวเวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า เพราะเวทนาเป็นตัวแท้ของความสุขความทุกข์ เวทนาคือความรู้สึกหรืออารมณ์ที่มันรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ตัวนี้เป็นอริยสัจต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอาริยะเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้ฉลาดแล้วก็จะเรียนรู้ที่เวทนานี้ได้ว่าเป็นอาการหรือว่าเป็นความรู้สึก ว่ามันเป็นทุกข์ อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของมันได้คือจับสภาพของมันได้ว่าอาการนี้คืออาการทุกข์ แล้วคนที่มิจฉาทิฏฐิก็ไปหลงความทุกข์ว่าเป็นความสุข นี่คือพวกวิปลาส เพราะว่าสุขกับทุกข์นั้นมันตัวเดียวกันมันเป็นอารมณ์ ถ้ามันเป็นอารมณ์สุขมันก็คือมายามันหลอก แต่ที่แท้มันเป็นตัวทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่คนวิปลาสก็ไปหลงความทุกข์ว่าเป็นความสุข แล้วก็ไปยึดความสุขให้มันเที่ยง ก็เป็นความวิปลาสตัวต้นเลย มันไม่เที่ยง สุขมันก็ไม่เที่ยงแต่ไปยึดว่าให้มันเที่ยงจะต้องเป็นสุขตลอดกาล ตั้งแต่จตุมหาราช จนดาวดึงส์ จนถึงยามา จตุมหาราชคือ ข้าจะต้องแย่งชิง ข้าจะต้องประหัตประหารเอาจากคนอื่นให้ได้ เป็นจอมยักษ์จอมมารเป็นนักรบใหญ่ถือดาบถือง้าวถือหอกมีเขี้ยวมีตาโปนเอาไปแย่งในโลกโลกีย์ แย่งได้มาก็เป็นดาวดึงส์ เป็นภพลวงเป็นภพหลอก. เป็น ตาวติงสา เป็น อาการที่ 33 ซึ่งจริงๆแล้วในภพมันมีแค่อาการที่ 32 คือทวัตติงสา มันไม่มีดาวดึงส์ไม่มีอาการ 33 ที่เป็นการหลอกลวง แล้วต้องการให้เป็นสุขยาวนานคือยามา ได้ยาวนานยามหนึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง ก็จะได้ให้หลายๆยามเป็นยามต้นยามกลางยามปลายให้มันสุขต่อกันไป ซึ่งมันไม่ได้มันไม่เที่ยง แต่คุณก็จะพยายามดึงดันให้เป็นยามา ให้เป็นดาวดึงส์เป็นสุขนี่แหละ เป็นตัวหลอกตัวปลอมเป็นมายาในการจะเอาความสุขนี่แหละให้เป็นยามา เขาจะให้พัก กูก็ไม่พัก จะให้ดุสิตก็ไม่พัก ดุสิตแปลว่าเย็น ก็ไม่เอาดันทุรังต่อไปเลยสร้างขึ้นจะเอาต่อไปอีกเป็นนิมมานรดี ก็เลยยิ่งไปภพซับซ้อนเนรมิตขึ้นมาหลอกตัวเอง เก๊แล้วเก๊อีก เรียกว่า นิมมานนรดี ยังไม่พอ ใครๆมาเห็นตามโง่ตามก็ช่วยกันมา ปรินิมมิตวสวัตตี สร้างให้เป็นกำลังใหญ่เป็นพญามารยิ่งใหญ่ที่สุดเป็น ปรินิมมิตวสวัตตี ทำนรก ให้ใจตัวเองซับซ้อนไป ฟังให้ดีนะ ไอ้คนที่ไม่รู้จักสวรรค์เก๊ของเก๊ทั้ง 6 แล้วก็ไปหลงสวรรค์คุณก็มีภพ เพราะศาสนาพุทธท่านมาสอนให้รู้จักสวรรค์รู้จักนรก แล้วไม่เอาสวรรค์นั่นแหละยิ่งตัวหลอกซับซ้อนยิ่งเป็นมายาเป็นนรกในเมืองมายา มันเป็นนรกชัดๆ 6 ชั้นนั้น ศาสนาพุทธจึงไม่เอาแล้วทั้งนรกและสวรรค์เลิก แต่ศาสนาพุทธนั้นมันเสื่อมก็ไปหลงสวรรค์ กันอยู่นี่ศาสนาก็สอนแต่ให้ทำบุญทำทานให้เกิดภพชาติเกิดสวรรค์อะไรอยู่ เป็นสวรรค์ดาวดึงส์ สวรรค์มีสุข หลงความสุขเป็นสุขนิยมเหมือนกับเทวนิยมเขา ที่เป็นสุขนิยม แล้วเมื่อไหร่คุณจะหลุดพ้นสักที บวชมาตั้งอกตั้งใจน่าสงสารอยากจะได้นิพพาน อยากจะหลุดพ้น แต่คุณก็โง่งมงายสร้างภพชาติให้แก่ตัวเองวันแล้ววันเล่าได้ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข เป็นโลกีย์อยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักกายไม่รู้จักจิต พูดแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรให้ฟื้น อาตมาก็ไม่เสียหลายหรอกพูดไปแล้วยังมีพวกคุณเข้าใจ แล้วก็มาฝึกฝนปฏิบัติได้มรรคได้ผลตาม ฟังธรรมะให้ดีจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆว่าอาตมาพูดถูก เพราะว่าสังคมที่บรรลุมรรคผลจริงๆมีแต่สังคมชาวอโศกนี่แหละ นี่ขอยืนยันนะอาตมาไม่ได้พูดหลอกลวง ไม่ได้พูดประเล้าประโลมปะเหลาะ ไม่ได้พูดผิดด้วย พูดผิดมันบาป อาตมาพูดถูกต้อง ในเถรสมาคมนั้น หาได้ยากจนกระทั่งเรียกว่าไม่มีเลยที่จะถูก อาตมาก็ขอใช้คำว่าหาได้ยากก็แล้ว จะบอกว่าไม่มีเลยนั้นเพราะอาตมาก็ไม่ได้รู้จักละเอียดลออไปทั้งหมด อาจจะมีผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิอยู่บ้าง หรือมีส่วนที่เป็นอาริยะบุคคลบ้าง เป็นโสดาบัน สะกิดทาคามี อนาคามีได้บ้าง แต่มันไม่ง่ายนะที่จะเป็นโสดาบัน จิตเข้ากระแส ตั้งแต่ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม จนถึง สัมโพธิปรายนะ ก็คือจะต้องมีถึง 4 ส่วนก่อนเรียกว่า โสตาปันนะ คือ รู้จัก ทุกข์ รู้จักเหตุแห่งทุกข์ รู้จักการดับความดับทุกข์ อาการของการดับทุกข์ รู้จักวิธีการทำให้ดับทุกข์ โสดาบันก็ต้องเริ่มรู้อันนี้ก่อน จะรู้ความทุกข์ก็ต้องรู้จักจิตเจตสิกของตัวเองว่าความทุกข์มันเป็นอาการยังไง แล้วคุณก็ต้องรู้ว่าอาการของจิตของคุณมันเป็นยังไง มันเป็นอย่างนี้หรือมันเป็นอาการอย่างนี้คือความทุกข์และไปหลงว่ามันเป็นสุข รู้ว่ามันเป็นมายามันหลอกเราอยู่ ที่จริงมันเป็นผีเป็นซาตานมาหลอก แต่เราไปเห็นว่ามันเป็นอารมณ์สุข มันหลอก ผีมันเป็นมาหลอกว่าเป็นอารมณ์สุข ที่แท้มันเป็นทุกข์ อันเดียวกัน มันอันเดียวกันทุกข์กับสุข ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เพราะฉะนั้นอริยะจะเห็นทุกข์ ความสุขไม่มีหรอก ความสุขมันเป็นตัวมาร ตัวซาตาน ตัวผีหลอก เพราะฉะนั้นคนที่จะหลงสุขกันอย่างเทวนิยม ไม่มีทางที่จะขึ้นมาได้ ศาสนาเทวนิยมไม่มีทางจะรู้จักสุขทุกข์ เขาเรียนรู้ได้แต่ดีแต่ชั่วที่เป็นสมมุติในโลกเท่านั้น แล้วเขาก็อาศัยอันนั้น เป็นศาสนาทุนนิยมเป็นศาสนาอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เขาก็พยายามนะ ศาสนาทางโน้นเขาก็พยายามจะมาเป็นคนจน มาเป็นคนทิ้ง ลาภยศ บางคนก็พยายามที่จะทิ้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เขาก็พยายามเหมือนกัน แต่เขากำหนดไม่ถูก มันสัมมาทิฏฐิไม่สมบูรณ์ มันไม่เป็นปัญญา มันไม่เป็นปัญญาเพราะมันยังไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ปัญญาข้อที่ 1 เขาไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัส เขาไม่ได้ฟังสัตบุรุษพูด เขาไม่ได้ฟังสัมมาทิฏฐิจากผู้ที่สัมมาทิฏฐิ แม้จะได้ยินได้ฟังแล้วปัญญาข้อที่ 2 ก็ต้องมาฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีกในปัญญาข้อที่ 2 เข้ามาถามไถ่มาซักไซร้ไล่เรียงเรียนรู้แล้วเรียนรู้อีก จึงจะค่อยๆเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จึงจะเกิดหิริโอตตัปปะสูงขึ้นเรื่อยๆ พอสำนึกแล้วจะรู้สึกตัว ตายๆๆๆทำทุกข์อย่างแรงกล้าเลย แต่ก่อนที่เราเข้าใจผิด เห็นหัวเป็นตีนเห็นตีนเป็นหัวเลย ตีลังกากลับเลย จะรู้อย่างนั้นเลยจริงๆจะเห็นตรงกันข้ามที่เป็นสัจจะความเป็นจริง จะรู้จริงๆแล้วเข้าใจ วูปสมะ ความสงบในปัญญาข้อที่ 3 จึงจะรู้ถึงความสงบ 2 อย่าง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… จะรู้จัก ความสงบ 2 อย่าง สมณะเดินดิน… วันนี้ได้อ่านใน Facebook ของดร.แสวง รวยสูงเนิน บอกว่าคนเราจะเลือกเอาระหว่าง ฌานหลับตากับลืมตา ควรจะเลือกแบบไหน ถ้าฌานหลับตา คนเราต้องหยุดคิดหยุดพูดหยุดทำ หยุดทำมาหากินทั้งหมด แต่ถ้าเป็น ฌานลืมตา ก็ยังคิดได้พูดได้ ทำได้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีความคิดพูดทำได้อยู่ เขาไม่ได้มาเจอพวกเรามานานแล้วก็ยังมีสัมมาทิฏฐิเข้าใจได้ เห็นพวกเราทำงานทำการทำงานอยู่แต่ก็มีความสงบในตัว เคยเห็นพวกสายวัดป่ามานั่งหลับตาฟังธรรมพวกเราเดี๋ยวก็พลิกไปพลิกมา แต่รู้สึกพวกเราดูเหมือนทำงานทำการวุ่นแต่ก็ฟังธรรมกันอย่างสงบ ฟังธรรมกันอย่างที่พ่อครูบอกว่า ที่นี่เหมือนไม่มีคนเลยทั้งที่อยู่กันเป็นร้อยเป็นพันเป็นความสงบ 2 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าวิเศษกับความสงบทั่วไป พ่อครูว่า… ขยายความคำว่าสงบ 2 อย่างให้ฟัง พยายามจะพูดให้ง่ายๆ ความสงบ 2 อย่างที่เข้าใจนี้ ความสงบอย่างที่เป็นโลกุตระ เป็นฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าที่เป็นอจินไตยกับความสงบแบบฤาษี ความสงบแบบ เดียรถีย์ โลกียธรรมดา คือเป็นความสงบที่เขาเอาตื้นๆอย่างความเคลื่อนไหวมันมีหรือไม่มี เป็นความเคลื่อนไหวทางการกระทำทางกายกรรม กายกรรมไม่เคลื่อนไหว เขาก็เลยไปนั่ง นั่งนิ่ง หรือบางทีไม่นั่งก็นอนทำสมาธิ หยุดนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว หยุด อิญชนะ (การเคลื่อนไหว) เดี๋ยวนี้เขาไม่พูดถึงอิญชนะ เขาไม่เข้าใจ ไม่ระวังระแวงด้วยว่าสงบก็คือหยุด สงบที่เขาเข้าใจกันแค่ตื้นๆเขาเข้าใจว่าแค่ไม่เคลื่อนไหวกาย พูดก็พูดให้เบาๆน้อยๆหรือนิ่งๆไม่พูดเลย ไม่เคลื่อนไหวทางวาจา หนักเข้าก็ไม่เคลื่อนไหวทางจิต ให้สงบ แล้วเขาก็ว่าเขาอ่านอาการ กาม ปฏิฆะ ที่มันเกิดในจิตซึ่งมันเป็นสัญญาไม่ใช่เป็นกรรมที่จริง ปฏิฆะที่จริง ที่เกิดการกระทบสัมผัสใน กามาวจร เพราะเขาไปนั่งหลับตาอยู่ใน รูปภพ อรูปภพ แล้วเขาก็เข้าใจอีกแหละว่าเขาจะทำให้มันนิ่งลึกเข้าไป ให้หยุดนิ่งไปเลย นี่แหละคือสงบ เขาเข้าใจอย่างนี้กันเลยนะมากกว่ามากเลย โดยเฉพาะสายเทวนิยม แม้แต่อินเดียเองเดี๋ยวนี้ เป็นฤาษีกันทั้งนั้น อินเดีย ไม่มีโลกุตรธรรมนะ ไม่มีใครสอนโลกุตรธรรม เป็นฤาษีทั้งนั้น เป็นพวกนอกรีตทั้งนั้น โดยฉะนั้นในเมืองไทยนี่ก็เถอะ แยกไม่ได้ ทำความสงบที่มันสงบเพราะ จิตมันแคล่วคล่อง จิตมันตื่น จิตมันสว่าง จิตมันแจ่มใส ไม่ใช่จิตที่ยิ่งหรี่ยิ่งหลบยิ่งหลับ ไม่ใช่ มันยิ่งตื่น ยิ่งแจ่มใส ยิ่งกระปรี้กระเปร่าเพราะอะไร เพราะกิเลสมันออกไป ทำให้กิเลสตัวขุ่นมัว ตัวหมอง ตัวที่ทำให้ยิ่งมืดบอดนั้นมันลด มันลดค่าลงเรื่อยๆ กิเลสนี้มันหมดไปจิตมันก็ยิ่งตื่นใสสะอาด บริสุทธิ์จากกิเลสไปเท่าไหร่ ปริสุทธาจิตที่ บริสุทธิ์จากกิเลสก็คือ ปริสุทธามากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา มันก็ยิ่งประภัสสรความฉลาดชนิดก็ยิ่งแจ่มใส สงบจากกิเลสจิตก็ยิ่งแจ่มใส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ทำกรรม กัมมัญญาทุกอย่างที่เป็นกัมมันตะมันเป็นอัญญา มันพร้อมไปด้วยความฉลาดชนิดอัญญาปัญญา กำกับพร้อมไปตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น ฌานหรือสมาธิ หรือจิตที่สงบของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ฌานที่คนนิ่ง ไม่ใช่ฌานแบบแข็งทื่อ แต่เป็นฌานที่ยิ่งมี กายปาคุญญตา มี จิตปาคุญญตา มีกายกรรม แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว วจีกรรมก็แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว มโนกรรมก็ยิ่งแคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว นี่คือสัจจะสุดยอด ซึ่งผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญา เพราะความเข้าใจไม่มี เป็นภาษาสิริมหามายา เป็นภาษาที่ซับซ้อน ทำไมยิ่งสงบยิ่งหยุด ยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งว่องไว เขาก็ไปเข้าใจว่าสงบคือหยุดคือนิ่ง คือไม่เคลื่อนไหว ซึ่งมันผิด มันไม่ใช่อย่างนี้เป็นต้น _สู่แดนธรรม… สรุปว่า มีสมณะที่สันติฯ บอกว่า เดินตามโยมที่ ไปลงคะแนนเสียงล่วงหน้าบอกว่า กาเบอร์ 22 ทั้งสองบัตรเลยไม่ได้นะ จบ พ่อครูว่า… อย่างนี้แหละ บัตรสองใบมันทำให้งง Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin12 พฤษภาคม 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660510 ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกNextNext post:660515 สงครามข่าวสารกับปรากฏการณ์จริงการเมืองไทย รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #22 ราชธานีอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024