660501 คนที่ไม่รู้จักกายคือคนพิการ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #20 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1M38a4o6l5SMSJjLokYSbcZPWoJsLzh2D/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1kebiyJcnl2DbGqknXHBZGk90oGVSdVqq/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://fb.watch/kftufyGy3I/
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ พระจันทร์เป็นข้างขึ้น เกือบจะถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 แล้วนะ วันเวลาก็ผ่านไปผ่านไปแต่ละวัน
_Fc ลุงตู่ ..ที่จ.ตรัง พวกเราไปมอบหนังสือปัญญา 8 ให้ลุงตู่
ท่านรับแล้วถามว่า ทำอย่างไรให้นอนหลับ ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับเลยครับ
_กล้าเป็น…ผมว่านะ ที่ลุงตู่นอนไม่หลับ คงมีความกังลวลเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ยิ่งพรรคล้มเจ้ามาแรงด้วย แกแบกภาระประเทศไว้หนักมาก จริงๆลุงคงไม่อยากกลับมาทำการเมืองเท่าไรนักหรอก แต่สำนึกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ที่จะต้องปกป้องแผ่นดินไทย
เพราะเวลาหาเสียงลุงจะพูดเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ย้ำอยู่ทุกครั้ง ครับ
แนวคิดแก้ปัญหาให้คนไปรวยไม่ช่วยแก้ปัญหาจริง
พ่อครูว่า… คือคนเรายังดี ยังมีคนรับผิดชอบเอาภาระสังคมประเทศชาติ ว่าอย่างนี้แหละ ถ้าไม่มีคนรับผิดชอบเอาภาระสังคมประเทศชาติ ยิ่งมีพวกที่จะล้มเจ้า พวกที่จะแย่งอำนาจ พวกที่จะนึกให้ตัวเองเป็นใหญ่ มีหัวก้าวหน้า จะก้าวไถลหรือก้าวไกลก็แล้วแต่ ก็ว่ากันไป
ที่จริงก็เป็นจิตเจตนาดีกันของทุกคน เจตนาจะให้เป็นอย่างที่เราคิดว่าดี เช่น เจตนาของคนส่วนใหญ่ เขาคิดพยายามแก้ปัญหา พยายามพัฒนาเศรษฐกิจอย่างที่เป็น ในความคิดที่จะพัฒนาเศรษฐกิจก็คือจะต้องทำให้คนนี้รวย ทำให้คนมีเงินมีทองกันทุกๆคน หรือให้ทุกๆคนมีเงินมีทองกันมากๆแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข นี่ก็เป็นความเห็นความผิดของคนทั่วโลก เป็นความเห็นทางโลกีย์ง่ายๆ เผินๆไม่ลึกซึ้งเลย
แต่อาตมามองว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่ไปแก้ปัญหาแบบอย่างนั้น อาตมาก็ดี ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ดี ก็มองการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแนวเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คือจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ได้ดีแล้ว ต้องมาทำให้คนเข้าใจความจน แล้วก็มาทำตนให้เป็นคนจน ทำความเข้าใจให้ได้ว่า ความอยู่ดีกินดีหรือความอยู่เย็นเป็นสุข ความประเสริฐแท้ๆ ไม่ใช่ให้คนไปแย่งกันร่ำรวยหรือจะต้องอยากรวย
อันนั้นมันเป็นความโลภ เป็นกิเลสธรรมดาๆ โลภเห็นเงินเป็นใหญ่ เห็นตัวเงินตัวทองเห็นตัวทรัพย์ศฤงคาร เป็นเรื่องที่จะยังชีวิตหรือจะทำให้ชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข หรือทำให้ชีวิตเป็นใหญ่เจริญรุ่งเรืองเขารู้สึกและเข้าใจอย่างนั้น concept หรือความคิดองค์รวมเขาไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น
ซึ่งมันไม่ถูกต้องทั้งตัวเองทั้งความที่เขาคิดอย่างนั้น มันต้องคิดให้เป็นผู้ที่ถ่วงไว้ เพราะธรรมดาธรรมชาติคนมีกิเลสจะต้องไปแข่งกันรวย แย่งกันรวย แต่มันแย่งกันไปได้กี่คน คนจะไปรวย มันก็จะทำให้คนจนหนักเข้าไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องช่วยถ่วงดุล โดยเรามาเป็นเพื่อนคนจน แล้วก็พาคนจนช่วยกันสร้างสรรค์ อยู่เย็นเป็นสุข รู้จักพอ รู้จักกินรู้จักอยู่ อันนี้แหละเป็นประเด็น อย่าไปหลงโลกว่า กินจะต้องกินแบบนี้ ถึงจะเท่ ถึงจะว่าเจริญ ถึงจะว่าอร่อย ถึงจะว่าเป็นคนชั้นสูงอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ใช่
กินก็คือกินอาหารที่มันเป็นสาระ ได้ธาตุอาหารที่ดีมีสาระ มีคุณค่าที่ดี แม้มันจะไม่หรูหรา ไม่เอร็ดอร่อยไม่อะไรก็แล้วแต่ มีปัญญาเข้าไปถึงเนื้อหาแก่นสารของอันนั้นแท้ๆว่ากินคืออะไร อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนภิกษุทั้งหลายไม่ได้กินเพื่อเล่นหัว เพื่อมอมเมา เพื่อบำรุงบำเรอ เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่ กินเพื่อให้ขันธ์ตั้งอยู่ได้ ให้ได้ธาตุที่ขันธ์ต้องการ ขันธ์ 5 ของเรา สังขารขันธ์ของเราต้องการ ยิ่งสมัยนี้ทางวิทยาศาสตร์ ทางแพทย์ทางโภชนาการรู้ดีเรื่องการกินอาหารอย่างไร อย่างนี้ต่างหาก
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่ชัดเจนในสาระอันแท้จริงนี่แหละ ไม่เข้าใจจุดเป้าหมายสำคัญเนื้อแท้ของสิ่งนั้น สิ่งนั้น เป็นเป้าเป็น Goal เป็น Interest Point ไม่เข้าใจจุดสำคัญพวกนี้ มันผิดเป้าหมด
โลกหรือกิเลสมันจะหลอกให้ออกนอกเป้าอยู่เรื่อย ออกนอกเนื้อหาแท้อยู่เรื่อย แล้วคนจะโง่ไปตามผีหลอก ตามกิเลส ตามสังคม เป็นสังคมที่เป็นสังคมผี สังคมคนคือสังคมผีหลอก มันหลอกกัน เพราะฉะนั้นคนที่จะมีปัญญา รู้จักเนื้อแท้ รู้จักกันความจริง แล้วดึงคนให้เข้ามาหาแก่นแล้วอย่าให้ไปถูกหลอก ถูกจับไปเป็นบริวารผี มาเป็นผู้มีปัญญา เป็นอาริยบุคคล จึงไม่ง่ายเลย ยากแสนยาก
คนไม่รู้จักกายคือคนพิการ
_ทอง เอ็นจีโอ tong ngo • มีบางคน..ค่าที่ลืมตาดูโลกและเติบใหญ่ขึ้นมา ก็เห็น “ทุกสิ่ง-ทุกอย่าง” ในความเป็นบ้านเมืองตัวเอง จนชินเหมือนปลา จะเห็นคุณค่านั้น ต่อเมื่อแล้ง-น้ำแห้งเกล็ด เหมือนนก จะเห็นคุณค่าท้องฟ้า ต่อเมื่ออยู่ในกรงขัง!
เราทุกคน แต่ละก้าวชีวิต มีทั้ง “ผิดบ้าง-ถูกบ้าง” เป็นธรรมดา เพราะนั่น คือ ที่มาของคำว่า
“ประสบการณ์” ฉะนั้น แต่ละคน……
จงใช้ “ประสบการณ์” ทบทวนตัวเอง บ่อยๆ จะได้ชื่อว่าเป็นคน “ไม่เสียชาติเกิด”!
พ่อครูว่า… มันจะรู้ว่าเราเป็นคนไม่เสียชาติเกิดนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ คนที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด
คนที่เกิดมาเสียชาติเกิดก็คือ คนที่เกิดมาไม่ได้แก้ไขจิตวิญญาณตนเองให้กิเลสลด นี่คือคนเสียชาติเกิด
ใครก็ดีที่เกิดมาแล้วไม่รู้จักกิเลส อ่าน จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของตนเองไม่ออก แยกจิตเจตสิก แยกกายแยกจิตไม่ได้ อ่านจิตเจตสิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นแยกกิเลสที่มันแฝงในจิตและเราไม่ได้และทำให้กิเลสมันออกไปจากจิตไม่ได้ นั่นแหละคือคนเสียชาติเกิด มีเยอะไหม ….เยอะ
โลกเทวนิยมมีหมดเลย เกิดมาเสียชาติเกิดทั้งนั้น แล้วไม่เสียชาติเกิดเปล่า ซวยด้วย เกิดมาแล้วซวย เสียชาติเกิด เพราะเกิดมาแล้วถูกครอบงำด้วยกิเลส จะฆ่าแกงจะต้องเอาชนะ จะต้องเลิศด้วยทางรสนิยม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรูหราฟู่ฟ่าเต็มสังคม กิเลสทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นคิดดูสิ คนเกิดมาเสียชาติเกิดนี้มีจำนวนตั้งเท่าไหร่ คนที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิดมีเท่าไหร่ อย่างในประเทศไทยก็มีชาวอโศกอยู่จำนวนหนึ่ง
พวกที่เขานึกว่าเขาไม่เสียชาติเกิดเหมือนกัน เขาก็นึกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ด้วยซ้ำ คือพวกไปนั่งหลับตา นึกว่าตัวเองบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กัน นี่ก็ยิ่งน่าสงสารใหญ่เลย แล้วก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเขานะคนพวกนี้ พวกที่นึกว่าหลับตาคือการดับกิเลส คือการทำให้อวิชชาไม่รู้จัก ยิ่งไม่รู้จักกิเลสใหญ่เลย หลับตาเข้าไปนั่งสะกดจิตไม่มีวันได้รู้กิเลส พวกนี้โมฆบุรุษ 100% เลย
เพราะฉะนั้นในการศึกษาของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่บรรลุธรรม มีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆ
พวกที่ 1 คือ พวกหลับตาปฏิบัติ พวกนี้แค่พูดว่าหลับตาปฏิบัตินี้ตัดประเด็นไปได้เลย พวกนี้ใหญ่มาก มีพวกไม่ใช่น้อย แล้วก็หลับตาแล้วพากันมืดบอดไป เสียชาติเกิดแล้วก็ซวย งมงาย เพราะมันยิ่งมืดยิ่งบอด ยิ่งไม่รู้เรื่อง จมหายไปในภพ ในภวังค์ ไปนานเหมือนอาฬาร ดาบส อุทกดาบส ตายไปแล้วจะได้กลับมาได้ร่างคนกลับมาเกิดอีกนานมาก จนพระพุทธเจ้าอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ อาฬารดาบส อุทกดาบส เอ๋ย
คนไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกตรงนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานว่าตายๆๆ ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แล้วก็สะกดจิตเอา สะกดจิตเอา จนกระทั่งได้เอารูปฌาน 7 8 คือทำตัวเองให้ฉิบหายอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอุทาน มันเสียเวลาไปนานเป็นกัปๆเลย ไม่รู้กี่ล้านปี จม อยู่ในนรกหมกไหม้ที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจมนรกอย่างไร เพราะว่าจิตไม่ได้ตั้งอยู่กับฐาน ตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นสัมภเวสี มันไม่มีใครจะบอกใครได้หรอกว่า เอ็งจะลงนรก เพราะเหมือนกับคนนอนฝัน นั่นแหละเหมือนคนตายแล้วก็จิตไปอยู่ในภวังค์ มันก็มีเรื่องมีราว แม้มันจะเงียบได้มันก็ต้องฟื้นขึ้นมารู้ เพราะคนเราธาตุรู้มันรู้มากกว่าไปดับ ไม่จบกิจ แล้วหมดฤทธิ์มันก็ตื่นขึ้นมารับเรื่องอะไรต่ออะไร
แล้วจิตตัวเองอยู่ในสัมภเวสีมันก็มีแต่ดิ้นรน ดิ้นรนไปตามโลกีย์ที่ตัวเองถูกครอบงำ เป็นกิเลสทั้งนั้นเลย ไอ้หยุดก็กิเลสชนิดหนึ่ง การดับจิตมันเป็นการดับสัญญา อสัญญีสัตว์ ก็มีพลังที่จะสะกดไว้ได้อย่างหนึ่ง
แล้วหมดความสะกดมันก็จะดิ้นเป็นโลกีย์ แล้วอยู่ในโลกีย์ที่ไม่มีโลกีย์ แล้วก็ไปหลงสร้างว่ามันเป็นโลกีย์ เป็นอุปาทานอยู่ในนรกหมกไหม้
อาตมาพูดเป็นภาษาอธิบายให้ฟังประมาณนี้ ซึ่งน่าสงสารมากพวกที่นั่งหลับตา อันนั้นก็แล้วไปเถอะ นั่งหลับตา อธิบายไปไม่ไหวกับเขา
ส่วนพวกที่ยิ่งใหญ่พวกที่ 2 คือพวกที่เก่ง เก่งทางเปรียญ เก่งทางปริยัติ เก่งทางพระอภิธรรม เก่งทางเรียนบัญญัติ พยัญชนะ ภาษากับตรรกะ ความคิดฟุ้งซ่าน ความรู้ พวกนี้มีแต่ภาษาเป็นตรรกะเป็นเหตุเป็นผล มีเหตุมีผล มีผลต่อเหตุ จ้อยๆๆเลยนะ มีเหตุมีผลมีผลมีเหตุจ้อยๆ
แล้วในความคิดของคนเหล่านี้ต่างไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ เขามีเหตุมีผลนึกว่าเขาฉลาดแล้วนะ แล้วพวกนี้ไม่รู้จุดสำคัญคือ กาย
มีเหตุมีผลก็เป็นเหตุผลของบัญญัติภาษา เหตุผลของความคิด แต่ไม่รู้จักคำว่า กาย
คนที่ไม่รู้จักคำว่ากายคือไม่เข้าถึงความเป็นจริงของชีวิต คุณจะจับเหตุผล เพ้อฝันเพ้อพก กับเรื่องหลักเกณฑ์วิธีการอะไรพวกนี้ ไม่เข้ามาสู่ชีวิตจริง
ชีวิตจริงต้องมีกายคือมีความรู้สึก กับผัสสะ ตาหูจมูกลิ้นภายนอกเรียกว่า กายกับจิต ที่มี 5 คู่ มีกายแล้วคุณก็ยังอวิชชาอยู่ คุณก็จะมี กาม
คุณต้องมาเรียนรู้ กาม ตั้งแต่กามหยาบ ตั้งแต่อบายมุข พ้นอบายมุขก็ยังมีกิเลส กาม การปรุงแต่งด้วยรูปนาม ด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) สภาพคู่ของมัน กับ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กาย ใจ
5 กิเลสนี้ ต้องเรียนรู้และมันเป็นของ หยาบคือเปลือก คุณจะเข้าไปถึงเนื้อ คุณต้องปล่อยหรือปอกเปลือกออกก่อน แต่คนที่เข้าใจผิดไปปอกเปลือกคือนึกว่าไปหาเนื้อ มันไม่ได้ มันเป็นความคิดที่ยังไม่เข้าท่า มันต้องปอกเปลือกได้แล้ว หมดเปลือกก็คือกิเลสภายนอกแล้วกิเลสที่เหลือ ก็เป็นกิเลสภายใน มันถึงจะเป็นความจริง
ไปคิดเอาไม่ปอกเปลือกแล้วก็ … เปลือกมันไม่ใช่เปลือกมันผลไม้แต่มันเปลือกเหล็กมันแข็งมันหนา คุณจะเข้าไปหาข้างในคุณจะต้องเอาเปลือกแข็งเปลือกที่เหมือนกันอยู่ข้างนอกออกให้ได้ก่อนแล้วคุณถึงจะได้เข้าไปถึงสภาพกิเลสชั้นต่อไปนี้ได้
ถ้าไปคิดเอาง่ายๆว่า ฉันทำภายในเลย ไม่ต้องไปทำข้างนอก มันไม่ได้
เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจกายคือ มีภายนอกกับภายใน เข้าไปตามลำดับเลย กายในกาย กายในกาย กายในกาย มันมีตั้งหลายชั้น คำว่า กาย จึงมีภายนอกอยู่ด้วยเสมอ สมมุติว่ามันมี 5 ชั้นของกาย
กายนอก มันเกี่ยวกับกายในคือจิตเพราะฉะนั้นกายนี้มีจิตกับภายนอก ล้างกิเลสที่ภายนอกได้ก็เอากายต่อมาเป็นกายใน กิเลสที่เกี่ยวข้องกับภายนอกเป็นชั้นนอกอีกคุณก็ต้องล้างกิเลสชั้นนอกก่อน ชั้นนี้ได้แล้วก็เหลือภายใน คุณก็ต้องล้างกายใน จนกว่าจะหมดที่มันไม่มีภายนอกแท้ๆได้ เรียกว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อย่างน้อย 3 ชั้นจึงจะไม่มีภายนอก เหลือภายในเป็น รูป เป็นภวตัณหา เป็นรูปตัณหา อรูปตัณหา ถึงจะเหลือภายในที่หมด ข้างนอกแล้วเป็นอนาคามี คุณก็ถึงจะล้างกิเลสนี้ไปอีก เหลือข้างในเป็นอรูป แล้วก็ถึงอรูปจนหมด
พวกที่เข้าใจว่ากายคือ มีแต่เป็นภายนอกสรีระนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วและมีเยอะอย่างเช่น คนไทยคำว่ากายหมายถึง เปลือกผิวหรือข้างนอกเท่านั้น เป็นภาษาไทยนะไม่เกี่ยวกับจิตเลย เป็นศาสนาพุทธและใช้คำว่า กาย แต่กายของเขาทำให้เข้าใจผิดว่ามันเหลือแต่เพียงภายนอกไม่มีจิตและร่วมด้วยเลย จึงมิจฉาทิฏฐิ โมฆบุรุษไป กว่าจะพูดกันรู้เรื่องนี้ยากมาก
ต่อให้เรียนเปรียญ 9 ต่อให้เรียน ดร.ทางศาสนาได้ ไม่มีทางแม้จะเรียนดร. ทางศาสนาพุทธมาในเมืองไทย ก็ไม่ใช่จะเข้าใจคำว่ากายได้ง่ายๆ ยิ่งใหญ่มากเลยคำว่ากาย
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถ้าคุณเข้าใจกายที่เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ที่ต้องศึกษากันให้ได้ก่อน
ถ้าคุณเข้าใจคำว่า กายสัมมาทิฏฐิไม่ได้เลย ปิดประตูไปเลย ศาสนาพุทธ แม้คุณเข้าใจกายถูกต้องแล้ว คุณจะไปนิพพานจริงๆคุณก็ต้องมาเรียนแยกกายแยกจิต ให้ลึกซึ้งเข้าไปถึงเวทนา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไปนิพพานจริงๆคือ ผู้ที่จะมาบวชเป็นภิกษุ พระพุทธเจ้าจึงมีหลักวินัยไว้เลยว่า ให้สอนสัทธิวิหาริก สอนผู้มาบวช มาบวชนี้จะต้องไปนิพพานทุกคน
ให้รู้จักการแยกกาย แยกจิต จากกรรมฐานทั้ง 5 คือ ผม ขน เล็บฟัน หนัง ให้รู้ว่ากายกับจิตมันต่างกัน กายขาดจิตไม่ได้ ทำจิตให้ไม่มีกายได้นี่คือจิตจะเป็นพีชะหรือเป็นจิตนิยาม นี่แหละคือจุดสำคัญที่จะเป็นอรหันต์ จะเป็นอาริยะได้ ตรงนี้แหละแยกกายแยกจิตอันนี้ ธรรมนิยาม 5 ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วคุณจะมาพิจารณาโพธิปักขิยธรรม แยกกาย พิจารณากายในกาย ให้เห็นเวทนาในเวทนา ให้เห็นจิตในจิต ธรรมในธรรม ขี้หมานะครับ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ท่องพยัญชนะ มีแต่เหตุผลไปตามตรรกะ ไม่มีเข้าถึงเนื้อ แยกกายแยกจิตได้ แล้วแยกกายจริงๆไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุข้างนอก แต่เกี่ยวกับจิตที่ยังสัมพันธ์กับกายกับโลกภายนอก ไปหลับตาไม่มีสัมผัสภายนอกจึงปิดไปเลย ตัดทิ้งได้เลยโมฆะไปเลย พวกหลับตาปฏิบัติไม่ต้องพูดเลย
เพราะฉะนั้นลืมตาแล้วต้องรู้จักสัมผัสต้องรับรู้ด้วย มันมีนอกนะแล้วกิเลสภายนอกนี่ต้องรู้ก่อน เอาออกให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้ก่อนแล้ว อย่าไปเริ่มต้นบันไดขั้น 2 ขั้น 3 ขั้น4 ขั้นแรกยังไม่ได้เลยก็ผิดแล้ว
อาตมาทำงานมา 50 ปี ยิ่งสงสารพวกนั่งหลับตา แล้วก็สงสารตรงที่ว่าไปถูกทางเถรสมาคมครอบงำ ว่าอย่ามาฟังโพธิรักนะ เป็นพวกกบฏศาสนา พวกที่นอกรีต พวกทำลายศาสนา เป็นพวกเทวทัตเขาลงโทษอาตมาสารพัด ก็เลยพากันไปสู่นรกกัน
เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าใจถึงสภาวะกายต้องมีภาวะ 2 เสมอ ความเป็นกาย ถึงจะสามารถปฏิบัติทำใจในใจหรือมนสิการ(นาม) มนสิกโรติ(กิริยา) จะทำใจในใจได้สำเร็จ ต้องสัมมาทิฏฐิในคำว่ากายเสียก่อน
ส่วนใหญ่ก็ยังยาก ยังมิจฉาทิฎฐิกัน ยังทำความเข้าใจยังไม่ได้ ยังมีความเข้าใจผิด เข้าใจว่ากายคือภาวะหนึ่ง แล้วเป็นทางภายนอก แล้วเป็นวัตถุ ไม่เกี่ยวกับจิต นี่คือกาย เข้าใจอย่างนี้ เข้าใจว่ากายคือสรีระ คือร่างภายนอกส่วนเดียวไม่มีความเป็นจิตเจตสิกร่วมอยู่เลย
เพราะฉะนั้นในความรู้ความฉลาดสุดๆของผู้ที่มีความเชื่อมั่นอยู่แค่นี้ แค่กาย คือสรีระส่วนเดียวภายนอกเท่านั้น เป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้เป็นทิฎฐิที่พิการ พิการตลอดเลย ไม่ใช่วิปลาสเท่านั้น พิการเลย ไปตลอดกาลตลอดชีวิตเลย ถ้าเข้าใจว่ากายคือเพียงภายนอกเท่านั้นแล้วหนึ่งเดียว เป็นเปลือกเท่านั้นเอง เป็นวัตถุไม่มีจิตร่วม
ที่อาตมาบอกเงื่อนไขไป 2 3 4 เงื่อนไขเท่านั้น เข้าใจผิดแค่นี้ คนนี้ กายคำแรกมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้แล้ว ตลอดชีวิตของคนนี้ เป็นโมฆะ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีมรรคผลตลอดตาย แล้วยิ่งไปเข้าใจผิดที่ถูกหลอกว่าเป็นอรหันต์เก๊ หลับตาอีก ก็ยิ่งซวยไปตลอด
คนเราทุกคนไม่ว่าชาติไหน ศาสนาไหน มีกายกันทุกคน ภาษาว่ากายในศาสนาพุทธ แม้ศาสนาคริสต์ อิสลาม ก็มีกายทั้งนั้น และต้องมาเรียนรู้ความจริงอันนี้ คุณจะใช้ภาษาอะไรก็แล้ว ให้คุณเข้าใจสัจจะสาระคือความเป็นกายคือภาวะ 2 เรียกว่า เทวฺ ภาวะ 2 คือกาย มันแยกกันไม่ออกนะ
พระอรหันต์สามารถทำจิตของตัวเองไม่ให้มีกายได้ จิตที่ทำให้ไม่มีกายอย่างเก่งก็คือเป็น พีชนิยาม เก่งไปกว่านั้นให้เป็นอุตุนิยามเลย ในขณะที่มันมีจิตนี่ให้มันปรุงแต่ง อย่าให้มันมีความรู้สึก กายนั้นคือ มีความรู้สึกอยู่ด้วย ถ้าไม่มีความรู้สึกเลย อย่างไกลเป็นอุตุ นั่นคือทิ้งไปเป็นวัตถุ ต้องให้มีความรู้สึก ขนาด พีชะเป็นชีวะ แต่ไม่มีความรู้สึกเหมือนผมขนเล็บฟันหนังที่ยาวออกไปไม่มีความรู้สึก ออกไปพ้นประสาทแล้ว ไม่บอกผมขนเล็บฟันส่วนที่มันไม่อยู่กับประสาททางจากประสาท
หรือแม้แต่ผิวหนังที่มันร่อนออกมาภายนอกไม่ติดกับประสาทแล้ว เป็นขี้ไคล เป็นต้น คุณขัดออกก็ไม่เจ็บอะไร
นี่ มันถึงจะหมดความรู้สึกหรือเวทนา ผู้ใดไม่เข้าใจอาการของเวทนา เรียนรู้ธรรมะไม่บรรลุธรรม เพราะฉะนั้นกรรมฐานใหญ่ของศาสนาพุทธคือ เวทนา เรียนรู้เวทนาจึงจะไปนิพพานเป็นอรหันต์ได้ ไม่มีเวทนาเป็นฐานที่ตั้ง เป็นฐานปฏิบัติเรียกว่ากรรมฐาน คนนั้นไม่มีทางปฏิบัติรู้เรื่อง
ความรู้ความฉลาดของผู้ที่เข้าใจผิดไปแล้วตั้งแต่ต้น คือเข้าใจกายที่เป็น 2 เป็น 1 เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 มีแต่เพียงภายนอกหรือ 1 ที่มีแต่ในภายใน โมฆะทั้งคู่เลย
เพราะฉะนั้นความรู้ความฉลาดของใครก็ตามที่พิการไปอย่างนี้ คือไม่มีคู่ มีเพียงภายนอกอย่างเดียวหรือภายในอย่างเดียว ไม่มีทั้งภายนอกภายใน นี่คือความเข้าใจพิการ กายมันพิการ เข้าใจอย่างนี้มันพิการ ผู้นั้นก็หมด ไม่มีวันที่จะทำความจริงให้ถูกต้องความจริงได้ตลอดกาลตลอดชีวิต ตายไปชาติๆหนึ่งก็หมดชาติ
เทวนิยมไม่ต้องพูดเลย ปิดประตูนิพพานเลย ไม่มีทางที่จะปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ ไม่มีทางที่จะดับทุกข์ดับสุข ไม่มีทางที่จะทำให้ชีวิตหมดอัตตา ตายแล้วก็เลิก เป็นดินน้ำไฟลม แม้นอยู่มีชีวิตคุณก็อยู่เหนือโลก โดยไม่ทำความชั่วและอยู่อย่างไม่ทุกข์ไม่สุข อยู่อย่างเป็นประโยชน์ให้แก่โลก ถึงแม้คุณจะเป็นชีวะก็เป็นชีวะที่เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อโลก อรหันต์ขึ้นไปจะเป็นอย่างนั้นจนเป็นโพธิสัตว์ไปจนถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีวันทำได้
ความเป็นกายนี้ อาตมาขยายความก็คือ ความเป็นเทวะ เทวะ 2 คือภาวะ 2 แท้ๆ ที่คนทุกคนต้องอาศัย อาศัยเทวะ อาศัยกาย อาศัยภาวะ 2 ไปกับชีวิต ใช้กับชีวิต
เพราะฉะนั้นคุณอาศัย สิ่งที่คุณอาศัยจะต้องไม่พิการ กายไปยึดแต่เพียงภายนอกหรือภายในก็เป็นความพิการ คุณก็อาศัยความพิการของชีวิตไป เป็นคนพิการ
ชีวิตที่ไม่มีกายคือคนที่ไม่เต็ม ไม่ครบ ไม่ครบความเป็นคน คือคนพิการ คนไม่เต็มเต็ง ก็มีชีวิตไม่เต็มเต็งไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นพวกที่หลับตาปฏิบัติก็ดี พวกเทวนิยมก็ดี คือคนพิการทั้งนั้น เป็นชีวิตไม่เต็มเต็ง ไม่ใช่ไปด่าเขา ไม่ใช่ไปข่ม ไม่ใช่ไปดูถูกเขานะ ตามสัจจะที่เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ พูดตามหลักวิชาการ ไม่ได้ไปด่าไปว่าเขา
เพราะฉะนั้นคนที่พิการตลอดกาลแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดศาสนาไหนก็ตาม ก็ต้องมีกาย อันเป็นสภาวะที่ต้องมี 2 แต่เมื่อไปเข้าใจว่าเป็นสภาวะ 1 คนมีสภาวะเพียง 1 ไม่ว่าชาติไหนศาสนาไหนไม่ละเว้นเลย คนนั้นก็พิการไปอีกตลอดชาติ เกิดอีกกี่ชาติๆ ก็เป็นคนพิการ คนไม่เต็มคน
ฟังดีๆนะ เกิดมาเป็นคน การจะเป็นคนเต็มคนไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะที่อาตมาพูดนี่ มันต้องมีกายที่มีความเป็น 2 ยืนยันความจริงด้วยกันหมดทุกคน แต่มันหมดไม่ได้หรอก ไม่ง่ายหรอกที่คนจะรู้ได้
จะต้องรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงชนิดที่เป็นปัญญา 8 พอรู้แล้วคุณจะต้องศึกษาจนกระทั่ง อ๋อ.. ต้องรู้เป็นความรู้อีกชนิดหนึ่งคือเรียกว่าปัญญา 8 พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึง 8 ขั้น 8 อย่าง จึงจะรู้จริง รู้จบ ถ้าคุณไม่รู้ปัญญา 8 อย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์ คุณไม่รู้แจ้งรู้จริงรู้จบ คือไม่จบกิจ ไม่เป็นอรหันต์ ไม่สำเร็จสูงสุด ครบความเป็นกายเป็นจิต
และที่สุดจะแยกกายแยกจิตได้ถึงที่สุดสำหรับผู้ที่รู้แท้ ที่สุดสำเร็จสมบูรณ์ จึงมีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อัตตานั้นคือภาวะ 2 ที่สังขารกันอยู่เท่านั้นด้วยอวิชชา อัตตาคนคือภาวะ 2 ที่มันปรุงแต่งกันด้วยอวิชชา
ผู้มีวิชชาหรือมีปัญญาก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่ามีภาวะ 2 ของนามกับรูปปรุงแต่งกัน สังขารกันอยู่ เป็นวิญญาณมีนามรูป เมื่อเข้าไปปรุงแต่งกันสนิทก็เป็นอายตนะ แยกให้ชัดๆ มีผัสสะก็เป็นเวทนา ก็รู้เวทนา เวทนาจึงเป็นอาการของความรู้สึก ที่เต็มรูปของปุถุชน
เทวนิยมมีเวทนาเต็มรูปของปุถุชน คือยังอวิชชา หลงอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สุขเต็มบ้องเลย เขาไม่ได้เรียน เขาไม่ได้คิดจะเลิก แต่เขาก็จะมีปฏิภาณรู้เหมือนกันว่ามันหยาบ มันน่าจะพอแล้ว ไม่เอา แต่เขาไม่รู้จักแท้จริงหรอก ลดได้ชั่วคราวเสร็จแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ถูกครอบงำใหม่ก็วนเวียนใหม่ ไม่แล้ว ไม่มี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จบกิจเสร็จแล้วเสร็จเลยแต่เขาไม่เสร็จ วนเวียนได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า อยู่อย่างนั้นแหละไม่เคยจบ วน เป็นโลกียะหรือเป็นโลกอยู่ตลอดกาล
เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณ รู้จักนามรูปแล้วสามารถแยกแยะ โดยมาเรียนรู้ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ก็รู้เหตุว่า มันอยู่ที่ตัณหาหรืออุปทาน
ตัณหาคือกิเลสเคลื่อนที่ อุปาทานคือกิเลสจับอยู่กับที่
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรียนรู้ตัณหาได้ง่ายกว่าที่มัน นิ่งไปหลับตาสะกดจิตมันยิ่งรู้ยาก ต้องให้มีผัสสะแล้วให้มันคุ้ยออกมาทีละลำดับ แก้ไขไปทีละขั้นทีละตอน มันก็หมด เหมือนจับฝุ่นออกจากแก้ว ในน้ำ จับฝุ่นให้ได้ถูก จับฝุ่นให้ออก น้ำในแก้วก็ใสจบไม่มีทางขุ่นอีกเลย ตอนนี้ไปกดฝุ่นให้มันกองแน่นอยู่ในก้นแก้ว คือวิธีการนั่งสะกดจิตหลับตาเป็นอย่างนั้น
สะกดให้ฝุ่นกองอยู่ก้นแก้ว ยิ่งแน่นยิ่งแข็ง เป็นอาฬารดาบส อุทกดาบส ซวยไปอีกไม่รู้กี่ชาติ พระพุทธเจ้าถึงอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ เสียววาบไหม จะไปเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส ไหม นั่นแหละพวกนั่งหลับตาน่าสงสาร ไม่รู้จะทำยังไง
จนพระพุทธเจ้าท่านอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ อาฬารเอ๋ย อุทกเอ๋ย มันหนักหนาสาหัสอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้ให้มีวิชชา รู้จักรู้แจ้งภาวะ 2 ของนามของรูปที่ปรุงแต่งกันเป็นวิญญาณ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเมื่อจับตัวของมันได้แล้ว จับตัวของจิตที่มันปรุงแต่งกันอยู่ จับมาแล้วก็เอามาคุม ให้มันมาร่วมกันแล้วรู้จักทำประโยชน์ก็คือรู้จักทำอายตนะ
ตนะคือตัวมัน ในบาลีกับไทยใกล้กัน ตนะ คือตน อายะคือประโยชน์ กำไรหรือส่วนที่ได้ ก็ทำการมาจับตัวอายตนะ มาทำงาน แม้จะแยกยังไม่ออกแต่ถ้าคุณสามารถคุมอายตนะ เมื่อมันมีผัสสะ มีเวทนาแล้วก็สามารถที่จะจัดการ กับอายตนะที่เป็นเหตุปัจจัยร่วมกันอยู่นี้
ให้มันทำสิ่งที่สร้างสรรค์หรือปรุงแต่งขึ้น เป็นกุศล เป็นประโยชน์ นี่เรียกว่าควบคุมจิต ทำจิตให้สร้างสรรค์ ให้จิตเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ อย่าทำโทษตามสมมุติของโลกเขา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
โลกของสมมุติว่าอย่างนี้ควรทำ ก็ทำ ตามมหาปเทส 4 อันนี้ไม่ควรก็ไม่ต้องทำ หรือตามสัปปุริสธรรม 7
หมดกามหมดอัตตาจึงมีอายะ 3 ครบ
เพราะฉะนั้นคนจึงเรียนรู้ความจริงได้ว่า ที่ปรุงแต่งจะเรียกว่าวิญญาณ จะเรียกว่าสังขาร หรือเรียกว่าอายตนะ ก็ต้องรู้ว่ามันคืออะไร สังขารก็แค่นี้ พอปรุงแต่งเหตุปัจจัยมันเป็นวิญญาณ ยิ่งมันปรุงแต่งจับตัวแน่นเป็นอายตนะมันก็เป็นอย่างนี้ ก็เรียนรู้ได้จากการมาพยายามปฏิบัติตามหลัก มีผัสสะ มีที่ตั้ง มีฐานที่จะปฏิบัติคือมีผัสสะ มีกายมีภายนอกภายในสัมผัสกัน เกิดเป็นภาวะแยกได้ ว่า อ้อ นี่คือจิต นี่คือตัณหา เวทนานั้นจิตจริงๆมันรู้จักความจริงตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ เหตุที่เป็นอย่างนั้นคือมันโง่ เสร็จแล้วมันโง่ไปปรุงแต่งเป็นทุกข์เป็นสุขเป็นรสเป็นชาติเป็นโลกีย์มันเป็นอย่างนี้
เหตุที่มันเป็นอย่างงั้นเพราะโง่ อวิชชา ไปถูกครอบงำตามโลกเป็นตัณหาต้องกำจัดมัน เพราะฉะนั้นจะไปกำจัดในอุปาทานมันยากเพราะมันเป็นตัวแน่นจนตกผลึก ถ้ามันเคลื่อนไหวขึ้นมา มันรู้ได้ง่าย จับได้ง่าย ก็ต้องมาล้างที่ตัณหา
เพราะฉะนั้นฐานที่ปฏิบัติต้องให้เกิดตัณหา มีสัมผัส มีเวทนา มีตัณหาแยกกายแยกจิตได้จับออกมาแยกภาวะ 2 ได้ จับอาการของตัณหาได้ตั้งแต่กามตัณหา หยาบข้างนอก ล้างตัณหาในกามาวจรหมด มันอวจรในโลกข้างนอก โลกแห่งกายแห่งกาม คุณก็หมดกามราคะ เหลือรูปราคะ อรูปราคะ คุณจึงจะไปล้างอันโน้นต่อ ล้างตัณหาภายในต่อ เหลือแต่รูป อรูป ล้างอรูปก็จบ ก็จึงจะเป็นลำดับอย่างมหัศจรรย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่ใช่ประดักประเดิด ดับหน้าหลังหลังหน้าอะไรไม่เป็นลำดับไม่ใช่ เป็นลำดับราบเรียบเหมือนฝั่งทะเล วิเศษสุดเลย
คนจะเรียนรู้ญาณคืออะไร รู้เหตุ ดับเหตุมันได้ ดับภาวะ 2 เหลือ 1 สุดท้ายทำให้มันเป็น 0 1 นี้มันเป็นพืช ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว เป็นอุตุก็เป็น 0 บริบูรณ์ได้
ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในปัญญา 8 จึงรู้จบ ด้วยการศึกษาที่แยกเวทนา 108นั้น แยกที่ละเอียดก็คือไปแยกเวทนา 108 ผู้ที่แยกเวทนา 108 ได้ครบครัน ผู้นั้นแหละจบสมบูรณ์ได้เพราะรู้จักมโนปวิจาร 18 เป็นโลกีย์ เลิกเนกขัมมะเป็นโลกุตระออกไปได้ แยกทำกิเลสออกจนสุดท้ายหมดเวทนา 36 รู้จักฝั่งของเคหสิตะ 18 ฝั่งเนกขัมสิตะ 18 สูงสุดเป็นอุเบกขา สุดท้าย
พ้นจากสุขเวทนา พ้นจากทุกขเวทนา พ้นจากโทมนัส โสมนัส กลายเป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขูปวิจาร เป็นอุเบกขา เป็นพฤติการ พฤติกรรมกิริยาของอุเบกขา
กิริยาของอุเบกขาคือ กิริยาที่บริสุทธิ์จากกิเลส มีคำว่า ไม่ทุกข์ไม่สุข คำว่าไม่ทุกข์ไม่สุข ยังเรียกว่าอุเบกขายังไม่ได้ทีเดียว เพราะไม่ทุกข์ไม่สุขแล้วเขาก็ไปเรียนรู้กันว่า พระพุทธเจ้าสอนทางสายกลาง คุณก็ไปเรียนการเดิน มีถนนเส้นหนึ่ง มีเลนซ้ายเลนขวา คุณก็เดินตรงกลางไป แล้วจะไปไหนจ๊ะ..ทางสายกลางไปนิพพาน แล้วนิพพานคืออะไร ไม่รู้
พระพุทธเจ้าบอกให้เดินทางสายกลาง มันก็เดินกลางไปอย่างนี้ ทางสายกลางนั้นคือ ข้างหนึ่งเป็นกาม ข้างหนึ่งเป็นอัตตา คุณต้องรู้ว่าจิตของคุณที่กระทบและเป็นกามข้างนอก แล้วคุณก็มีกิเลสข้างในอัตตา ลดกาม ลดอัตตา แล้วคุณก็จะเล็กลงๆๆ มาหา กลางสุดท้าย กิเลสหมด สูญไม่มีกาม ไม่มีอัตตาก็กลางที่สุด อย่างนี้ต่างหากคือการเดินทางสายกลาง
เพราะฉะนั้นความไม่รู้สภาวะจริงของคนพูดเป็นรูปธรรม ทางสายกลางคือถนนเส้นหนึ่งมีซ้ายมีขวา ฉันก็เดินไปกลางๆทาง แล้วไปไหน ไปนิพพาน แล้วนิพพานอยู่ไหน ไม่รู้ เพราะมันไม่รู้จักภาวะ 2 ไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักพยาบาท ไม่รู้จักภายนอก ไม่รู้จักภายใน ทำไม่ถูกสภาวะเลย
แล้วยิ่งไปหลับตาเดินอีก หลับตาเดินไปไหน ไปนิพพาน มันยิ่งมืดไปใหญ่เลย เข้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย อาตมาหยิบมาวิเคราะห์ไม่ใช่ไปด่าไปว่า น่าสงสาร จะให้รู้ความเป็นจริง
ภาวะของความเป็น 2 อย่าให้เป็นคนพิการ ถ้าไปเป็นคนพิการเสียแล้วเข้าใจคำว่ากายก็ผิดเพี้ยน ไปยึดแต่ข้างนอกก็ผิดเพี้ยนพิการ ยึดแต่ภายในก็ผิดเพี้ยนเป็นพิการ
ชีวิตของคนที่มีความเป็นคนเต็มๆ ต้องมีความรู้ความฉลาดให้ครบ เป็นคนอยู่ตลอดชีวิตตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นคนในชาติใดศาสนาไหนก็ต้องมีกายอันเป็นสภาวะหนึ่งของคน สภาวะกายที่จริงเป็นสภาวะ 2 แต่รวมเข้าไปเป็นอายตนะและเป็นหนึ่งของคนทุกชนิดทุกศาสนาไม่ละเว้นศาสนาใดเลย สภาวะอันเดียวกันหมดเมื่อมารู้ความจริงแล้ว
นี่คือสัจจะมีหนึ่งเดียว ต้องมาเรียนรู้ตรงนี้ ตั้งแต่เริ่มตรงนั้นเป็นหนึ่งได้ก็เป็น พีชธาตุ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว ยิ่งทำให้เป็นอุตุธาตุได้ก็สมบูรณ์แบบเลย เป็นหนึ่งเดียวเลยเป็น เอเสวมัคโค นัตถัญโญ
ชาติอื่นศาสนาอื่นไม่มีคำว่ากาย แต่ศาสนาพุทธมีคำว่ากาย แม้แต่คนไม่ใช่พุทธก็มีกาย แต่เขาไม่มีวันได้เรียนรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เป็นพุทธไม่รู้จักคำว่ากาย ซึ่งก็จะเป็นความเป็น 2 ใน 1-1 ใน 2 หรือ 2 ใน 1 ใน 0 ต้องเข้าใจความเป็น 2 และทำให้เป็น 1 และทำให้เป็น 0 ได้
ความเป็น 2 เป็น 1 เป็น 0 ตัวเลข 3 ตัวนี้จึงสูงสุดในศาสนาพุทธที่อาตมาให้ไปทำเป็นโลโก้ของพรรคสัมมาธิปไตย ซึ่งคนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ แต่ทำไว้ ต่อไปในอนาคตคนจะค่อยๆเข้าใจ
ที่อาตมาพูดอย่างนี้ก็คือ อาตมาเทศน์ธรรมะโลกุตระนี้ไว้ อาตมาตายไปโน่นแหละ พวกเราจะเข้าใจ แล้วคนข้างนอกเขาจะพอเข้าใจตามได้ในอนาคต อาจจะ 100 ปีข้างหน้า อาตมาตายไปแล้ว 100 ปีข้างหน้าหรือไม่ถึง อาจจะเป็น 99 ปีก็ได้ ข้างหน้าถึงจะรู้ หรือ 95 หรือ 90 โลกนี้ดีจังเลย 90 ก็รู้โลกุตรธรรมแล้ว ยิ่ง 80 ก็ยิ่งดีใหญ่ ไม่รู้อาตมาพยากรณ์ไม่ได้เรื่องนี้
แต่ขอพูดไว้ในที่นี้ ยืนยันไว้ว่านี่คือสัจธรรมที่ผู้แสวงหาสิ่งที่สูงสุดในความเป็นจิตวิญญาณ แล้วจะจบกิจในเรื่องจิตวิญญาณ ทำให้จิตวิญญาณหมดอบายมุข หมดกาม หมดรูปตัณหา หมดอรูปตัณหาได้ เป็นพระอรหันต์หรือจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือคุณจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่ต้องพูดกันมากจะเข้าใจกัน นอกจากคุณจะเป็นอรหันต์แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เป็นสิทธิ์ที่คุณจะทำได้
เป็นอรหันต์ก็ตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้ว ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งทำได้เก่ง ท่านจะยังอยู่ จะยังศึกษาช่วยคนอยู่ก็เอา อย่างอาตมาถึงรู้เพราะอาตมาเป็นมาจริงๆไม่ได้พูดผิด พูดจากความจริงที่เป็นมา ไม่ใช่เดาและไม่ได้พูดออกจากตำรา แต่พูดจากสิ่งที่ตัวเองเป็นมา มีมา สร้างมา ผิดมา ถูกมาตลอดเวลา
ผู้ที่สามารถแยกกายแยกจิตได้จริง แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าอัตตามันก็คือสิ่งที่ปรุงแต่งด้วยอวิชชา เมื่อมีวิชชา รู้แล้ว แยกมันเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้วก็จะรู้ว่ามันไม่มีตัวตนจริง เป็นอนัตตาแท้ๆ รู้จักตัวจิต ตัวเจตสิกต่างๆ แล้วก็รู้ว่า ถ้าเรายังรักษาให้เป็นอายตนะไป แล้วก็ทำงานกับโลกสร้างประโยชน์ รู้เท่าทันอายตนะไป แล้วสร้างประโยชน์ต่อโลกไป คุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าในปฏิจจสมุปบาท ก็รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณ อายตนะ ผัสสะ เวทนา ยิ่งคุณทำตัณหาให้หมดไป อุปาทานหมดไป ภพชาติก็ไม่มี เป็นโพธิสัตว์ที่เหนือกว่าอรหันต์ คุณจะพูดอย่างที่อาตมาพูดได้
แต่ถ้าคุณไม่เป็นอย่างที่เป็นอรหันต์ไปแล้วได้จริง คุณมาพูดอย่างอาตมา พูดอย่างไรก็ไม่เข้าท่า เดี๋ยวก็สับสนวุ่นวาย แต่ถ้าคนมีสภาวะจริงแล้วมันจะไม่วกวนไม่สับสน ไม่ผิดๆพลาดๆอะไร
จะรู้จริงๆต้องรู้ครบปัญญา 8 จึงจะรู้แจ้งรู้จักรู้จริง ต้องรู้เวทนาในเวทนา 108 ได้อย่างดี จึงจะครบบริบูรณ์ เป็นคนจบกิจ
เรียนเวทนา 108 สัมมาทิฏฐิ จนไม่มีพญาครุฑ-พญานาค
มาไล่เรียงดูเวทนา 108 หรือมาเรียนรู้ปัญญา 8 กันดู
เวทนา 108 เป็นรายละเอียด ส่วนปัญญา 8 เป็นโครงสร้างใหญ่ที่ครบบริบูรณ์ ถ้าเป็นเวทนา 108 มันเจาะลงไป แล้วพวกเราพอมีภูมิธรรม มีฐานที่จะฟังเวทนา 108 ลงไปได้
เวทนา 108 ส่วน ปัญญา 8 เป็นโครงสร้างใหญ่ที่ครบเลย โดยเฉพาะข้อสุดท้ายจบเลย
เวทนา 108
เวทนา 2 (แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).
นี่แหละคือภาวะ 2 เมื่อเป็นเวทนาก็คือมีความรู้สึก กายิกะ คุณต้องรู้จักความรู้สึกหรือเวทนาที่เป็น กาย เรียกว่า กายิกะ
กายิกะ จะต้องมีภายนอกภายใน และกายจะต้องมีกิเลสอยู่ภายนอกต้องมีกิเลสอยู่ ล้างกิเลสภายนอกคือกามได้หมดแล้ว จึงจะเหลือแต่กิเลสภายในเป็น เจตสิกะ เป็นกิเลสในเจตสิก จึงจะชัดเจนว่า กายิกะกับเจตสิกะ มันชัดเจนอย่างนี้ ถ้ายังไม่หมดกิเลส แล้วยิ่งเข้าใจผิดเลย คุณไม่ทำข้างนอกก่อน คุณมาทำข้างในเลย เจตสิกะ โดยปิดประตูข้างนอก หลับตาเลยเป็นโมฆะ หรือ มิจฉาทิฏฐิ กายิกะ มีแต่ภายนอกไม่มีภายใน โมฆะอีก
กายิกะกับเจตสิกะ จึงเป็นภาวะ 2 ที่ไม่มีแยกกัน ใช้คู่นี้ปฏิบัติจึงจะรู้จักสุขทุกข์ และถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนา 3 (แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..)
-
สุขเวทนา
-
ทุกขเวทนา . .
-
อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา).
ไม่สุขไม่ทุกข์นี้ มิจฉาทิฏฐิเขาก็ทำได้ แล้วเขาก็หลงผิดแล้วก็จมอยู่ในความหลงผิดนั้น ว่าเป็นเป้าหมาย เป็นผลอันสำคัญ ไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยการดับสัญญา อสัญญีสัตว์ หรือไม่ อสัญญีสัตว์ เก่งที่สุดก็ได้แค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็น 2 อายตนะหรือ อสัญญีสัตตายตนสัตว์กับ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์
2 สัตว์นี้ เป็น 2 สัตว์ที่ตัดออกทิ้งได้เลย ของศาสนาพุทธ มีปัญญาสัมมาทิฏฐิแล้วไม่เล่นทั้งคู่ ไม่เอาทั้งคู่ เมื่อไม่เอาคุณจะต้องมาปฏิบัติอย่าให้มันมี ถ้ามีอยู่ก็เป็นสัตตาวาส 9 คุณก็ต้องปฏิบัติอย่างมีวิญญาณฐิติ 7 ไม่ต้องไปมีสัตตาวาส 9 เอา อสัญญีสัตว์ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ออก วิญญาณฐิติจึงไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีแค่ อากิญจัญญายตนะ
(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)
-
สุขินทรีย์
-
ทุกขินทรีย์
-
โสมนัสสินทรีย์
-
โทมนัสสินทรีย์
-
อุเบกขินทรีย์
มีน้ำหนักและภายนอกภายใน คือความหนัก ความแน่น ความเบา ความบาง ความหนา เป็นดีกรีของมัน มีภายนอกภายใน มีมากมีน้อย มี 5 ขั้น
สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนาภายนอกเลยเกี่ยวกับภายนอกจนถึงเหลือโสมนัสกับโทมนัสเป็นภายใน หมดภายในอีกจึงจะเป็นอุเบกขาเวทนา หรือเรียกว่า อุเบกขินทรีย์
เวทนา 6 (แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)
จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง
ทั้ง 6 ทวารมีสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ก็เป็น ได้แก่ มโนปวิจาร 18 (คือ เวทนา 3 ร่วมกับอายตนะ๖)
สุขเวทนาแบบโสมนัสสูปวิจาร (6ทวาร+โสมนัส)
ทุกขเวทนาแบบโทมนัสสูปวิจาร (6ทวาร+โทมนัส)
เฉยๆ ที่เป็นอุเบกขูปวิจาร (6ทวาร+อุเบกขา)
ต้องมาเรียนรู้ลดกิเลสภายนอกจะเหลือแต่กิเลสภายใน เป็นโสมนัสโทมนัส จนกระทั่งเป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีทั้งภายนอกภายใน ปริสุทธาไม่มีสุขทุกข์ไม่มีโสมนัสโทมนัส ละสุขทุกข์ก่อนได้แล้วละโสมนัสโทมนัส นานัตสัญญา สัญญากำหนดได้หมดทั้งภายนอกภายใน ทั้งความสุขความทุกข์โสมนัสโทมนัส เหตุอย่างกิเลสหมดอันนี้จึงเรียกว่าอุเบกขาสะอาดจากกิเลส ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะสะอาดจากกิเลส
แต่มิจฉาทิฏฐินั้นไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะไปสะกดสัญญา ไปสะกดเวทนา ดับสัญญาดับเวทนาไม่ให้มันรับรู้สึก เป็นพวกสะกด เขาก็ทำได้เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีทางถาวร ไม่มีทางยั่งยืน ไม่มีทางเป็นอรหันต์ ถ้าเข้าใจสัมมาทิฏฐินั้นจะรู้ว่าไปนั่งสะกดจิตหลับตาไม่ได้ ต้องมาเรียนรู้ เหมือนแก้วน้ำกับฝุ่น เอาฝุ่นออกจากน้ำในแก้ว จนฝุ่นหยาบๆจนถึงละเอียดออกหมด เหลือแต่น้ำที่ใสในแก้วน้ำ แก้วน้ำนี้ก็ไม่ขุ่นอีก ใสตลอดกาล ใสอย่างสะอาดบริสุทธิ์เลยด้วย
มันต่างกันเรียนรู้ด้วยปัญญากับเรียนรู้ด้วยวิธีที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ต้องย้ำตีหัวตะปู พวกที่หลับตาและพวกที่ใช้ตรรกะ เรียนจนหัวโตใส่แว่นตาแบกหัวน้ำหนักความรู้ เป็นพญาครุฑกับพญานาค
พวกพญานาคก็เป็นพวกที่แบกความรู้เหินหาว อยู่เหนือคนอื่นหมดเลยพญาครุฑ ไม่ลงมาหาดินเลย ส่วนพวกที่ไม่อยู่บนดินไม่ขึ้นฟ้าแต่ลงบาดาลเลยคือพวกนาค ไม่ได้มีความรู้หรอก แต่ดับความรู้สึกคือพวกนาค
น่าสงสาร เป็นพวกสายเทวนิยม มีพญานาค บูชาพญานาค มีงานพญานาคมีพญานาคออกมาเลื้อย เห็นรอยตีนพญานาคกัน หรือเห็นพญานาคว่ายอยู่ในแม่น้ำ
แล้วพญานาคจะต้องมีหงอนตามความคิดของจิตรกรหรือศิลปิน ก็คืองูหรือนาคคือ พวกนอนหลับไป แล้วหลับอยู่ใต้บาดาล แล้วกว่าจะตื่นทีหนึ่งคือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นทีละองค์ถึงจะตื่นแต่ละครั้ง ถึงจะรู้สึกตัวแต่ละครั้ง คิดดูซิว่ามันจะจมขนาดไหน นานขนาดไหนกว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกสักองค์หนึ่ง แล้วก็จะลอยถาดมา กระทบกับถาดที่เรียงกันของพระพุทธเจ้าเป็นถาดทองคำ ก็ดังกริ๊ก ก็จะตื่นขึ้นมา รู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีกองค์หนึ่งแล้วหรือ รู้สึกแล้วก็รู้แล้วพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น 1 องค์แล้ว รู้แล้วก็ดับ หลับต่อไป นานจนกว่าพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งจะได้มาอุบัติแล้วก็มาลอยถาดทองมาใหม่ แล้วก็มาคลิก ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีหนึ่ง เวทนาความรู้สึกของคนนี้มันขนาดไหน กว่าจะรู้สึกตามที่อุทาหรณ์ ตำนานที่พระพุทธเจ้าอธิบายให้ฟังนี้มันสุดสงสาร สุดสาคร สุดสินสมุทรจริงๆเลยเจ้าประคุณ
ส่วนพญาครุฑก็เหินหาว เป็นพระยาพรหมทัต ใหญ่ รื่นเริงบันเทิง เสพกากี จนกระทั่งมีตัวเล็นเข้ามาแฝงอยู่กับขนพญาครุฑ แอบเสพนางกากีเป็นชู้ของพญาครุฑ นี่ก็คือนิทานอันหนึ่งก็เป็นกามอันหนึ่งก็เป็นอัตตา
พญาครุฑที่มีคนธรรพ์หรือมีเล็นแฝงอยู่ในขนและแอบเสพเป็นชู้กับกากีเมียของพญาครุฑ แล้วก็จมอยู่ในกามกับจมอยู่ในอัตตา เป็นพญาครุฑกับพญานาค
เพราะฉะนั้นพวกความรู้หัวโต หลงอยู่ในตรรกะเหตุผลก็คือพวกพญาครุฑ เหินหาวเหินเวหา เดินไม่ติดดินเลย ไม่ใกล้กับคนเลย ลอยฟ่องอยู่ประดับฟ้า พวกนี้ก็พูดกันยาก เพราะเขาเป็นพญาครุฑเสียแล้ว ส่วนบาดาลเราก็ลงไปไม่ถึง พญานาคเลย ช่วยยากสองพวกนี้ ช่วยยาก ยากจริงๆ
นี่คือสิ่งเปรียบเทียบแล้วคนก็ไปเข้าใจว่าพญาครุฑ พญานาคมีจริง แต่จริงๆมีไหม..มี คือความโง่ของคนทั้ง 2 ฝ่าย น่าสงสารพญาครุฑก็ดึงไม่ลง พญานาคก็ขุดไม่ขึ้น อาตมายอมพญาครุฑ ยอมพญานาค หมดสิทธิ์ที่จะไปช่วยอะไรเขา เพราะอาตมาไม่ได้อยู่ในฐานะ พระพุทธเจ้าก็ช่วยยากแสนยาก ยิ่งอาตมาเป็นโพธิสัตว์แค่นี้ อย่าไปเผือก มันไม่ใช่สถานะที่จะพูดกันได้ อาตมาเห็นแล้วก็สงสารได้แต่พูดอย่างนี้ เขาจะรู้สึกตัว เขาจะเข้าใจ พอจะเชื่อถือหรือไม่ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเข้าใจโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งมาเป็นคนอย่างพวกเรา ไม่เป็นพญาครุฑ ไม่เป็นพญานาคแล้ว ไม่ไปหลงงมงายกับพญานาค พญาครุฑ บ้าๆบอๆ สร้างเป็นรูปธรรม นาคก็ใส่หงอนใส่เครื่องทรง ที่จริงนาคก็คืองูนอนเอือก ส่วนพญาครุฑมีปีกแข็งแรง บินฟ่องลอย
เขาก็ไปเขียนรูปออกแบบพญาครุฑก็สมบูรณ์แบบ พญานาคก็สมบูรณ์แบบ นี่ยังน้อยไป รูปที่เขาออกแบบมายังน้อยไป
ผู้ที่หลงสิ่งที่สมมุติ สมมุติเป็นรูปธรรม สมมุติเป็นตัวตนพวกนี้ แม้กระทั่งสมมุติว่าเป็นสัตว์ ก็ยังไปหลงติดความเป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉานงูก็ตาม สัตว์เดรัจฉานนาคก็ตาม กว่าจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งเปรียบเทียบมันไม่มีจริงหรอก ต้องเข้าใจได้ว่าจิตของเราโง่เง่าเป็นอย่างนั้นจริง โง่เป็นพญาครุฑก็โง่จริงๆโง่เป็นพญานาคก็โง่จริงๆ รู้แล้วก็มาเข้าใจความเป็นกลาง ความเป็นกาม ความเป็นอัตตา
หลงในกาม หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รู้ตัวที่ไหน อยู่ในเถรสมาคม ส่วนพวกหลับตาเข้าป่า พระป่าเข้าป่า เป็น เดียรถีย์ ฤาษีบุกป่าเข้าดง ไม่รู้เรื่องเป็นคนละทิศ เป็น 2 ทิศ ยากมาก
ทีนี้ความเป็นจริงของสัจจะของพระพุทธเจ้านั้น ที่จะบรรลุธรรมเป็นคนที่เข้าใจ ชั้นฟ่องขึ้นไปถึงหาฟ้า ชั้นจมลงไปหาบาดาล รู้จักสิ่งฟูฟองทั้งจมหนัก อยู่ที่ความเป็นสามัญของคนมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วอยู่กับโลกธรรมที่เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข
ไม่ว่าจะเป็นสุขทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) หรือสุขทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือภพชาติ ก็เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตาทั้งนั้น แต่คนก็ยึดหยาบก็เป็น โอฬาริกอัตตา ลดอัตตาหยาบได้ก็เหลือ มโนมยอัตตา เชื่อมระหว่างภายนอกภายใน จนหมดภายนอก (สกิทาคามี )เหลือข้างใน มโนมยอัตตา ภายในก็เป็นอนาคามี ก็มาเรียนรู้ข้างในจริงๆ เป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา…ก็ลด
พยัญชนะที่เรียกสิ่งเหล่านี้มันเป็นสภาวะธรรมจริงๆ ถ้าคุณไม่ลดจริง คุณยังมีอยู่ ยังไม่ยอมปล่อย ยังไม่ยอมทิ้ง คุณยังเกี่ยวข้องยังสัมผัส คุณยังมีสุขกับมัน สุขด้วยรสชาติ จะหยาบกลางขนาดไหน มันต้องหมดสุขหมดทุกข์ คุณต้องอ่านเวทนาในเวทนาตัวหมดสุขหมดทุกข์นี้ให้ได้ แล้วคุณต้องรู้เหตุของมันคือ ลดเหตุ ลดกิเลสจริงๆ หยาบ กลาง ละเอียด หมดสุขหมดทุกข์ที่เป็นอุเบกขานั้น ไม่ใช่หมดทุกข์หมดทุกข์ที่แค่อทุกขมสุข ฤาษีก็กดข่มได้ ดับสัญญาดับเวทนา ไม่ให้มันทำงาน มันก็ไม่ได้ล้างเหตุให้สะอาดสมบูรณ์แบบ
นอกจากจะทำให้กิเลสหมด หายไปเป็นขั้นๆตอนๆ เกลี้ยง จริงๆแล้ว มันจึงจะไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วคุณก็จะไม่สุขไม่ทุกข์อีก อย่างอาตมาทุกวันนี้พยายามจะฟื้นกินอาหารให้มันอร่อยอีก เห็นเลยว่ามันหมด มันก็หมดจริงๆ มันไม่ได้แกล้งจะไม่อร่อยนะ แต่มันเมื่อยจริงๆในการกินข้าวแต่ละวัน แล้วยิ่งสังขารนี่บอกตรงๆว่า อยากตายแล้ว มันต้องยังขันธ์ไป เพื่อที่จะทำงาน .. ชาตินี้มีวิบาก สุดยาก ตรากตรำซ้ำเติม ย้ำตาม ก็พยายาม สุดความอุตสาหะเสริม
มันต้องอุตสาหะจริงๆเลย ต้องพยายามจริงๆเลย ถ้าไม่งั้นมันไม่เกิดบูรณะขึ้นได้ มันไม่เกิดบูรณะแล้วมันจมเลย มันตายแน่ๆ มันเสียหายแน่ๆ อาตมาก็เอา มันจะลากไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เอา
คนรวยไม่ใช่คน คนมีแรงสร้างได้ทั้งประโยชน์และโทษ
ผู้ที่รู้จักความจริง อาตมาสรุปคนที่รู้จักความจริงคือคนที่รู้จักความจน คนที่รู้จักความจริงคือคนที่ไม่กลัวความจน คนที่จะมารู้จักความจริงคือคนที่จะมาจน คนที่จะมาจนได้คือคนชั้น 1 คือคนชั้นเอก คือคนคลาสสิคแมน เหนือชั้นกว่า Superman นะ เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนคลาสสิคโดยแท้
คนรวยคือคนชั้นรอง ไม่ได้ไปดูถูกเขานะ ไม่ได้ไปข่มเขานะ แต่พูดสัจธรรมสู่ฟัง คนรวยไม่ใช่คนคลาสสิค แต่เป็นคนหลงชั้น หลงชั้น วรรณะ เรียกตัวเองว่าเป็นคนไฮคลาส ยังไม่ใช่คนคลาสสิค เป็นคนชั้นรวยเป็นคนชั้น 2 เป็นคนชั้นรองไม่ใช่คนชั้น 1
คนรวยนั้นไม่ติดอยู่กับคน คนรวยนั้นไม่แตะติดอยู่กับคน ไม่เห็นคนสำคัญเป็นหนึ่งเท่ากับความเป็นเงิน ฉีกหน้าคนรวยมาให้ดู
ไม่ได้เห็นความเป็นคนสำคัญเท่ากับเงินทองทรัพย์สมบัติ เพราะฉะนั้นคนรวยยังติดหนึบติดหนักอยู่กับเงินทองทรัพย์สมบัติ ยิ่งกว่าการอยู่กับคน คนรวยจึงห่างจากความเป็นคน ตามสภาพความจริง
สรุปง่ายๆคือคนรวยไม่ใช่คน
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… เสียชาติเกิดนั้นบางคนบอกว่าถ้าไม่ได้ไปกินไปเที่ยวอย่างที่อย่างนี้อย่างนี้นะถือว่าเสียชาติเกิด แต่ถ้าพระโพธิสัตว์เห็นว่าถ้าเกิดมาแล้วไม่ทำให้ตัวเองเบาว่างจากกิเลส อย่างนี้เป็นคนเสียชาติเกิด ทำตนให้หมดความยึดถือในตนแล้วมาทำอายะ
พ่อครูว่า… เป็นคนมีอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
คนรวยห่างจากความเป็นคน เพราะไปหลงอยู่กับเงิน ไม่มาแตะติดหรือมาใกล้กับคน ถูกคั่นด้วยเงินๆทองๆให้ห่างจากคน
ส่วนคนจนไม่ค่อยมีเงินอยู่ด้วยไม่สนิทสนมกับเงิน แต่คลุกคลีสนิทสนมอยู่กับคน เป็นผู้ทำเป็นผู้สร้างจริงๆ
คนนี้แหละคือพระเจ้า คนนี้แหละคือผู้สร้าง คนนี้แหละคือผู้ทำกรรม กรรมที่ดีเลิศประเสริฐขนาดไหนก็คือคน เป็นผู้ทำจริงๆ เป็นผู้สร้างจริงๆ สร้างสิ่งประเสริฐสูงสุดได้คือเป็นคนคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เป็นคนชั้นเอกจริงๆ
เพราะฉะนั้นผู้สร้างผู้ทำจริงๆนี่แหละคนเข้าใจ ก็จะมีการคลุกคลีหรืออยู่ร่วมด้วยกับคนที่เป็นนักสร้างนักทำ อยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจว่าอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นชั้น 1 เป็นชั้นเอก เป็นคนมีประโยชน์มีคุณค่า ใช้แรงงาน ถ้าเป็นแรงงานทางกายได้ก็ทำ ไม่ดูถูกคนใช้แรงงาน
ถ้าไม่มีคนใช้แรงงานแล้ว คนอาศัยแต่ช้างม้าวัวควายหรืออาศัยเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องไม้สร้าง มันไม่ได้สัจจะที่จริงหรอก ไม่ได้สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของสัจจะ
คนที่เข้าใจแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่เกิดจากคน และเกิดจากคนที่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน เป็นคนคลาสสิคจริงๆ เป็นคนที่มีภูมิปัญญาสูงส่งประเสริฐรู้จักเนื้อแท้ของสิ่งที่เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด และรองลงมารองลงมา แล้วก็สอนมนุษย์ พามนุษย์ แนะนำมนุษย์ทำในสิ่งที่ประเสริฐ ที่ขาดแคลนในโลก ไม่ว่าในยุคไหนกาลไหน
สอนให้คนมาทำงาน ไม่ใช่สอนให้คนไปเอาแต่คิด
เพราะฉะนั้นเราสามารถจัดระดับของคน คนมีโทษกับคนมีประโยชน์จากแรงงาน เอาแรงงานของคนที่มีพฤติกรรมจริง มาเป็นตัวกำหนดค่า ว่าใครเป็นคนมีประโยชน์ ใครเป็นคนไม่มีประโยชน์ ได้
คนที่เข้าใจสาระสัจจะแท้จะไม่ดูถูกคนที่เป็นคนแรงงาน วันนี้เป็นวันแรงงานแห่งชาติวันที่ 1 พฤษภาคม
แรงงานของช้างม้าวัวควาย เราก็รู้แล้วก็เข้าใจ แรงงานของคนแน่นอนก็ต้องมีค่ากว่าแรงงานช้างม้าวัวควาย เพราะฉะนั้นก็จะต้องเข้าใจให้ค่าของแรงงาน
ภูมิปัญญาสากลทั่วไปถือว่าเป็นวันแรงงานแห่งชาติ แรงงานแห่งโลกที่เขาเรียกว่า Mayday เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในความรู้ลึกซึ้งของคน
ต้องระลึกถึงแรงงานของคนกันนะ เพราะฉะนั้นคนที่ดูถูกแรงงาน คนนี้ไม่มีภูมิธรรม เป็นคนเรียกว่าวัวลืมตีน หรือม้าลืมตีน หมดท่าเลย ม้าขาหัก เคยได้ยินไหมม้าที่ขาหักขาเสีย เจ้าของสงสารสุดร้องไห้สุดท้ายก็ต้องยิงม้าให้ตาย เพราะมันอกจะระเบิด ม้ามันวิ่งไม่ได้ มันเดินไม่ได้ มันเสียม้าเลยนะ เพราะค่าของมันคือวิ่งได้ มันพาคนวิ่ง วิ่งจนกระทั่งตั้งแต่เป็นแรงงาน อาตมานี้สงสารม้าจังหวัดลำปาง มากเลย รู้จักไหม เห็นแล้วรู้สึกสุดสงสารทุกที
แล้วมันก็ทรมานกว่าจะได้หยุดได้พักจะได้กินหญ้า แล้วพักนอนมากลางวันก็เอาแล้ว เอาอะไรมาบังตามันซะด้วย ไม่ให้เห็นอะไรมากมาย แล้วก็ขับลาก สงสารม้าจริงๆ ทรมานทรกรรม เป็นเวรเป็นกรรมเป็นวิบาก ก็ได้แต่ปลงที่มันเป็นวิบาก
ทีนี้เรามาลองแยกแยะดู จัดลำดับความเป็นโทษเป็นประโยชน์ของแรงงาน
ผลที่เกิดจากแรงงานของคน คนที่มีคุณค่าหรือมีประโยชน์ หรือว่าคนเป็นโทษเป็นภัย เริ่มตั้งแต่สร้างแรงงานทางวัตถุ วัตถุมีอะไรบ้าง
-
สร้างวัตถุขึ้นมาฆ่ากัน อันนี้เลวต่ำที่สุดในความเป็นคน ใช้แรงงานทั้งแรงงานทางกายทั้งแรงงานทางสมอง คิดค้นเครื่องมือขึ้นมาฆ่ากัน เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำที่สุด เกิดมาทั้งทีใช้ความรู้ทั้งแรงกายแรงปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาหรอกเป็น เฉโก เป็นความฉลาด สร้างเครื่องมือมาฆ่ากัน นรกหมกไหม้ เขาไม่รู้จักกรรมไม่รู้จักวิบากเขาก็ทำ เพราะฉะนั้นอาตมาก็ได้แต่หวังว่า เมืองไทยจะไม่เป็นเมืองที่สร้างอาวุธ ยังไงๆก็อย่าไปสร้าง จะอาศัยบ้างก็ซื้อเขามา เพื่อที่จะป้องกันเล็กๆน้อยๆ