661107 พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1stGefeXpPEQVqFtc55EaSKbLHXGl16Ad/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1G52elVTwMa6UYpLBWfjLu3Ho6whK_Ff9/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/o9RfjdvFLl/
และ https://youtu.be/mCWnU4t2m_I
มีซับ
กราบอาราธนาพ่อครูอยู่คู่โลกโลกุตระ
พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันที่ 7 งานมหาปวารณาครั้งที่ 41 เป็นวันเกือบจะรองสุดท้าย พรุ่งนี้วันรองสุดท้าย อาตมาเทศน์เป็นคาบสุดท้าย
กราบขอบพ่อครูผู้ยิ่งใหญ่ในวันนี้
ด้วยจิตที่เปี่ยมศรัทธามหาศาล
ซึ้งพระคุณอุ่นเกล้ามาเนานาน
จิตวิญญาณจึงสะอาดปราศเวรภัย
ขอพ่อครูอยู่คู่โลกโลกุตระ
อโศกะประสบทุกสมัย
151 ปีร่มเย็นเช่นโพธิ์ไทร
ลูกตั้งใจปฏิบัติบูชา เพิ่มบารมี
…อิสรา
ในปกหลังดอกหญ้า เมตตาพาโลกร่มเย็น เอาของเก่ามาหากินนะเนี่ยไม่ใช่แต่งใหม่ ปกหลังอันดับ 169 มกราคม 2562 4 ปีที่แล้วมา ที่จริงมาอีก ก็ยังใช้ได้อยู่ เขาบอกกราบพ่อครูผู้ยิ่งใหญ่ในวันนี้
คำว่า “ยิ่งใหญ่” นี่มันเป็นสัจจะที่ภาษาไทยคำว่า “ยิ่ง” คำว่า “ใหญ่” ก็เข้าใจกัน มันมาเป็นภาษาไทย ยิ่งยอด ยิ่งใหญ่ มันยิ่งๆขึ้นไป มันไม่มีที่จำกัด ยิ่งเรื่องอะไร เรื่องใหญ่ๆเรื่องอะไร อาตมาไม่ใหญ่ในเรื่องอะไรเลยเกิดมาในชาตินี้นี่เล็กเป็นธุลีผง ให้คนเหยียบย่ำด้วยซ้ำ ยิ่งใหญ่ยิ่งเล็ก ยิ่งเล็กยิ่งใหญ่ อันนี้ก็เป็นภาษา เป็นภาษาที่ใช้กับคนที่มีความเข้าใจซึ่งกันและกันว่า มันหมายถึงอะไรและมันหมายถึงสัจจะ ที่เราพูดกันนี่ก็ต้องหมายถึงคุณธรรม หรือเป็นธรรมะ
และบอกว่าเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ในวันนี้ อาตมาเป็นครู เป็นผู้ที่สอน เป็นผู้ให้ความรู้อันนี้ นี่เป็นสัจจะจริงอาตมาให้ความรู้อันนี้และความรู้ที่อาตมาให้นี้ มันเป็นโลกุตรธรรม ที่กล่าวในนี้หมด
ด้วยจิตที่เปี่ยมศรัทธามหาศาลนี่เป็นของผู้ที่เขียนมา
ซึ้งพระคุณอุ่นเกล้ามาเนานาน ก็เป็นความรู้สึกของผู้ที่เขียนมา
จิตวิญญาณจึงสะอาดปราศเวรภัย เขาได้รับประโยชน์จากที่ได้รับคำสอนไป
ขอพ่อครูอยู่คู่โลกโลกุตระ อันนี้ก็ไม่ต้องขออาตมาก็ต้องอยู่
มูลสูตร 10 คือรากฐานของศาสนาพุทธ
โลกที่เป็นโลกโลกุตระ โลกมี 2 โลก โลกโลกียะกับโลกโลกุตระ พวกเราเข้าใจในความหมายของคำว่าโลกียะกับโลกุตระดี และเห็นคุณค่าของโลกุตระดี ไม่เหมือนคนที่เขาไม่รู้จัก เขาไม่รู้เรื่องว่าโลกนี้มีโลกุตระ เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้จักค่า แม้ผู้จะเรียนรู้เป็นชาวพุทธ ดีไม่ดีเป็นปราชญ์ด้วย เป็นปราชญ์ทางศาสนา แต่ไม่รู้ค่าของโลกุตระจริงๆ ไม่รู้ค่าอย่างสำคัญๆ
คำว่า “ไม่รู้ค่าอย่างสำคัญ”นี่ จิตมันไม่ได้ไปประทับ ประทับกับคุณค่าอันนี้ ประทับอย่างสนิท ประทับอย่างซาบซึ้ง ประทับอย่างสำคัญก็คือ มีภูมิปัญญา ประทับแล้วมีภูมิปัญญาเข้าใจว่า อันนี้นี่ในความเป็นมนุษย์ที่เกิดมาแล้ว ได้รู้ ได้สะดุดใจเลยว่า โอ้โห.. คุณธรรมหรือความรู้ชนิดนี้ มันมีความหมายใน อัญญธาตุ ถึงขั้นอัญญา ถึงขั้นพหูพจน์ ถึงขั้นมากพอเป็นปัญญา
ความรู้ที่มันมีคุณสมบัติคุณวิเศษถึงขั้นนี้ มันสะดุดเลย แล้วมันเกิดที่ภาษาพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ฉันทะเป็นมูล เป็นรากเหง้าเลย เป็นมูลกา หยั่งลงไปถึงอันนี้ แปลเป็นไทย ฉันทะว่าเป็นความยินดี ความยินดี ปรีดา เพราะเห็นดี เพราะเข้าใจดี เพราะรู้ได้ดี เพราะมีปัญญา สามารถรู้ในสิ่งที่ดีและมันยินดี ยินดีถึงขั้นใช้คำว่า ถึงมูลกา ถึงรากของจิต
เพราะฉะนั้นในความยินดีอื่นๆที่เราใช้ภาษาไทย ยินดีอื่นๆต่างๆนานาเยอะแยะ ใช้ภาษาไทยที่ไปหมายถึงความยินดีที่ภาษาบาลีท่านแจกเอาไว้ ความยินดีมีตั้งเยอะแยะ ปิติ นันทะ อะไรก็แล้วแต่ยินดีมันมีตั้งเยอะแยะ แต่ฉันทะ นี่มันเป็นต้นแรก คำแรกของอิทธิบาท 4 นี่มันเป็นต้นแรก คำแรกของอิทธิบาท 4 เป็นคำแรกของมูลกา แล้วเป็นคำที่ใช้อื่นๆอีกเยอะ
และฉันทะมันจะมีกำลังของวิริยะ มีกำลังและมีสภาพของจิตเข้าไปโถมใส่อันนี้ด้วย เพื่อที่จะไปเอาเนื้อแท้ วิมังสา วิมังสานี้ก็แปลว่าเนื้อนี่แหละ และก็หมายถึงเนื้อสัจธรรม อันนี้ที่เป็นเนื้อแท้หยั่งเข้าไปถึง
พวกเราศึกษาธรรมจากคำสอนหรือคำอธิบายของอาตมา ได้เข้าใจแนวทางความหมาย ความรู้ ความจริง แบบอาตมาพาทำความเข้าใจ ซึ่งมันเป็นความรู้ ความหมาย ความจริง ที่ไม่เหมือนของอาจารย์อื่นๆ เพราะอาตมาอธิบายนี้จะต้องพยายามทำความเข้าใจในสัจธรรมให้รอบด้าน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามันวนเวียน วนซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็วนขยายความวนๆๆ เพื่อเจาะให้เข้าถึงทั้งเปลือก ถึงแก่น
มันไม่ง่าย ธรรมะพระพุทธเจ้ามันไม่ง่าย มัน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าอันนี้จึงพูดไปแล้วนี่อาตมาว่า ในโลกทุกยุคทุกสมัย ถ้ามีพระพุทธเจ้านำเอาความรู้โลกุตระขึ้นมาประกาศ ก็เป็นความรู้ที่จะต้องให้มนุษยชาติมาใช้อาศัย แล้วมันก็จะเจริญ เจริญขึ้นถึงขีดแล้วมันก็จะเสื่อม นี่มันเสื่อมมาจนกระทั่งหมดไปครึ่งพุทธกัป 2,500 ปี อาตมาก็นำมาใส่เข้าใหม่ เอามาสถาปนาขึ้นใหม่ มันก็เจริญและจะเจริญขึ้นอีกในระยะต่อไป จากนั้นก็จะเสื่อมละ ยาวนานไปอีก 2,500 ปี
ซึ่งอาตมาก็ไม่แน่ว่าอาตมาจะยังต้องเกิดมาอีก เพราะมันไปไม่รอด 2,500 ปี ก็ต้องขึ้นมาต่อเชื้อ ก็ยังไม่แน่ ถ้าแน่ก็สบายไป ไม่ต้องมาอีก เหนื่อยนะ ในการ ยิ่งตอนนี้ชัดเจนเหนื่อยเพราะสังขารขันธ์ของอาตมา สังขารขันธ์มันดูดี เพราะอาตมาใช้ Co-efficient ใช้ Stimulate ผลักดันให้มัน ให้มันมีคุณภาพอันนั้นขึ้นมา อันนี้เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นความรู้ที่อาตมาเอามาประยุกต์ใช้ในยุคนี้ซึ่งมันเป็นคนละ กาละ เทศะ ฐานะ กับยุคพระพุทธเจ้า บรรยากาศก็ไม่เหมือน อาหารก็ไม่เหมือน อะไรก็ไม่เหมือนทั้งนั้น มันต่าง กาละ เทศะ ฐานะ กันมาแล้ว แต่ก็ใช้ได้จริงตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า มาให้พวกเราเอาไปใช้ แยกเป็น 8 อ. ก็ใช้ได้ ได้ผลในพวกเราที่พากเพียรใช้จริง ไม่ให้ตกหล่น 8 อ. อายุขัยดีอยู่ อายุขัยยังชะลอได้อยู่
เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสุดยอดของความรู้ นี่พูดในหมู่พวกเรา พูดไปกับคนข้างนอกเขาฟัง ก็จะหาว่าหลงตัวหลงตน ยกตัว ยกตน มันไม่มีความรู้อะไร ในมนุษยชาติ เพราะพระพุทธเจ้านี่ ตรัสรู้เกินกว่าศาสดาทั้งหลาย ตรัสรู้ความเกิด ความตาย ของแท่งก้อนสรีระของคน เกิดอย่างไร ตายอย่างไร
การรู้การเกิด การตาย การรู้ความเกิด ความตาย ของสัตว์หรือคน ตัวเรานี่แหละ แล้วก็จัดการกับความเกิดความตายของเราได้เอง ได้เองถึงขั้นจะเกิดหรือจะไม่ยอมเกิดอีกแล้ว จะสลายตัว อัตภาพ ตัวตนของเราหรือจิตนิยามของเรา สลายเลิก เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย จบ
มีศาสดาองค์เดียวในมหาจักรวาลคือพระพุทธเจ้า แต่หลายองค์นะ แต่ท่านได้ตรัสรู้ความรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันเดียวกันของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก็จะรู้อันนี้หมด แม้จะยังไม่ถึงอย่างอาตมานี่ก็รู้เอามาพูดแล้ว รู้แล้วและทำได้ด้วย และมันก็มีนัยยะที่รู้ยิ่ง รู้ขึ้นไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันมีขั้นตอนของอรหันต์ถึง 6 อรหันต์ 6 ขั้น 6 ระดับ ที่อาตมาก็จะขยายความไว้แล้ว อย่างอาตมานี่อยู่ในระดับ 4 อรหันต์ระดับ 4 แล้วต้องไปเป็นอรหันต์ระดับ 5 ไปเป็นอรหันต์ระดับ 6 ระดับสุดท้ายเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งมันเป็นความรู้ ถ้าอาตมาไม่เอามาพูดมาอธิบายพวกนี้ ก็ไม่มีใครจะรู้หรอก แต่อาตมารู้เพราะอาตมาเป็นความจริง อาตมาเป็นความจริง เป็นตัวจริง เป็นความรู้ที่อยู่ DNA เดียวกันกับของพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็พูดความจริงสู่กันฟัง
เพราะฉะนั้นโลกในยุคนี้ ที่อาตมาเอาโลกุตระ เข้ามาสถาปนาลงไป จึงเป็นสุดยอดของความรู้ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ มันหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว มันเสื่อมจริงๆ แล้วอาตมาก็เอามาสถาปนาลงไป
ทำไมพูดว่ามันเสื่อม มีอะไรพิสูจน์ มีอะไรชี้บ่ง มีอะไรยืนยันว่ามันเสื่อม ก็อาตมาประกาศมา 53 ปีแล้ว ท่านผู้ที่ดูแลศาสนาพุทธอยู่ รู้เรื่องที่ไหน มีแต่พวกคุณนี่รู้เรื่อง คือพวกที่ไม่ใช่ผู้งมงายตามเถรสมาคม พวกคุณไม่ใช่ผู้งมงายตามเถรสมาคม แต่เป็นผู้มีดวงตา ผู้มีเชื้อของโลกุตระ จึงรับจิต สัมผัสได้ รู้คุณค่า เข้าใจเชื่อมั่นในความจริงอันนี้ จึงมาเอา
อาตมาพูดบ่อยไม่รู้กี่ทีแล้วว่า อาตมาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาสาธยาย มาประกาศ มาอธิบายลงไปให้ฟัง อาตมาไม่เคยหว่านล้อม ไม่เคยใช้วิธีการใดๆที่จะล่อหลอก หรือเป็นเชิงโฆษณา มีแต่พูดความจริงให้ละเอียดชัดเจน ให้ทุกคนเข้าใจได้แล้วคุณมีฉันทะ แล้วคุณไปปฏิบัติ ปฏิบัติถึงขั้นมนสิการ เป็นราก เป็นมูลกา ข้อที่ 2
พระพุทธเจ้าท่านมีคำเต็มว่า โยนิโสมนสิการ เอาไปทำแล้วได้จนถึงขั้นโยนิโสมนสิการ หมายความว่า ทำใจในใจ ลงไปถึงที่เกิด ถึงที่ดับ ที่อาตมาพูดนำมาแล้ว รู้จักความเกิด ความดับ ของจิต เจตสิกต่างๆ ลงไปจัดการกับ อุปาทิ
อุปาทิ คือ เชื้อที่พาเกิด พาตาย อุปาทิ นี่พยัญชนะบาลีสำหรับคนที่ไม่รู้แต่ยึดไว้อยู่ มีเชื้ออันนี้ จะยึดไว้อย่างอุปาทาน ยึดไว้แต่ไม่รู้ ยึดเชื้อเกิดโดยไม่รู้ ก็เลยมีแต่เกิดๆๆๆๆไม่รู้จักตาย
ฉะนั้นผู้ที่สามารถมีความรู้ถึงสภาวะธรรมะที่แท้ๆ อาการกิริยาของสภาวธรรมที่เป็นจิต เจตสิก และเป็นปัญญา ปัญญารู้จักอาการของจิต อาการของเจตสิกอันนี้ อย่างดีงามถูกต้องหมดเลย ก็สามารถจัดการกับจิตกับเจตสิก อันนี้ได้ถึงขั้นนิพพานหรือ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สมบูรณ์แบบเลย เป็นผู้จบทั้งกิจ จบทั้งกรรม จบหมดทั้งกาล จบทั้งกิจ จบทั้งกรรม จบหมดทั้งกาล
เพราะฉะนั้น จะรู้ว่ากิจอะไรที่ต้องทำก็ทำโดยจัดการด้วยกรรม เพราะฉะนั้นจะจบด้วย กรรม กาละอีกที ก็เป็นอิสระของท่านสมบูรณ์แบบแล้ว ท่านจะอยู่กับกาละหรือไม่อยู่กับกาละ จะเป็นคนทำกาละ เป็นคนทำตาย จะตายแบบ สอุปาทิเสสนิพพาน หรือจะตายแบบ อนุปาทิเสสนิพพาน โดยไม่ต้องแย้งว่าเป็นของเสขบุคคลหรือเป็นของอเสขบุคคล
เป็นของเสขบุคคลคือ เป็นของผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็คือจะเป็นผู้ที่ยังเหลือเชื้อกิเลส เรียกว่า สอุปาทิเสส จะต้องมาปฏิบัติอีก เกิดมาปฏิบัติอีกเพื่อที่จะเป็นจนหมดเชื้อ เรียกว่า อนุปาทิเสส ส่วนผู้ที่ รู้แจ้งเห็นจริงแล้วไม่ต้องเกิดอะไรอีกชาตินี้ กิเลสหมดแล้ว และอุปาทิจะเหลือ เหลือเชื้อเกิด และเป็นเชื้อเกิดที่เกิดอย่างโพธิสัตว์ เกิดอย่างผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้ว แต่จะเกิดแล้วเกิดอีก กี่ชาติก็เรื่องของท่าน จนสูงสุดก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ อย่างนี้เป็นความรู้ที่ซ้อน ไม่ต้องบอกเป็นของผู้ที่เป็น เสขบุคคล แต่เป็นของอเสขบุคคลนี่แหละ มีความรู้ในอุปาทิความรู้ในเชื้อจะเหลือเชื้อ เพราะฉะนั้นถ้าเหลือเชื้อก็คือคุณยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ถ้าคุณจะอนุปาทิเสสนิพพานธาตุไปเลย คือทำธาตุที่มันไม่เหลือเชื้ออะไรเลย ไม่เหลืออุปาทิเลย ก็ไม่เหลือเชื้อที่จะเกิดเป็นจิตนิยาม แตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมเลย
เพราะฉะนั้นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุก็คือการแตกสลายธาตุจิตของตนเองหมด เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย อนุปาทิเสสนิพพาน ขั้นสุดท้ายแตกธาตุออกไปไม่เหลือ ไม่เหลือธาตุจิต ธาตุเชื้อ อุปาทิอะไรไม่เหลือสักอย่าง หมดเลยจบ ฟื้นอีกไม่ได้แล้ว ตัดสินอย่างนั้น อันนี้ก็สูญหายไปเลยใน กาละ ในกาล
กาละหรือกาล คือสิ่งที่อยู่เป็นประจำในเอกภพมหาจักรวาล คือทุกอย่างต้องเคลื่อนไป กาละ ทุกอย่างต้องเคลื่อน โลกต้องหมุน วินาทีต้องมีตลอดวินาที พระเจ้าก็มาสร้างให้วินาทีนี้หยุด อย่าเดินต่อนะ หยุดนะวินาที ไม่มี กาละ อย่าเดินนะ หยุด ไม่มีใครทำได้ พระเจ้าก็ทำไม่ได้ ธรรมชาติก็ไม่มีการเกิดอย่างนี้เลย จะต้องเคลื่อนอยู่ตลอดกาลนาน ถ้าหยุดเมื่อไหร่ก็ทำให้เอกภพนี้แตกหมดเลย แล้วจะมีอะไร มันไม่มีอะไรได้ มันเป็นไปไม่ได้ สุดแล้ว ที่พูดนี้ก็จบสุดแล้ว
เพราะฉะนั้นความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านมาสอน สุดท้ายท่านตรัสรู้ความรู้ในโลกทุกวิชาการในโลก ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคนี้ ท่านก็จะต้องเรียนรู้ทุกวิชาการ ท่านจะเรียนรู้และก็ได้หมด แต่โพธิรักษ์เรียนไม่ไหว เลยไม่เรียนเลย ไม่มีวาสนาได้เรียนเลย วิชาการตามมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนกับเขาเลย แค่ธรรมะวิชาการโลกุตระ วิชาธรรมะศาสนาพุทธโลกุตระ วิชาเดียวอาตมาก็จะตายอยู่แล้ว
มาทำหน้าที่งานเดียว วิชาเดียว เรื่องเดียวนี่ก็ โอย.. ไม่ใช่เรื่องจะธรรมดาแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทำให้เต็มที่เถอะ
ทีนี้เป็นคำกวีต่อ…ขอพ่อครู ก็ขอไม่ได้หรอก ขอพ่อครูอยู่คู่โลกโลกุตระ อันนี้ไม่ต้องพูดหรอก ถ้าอาตมายังอยู่ อาตมายังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปล่ะก็ อาตมาก็ต้องอยู่คู่โลกุตระ อาตมาเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องคู่อยู่กับโลกุตระ แม้จะเกิดมาแล้ว โลกุตระนี้ประกาศไปไม่ได้แล้ว ประกาศไปก็สูญเปล่า ไม่มีใครรับได้เลย ไม่คุ้มที่จะพูดที่จะสาธยายเลย ไม่ได้เรื่อง ถ้าโลกมันเลวร้ายไม่มีโลกุตระสอนไม่ได้เลย อาตมาก็ต้องคู่อยู่กับโลกุตระคนเดียว แต่ตอนนี้ยังมีพวกเรามีความรู้โลกุตระ
การที่จะยืนหยัด ยืนยัน ไม่ต้องมาบอกไม่ต้องมาขอไม่ต้องมาอ้อนวอน ไม่ต้องมีใครมาบังคับเลย มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ อาตมาอธิบาย ว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนเรา คนเหมือนกับคนทุกๆคนเท่ากัน พอท่านเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็คือคน เป็นคนมีขันธ์ 5 เหมือนกันกับทุกคน แต่ท่านเป็นผู้ที่มีสัพพัญญุตญาณบริบูรณ์ ท่านก็รู้ทันทีว่าท่านจะทำงานอะไร เหมือนอาตมานี่พอรู้ตัวแล้ว อาตมาก็ไม่เอาเลยงานทางโลก แต่พระพุทธเจ้าท่านก็มีวิบากของท่านมี ลิงลมอมข้าวพอง แบบของท่าน ของอาตมาก็มีแบบของอาตมา แล้วพอถึงเวลาก็มา ของท่านอายุ 35 ของอาตมาอายุ 36 แต่มันไม่ได้ไล่คล้ายๆใกล้ๆกันแค่ 35 กับ 36 นะมันห่างกันเยอะอยู่ แต่มันซับซ้อน อธิบายไม่ไหว อาตมาอธิบายไม่ถูกด้วย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆใช่ไหมตัวเลขมันออกมาอย่างนั้น
พระพุทธเจ้ารู้จักสัจจะที่เป็นโลกุตระฉันใด ท่านก็เห็นค่าของโลกุตระเหมือนกันอาตมา ก็รู้ค่าของโลกุตระฉันเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านรู้สุดยอดแล้วโอ้โห เกิดมาเป็นคนแล้วนี่ไม่ได้โลกุตระนี่เสียชาติเกิดเป็นคน อาตมาเคยพูดมาแล้ว เสียจริงๆ เพราะคุณถ้าคุณไม่ได้ คุณก็จะไปวนเวียนตามวิบากกรรมของคุณ กี่ชาติๆๆๆ มันน่าสงสารนะคนที่ไม่ได้โลกุตรธรรม แล้วเขารู้วิบากเขาไหม เขาไม่รู้ กรรมวิบากเป็นอจินไตย หมาไล่เนื้อนี่มันวิ่งไล่ไม่หยุดนะ มันตาม แล้วยิ่งคุณไม่รู้จักโลกุตรธรรม คุณก็มาปฏิบัติมาประพฤติ มีแต่โลกียะ เต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง คุณไม่ได้เรียนจริงมันซับซ้อนหลอกคุณเอง
คำว่า โกรธ คนรู้ว่า โกรธ อาการโกรธนี่แสดงหน้าแดงออกมาเลยนะ แล้วก็แสดงอาการกายวาจาออกมา แต่ถ้าโกรธอย่างคนที่มีความรู้ซ้อนว่า เฮ้ย โกรธมันเป็นอาการแสดงออกมาไม่ดี อย่าแสดง เขาก็จะซ่อนไว้ แต่ภาวะความซ่อนไว้มันมีจริง อัดอั้น เป็นพลังระเบิด มากขึ้นมากขึ้น จะค่อยๆแสดงออก โดยการคิดดอกเบี้ยต้นทุน ไม่ลดดอกเบี้ยทบต้นนับไม่ถ้วน อันนี้เป็นสัจจะ ที่อาตมาเห็นอยู่ในคนทั้งหลาย ที่เขาเป็นคนยึดมั่นถือมั่น ไม่รู้จักธรรมะอันนี้ ซึ่งเป็นความเสื่อม มากๆของคน ผู้ที่เขาไม่รู้ เขาทำอยู่ ทุกวันนี้ก็ทำๆกันอยู่
สรุปอีกเมื่อไหร่ก็สรุปอย่างนี้ ก็ไม่จุใจ อาตมาสรุปเมื่อไหร่ก็ยังไม่จุใจ สรุปว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่เอาธรรมะโลกุตระนี่ คุณจะชาติใดก็แล้วแต่ คุณไม่เอานี่ มันไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรบอกว่าโง่ก็ยังน้อยไป บอกว่าเกิดมาโง่ก็ยังน้อยไป ไม่รู้จะเอาภาษามาเรียกคำ ความไม่รู้จักสัจจะ ไม่รู้สาระในสาระ ไม่รู้จะทำยังไง
อาตมาทำงานมาถึงทุกวันนี้ ลากสังขารขันธ์อาตมา ก็เคยพูดบอกว่าควรตาย แต่มันก็ยังตายไม่ลงก็พะงาบๆได้ไป ดูไม่น่าเกลียดน่าชัง อาตมาพยายามไม่ให้สังขาร มันน่าเกลียดน่าชัง เพราะฉะนั้นพวกคุณก็จะดูเห็นว่าอาตมาแข็งแรง ไม่น่าจะอ่อนแออะไร แต่ที่จริง โอ้โห.. คุณรู้ไหมว่าทุกวันนี้ อาตมานอนวันละกี่ชั่วโมง
กลางคืนไม่เกิน 21:00 น ก็ไปนอนแล้ว แล้วถ้าตื่น 6 โมงไม่เคยขาดเลย เลย 6 โมงมาบ้าง บางทีก็ 7 โมงแต่ยังไม่เคยถึง 8 โมงเท่าไหร่ล่ะ 2 ทุ่มถึง 7 ก็รวมเป็น เป็น 11 ชั่วโมงแล้ว กลางวันนอนอีกเท่าไหร่ ถามปัจฉาดูสิ ประมาณ 2 บ้าง 3 บ้าง
ถึงแม้ว่าอาตมาจะหลับหรือไม่หลับ อาตมาหลับขีดของความหลับ คนที่ตระกูลศรัทธากับคนที่ตระกูลปัญญานี่ นอนหลับยังต่างกันเลย ศรัทธานอนหลับนี่จะหลับลึกปี๋ แต่ปัญญาไม่หลับลึกปี๋ไปอย่างนั้นหรอก หลับคุยกับเทวดาเยอะแยะ ไปเรื่อยๆเรื่อยๆเวลาก็เลื่อนไปเรื่อยๆ บางทีคุยกับเทวดากว่าจะหลับปี๋ลงไป ผ่านไป 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง บางที พวกเราพูดแล้วเข้าใจ จะเข้าใจ
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอกไว้นานแล้วว่า อาตมานอนหลับนี่คล้ายกับว่าเปิดสติเอาไว้สัก 2% 3% อย่างนี้ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… มันก็ไม่ได้มารับรู้ เปิดทวาร หู จมูก ลิ้น กาย อะไรหรอก แต่มันอยู่อย่างนี้นิดๆ มันก็พร้อมที่จะรับรู้แล้ว เพราะฉะนั้นเหมือนเป็นคนไวตื่นไวๆ มันก็รู้แล้วของข้างนอกมีอะไร สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่ฝึกฝน หรือว่ามีบารมี มีภูมิธรรม อะไรมันสำคัญ ไม่สำคัญเท่ากับความเป็นโลกุตระที่มีราก
เอาคำว่ารากมาสาธยายอีก 50 นาที
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงราก 10 ราก ในมูลสูตร 10
ฉันทะ เป็นรากแรก เรียกว่า มูล เลย แล้วต่อมาก็รู้จัก จิต มาทำจิต เรียกว่า มนสิการ จึงจะเป็นผู้ที่รู้ เป็นแดนเกิด มนสิการ ตัวที่แหล่งจิต เป็นแหล่งที่มันจะเกิด หรือจะไม่เกิดถ้าผู้ที่รู้จักการทำตายทำเกิด เพราะฉะนั้นก็จะสามารถที่ทำเกิดๆๆๆๆ ผู้ที่ทำเกิดได้อย่างที่เรียกว่า ทำตายได้แล้ว ที่ยังไม่ยอมตาย ผู้นี้ก็เป็นผู้ที่ทำเกิดได้ตลอดไป ทำเอง ทำที่ใจ ทำอย่างที่เรียกว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… วันนี้ก็เป็นวันดีที่สำคัญอีกวันนึงนะครับ ต้นรายการไม่ได้แจ้งว่าสำคัญอย่างไร วันนี้เป็นวันครบรอบการอุปสมบทของพ่อท่าน ครบ 53 ปีนะครับ ในความรู้สึกของผมที่อยู่กับพ่อท่านมาหลายสิบปี ผมรู้สึกว่าพ่อท่านเป็นครูที่แท้จริง ที่มีคุณค่ามากๆ มากขนาดว่าถ้าจะเทียบให้ฟัง ก็คงเทียบได้กับ มีค่ายิ่งกว่าแก้วสารพัดนึก นะครับ ถ้าหากแก้วสารพัดนึกมันบันดาลอะไรได้ก็แค่ทำให้สิ่งของเข้ามาได้ แต่แก้วสารพัดนึกไม่สามารถ บันดาลแก้วขึ้นมาได้อีก 1 ดวง ทำให้ เกิดครูน้อย สมณะ สิกขมาตุ คุรุสัมมาสิกขา..ต่อไป
พ่อครูว่า… ก็ถูกสิ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็รู้วิชาการทางโลกทั้งหมด ทุกสาขาวิชา เรียนมารู้หมดและท่านก็ทิ้งหมด ท่านก็สอนอย่างนี้มาตลอด ตั้งแต่ท่านรู้ตัวเองแล้วว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านสอนวิชานี้วิชาเดียวไปตลอดจนปรินิพพาน 45 ปี ท่านก็ไม่เกี่ยวกับวิชาการอื่น ท่านไม่เอา ฟังเข้าใจดีไหมตรงนี้
จะรู้ค่าของธรรมะ โดยเฉพาะว่าเรารู้ค่าของธรรมะขั้นโลกุตระ ธรรมะรู้จักการเกิด การตาย รู้จักว่าถ้ามันจะเกิดมันก็เกิดเป็นคนดี เป็นคนที่มีความรู้มีคุณค่า อย่าว่าดีแบบโลกียะเลย ดีแบบโลกุตระ
เพราะฉะนั้นมันจะไม่ทำงานอื่น จะมาทำงานนี้ แล้วไม่เกี่ยวกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะฉะนั้น คนที่จะยังไปทำงานอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยังไม่ใช่คนถึง คนถึงไม่ไปหรอก ขนาดพระพุทธเจ้าจบ 18 วิชา ทิ้งหมดแล้วมาทำอันนี้หมดอันเดียว อย่างอื่นไม่เอา ยังไงก็ไม่เอา
เพราะฉะนั้นคนที่ยังมีโลก ติดโลกอยู่ไปตามโลก ผู้ที่หมดโลกแล้วไม่ไป มาอันนี้ จะรู้เป็นความสำคัญในความสำคัญ จะรู้จริงๆ
ทีนี้ มนสิการ การทำใจในใจนี่ รากที่ 3 มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด เพราะฉะนั้น คำว่า “ผัสสะ” คำนี้ มันเป็นเรื่องตัดสินได้เลยว่า ศาสนาพุทธเสื่อมหรือไม่เสื่อม เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธทุกวันนี้ มาเรียนรู้หลับตาไม่มีผัสสะ เป็นปัจจัย ไม่มีผัสสะ มันชี้บ่งถึงความเสื่อมชัดเจนแล้วว่าพวกนี้เดียรถีย์ เดียรถีย์แท้ๆ ขออภัยอาตมาไม่ได้ไปพูดไปว่าหรอก มันเป็นสัจจะความจริง อาตมากำลังสาธยายสัจจะความจริง อาตมาไม่ได้ไปบอกว่า คนนี้ผิด คนนี้ถูก ไปลงโทษ ไปข่ม ไปเบ่งอะไรไม่ใช่ มันเป็นการยืนยันความจริง ของความจริง เกิดเหตุนี่ ไปนับถือกันหมดเลยไปนับถือหลับตา
ซึ่งหลับตามันโมฆะเลย โมฆะจริงๆ ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติธรรมโลกุตระ คุณจะใช้เป็นอุปการะบ้าง เป็นเตวิชโช เป็นการพักผ่อน เป็นการทบทวนธรรมอะไร ดีไม่ดีเอาไปเล่นฤทธิ์เดช เอาไปเป็นอภินิหารอะไรไป มันก็ได้หลับตาเป็นอุปการะแต่มันไม่ใช่ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน ไม่ว่าจะหลับตาด้วยวิธีใด
เพราะฉะนั้น ในฌาน สมาธิ ในนิโรธ ลืมตาทั้งสิ้น ไม่มีหลับตาเลยของพระพุทธเจ้า ฌานก็ลืมตา สมาธิก็ลืมตา นิโรธก็ลืมตา ไม่ได้หลับตา ปัญญามันต้องลืมตาสิ ปัญญาไม่เกิดในการหลับตา ในมหาจัตตารีสกสูตรข้อ 258 ยืนยันชัดเจน ว่าปัญญาจะเกิดได้คุณจะ ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิ มีมัคคังคะ จึงจะเกิด ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล
หมายความว่าอย่างไร คุณยังต้องมี มัคคังคะ มรรคมีองค์ 8 มี ทั้งในขณะที่คุณทำงานอาชีพ อาชีพนี่คุณหลับตาทำไหม หรือกัมมันตะ ในการกระทำการงาน คุณหลับตาทำไหม มีคนตาบอดทำงานหลับตาทำ คนตาดีไม่มีใครเขาหลับตาทำงานหรอก เอาล่ะ พูดอาจจะหลับตาพูดได้ แต่กัมมันตะหรืออาชีพ ไม่ได้หลับตานึกคิด คุณอาจจะหลับตาคิดได้ นี่คือองค์ทั้ง 4 ของมรรคองค์ 8 มันบังคับว่าไม่ได้อยู่ในการหลับตา
อาตมาเคยบอกว่าแค่ อปัณณกปฏิปทา 3 มันก็บังคับเลยว่า มันก็บังคับเลยว่า นี่คือ ธรรมะอันไม่ผิดของพระพุทธเจ้า อปัณณกปฏิปทามันก็หมายความอย่างนั้น แปลอย่างนั้นเลย คือธรรมะของพระพุทธเจ้าอันไม่ผิด เพราะฉะนั้นต่างๆๆจากอันนี้ไปมันก็ผิดแล้ว คุณไม่สำรวมอินทรีย์ 6 คุณไปสำรวมอินทรีย์เดียว คุณไม่ได้พิจารณาในการกินการอยู่ คุณไปหลับตาไม่ได้กินได้อยู่อะไร คุณไม่ได้ตื่นชาคริยา แต่คุณไปหลับอยู่ในภพ มันไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 มันผิดไปหมดเลยแล้ว
มันต้องมีศีลเป็นหลัก แล้วคุณจะต้องเรียนศีล แล้วต้องเอามาปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ศีลนี่แหละ ชัดเจนต้องเป็นแบบนั้น
ศีลข้อ 1 คุณก็ต้องปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วคุณถึงจะเกิดสัทธรรม 7 แล้วก็มีความสำนึก คุณก็สังวรระวังแล้วจะเกิดคุณภาพของจิตเจริญเป็นฌานที่ 1 2 3 4
เพราะฉะนั้นฌานที่เกิดนี่ เกิดจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3 และสัทธรรม มีวิชชา หรือความรู้ที่เป็นยาดำ ช่วยในการเจริญพัฒนา มันไม่ได้มืดได้บอดอะไร มันรู้ละเอียดไปตลอดเวลา มี จักษุ ญาณ มีปัญญา มีวิชชา มีอาโลก(แสงสว่าง) คือมีแสงสว่าง อยู่เปิดๆมีพระอาทิตย์ มีแสงสว่างสาดมาสว่างใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นคนตื่น จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา โผฏฐัพพะ ไปอยู่ในที่มีแสงตื่นรู้ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ รู้ตื่นๆ ตื่นหมดทั้ง 6 ทวาร รู้ว่าต้องตื่น
_สู่แดนธรรม… แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าการรู้แจ้งในอริยสัจ 4 ของพระองค์ พระองค์ก็รู้ในขณะที่ตามี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก(แสงสว่าง) ไม่ได้เห็นในขณะนั่งหลับตาสมาธิ
พ่อครูว่า… ก็ถูกแล้วสิ อาตมาก็เอาจากคำตรัสพระพุทธเจ้านี่แหละ 5 คำนี้อันเดียวกัน เกิดในอาโลกในแสงสว่างแจ้งๆ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส ย้ำอีกว่าที่ไปนั่งหลับตาทำนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในอินทริยภาวนาสูตร
อาจารย์ท่านสอนว่าอย่างไร บอกว่าอย่าได้เห็นเสียงด้วยหู อย่าเห็นด้วยรูป ก็คือสอนให้ตาบอดหูหนวกเหรอ อุตรมานพก็สะดุ้ง เราหลงผิดไปเหรอไปเรียนรู้วิชาการตาบอดหูหนวก ไอ้หยา พูดแค่นี้น่าจะสะดุ้ง ไปงมงายวิชาเรียนรู้ตาบอดหูหนวก
_สู่แดนธรรม… ผมรู้ว่าท่านไม่สะดุ้ง เพราะว่าท่านมีข้อแย้ง แย้งว่า การมีผัสสะเป็นการรบกวนจิตประสาทให้ฟุ้งซ่านไปกับตาเห็นรูปหูได้ยินเสียง จิตมันก็เลยไม่สงบจิตมันเลยซัดสายไปกับสิ่งที่มากระทบผัสสะ ท่านอธิบายว่าอย่างนี้ก็เลยปิดทุกทวาร
พ่อครูว่า… เป็นโลกียะแค่นั้น ถ้าเป็นโลกุตระก็ต้องเหนือ ตา กระทบรูปอยู่ก็อยู่เหนือมัน หูกระทบเสียงก็อยู่เหนือมัน จมูกได้กลิ่นก็อยู่เหนือมัน มันจึงเป็นโลกุตระ แต่ไอ้นั่นมันไม่มีโลกุตระ มันยอมแพ้เลย เป็นนักรบที่ โอ้โห.. เป็นแต่เพียงใกล้เข้าไป แค่ได้ยินเสียงข้าศึกแต่ไกล วิ่งหนีหูตูบเลย ไม่ต้องไปถึงขั้นเห็นฝุ่น เห็นอะไรต่ออะไร ไม่อยู่แล้ว เป็นข้าศึกที่ไม่มีกำลังวังชา ไม่มีความกล้าอะไรที่จะไปต่อสู้เลย
เพราะฉะนั้นเรื่อง ผัสสะอันเดี๋ยวนี้แหละ เป็นแดนเกิด เกิดคุณธรรมโลกุตระ เกิดที่จะเรียนรู้ธรรมะต่างๆ จะรู้แม้โลกียะ ก็ต้องมีผัสสะ ถึงจะรู้ความจริง เพราะความจริงนั้นเกิดจาก มีผัสสะ 2 มีธาตุ 2 ตาต้องกระทบรูปจึงจะเป็นความจริง หูกระทบเสียงจึงจะเป็นความจริง จมูกกระทบกลิ่นจึงจะเป็นความจริง นอกนั้นคุณเดาทั้งนั้นคุณหลับตาแล้วคุณก็บอกว่าคุณเห็นรูป คุณไม่ได้ยินเสียง คุณปิดหูแล้วคุณก็บอกว่าคุณได้รู้จักเสียง คุณปิดจมูกคุณไม่รับรู้อะไรแล้วคุณก็บอกว่าคุณได้กลิ่น มันได้ยังไง มันจริงได้ยังไง มันก็ต้องทนโท่อยู่อย่างนี้ หูได้ยินเสียงอยู่อย่างนี้ จริงเสียง ตาก็เห็นรูปอยู่ทนโท่ จมูกได้กลิ่นยืนยันกับใครต่อใครได้ว่าได้กลิ่นนี่กลิ่นเดียวกัน เสียงเดียวกัน รูปเดียวกันอะไรต่ออะไรเดียวกัน จะใช้ภาษาเรียกกันคนละภาษาก็ว่าไป แต่สัจจะอันเดียวกันหมด
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผัสสะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการปฏิบัติเลย ไปอ่านในพรหมชาลสูตรดีๆ ไม่มีผัสสะไม่มีฐานะแห่งการปฏิบัติ คือไม่มีฐานแห่งการกระทำแห่งการปฏิบัติแห่งการประพฤติ ไม่มีกรรมฐานนั่นเอง ถ้าไม่ผัสสะแล้วไม่มีเวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของการปฏิบัติทั้งหมด
อธิบายต่อไปในมูลสูตรจะถึง
จากผัสสะ จึงมีเวทนา เวทนาเป็นอะไร เป็นสโมสรณา เป็นที่ประชุมลง ทุกอย่างประชุมลงตรงนี้ แล้วท่านสรุปอธิบายโดยสังขยาเลขว่าประชุมลงมาทำให้เป็น 1 ใน 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 ก็ให้ไปทำที่เวทนา จบเลย
นี่แหละพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 อันนี้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ยืนยันว่าในโลกนี้ ศึกษาจากธรรมะ 2 แล้วศึกษาธรรมะ 2 ท่านสรุปลงไปที่เวทนา ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ ไปหลับตาแล้วไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนาในการปฏิบัติ เป็นโมฆะ โมฆะเลย ออกไปนอกทางของศาสนาพุทธ ไปแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ คุณจะทำจิตในจิตให้เป็นบุญเพื่อที่จะล้างกิเลสเลยไม่ได้หรอก
แล้วอาตมาก็อธิบายถึงบุญล้างกิเลสอะไรต่างๆนาๆ จนกระทั่งถึงปรินิพพาน ถ้าบุญยังจะต้องเป็นทั้งบุญและยังจะต้องเหลือกุศลอีก ทำบุญได้แล้วก็เป็นกุศล ไม่บุญไม่ใช่กุศล อันนี้ยากอธิบายอย่างไรก็ยากเพราะกุศลมันเป็นเรื่องโลกียะ แต่บุญมันเป็นเรื่องโลกุตระ บุญเป็นเอกังสะ บุญเป็นทิศทางเดียว One way Traffic หรือเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ตรงไปอย่างเดียวไม่มีโค้งแม้แต่จุด 0001องศาก็ไม่มี เพราะฉะนั้นอย่าไปบอกว่าเป็นบุญแล้วมีบาปคู่นั้น ไม่ บุญทำงานเสร็จก็คือฆ่าบาป บาปก็สูญหายไป บุญก็หายไปด้วย เพราะฉะนั้นบุญจะไปมีอีกได้ยังไง อันนี้ลึกซึ้งมาก ปุญญปาปปริกขีโณ บุญบาปหมดไป
เพราะฉะนั้นชัดเจน อย่างท่านมหาประยุทธ์ท่านไม่รู้เรื่องโลกุตรธรรม ท่านก็แปล อปุญญาภิสังขาร ท่านก็ไปแปลว่า มันไม่ใช่บุญ อปุญญะไปแปลแบบโลกีย์ง่ายๆ ก็จึงหมายถึงบาป แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าท่านไม่มีสัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธ แม้คำว่าบุญ แล้วมันจะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร 3 อภิสังขารนี่เป็นโลกุตระทั้งนั้น แล้วจะวนไปแปลเป็นโลกียะอีก ก็แสดงว่าท่านเองท่านโอ้โห ท่านอยู่กับธรรมะ แล้วท่านก็มีธรรมะ มีบรมธรรมะ ท่านมีธรรมบทเยอะ ธรรมะปรมะ เต็มไปด้วยธรรมะปรมะ ท่านรู้เยอะจริงๆ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เป็นผู้รู้ธรรมของพระพุทธเจ้ามาก ท่องจำไว้ก็ได้มาก สาธยายอยู่ก็มาก แต่ทำไมไม่ได้บรรลุธรรมอะไร ขออภัยที่ต้องกล่าวความจริง ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน สงสารท่าน
อาตมาสงสารท่าน ท่านมาทำอาตมา ท่านมาลบหลู่อาตมาอาตมาไม่ได้โกรธท่านเลยนะ อาตมากลับสงสารท่าน ท่านเป็นปราชญ์ของศาสนาพุทธในยุคที่มันเสื่อม เราก็เอาความจริงเข้ามาพยายามเปิดเผย ท่านเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือยอมรับในประเทศไทยในโลกด้วย ซึ่งเป็นคุณานุคุณมากเลย ถ้าเผื่อว่าท่านเข้าใจอาตมาแล้วชัดเจนว่า อ๋อ.. โพธิรักษ์จริงๆคือตัวจริง เท่านี้แหละไม่มากไม่มาย จะเป็น อย่าว่าแต่กุศลเลย มีมหากุศลมหาศาลเลย แต่ มันก็เป็นไปตามสัจจะ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่สามารถมีผัสสะ ปฏิบัติธรรมอะไรไม่ได้ แล้วเวทนาเป็นฐานปฏิบัติ เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ ถ้าไม่ได้เรียนรู้เวทนาในเวทนาอย่างสมบูรณ์แบบ คุณจะไม่เกิดสมาธิแบบพุทธ คุณจะไม่เกิดสติแบบพุทธ คุณจะไม่เกิดปัญญาแบบพุทธ คุณจะไม่เกิดวิมุตแบบพุทธ คุณก็อดเป็นอมตะบุคคล คุณก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ได้ เพราะคุณผิดมาตั้งแต่ไม่มีผัสสะแล้ว
เอา ทีนี้มีผัสสะ บางคนก็พอเข้าใจว่ามีผัสสะ แต่มีผัสสะแล้วไม่รู้จักเวทนา หรือรู้จักเวทนาไม่พอ ในเวทนาพระพุทธเจ้าท่านแจกถึง 108 ยังดีนะ ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี่ ยังเก็บคำว่าเวทนา 108 มีอะไรบ้าง ยังมีสูตรที่เก็บไว้ แต่เขาไม่มีสาธยายๆละเอียดลออ มีอยู่ในอภิธรรม แจกพยัญชนะไว้เหมือนกัน อยู่ในเวทนา 8 แล้วแจกไว้แค่ว่ามีเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เวทนา 108 คนไม่รู้จักก็อธิบายไม่ออก ก็อธิบายตามพยัญชนะเล็กๆน้อยๆ แต่อาตมาอธิบายสู่พวกเราฟังหมดแล้ว และเชื่อว่ามีผู้เข้าใจ เข้าใจแล้วไปปฏิบัติได้
เช่น เวทนา 2 กายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา ก็หมายความว่า อันหนึ่งเรียกว่าเวทนาอย่างกาย อันหนึ่งเรียกว่าเวทนาอย่างเจตสิก เจตสิกเวทนา แม้แต่คำว่า กาย ถ้าไปเข้าใจคำว่ากายคือ สรีระ คือวัตถุ คือไม่มีจิต ไม่มีเจตสิกเข้าไปร่วมเลยเดี่ยวๆ กายคือธาตุวัตถุ กายคือธาตุ ไม่มีจิตไปร่วมเลย แบบนี้โมฆะตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ มิจฉาอยู่เลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่คำว่ากายมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้แล้ว ปิดประตู ถ้ามิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่าเป็นกายผิดตัวเดียวนี่แหละ แล้วพุทธในเมืองไทยผิดอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ผิดจะไม่ไปนั่งหลับตา ไม่มีกายได้อย่างไร กายต้องมีจิต ต้องมีกายถึงจะปฏิบัติได้สมบูรณ์ ถูกเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทิฏฐธรรม เป็นธรรมะที่มีปัจจุบันชาติ ถ้าไม่มีกายเป็นคนตาบอด หูหนวก ปฏิบัติธรรมตาบอด หูหนวกไปแต่อยู่ข้างในอย่างเดียว ตาก็บอด หูก็หนวก จมูกก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นก็ไม่ได้รับรส กายสัมผัสก็ไม่รู้เรื่อง มันใช้ไม่ได้ โลกนี้ไม่ได้มีจิตในจิตอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น อย่าไปปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ก็ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติไม่ได้ เพราะกายก็ผิดแล้ว กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่ได้แยกกันเลย มีกายถึงมีเวทนา สัมผัสอันนี้ถึงมีสภาพธรรมที่รู้ แล้วก็พยายามทำให้เป็น 1 ในเวทนา 1 คืออะไร คือ เจโต จิตในจิต มีกิเลสกับตัวจิตสะอาดจริง ก็ทำให้กิเลสมันออกไปเหลือจิตสะอาดเป็น 1 จริงๆ
เมื่อคุณทำจิตสะอาดเป็น 1 ได้แล้ว เช่น พระอรหันต์ ทำจิตสะอาดหมดแล้ว ไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย คุณก็จะเป็นผู้จบ ผู้ที่จบอรหันต์และเป็นผู้จบ จบกิจ จบทุกอย่าง คุณจะเกิดอีก คุณจะตายอีกคุณจะอยู่อีกหรือไม่จะอยู่อีก คุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ได้หมดจบกิจอยู่ตรงนี้ หรือคุณจะต่อ ก็ต่อได้เหมือนอย่างอาตมา อาตมาพูดถึงอรหันต์ต่อได้เพราะเป็นอรหันต์ที่ต่อมา อาตมาไม่ได้จบที่อรหันต์ที่ 1 อรหันต์ที่ 2 อาตมาก็ผ่านมาอรหันต์ที่ 3 ก็ผ่านมานี่เป็นอรหันต์ที่ 4 นี่ดีว่าอาตมาก็อธิบายไว้หมดแล้ว ก็มายืนยัน
ถ้าอาตมาไม่มีความจริงพวกนี้ อาตมาจะมารู้ได้อย่างไรพวกนี้ เอามาพูดได้ยังไง พูดแล้วไม่ใช่พูด ไม่เห็นรู้เรื่องเลย พูดอะไรก็ไม่รู้พูดไปพูดมา พูดอีกทีก็สับสน พูดอย่างไม่เข้าใจ อาตมาพูดสับสนไหม ยิ่งเข้าใจลึกซึ้ง ยิ่งเข้าใจว่ามันมีระดับ อย่างน่าอัศจรรย์ มีลำดับอย่างละเอียดเนียนในอย่างน่าอัศจรรย์ใช่ไหม เป็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้หมด
ถ้าเผื่อว่า อาตมานำธรรมะโลกุตระมาประกาศนี้ ไม่เป็นเช่นที่เป็นนี้ พอมาประกาศแล้วปรากฏว่า โอ้โห เถรสมาคมรู้ดีหมดเลย จะชื่อว่าเสื่อมไหมๆ มันก็ไม่เสื่อมสิ โลกุตระ แต่นี้อาตมาเอามาประกาศแล้ว ปรากฎว่าเถรสมาคมจะเอาอาตมาตายเลย เห็นโลกุตระเป็นของผิด จะเอาตายเลย แต่อาตมา ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม อาตมาจึงอยู่รอด แล้วก็ทำได้จนกระทั่งมาเกิดอันนี้ขึ้นมา ที่เขียน
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ ท่านผู้ที่ใฝ่หา ผู้ที่แสวงหา ท่านผู้ที่แม้จะมีอคติแล้ว จนวันนี้นี่ อคติท่านจะลดลง นั่นคือความเจริญของท่านเกิด แต่ถ้าท่านยังอคติต่อ ยิ่งเข้าใจผิด ยิ่งอคติต่อ เห็นว่าอาตมานี้ โอ้โห ยิ่งดันทุรัง ว่างั้นนะ มาทำลายศาสนาหนักขึ้น แต่ท่านก็ทำอะไรอาตมาไม่ได้แล้ว ถ้าท่านเข้าใจงั้นน่าสงสารเลย แต่ผลสะท้อนที่เกิดขึ้น ผู้ที่จะมาโต้มาต้านมาเถียงมาแย้ง น้อยลงน้อยลง
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านๆมีคำพูดที่เป็นปาฏิหาริย์ ว่าปาฏิหาริย์ต้องเกิด โดยเฉพาะตรงที่พ่อท่านว่า พระภิกษุทั้งหลายที่ท่านได้ฟังธรรมะพ่อท่านแล้วคล้อยตามเรื่อยๆ ผมนึกถึงปาฏิหาริย์อยู่ข้อหนึ่งที่เหมือนงูลอกคราบ การถอดไส้หญ้าปล้องออก แต่ท่านยังไม่กล้าแสดงตัว
พ่อครูว่า… ชักดาบออกจากฝัก หรือเป็นงูลอกคราบ อันนี้มีจริงเป็นผู้ที่พอเข้าใจแล้วล่ะว่า อันนี้อธิบายเหมือนกับชักดาบออกจากฝัก เห็นดาบแท้ เห็นดาบคมว้าวอะไรอย่างนี้ หรือเป็นงูลอกออกจากคราบ ทิ้งขยะไป เหลือแต่เนื้อตัวงูออกมา มันจะเห็นชัดเจนขึ้นชัดเจนขึ้น
อันนี้ก็มีจริง ผู้ที่เข้าใจขึ้น รู้มากขึ้น แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัว เพราะ ท่านยังติดอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุขมากกว่าที่จะมาเปิดปากบอกว่า แม้โพธิรักษ์นี้ถูกต้องนะ แหม ถ้าท่านเปิดคำนี้คำเดียวว่าโพธิรักษ์นี้ถูกต้องนะ ไม่ต้องไปพูดว่าอย่ามาเอาอย่างเถรสมาคม ไม่ต้องพูด ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เท่านี้ก็เป็นกุศลอันมหาศาลเลย
เพราะฉะนั้น คำว่าผัสสะไม่มีเวทนา ไม่มีไปปฏิบัติ เวทนา 108 อาตมาอธิบายสู่ฟังว่า ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจ มโนปวิจาร 18 ของ เคหสิตะ 18 ของชาวโลกีย์ของชาวโลก มันต่างกันยังไงกับเนกขัมมสิตะอีก 18 ถ้าอ่านจิตเจตสิกของตัวเองไม่ออก อ่านเวทนาในเวทนาในตัวเอง อย่างแยกออกได้ 2 อย่าง ว่าสัมผัสแล้วมันยังเป็นเคหสิตะอยู่นะ มีกิเลสคุณก็ต้องรู้ตัว คุณก็ต้องจัดการกับกิเลสของคุณออก คุณทำออกได้ เนกขัมมะได้ คุณก็มีมรรค มีผล ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย 6 ทวาร แล้วก็มี สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ อีก 3 รวมกับ6 เป็น 18 มันจะเกิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตรงไหนก็แล้วแต่ แล้วมันเกิดเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมันเกิดไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นโลกีย์เป็นแบบไหน คุณก็ทำให้มันเป็นโลกุตระ มันก็เป็นเนกขัมสิตะ
จนกระทั่งถึงเป็น เนกขัมสิตอุเบกขา เวทนาทุกตัว กระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันมีอินทรีย์ มันมีตั้งแต่หยาบ ทุกข์ สุข กามาวจร เหลือข้างในโสมนัส โทมนัส ก็ลดลงไปได้อีกเหลือข้างในเป็นอุเบกขา หมดทั้งโลกภายนอก กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร หมดดับ
คุณก็ทำเนกขัมมะนั้นอย่างรู้จักสภาวะธรรมจริงๆ แล้วทำออก ทำกิเลสออก ถึงขั้นอุเบกขาแข็งแรง เป็นอุเบกขาที่มีคุณสมบัติ 5
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ที่อาตมาอธิบายย้ำยืนยันมาแล้ว สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด แต่ท่านไม่มีกัน ท่านทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ อาตมาก็โชคดีที่ยังมีพวกนี้ยืนยันได้ อ้างอิงยืนยัน คำตรัสของพระพุทธเจ้า อันนี้แหละทำให้อาตมาอยู่รอดได้ ก็เพราะว่ามันตรง อยู่ในคำสอนในพระไตรปิฎก ยืนยัน พูดถูกแล้วทำได้ไหม
โอ้โห..พูดมาถึงตรงนี้แล้ว อาตมายิ่งภาคภูมิใจใหญ่เลยแหม ฉลองวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513 ฉลองความชื่นใจให้แก่ตัวเอง ว่าอาตมา ว่าอาตมาไม่สูญเปล่าเลย ได้ความจริงอันนี้จนกระทั่งมาพิสูจน์ ทำถึงขั้นสาราณียธรรม 6 ตรวจสังคมสาราณียธรรม 6 มาอยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ถ้าไม่เห็นสังคมที่อยู่กันอย่างเมตตา 3 ทางกาย วาจา ใจ คนในสังคมไหนอยู่กันอย่างมีเมตตา 3 นี้ คนไม่เคยมีอย่างนี้ จงมาดูที่สังคมชาวอโศก จริง ไม่ใช่พูดปากเปล่า มาอยู่กันอย่างมี เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม
แล้วมามีชีวิต ทำงานอาชีพเงินเดือนศูนย์ ลาภที่ได้โดยธรรม ทุกคนทำงานสร้างสรรค์ มีผลผลิต มีผลได้ มีเป็นเงินเป็นทอง เอามารวมกันเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนกลาง ส่วนเดียว เป็นสาธารณะโภคี บริโภคร่วมกัน กินใช้ร่วมกัน ไม่ใช่มีของใคร ของตัว ของตน เป็นของรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่มันเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ ที่ยืนยันได้ ไม่ใช่มีแต่คำสอน คำตรัสอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วใครปฏิบัติได้ตามคำสอนนี้บ้างวะ ที่นี่แหละ โว้ย คำตอบที่ว่าถามว่า ใครมันทำตามคำสอนมั่งวะก็บอกว่า ที่นี่แหละ โว้ย แต่ไม่กล้าร้องเสียงวะ เสียงโว้ย หรอก แต่ก็ตอบเบาๆ
ก็เหมือนกับเณรเล่นหมากรุกกับหลวงตา รุกแม่ 1 ที เณรก็จะรุกแบบหลวงตาบ้างไม่ไหว จะไปกะว่ารุกแม่หลวงตาก็ไม่ได้ พูดไม่ได้ หลวงตาก็บอกว่ารุกแม่ง รุกแม่งทุกที เณรสุดท้ายก็หาทางออก บอกว่ารุกอย่างหลวงตาว่า มันไม่มีทางออก หลวงตาจะรุกเราก็ไปรุกถึงแม่ทุกที แล้วจะพูดเหมือนอย่างหลวงตาว่าก็ไม่ได้ ก็เลยต้องขอยืมคำนี้ ก็รุกอย่างหลวงตาว่านั่นแหละ 1 ที หลวงตาก็จุกเลย เหมือนเอาหอกมาเสียบกลับ นี่ก็เป็นเรื่องเล่าที่มันได้คิดนะ ว่าคนเรานี่ไม่ดูตัวเองว่าตัวเองทำอะไร เอาแต่ใจตัวอะไรต่างๆนานา
เพราะฉะนั้น ในเรื่องเวทนาที่ สโม สรณา ภวันติ ทำให้มันรวมลงมาเป็น 1 ได้นี่สุดยอด รวมลงเป็นอุเบกขาหรืออุเบกขินทรีย์ เป็นที่ลง เป็นที่จบ อุเบกขาท่านมีคำคล้ายหรือคำแทน เรียกว่าเป็น Synonym แทนอย่างลำลองนะ ไม่ถูกต้องทีเดียวว่าไม่ทุกข์ ไม่สุข อุเบกขานั้นมันมีลักษณะไม่ทุกข์ไม่สุข แต่คำว่าไม่ทุกข์ไม่สุขนี้ยังไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ ไม่ทุกข์ไม่สุขนี่คือ จิตมันเหนือชั้นกว่า ไม่ทุกข์ไม่สุขแบบโลกีย์เขาก็มี เขากดข่มจิต จนกระทั่งสามารถมีพลังอำนาจ กดข่มได้ดี จนสัมผัสแล้วก็ไม่เกิดทุกข์สุขได้ เขาทำได้เหมือนกัน ยิ่งหลับตาก็ไม่ทุกข์ไม่สุข
แต่มันไม่ได้ล้างเหตุ ไม่ได้ดับเหตุจนสิ้นอาสวะหมดเลย มันไม่ได้ล้าง
_สู่แดนธรรม… ผมเห็นว่าอุเบกขาไม่น่าจะไปใช้เทียบกับอทุกขมสุข ครับ
พ่อครูว่า… เขาก็ทำได้ แต่ของเขาไม่รู้รายละเอียดที่มันเป็นเหตุปัจจัยองค์ประกอบมันสมบูรณ์แบบ ก็ทำไม่ได้ มันยังเป็นโลกียะอยู่มันกลับได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นทำให้เหตุคือกิเลส มันดับไปเป็นลำดับ หมดเกลี้ยงแล้วมันไม่รู้จะเอาอะไรมามี มันหมดไปจริงๆ มันไม่เกิดอีกไม่มีอีก ซึ่งมันต่างกันใช้ภาษาพูดก็ได้แค่นี้
เพราะฉะนั้นเมื่อเวทนามันสะอาดขึ้นเป็น ปริสุทธาจริงๆ สั่งสมเป็นจิตทั้งหมด เรียกว่า สมาธิของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นสมาธิของพระพุทธเจ้าจึงเรียกด้วยพยัญชนะว่า สมาหิโต ไม่ได้เรียกเป็นเจโตสมาธิ อย่างที่โลกียะเขาเรียก ในพรหมชาลสูตรท่านก็ใช้คำว่า เจโตสมาธิ แต่ในเจโตปริยญาณ 16 คำว่าสมาธินี้ คือคำว่า สมาหิโต
คำว่าสมาหิโต เป็นเจโต นะ ยังต่อด้วยวิมุติอีก เป็นอีกคู่หนึ่ง วิมุติกับ อวิมุติ เป็นคู่สุดท้ายของเจโตปริยญาณ 16 ผู้ที่มีสภาวะไม่ต้องไปท่องหรอก เจโตปริยญาณ 16 มันเป็นคู่ๆๆ 8 คู่ แล้วเป็นลำดับ
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… ต่อจากนั้นก็เป็นจิตที่มันกระจุก เกิด สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ
พ่อครูว่า… มันเป็น 2 ตระกูล ตระกูลเจโตกับตระกูลปัญญา มันเป็น สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ ต่อจากนั้นก็ทำให้มันเจริญ มันจะจับตัวแน่นอีกก็มันก็ผิด จะมันฟุ้งกระจายจับไม่ติดมันก็ผิด ต้องทำมาให้มันเข้าสัดเข้าส่วนหรือตีให้แตกออก ขยายออกให้ได้
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
ทำไม่ได้ก็เป็น 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) ถ้าไม่ได้ก็เป็น 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) เจริญขึ้นไปอีกเป็น 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) แต่ยังมีจิตที่ดีกว่านี้อีกยังไม่เป็นจิตดีที่สุดจนกว่าจะถึง 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)
จะต้องทำให้มันตั้งมั่นและมันหลุดพ้น อีก 2 คู่
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)