661120 อโศกมีแค่แสนจะสืบแก่นศาสนาได้อย่างไร รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #47 ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/13AhaRsmiRnkC9v-GLEYTLXjpWFNwbNee/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16l-xu0tlkm7Jqp7GN4Ck1hMv2Msl3KD-/view?usp=sharing และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661120-167-1–47-e2c5sgn ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oqZMo8Jauv/ และ https://youtu.be/fgMnoDOg6n0 (มีซับ) พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก อาตมาก็จะบอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อาตมาจะเทศน์ตามที่เขามีกำหนดให้เทศน์ เพราะฉะนั้นอาตมาจะเทศน์ต่อไปในอนาคตนั้น หรือไม่อย่างไร ก็มาถามหมอดูแป้งเขาได้ เพราะเขาจะจับยามสามตาดูว่าอาตมาจะมาเทศน์หรือไม่ _สู่แดนธรรม… วันนี้ผมยังจับผิดเลยครับ กลับบ้านไปแล้ว มาใหม่ครับ พ่อครูว่า… มันก็แหม มันร่อยหรอลงไป เมื่อย จะทำอะไรต่ออะไรแล้วตอนนี้ อาตมาบอกตรงๆ พูดมาหลายทีแล้วว่าอาตมาฝืนชีวิต ลากสังขารไป มันก็ลากไปเต็มที เอ้า ก็ลากได้ก็สู้ไป ทำไปเรื่อยๆ SMS วันที่ 17 – 19 พฤศจิกายน 2566 อโศกมีแค่แสนจะสืบแก่นศาสนาได้อย่างไร _ช่อทิพ หนูทอง . ชาวอโศกทั้งในและนอกบวร สมณะ สิกขมาตุ รวมถึงชาวแพทย์วิถีธรรม รวมแล้วไม่น่าจะถึงแสนคน เรียนถามพ่อครูว่า คนแสนคนนี้จะช่วยสืบทอดศาสนาพุทธต่ออีก 2,500 ปี ได้อย่างไรคะ? พ่อครูว่า… นั่นสิ คนไม่ถึงแสนคนจะสืบทอดศาสนาพุทธต่อไปอีกอย่างไร ก็ตอบว่าเท่าที่มันมีเนื้อ เนื้อของ คำว่า สืบทอดศาสนาพุทธ จริงๆคำว่า “พุทธ” ศาสนาพุทธมันยังมีอยู่โดยรวม ตีกินไปหมดว่าพุทธ โดยรวมมันยังมีอยู่ แต่เข้าไปถึงแก่น แก่นของพุทธมันไม่มีแล้ว ทีนี้เมื่อไม่มีแล้วจะทำยังไง เมื่อไม่มีก็ต้องมีผู้ชี้ ที่รู้กันว่าจริงๆคืออะไรแล้วเอาแก่นมาใส่ นี่พูดเป็นรูปธรรมเลย ต้องพยายามเอาแก่นมาใส่ เพราะฉะนั้นจะเอาแก่นใส่จะใส่ยังไง ใส่เข้าไปด้วยสภาพยังไง แก่นนี่ ประกอบไปด้วยกระพี้ ประกอบไปด้วยเปลือก ประกอบไปด้วยสะเก็ด แล้วมันก็ไม่มีต้นดอกใบเอง ไม่ใช่ต้น ใบ ผล ดอก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… ผมคิดคำตอบขึ้นมา นะครับ ว่า เขาเป็นห่วงว่าปริมาณคนแสนคนไม่ใช่ศาสนา ถ้าคิดอย่างนั้นนั้นไม่ถูกนะครับ การสืบทอดศาสนาต้องหมายถึงว่า แม้มีคน 5-6 คนที่ได้เป็นอรหันต์ นั่นก็เท่ากับว่าได้สืบพระพุทธศาสนาแล้วนะครับ พ่อครูว่า… ตอนศาสนาพุทธจะเกิดมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว แล้วก็นำแก่น นำเปลือก นำกระพี้ นำสะเก็ด นำต้นดอกใบที่เป็นของแท้นะ ต้นดอกใบ อันนี้เป็นธรรมะที่ต้องแยกกันเป็นสำคัญ พอเริ่มต้นที่จะเป็นศาสนาพุทธนั้นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มต้นด้วยศีล ศาสนาพุทธไม่เริ่มต้นด้วยศีลไม่ใช่ศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นคนที่จะมาเป็นพุทธนั้นต้องนับที่ศีล เริ่มต้นมีศีล 5 หรือยัง ถ้ายังไม่มีศีล 5 หรือมีศีล 5 ไม่ครบ คนนั้นยังไม่ใช่พุทธ คำว่ามีศีล ไม่ใช่ไปท่องเอา มีศีลคือต้องประพฤติได้ อย่างน้อยประพฤติด้วยรูปของกายกรรม วจีกรรมข้างนอก พฤติกรรมทางกายพฤติกรรมทางวจี ไม่ละเมิดไม่ผิด ก็ยังดี เพราะยังไงๆ กายกรรม วจีกรรมก็จะมาจากจิต แม้ว่าจิตยังไม่มีสภาวะเป็นตัวสะอาด แต่เป็นกิเลสอยู่ก็ตาม ก็รู้แล้วล่ะว่าอย่าฆ่าสัตว์นะ อย่าไปเที่ยวได้รุนแรงอะไรนะ ไม่ฆ่าและไม่รุนแรง อย่าไปทุจริตนะศีลข้อ 2 ศีลข้อ 3 ระวังอย่าไปหลง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อะไรอย่างนี้เป็นต้น ศีลข้อ 4 ก็เรื่องวาจาศีลข้อ 5 ก็เรื่องของจิต เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความหมายและไม่รู้ว่าความหมายเหล่านั้นเรามีพฤติกรรมหรือพฤติการณ์ ที่เราเองมีจิตเป็นตัวประธาน มีเจตนา จนกระทั่งเจตนาเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องมีจุดมุ่งหมาย ไม่ต้องมาส่งสัญญาณ ไม่ต้องมาบังคับ ไม่ต้องมาตั้งใจที่จะเป็นเลย แต่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แม้มีเหตุ มันชวนให้ฆ่า มีเหตุชวนให้ทุจริต มีเหตุชวนให้หลง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ก็ไม่ทำให้เรานี่หลงปรุงแต่งอย่างเต็มที่ ปรุงแต่งอย่างเต็มใจ ยังเข้าใจมีสติสัมปชัญญะ สังวร ว่าอย่างนี้เป็นกิเลส มีหิริ มีโอตัปปะ เพราะว่ามีศรัทธา และมีความรู้ในศรัทธานั้นแล้วเป็นเบื้องต้น เพราะฉะนั้นจะเกิดกิเลสก็มีหิริตามสัทธรรม 7 ถ้าคนที่มีแรงถึงขั้นหิริ โอตตัปปะก็ดี ก็จะห้ามได้ จะระงับได้ จะไม่ละเมิด ไม่ทำให้ศีลมันขาด เป็นพหูสูต เจริญไป ก็จะมีคุณสมบัติหรือคุณธรรมที่เกิดมีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต ผู้ที่มีปัญญา มีสติ ก็มีวิริยะพากเพียร ว่าทำอย่างนี้ถูก เป็นสัทธรรม ก็จะเกิดศรัทธามีปัญญา มีสติ มีพหูสูต ก็จะเกิดการไม่ละเมิดศีลที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ ข้อ 1 ก็ตาม ข้อ 2 ก็ตาม ข้อ 3 ก็ตาม ข้อ 4 ข้อ 5 ก็ตาม คุณได้ปฏิบัติอย่างนี้เกิดผล ก็จะเกิดพลังงานในจิตเรียกสภาวะพลังงานที่มีความสามารถ มีทั้งความรู้มีทั้งความจริงของจิตที่ทำได้ มีทั้งความรู้ทั้งความจริงของจิต ที่สามารถมีพลังทำสำเร็จไปได้ดียิ่งขึ้นๆๆดีขึ้น ก็คือฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 นี่คือความเป็นฌาน คือพลังงานของปัญญา พลังงานความรู้ที่มีธรรมฤทธิ์ ทำให้เราเจริญ ทำให้เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีศีล เพราะฉะนั้นคำว่า มีศีล จึงไม่ใช่ว่า วันนี้วันพระไปไหนไปถือศีล ถือศีลที่ไหน ไปวัด แล้วก็ไปโสเหล่กันที่วัด ไม่กินข้าวเย็น ก็หลับนอนกันไป ตื่นเช้ามาก็เสร็จแล้ว ไปถือศีลแล้ว ไปอุโบสถเลยนะ ไปอยู่วัดเลย ไม่ใช่ ไม่ใช่ตามจารีตประเพณีเพียงเท่านั้น คุณจะไม่ไปวัดแต่ปฏิบัติถูกต้องอย่างที่อาตมาว่า ที่ไหนก็ตามแต่ คุณอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ จริงๆก็อยู่ในชีวิตประจำวัน ชีวิตปกติสามัญ แต่คุณทำได้ตรงตามที่อาตมาอธิบายว่า การปฏิบัติศีลหรือมีศีลคืออะไร ศีลทำให้เกิดฌาน ศีลทำให้เกิดปัญญา ฌานคืออธิจิต ศีลทำให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ จนที่สุดทำให้มันดับกิเลสหมดกิเลสได้ นั่นแหละคือศีล นี่แหละคือที่ได้ขยายความคำว่าศีลอย่างสำคัญแล้ว ทุกวันนี้ไม่ได้มีการรู้รายละเอียดอย่างที่อาตมาพูด ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้เอามาจากตำรา แต่เอามาจากความเป็นจริง แล้วความเป็นจริงนั้นก็คือ ที่อาตมาได้ปฏิบัติมาเป็นได้ มีได้ แล้วเอามาพูดนี่พูดจากของตัวเองก็มาพูด ใครจะบอกว่าพูดไม่ได้ตรงตามพระพุทธเจ้าพูดก็จริง เป็นคำต่อคำไม่ตรงตามพระพุทธเจ้าพูดหรอก อาตมาพูดตามอาตมานี่แหละ ใครฟังแล้วบอก อย่างนี้เข้าท่าเห็นดีก็มาเอา ใครเห็นว่าไม่ดีก็ไม่ต้องมาเอา บอกว่าไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าก็แล้วไป ทีนี้ที่บอกว่าจะต่อ ชาวพุทธหรือว่าชาวอโศก พูดใหญ่นะ บังอาจ บอกว่าจะเป็นผู้ที่จะมาสืบทอดศาสนาพุทธ สืบทอดอะไรก็พูดไปหมดแล้ว สืบทอดเนื้อแท้หรือแก่น ที่จะเป็นโลกุตระ ศีลลดกิเลสได้ จิตลดกิเลสจริง ปัญญาทำให้กิเลสลดจริง วิมุติกิเลสลดจริงๆ คือสัจจะ สรุปลงไปให้ฟัง อาตมาทำมาถึงวันนี้มีคนปฏิบัติได้จริง เมื่อกี้ขึ้นต้นแล้วว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์เดียว เสร็จแล้วท่านก็มีบารมี ท่านก็พยายามให้คนอื่นฟังและปฏิบัติตามได้จนเกิดผลเป็นโลกุตรธรรมจนเกิดศาสนามาจนถึง 2,500 กว่าปี แต่มันมาเสื่อมลงไปมากพอถึง 2,500 ปีขึ้น เสื่อมไม่เหลือโลกุตรธรรม คือไม่เหลือธรรมะที่เป็นศาสนาพุทธเป็นแก่นแท้ สาระแท้ของพระพุทธเจ้าแล้ว นี่ไม่ได้พูดเล่นหรอกพูดจริงๆ มีแต่ของเก๊ วิมุติ นิพพาน อรหันต์เก๊ๆ ซึ่งอาตมาพูดไปอย่างจริงใจ พูดอย่างไม่เกรงใจ พูดอย่างบอกความจริง พูดอย่างสงสารที่เขาหลงผิดกันว่าเขาได้อรหัตตผล ได้อรหันต์ แล้วก็ชิวๆนับถือกันเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนนับถืออรหันต์เก๊มากกว่าโพธิรักษ์อยู่เดี๋ยวนี้ก็เถอะ ในชาวพุทธเมืองไทย ที่อาตมาทำงานมา 53 ปีนี้ ได้คนมาเข้าใจ เชื่อถือ ปฏิบัติตามไม่ได้เศษเสี้ยวของอาจารย์ใหญ่ๆที่เขานับถือกันหรอก อย่าว่าแต่ขั้นที่จะเป็นอรหันต์พาไปได้นิพพานเหมือนเขาเชื่อมหาบัว เป็นต้น แม้แต่ไม่ได้เชื่อมหาบัว แค่หลวงพ่อคูณ เขาก็นับถือกันมากกว่า โพธิรักษ์เยอะ หลวงพ่อทวดเขาก็นับถือเยอะ หลวงพ่อทวดเก่งอะไร เหยียบน้ำทะเลจืด เอ้อศาสนาพุทธดีนะ ทุ่นเศรษฐกิจไปอย่างหนึ่ง ถ้าน้ำจืดไม่มี ก็ให้หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแล้วเอาไปกินเอาไปใช้ อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งขออภัยอาตมาพูดไปเหมือนไปลบหลู่ครูบาอาจารย์ที่เขานับถือบูชากัน เหมือนไปลบหลู่ แต่ไม่ได้ลบหลู่หรอก แต่อาตมาอธิบายสัจธรรมให้ฟัง ไม่งั้นมันก็เลอะเทอะไปหมดเลย มันก็ไม่เข้าแก่น เข้าสารอะไร เข้าเนื้อ เข้าอะไรแท้ๆ ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติได้อย่างวันนี้ เมื่อไม่มีอาตมานำแก่น นำโลกุตระที่อาตมามั่นใจว่าโลกุตระเป็นเช่นนี้ ประพฤติได้ มีได้ จนพวกเราสามารถฟังเข้าใจเอามาปฏิบัติได้จริง เกิดองค์รวมตรงตามคำสอน เช็คได้ อาตมาอ้างอิงยืนยันว่าพวกเรามาถึงขั้น มีสาราณียธรรม 6 มีวรรณะ 9 พุทธพจน์ 7 อะไรพวกนี้ ที่อาตมาพูดนี้พวกเราเข้าใจกันนะ ว่ามันหมายถึงอะไรบ้าง มันก็ยืนยันว่าตรงตามพระอนุสาสนี ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านะ คนมีศีลจริงๆซึ่งศีลอธิบายไปแล้วเมื่อกี้ มันเป็นอย่างนี้มี มีอธิจิต ได้จิตมา จิตนำพาพวกคุณมา จิตของคุณได้บรรลุธรรมมาคุณจึงมา คุณไม่ได้บรรลุธรรมคุณไม่ได้มาหรอก ที่นี่ไม่ได้พาให้คุณได้โลกธรรม ไม่ได้ให้คุณแย่งชิงลาภ ชิงยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นโลกีย์ไม่ใช่ มันทวนกระแสมันคนละเรื่องกันมาทางนี้ ไม่ได้ไปเป็นคนโลกธรรม แต่มาเป็นคนโลกุตระ ไม่ได้เป็นคนโลกียะ อาตมาพูดนี่ถูกไหม คุณเข้าใจตัวเองไหม นี่อาตมาว่าทางนี้คนข้างนอกเขาจะฟังยังไง คนเข้าใจศาสนาพุทธว่าเป็นอย่างไร สำนักนี้สอนเนื้อแก่นเขาเป็นอย่างไร เขาก็สอนตามที่เขาเข้าใจ แต่ละเจ้าๆแต่ละสำนักก็เชื่อว่า นี่แหละเนื้อๆแก่นๆของศาสนาเป็นอย่างนี้ อาจารย์หัวหน้าเจ้าสำนักนำพาเป็น บางคนก็โอ้โห กว้างมาก อย่าว่าแต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเลย คำสอนของอาจาริยวาทก็รวบรวมสอนพูดเต็มไปหมด จนไม่รู้ว่าแล้วแก่นสรุปลงไปที่จะทำมันยังไง มันก็ได้แต่รู้เต็มหู เต็มหัวหมดเลยนะ พอรู้มากๆก็เขียนตำราก็ได้มาก สาธยายก็มาก คนก็เข้าใจง่าย เข้าใจว่าช่างรู้ธรรมะศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้ว่าพุทธอะไรบ้าง พุทธของอาจารย์ต่างๆนานาของเกจิอาจารย์ต่างๆ ของอรรถาอาจารย์ ของใครต่อใคร ที่มันเพี้ยนไปแล้วต่างๆนานาที่เอามาเก็บสรุปรวมเอาไว้ ก็เรียกว่า นี่ของพุทธนี่ก็ของพุทธ ยกตัวอย่างง่ายๆตื้นๆ นี่ก็ของพุทธ นี่นะเอามันยังไง ยถาวารีวหา …. ก็ทำท่ากรวดน้ำอย่างนี้ก็ของพุทธนะ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนี้แต่เขาไม่รู้จริงๆนะยังอยากกรวดน้ำกัน ยถาวารีวหาปูราปาริปูเรนติ เป็นการนำคำของพระเจ้ามาด้วย เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าด้วยมาแอบอ้าง แล้วเอามาแต่งต่อใส่เข้าไปแล้วก็มาทำเป็นพิธีการ บอกว่าศาสนาพุทธอะไรวะ ไม่มีหยาดน้ำ ไม่มียถา ไม่มียถาสัพพีไม่ใช่ศาสนาพุทธ ถึงขั้นนั้นเลย คนตื้นๆเขินๆอย่างนี้มีเยอะ ใส่บาตรทำไมไม่มียถาสัพพีเลยว่ะ ท้วงเลย แต่ก่อนไม่ถึงขั้นที่ใส่บาตรแล้วพระจะมี ยถาสัพพีให้นะ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มมีมาไม่นานนี้นะ ไม่นาน ยังไม่ถึง 50 ปี หรือไม่ถึง 20 ปี ไปบิณฑบาตแล้วก็ต้องให้พรต้องสวดยถาสัพพี ซึ่งไม่ถึง 20 ปีผ่านมาอย่างว่า นี่มันคือเนื้องอก มันเป็นพวกมะเร็งศาสนาพุทธทั้งนั้น ที่พูดนี่อย่านึกว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องผิวเผินนะ มันเป็นเรื่องชี้บ่งถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธ อาตมาพูดหนักเลยนะ พูดชัดเลยว่า ยังกรวดน้ำกันอยู่ มีสิญจนยัญ มันไม่ใช่พุทธเลย มันเนื้องอกแท้ๆของศาสนาพุทธ ถือน้ำเป็นสื่อไปถึงวิญญาณล่องลอย ใช้การจุดธูปเทียนบูชาขึ้นไป จะทำพิธีกรรมเรื่องธรรมะอะไรก็ใช้ธูปเทียน มันก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธแล้ว นี่มันเครื่องชี้บ่งของความหมดแล้วศาสนาพุทธ หมดแล้วนะ ฟังให้ชัดอีกที มันไม่ใช่ ฟังอาตมาพูดชัดเจนแล้วมันแรง แล้วบอกว่าคนแสนคนนี้จะช่วยสืบทอดศาสนาพุทธไปถึง 2,500 ปีไหม คุณพูดมาก็จริง มันจะช่วยได้ไหม คนประมาณแสนคนจะสืบทอดไปถึงอีก 2,500 ปีถึง 5,000 ปีไหม อาตมาก็ว่าอาตมาจึงยังไม่ยอมตาย จะให้มันได้มากกว่าแสน ให้มันได้สักแสนกับอีก 1 คนแสนกับ 2 คน 3 คนให้ได้ เพิ่มไปอีกเท่าที่มันจะได้มากที่สุด กันเหนียวหรือว่าเผื่อพอไปเรื่อยๆ จริง เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดียว ท่านทำศาสนาพุทธมาได้จนถึงวันนี้ เรามาสืบทอดก็เป็นผู้ต่อยอด สืบทอดไปเรื่อยๆ ได้หรือไม่ได้เราก็ทำเต็มที่ อาตมาบอกแล้วพูดแล้ว ว่าอาตมาเกิดมาสืบทอด เกิดมาต่อเชื้อศาสนาพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะสืบทอดโลกุตระ ว่ามันไม่มีแล้วแล้วก็ยืนยันตามหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาณิสูตรว่า จะหมดไป โลกุตระไม่มี แล้วก็จะมี สยังอภิญญา มา อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา มา สยังอภิญญา แปลว่า เป็นผู้มีมาเอง อาตมาก็มาประกาศว่าอาตมาไม่มีอาจารย์ ชาตินี้เกิดมาไม่มีอาจารย์ แล้วเอาอะไรสอน เอาที่มีในตัวเอง มีมาจากไหน จากชาติก่อนๆ ที่อาตมามีโลกุตรธรรมแล้วจึงมาเทศน์ลงไป บรรยายลงไป มันก็ไม่เหมือนกับที่เขาหลงผิดกัน มันก็ถูกแล้วนี่ ถ้าอาตมาบรรยายอยู่เหมือนกับเขาบรรยายอยู่มันก็ไม่เสื่อมอะไรนี่ แต่นี่มันไม่ใช่ เขาไปคนละเรื่องเลย แล้วเขามาตีอาตมาด้วยว่าอาตมาผิด อ้าว มันก็ชัดเจนแล้วนี่ ว่าไอ้นั่นมันผิดแน่ ไอ้นี่ถูกแน่ ถ้าอาตมาผิดเขาถูก เขาก็เจริญอยู่ อาตมาไม่มาถึงวันนี้หรอกทำงานมาไม่ถึงวันนี้หรอก อ้างพระไตรปิฎกก็ยิ่งหักคออาตมาเองเลย มันจะไปเข้าได้ยังไง อ้างสาราณียธรรม 6 อ้างวรรณะ 9 อ้างพุทธพจน์ 7 อ้างศีล สมาธิ ปัญญา อ้างจรณะ 15 วิชชา 8 มายืนยันอธิบายให้รู้ว่า มันลงกันนะ ปฏิบัติลงกันนะ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตรัสไว้อย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ตรงกันไหม ลงกันได้ไหม มาสอบทานมาตรวจตรา มาให้คะแนนดูสิ เพราะฉะนั้นอาตมามีหน้าที่ อาตมาก็พูดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วอาตมาจะยังเกิดอยู่จะยังไม่ยอมตาย แล้วอาตมาบอกแล้วว่าอาตมาเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้แล้ว ที่อธิบายไปจนหมดแล้วยืนยัน แต่อาตมายังไม่ตาย อาตมายังจะมาสืบทอด ยังจะมาทำหน้าที่ ก็เพราะว่ามันเสื่อมจริง แล้วมันก็ฟื้นขึ้นมาได้จริง อาตมาตายไปพวกคุณก็จะเลิกปฏิบัติตามที่อาตมาพาทำไหม (ไม่) แล้วไม่ได้อย่างนี้คืออะไร..มันก็ได้แล้วนี่ อาตมาว่าพวกคุณไม่ได้พูดเล่นหรอก พออาตมาตายปุ๊บแล้วพวกคุณก็กลับไปทำเหมือนอย่างเถรสมาคมทำหมดเลย อาตมาไม่เชื่อ คุณก็ปฏิบัติเท่าที่คุณทำได้ มีหมู่มีกลุ่ม คุณจะรวมกันแน่นถ้าอาตมาตาย คือที่รวมกันแน่นเพราะเดี๋ยวจะถูกข้าศึกศัตรูตีแตกได้ นี่เป็นปฏิภาณของคนที่จะเข้าใจได้ อ้าว ก็ขยายความกันพอสมควร อธิษฐานตอนใส่บาตรเช่นไรให้สัมมาทิฏฐิ _เช้าๆ ก่อนใส่บาตร คนแก่จะอธิษฐานว่า นิพพานปัจจะโย โหตุ ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร เรียนถามพ่อครูว่า จะบอกให้เขาอธิษฐานใหม่ว่าอย่างไร จึงเป็นสัมมาทิฏฐิคะ? พ่อครูว่า… ตอบประเด็นที่ถามมา … ถ้าให้อาตมาบอกเขาอาตมาก็จะบอกว่า อธิษฐานแปลว่า ตั้งจิต คุณตั้งจิตเสร็จแล้วคุณก็พูดตามที่คุณตั้งจิตนั่นแหละพูดเป็นภาษา แล้วคุณพูดคำว่าอธิษฐานคือ การตั้งจิตเริ่มต้นคุณก็บอกว่า “ขอ” นั่นคือไม่ใช่อธิษฐาน นั่นคือเป็นศาสนาเทวนิยม มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพระเจ้า มีผู้บันดาล ขอให้ผู้บันดาล ให้สิ่งนั้น อันนี้ให้อะไรนิพพานปัจจัยให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุนิพพาน ขอให้การใส่บาตรนี้ เป็นปัจจัยแห่งการบรรลุนิพพาน คุณใส่บาตรเป็นทาน ทานอาหารให้พระเอาไปรับประทานหรือฉัน เลี้ยงขันธ์ เลี้ยงชีวิต สืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า ฟังดีๆอาตมาจะอธิบายละเอียดลงไปลึกหน่อย คุณให้อาหารแก่ผู้ที่ปฏิบัติผิดมิจฉาทิฏฐิ พระนั่นแหละ มิจฉาทิฏฐิ คุณให้อาหารพระมิจฉาทิฏฐิ สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า พระที่ได้รับการให้อาหารก็ไปประพฤติมิจฉาทิฏฐิผิดต่อไปสืบทอดศาสนาพุทธ ถามจริงๆว่าคุณได้บาปหรือได้บุญ (บาป) นี่ลึกๆหน่อย ฟังดีๆ ทีนี้จะให้คนไปรู้ว่าแล้วพระที่ผิดหรือไม่ผิดนี่ เขาก็ไม่สามารถรู้ได้ ชาวบ้านทั่วๆไปก็รู้ไม่ได้ จะทำยังไง อันนี้เป็นประเด็นที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมด คุณก็ดูตามปฏิภาณของคุณว่า พระนี้น่าจะเป็น สาวกสังโฆ เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านะ ดูน่าเคารพ ดูตามปฏิภาณตัวเอง เห็นแล้วว่า เออ ใช่พระ แต่เห็นแล้วว่า โอ้โห ขออภัยพูดชัดๆ พระมานั่งคอยเฝ้าร้านใส่บาตร หรือรับแต่เงิน อย่างนี้ก็คัดทิ้งไป จะไปใส่ทำไม นี่พูดหยาบๆชัดๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีความสำรวมมาบิณฑบาตคือ มาแสดงธรรมไม่ได้ลอกแลก ไม่ได้อยากได้อะไร แต่ใครอยากจะศรัทธาเลื่อมใสก็มาใส่เอง อะไรพวกนี้ อาตมาอธิบายไม่หมดแต่เขียนเรื่องบิณฑบาตเป็นหนังสือเล่มไว้ เพราะฉะนั้นแค่พฤติการณ์พฤติกรรมของภิกษุ มันก็มีนัยยะสำคัญที่อธิบายกันได้เยอะแยะ เพราะฉะนั้นจะไปถามถึงว่า ใส่บาตรนี่เป็นเหตุปัจจัยที่จะไปถึงนิพพานได้ไหม ได้ ถ้าคุณทานตรงตามคำสอนหรือว่าอนุสาสนี ทานอย่างไรทานอย่างไม่มี สาเปกโข นี่ได้เลย ได้เป็นเหตุปัจจัยได้มรรคผล คุณทำใจในใจ มนสิการ ทำทานก็ทำอย่างไม่มีจิตว่าต้องการสิ่งตอบแทน อย่าว่าแต่ไปเอาพยัญชนะว่า ขอให้ได้นิพพาน ไม่ต้อง จิตว่างเปล่าจากการต้องการสิ่งตอบแทน นั่นคือ ทานที่มีอานิสงส์สูงที่สุด เพราะฉะนั้นต่อจากนั้นก็มีอะไรอีก ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ ก็เป็นทานที่ยังไม่มีอานิสงส์สูง ยิ่งไม่มีอานิสงส์ไปเรื่อยๆ เอาไว้ให้เป็นผลที่จะไปสำหรับให้ผู้ตายไปชาติหน้า หรือตัวเองไปในชาติหน้า มันไม่ได้เรื่องอะไรเลย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว คุณเข้าใจแล้วนี่ จะทำทานใส่บาตรหรือจะทำทานอะไรก็แล้วแต่เป็นวัตถุ คุณก็จะมนสิการ มีปัญญา รู้ว่าจะทำใจในใจอย่างไร พูดไปแล้วอธิบายไปแล้ว จะเป็นเหตุปัจจัยให้ไปนิพพาน จิตของคุณทำทานอย่างว่างเปล่า ทำทานอย่างไม่ต้องการอะไรอีกเลย แม้แต่สวรรค์นิพพานที่เป็นภาษา เป็นตัวเป็นตน เป็นรูปธรรม อรูปธรรมก็ไม่มี นั่นคือ ทำทานด้วยจิตว่าง ทำทานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทานคือให้แล้วจบเลย นั่นดีที่สุด จะว่าเป็นนิพพานไหม นี่แหละนี่แหละ ถ้าฝึกจิตมนสิการได้อย่างนี้ เป็นเหตุปัจจัยให้ถึงนิพพานอธิบายรายละเอียดจนสุดแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี่แหละคือศาสนาพุทธ _สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ลูกเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่มอไซร์พ่วง ไปกดเงินให้พี่ชายที่ตู้เอทีเอ็ม ที่อยู่ห่างหมู่บ้านลูกประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นช่วงเวลา 17.30 น. ลูกมองไม่เห็นตอไม้ พ่อครูว่า… ไม่เห็นตอไม้ทำไมไปชนถูก… เป็นมุก นี่เป็นภาษาสิริมหามายา ก็ไม่เห็นตอไม้ก็เลยชนถูก อ้าวจะชนให้ถูกมันต้องเห็นสิ ไม่เห็นจะไปชนถูกได้ยังไง นี่ ภาษาสิริมหามายา _รถพ่วงชนตอไม้ จนรถพลิกคว่ำ ลูกตกใจมาก จิตลูกระลึกถึงพ่อครูค่ะ ลูกพูดว่า พ่อครูช่วยลูกด้วยๆ เสียงหัวใจก็เต้นตุ๊บๆ ลูกตั้งสติบอกตัวเองว่า เรามาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เราไม่เป็นอะไรหรอก ลูกกราบเรียนถามพ่อครูว่า คิดแบบนี้ลูกสาเปกโขไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ พ่อครูว่า… มันเป็นปฏิภาณปัญญาที่เรียนรู้แล้วก็ระลึกว่า อย่างนี้เรียนรู้แล้วมันเป็นไปเพื่อที่จะหวังอะไรตอบแทนอะไรไหม มันก็มีบ้าง มีระลึกถึงผู้สอนอย่างนี้ ผู้ทำความเข้าใจให้เราอย่างนี้ แล้วเราทำถูกตามที่สอนหรือไม่ยังไง จริงๆถ้าเข้าใจอยู่แล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ที่ถามมานี่ก็ถามเพื่อความแน่ใจว่า เราอ่านอาการของจิตของเรายังไม่ชัดว่านี่เราขอหรือเปล่า เรามีความหวังเพื่อจะให้ได้พึ่งหรือเปล่า ที่จริงแล้วธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่มีอะไรใครช่วยใครหรอก มีแต่ตนเองช่วยตนเอง อัตตาหิ อัตโนนาโถ โกหินาโถ ปโรสิยา ตนของตนพึ่งตนเอง ไม่มีใครเป็นที่พึ่งเราได้ โกหินาโถ ปโรสิยา พึ่งตัวเองเท่านั้นเป็นที่สุด แต่มีคำสอนของผู้ที่รู้แล้วสอนอะไรสอนให้คุณพึ่งตนเอง สอนให้คุณรู้ว่าไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งของคุณได้หรอก เป็นภาษาสิริมหามายาก็คือ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสูงสุดของเรา ภาษากลับกัน ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งนอกจากตัวเรา แต่พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสูงสุดของเรา คำสอนของท่าน แล้วเราปฏิบัติจริง เราปฏิบัติได้ถึงขั้นว่า ก็เราต้องพึ่งตัวเองนั่นแหละต้องระมัดระวัง มีสติสัมปชัญญะปัญญา ทุกอย่างเกิดจากตัวเราเองทั้งนั้น ทำแล้วเราเข้าใจปฏิบัติได้ตามที่เราเป็น มันเกิดผลยังไง ก็คือเราเป็นอย่างนั้น ตามที่เรามีปฏิภาณปัญญาและพลังงานจริง มันช่วยเราทำให้เราทำสำเร็จเป็นอย่างนั้น ปฏิบัติหรือประพฤติได้เป็นอย่างนั้น กระทำอย่างนั้นได้ หกคะเมนตีลังกาอย่างนั้นได้อะไรก็ตาม หรือว่าคุณจะทำการช่วยคนอื่น การสร้างสรรค์ การประกอบการอะไรทุกอย่าง ทำการทุจริตหรือสุจริต ก็คุณนั่นแหละเป็นตัวเจ้าของ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก กรรมจึงเป็นที่สุด ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนเรื่องกรรม จบด้วยกรรม มีอะไรสูงสุดอยู่ที่กรรม ไม่มีอื่นเลย กรรมรวมทุกอย่างอยู่ในกรรมหมด เมื่อตรงเมื่อถูกก็สมบูรณ์แบบ _สู่แดนธรรม… วันนี้ผมสังเกตดูว่า ถ้าคุณสว่างแสงมีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็พิจารณาถึงธรรมบ่อยๆ เป็นเหมือนสิ่งที่ยืนยันว่าพวกเราชาวอโศกมีสติอยู่กับธรรมะ ใคร่ครวญธรรมะอยู่เรื่อยๆนะครับ เด็กๆของเราผมคิดว่าคงจะมีเหมือนกันนะครับ เวลามีทุกข์อะไรกระทบกระเทือนใจเขาก็จะพยายามใคร่ครวญถึงธรรมะ พ่อครูว่า… มีสิ นี่ค่อยๆปฏิบัติไปอย่างที่พูดมานี่ มันเข้าสู่จุดสำคัญ ที่ปฏิบัติแล้วมีมรรคมีผล มันมีจริงๆ มันก็เป็นการยืนยันอธิบายรายงานมรรคผลของแต่ละคนมา อย่างคุณสว่างแสง พูดมานี่ก็ถูกต้องของตัวเอง ก็มาเทียบเคียงตรวจสอบกับธรรมะพระพุทธเจ้า อธิบายไปแล้ว ถ้าชาติหน้าอยากเกิดเป็นผู้ชายต้องทำเช่นไร _Krathin Sukdee กระถิน สุขดี . กราบเรียนถามพ่อครูว่า ถ้าชาติหน้า อยากเกิดเป็นผู้ชาย จะต้องทำอย่างไรคะ หากโยมได้เกิดเป็นผู้ชายจะขอบวชกับชาวอโศกเจ้าค่ะ พ่อครูว่า… มาพูดกันตรงที่ว่าถ้าชาติหน้าอยากเกิดเป็นผู้ชายจะต้องทำอย่างไรค่ะ ถ้าคนที่เป็นผู้หญิงจะเกิดเป็นผู้ชายได้ ต้องมีธรรมะอันเป็น ปุริสภาวะ กันจริงๆ เพียงพอ จะเกิดได้ อันนี้เป็นประเด็นที่มีผู้หญิงไปทูลถามพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสเรื่องว่าอยากเกิดเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่าผู้หญิงก็บรรลุอรหันต์ได้ ก็จึงได้อนุญาตให้ผู้หญิงมาปฏิบัติแล้วก็มีภิกษุ ภิกษุณีขึ้นมา ประเด็นที่จะเกิดมันเป็นเรื่องอจินไตยที่ยากมากเลย จะเกิดเป็นผู้ชาย อาตมาก็เคยอธิบายไปบ้างแล้ว คุณต้องสั่งสม เคยอธิบายละเอียดลออว่า อย่าดัดจริตเป็นผู้ชายทั้งๆที่คุณเกิดมาทั้งที่ร่างนี้เป็นผู้หญิง ถ้าคุณดัดจริตทำแข็งๆคนก็เห็นว่ามันเป็นกระเทย ไอ้พวกนี้มันทอมนี่หว่า อธิบายง่ายๆไม่ขยายความมากนะ มันก็ไม่ตรง มันก็ไม่เข้าท่า สำคัญคือ จิตของเราต้องทำให้มีธรรมะเป็น ปุริสธรรม เป็นธรรมะที่เป็นบุรุษ บุรุษนี้คืออย่างไร อิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ ปุริสภาวะ คือลักษณะเพศชาย อิตถีภาวะ คือลักษณะเพศหญิง เพศชายคือ ลักษณะที่อธิบายกันตื้นๆง่ายๆ คือไม่ได้เป็นคนไม่รู้แล้ว ตุ้งติ้งๆไอ้โน่นไอ้นี่ไม่รู้จักรู้แล้ว ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น วนเวียน นั่นแหละคือ อิตถีภาวะ ในภาวะพื้นๆง่ายๆ อย่าไปทำให้มันวุ่นวายมาก เป็นเรื่องที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง อ้าว คนนี้เขามีลักษณะ อิตถีภาวะเยอะเราก็ไม่ต้องไปตอแยมาก ไม่เช่นนั้นมันก็จะตอแยกันไปมา เราก็จะกลายเป็น อิตถีภาวะ ไปด้วย นั่นเป็นลักษณะที่ 1 ลักษณะที่ 2 ปุริสภาวะ ท่านเรียกว่า เอกธรรม หรือเอกบุรุษ คือเป็นธรรมะที่รู้จัก 1 ทำความเป็น 1 ได้สำเร็จ ถ้าธรรมะเป็น 2 เรียกว่าคู่ เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ยังต้องพึ่งคู่ ยังผูกพันกับคู่ จะต้องมีคู่ ยังต้องมีคู่ พวกนี้คือ อิตถีภาวะ ทั้งนั้น ถ้าผู้ใดที่เลิกคู่ เดี่ยว จนกระทั่งสำเร็จ ไม่ต้องมีคู่ ไม่ว่าจะทำงาน ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ที่สุดถึงขั้น ต้องเสพรสคู่ ผู้ทำสำเร็จคือ เอกะ ฉะนั้นจะเป็นผู้หญิงก็ทำ เอกะ ไม่ต้องเสพสัมผัสเมถุนกับผู้ชายอีกแล้วได้ ผู้นี้เริ่มต้นสะสมความเป็นเอกบุรุษ ตอบคำถามแล้วนะ ทำยังไงเป็นผู้ชาย _สู่แดนธรรม… บางอย่างพ่อท่านเคยสอนไว้ว่า ถ้าชาติหน้าเราเกิดเป็นผู้ชายมันช้าไป พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าตรัสก่อน ก็บรรลุอรหันต์ชาตินี้ให้ได้ _สู่แดนธรรม… ชาตินี้เป็นผู้แพ้อย่างพ่อท่านได้ นั้นคือลักษณะผู้ชายใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ผู้หญิงรู้ว่าตัวแพ้ผู้ชายนะ แต่ไม่ยอมแพ้ นี่ก็เป็นอารมณ์ผู้หญิง ที่ประกอบอยู่ อยู่เมืองพุทธเมืองพรหมนั้นดีเหลือแต่ทำให้มีอรหัตตผล _ใบแพร นาวาบุญนิยม… พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ คำว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ได้ยินจนคุ้นหู ท่องจนขึ้นใจ เพราะเป็น ทฤษฎี แต่พอเจอภาคปฏิบัติก็ไม่ธรรมดาเลย ถ้าไม่ได้เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อต้นๆ เดือนที่ผ่านมาได้เป็นผู้ว่าราชการ (เป็นหวัด โรคหวัดก็มีหลายสายพันธุ์ ตามที่ได้รับรู้มา มีหวัดร้อน หวัดเย็น หวัดใหญ่ หวัดธรรมดา แต่บางหวัดก็ไม่ธรรมดา เล่นกับเราแรงๆ แต่ก็ยังสรุปไม่ได้หรอกว่า โรคหวัดแข็งแรง หรือว่าร่างกายของเราไม่แข็งแรง เป็นหวัดเขาบอกให้ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนเยอะๆ ก็ปฏิบัติตาม ไม่สนใจว่าจะกลางวันหรือกลางคืน นอนกับนอน ไม่หิว ไม่อยากอะไร รู้แต่ว่าปากขมถึงคอ ยาที่กินก็สมุนไพรที่เราผลิต เกือบยอมแพ้ สมุนไพรไม่ได้เรื่อง ยาฝาหรั่งน่าจะดี แต่ด้วยเป็นคนที่ไม่ชอบกินยา ทั้งยาไทย ยาเทศ สุดท้ายก็สมุนไพร เอาอยู่ ปกติชีวิตประจำวันก็ไม่ได้เจ็บป่วยถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อบ่อยนักอายุจะขึ้นเลข ๗ แล้ว นับได้ไม่ถึง ๑๐ ครั้งหรอก เคยได้ยินบางคนพูดว่า ตายไม่กลัว แต่กลัวเจ็บ กลัวปวด กลัวความทรมาน แต่ชีวิตเราโชคดีที่ได้มาปฏิบัติธรรม ได้เรียนรู้ กายนอก กายใน จึงแยกแยะได้ถูก ปล่อยวางได้เป็น (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… วันนี้พ่อท่านจะมาเทศน์ส่งท้ายนะครับ พ่อครูว่า… ไม่ไหวจริงๆ วันไหนที่มีแรงก็จะมาเทศน์ นี้ก็พูดไปแล้วเป็นวันสุดท้ายที่จะมาเทศน์ตามเวลา ต่อไปก็จะเทศน์ตามรายสะดวก ทั้งนั้นแหละทั้งสภาพสังขารร่างกายกับความเจตนารมณ์ที่ควรจะเทศน์ ก็ค่อยว่ากันบอกกัน เพราะฉะนั้นพวกเราก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่นา จัดเตรียมให้ใครเทศน์ อาตมาจะเทศน์ พวกคุณจะเทศน์ร่วมก็ได้ไม่เทศน์ร่วมก็ได้ อย่างวันนี้เอาเก้าอี้มา มาก็นั่งโต๊ะยาวอยู่คนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร _จากที่จะต้องทนทุกข์ เวทนาในกายสังขาร กลับเกิดเป็น สภาวะธรรมสังเวช ในกายสังขาร ที่นับวันจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เกิดความสลด หดหู่ใจ ถ้ากายขันธ์ต้องตายไป พ่อครูว่า… ไม่ต้องสลดหดหู่ ถึงแม้ว่าคุณจะเคยทำชั่วมาก็ตาม แต่ถ้าทำใจได้ดี ยิ่งเราเรียนมาแล้ว เข้าใจแล้ว ทำใจอย่างนี้ได้ ยิ่งเป็นเหตุปัจจัยให้แก่เรานี่แข็งแรงมากเลยนะ ที่จะมีช่วงพัฒนาต่อไปในจิตวิญญาณหรือว่าจิตนิยามของเราที่จะต่อขันธ์ที่มันเรายังไม่จบมันก็จะต่อขันธ์ไปอย่างมีพลัง อย่างมีปัญญาอย่างมีความรู้ _แต่จิตวิญญาณยังเต็มไปด้วย กิเลส ตัณหา เราก็ต้องกลับมาเกิดอีกชาติแล้วชาติเล่า พ่อครูว่า… แน่นอนเป็นการศึกษา ใบแพรพูดอย่างนี้ได้เพราะเข้าใจ สรุปคงได้ จะตายแล้วนะแต่ยังไม่หมดกิเลสเลยสลดหดหู่ใจ เวลาเจ็บป่วยก็เหมือนยมทูตมาเตือนไม่ให้ประมาท ไม่ให้หลงระเริงยินดีไปกับสิ่งรอบกาย _ เวลาเจ็บป่วยก็เหมือน ยมทูตมาเตือน ไม่ให้ประมาท ไม่ให้หลงระเริงยินดีไปกับสิ่งรอบกาย ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ก็เป็นผู้ที่ได้สั่งสมบารมีมาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ต้องไปรับทุกข์อะไรมากมายเหมือนอย่างชาวโลก ชาวโลกีย์ พ่อครูว่า… อันนี้ก็พูดอย่างคนเข้าใจไม่ต้องไปรับทุกข์เหมือนชาวโลกีย์ ชาวโลกีย์ไปหลงแย่งชิงกัน จะเป็นไบเดน จะเป็นปูติน จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่จะเป็นดาราเตะบอล เป็นดาราแอนโทเนีย โฟร์ซิล อะไรพวกนี้ก็ตาม ระเริงอยู่อย่างนั้น หลงระเริงอยู่ เขาก็ยังหลงอยู่อย่างนี้ แล้วเขาก็จะเวียนเกิดเวียนตายอยู่กับไอ้ความหลงบ้าๆบอๆ ที่ไม่รู้จักจบพวกนี้ไป มันน่าได้ น่ามี น่าเป็น เขาก็ไม่มีไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ได้อยากจะไปเป็นปูติน อยากจะไปเป็นไบเดน อยากจะไปเป็นแอนโทเนีย อยากจะเป็นดาราเตะบอล เป็นใครก็แล้วแต่ แม้แต่ที่สุดอยากจะเป็นปราชญ์ อยากจะเป็นผู้รู้ แต่อยากเป็นปราชญ์ อยากเป็นผู้รู้หรืออยากเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังดี อยากมาเป็นอย่างนี้ก็ยังเข้าท่า ก็ตีทิ้งไอ้ที่อยากโลกๆ อย่างที่เป็นปูตินก็ดี ไบเด็นก็ดีหรือใครๆก็ดีหรือแม้แต่แอนโทเนียอยากเป็นปราชญ์อยากเป็นพระพุทธเจ้าก็ยิ่งดี อยากแล้วก็ต้องเข้าใจว่าแล้วเราจะทำเหตุอย่างไรมาถึงจะถึงผลของความเป็นพระพุทธเจ้าหรือความเป็นปราชญ์แบบนี้เราก็ต้องศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิว่าเหตุก็ต้องตรงต้องถูก เหตุทำอย่างนี้ได้ผลก็ต้องถูกแน่ เหตุสมบูรณ์เต็ม ผลก็คือเหตุที่สมบูรณ์นั่นแหละ ที่เราทำสำเร็จ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้เราก็ทำอะไรก็สำเร็จตามที่เราเข้าใจ เอาต่อ _ได้มาอยู่เมืองพรหม เมืองพระโพธิสัตว์ พ่อครูว่า… เมืองพรหมคือเมืองที่สะอาด พรหมคือความบริสุทธิ์ความสะอาดหรือพระเจ้า พระเจ้าในความหมายของศาสนาเทวนิยมก็คือผู้ที่ไม่รู้อำนาจจิตใจ ไม่รู้อัตตา แต่พระเจ้าหรือพรหมของพุทธนั้นคือผู้ที่บริสุทธิ์จากกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสว่าเรานี่แหละคือผู้ที่เป็นพรหมธรรม เป็นผู้มีธรรม พรหมธรรม หรือธรรมกายอะไรอย่างนี้เป็นต้น ถ้ารู้ภาษาดีแล้วจะเรียกว่าพรหมธรรมก็คือ มีธรรมอันบริสุทธิ์จากกิเลสเป็นธรรมกาย ก็คือมีความรู้สูงขึ้นไปอีกถึงขั้นว่ากายคืออะไร แล้วกายเหล่านั้นเป็นกายที่เป็นพรหม เป็นกายที่บริสุทธิ์จากกิเลส กายคือความเป็นภายนอกกับภายใน กายคือจิต ถ้าไม่มีจิตไม่ใช่กาย และคนปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็จะต้องมาทำจิตไม่ให้มีกาย จะสลับกันแล้ว ในขณะที่คุณเป็นจิตวิญญาณ คุณก็ต้องทำจิตของคุณ อย่าให้มีกาย คุณทำให้ไม่มีกายได้ คุณก็ไม่มีเวทนา แล้วไม่มีเวทนาที่เป็นเวทนาทุกข์ สุข คุณไม่มีกาย คุณไม่มีทุกข์สุข เป็นลักษณะของพีชนิยาม เป็นลักษณะของพืช พืชไม่ทุกข์ไม่สุข คุณทำใจในใจให้เป็นพืชได้นั่นคือฐานอรหันต์ เป็นพฤติกรรมของผู้ที่ทำใจในใจถึงขั้น ถ้าทำได้อย่างเด็ดขาดคือจบกิจ ก็นั่นแหละคือเป้าหมายของศาสนาพระพุทธเจ้า ที่เรียกใช้คำว่าจบกิจ อรหันต์ทำจิตใจไม่สุขไม่ทุกข์ทำจิตใจเป็นพืชได้ ทั้งๆที่เป็นจิตนิยาม เพราะฉะนั้นจิตนิยามของพระอรหันต์คือ จิตที่สูงส่ง เพราะจิตอรหันต์คือจิตเป็นพรหมจิตที่บริสุทธิ์สะอาดไม่สุขไม่ทุกข์เป็นจิตที่ไม่มีกิเลสถาวรแล้ว เพราะฉะนั้นได้อาศัยไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยและเป็นจิตที่ประเสริฐเป็นจิตไม่สุขไม่ทุกข์ คนทั้งหลายที่ยังหลงงมงาย ที่ยังมีบาปมีบุญยังมีสุขมีทุกข์นี่แหละ ตัวนี้แหละ เพราะฉะนั้นเมื่อพ้นสุขทุกข์แล้วนี่จะรู้เลยว่าจิตคือ อนัตตา จิตคืออนัตตา ไม่ใช่ตัวตนหรอก เพราะหมดสุขหมดทุกข์แล้วนี่ อ๋อ หมดสุขทุกข์แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็หมดยึดถือ จิตก็ไม่เป็นจิตแล้ว จิตก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมไป เพราะจิตเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ผู้เป็นอรหันต์ทำจิตเป็นอนัตตาได้แล้ว ไม่เป็นอัตตาแล้ว ทำได้แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อทำได้แล้ว คุณจะตายด้วย สุญญตนิพพาน จะตายด้วย อนิมิตนิพพาน จะตายด้วย อัปนิหิตตนิพพาน คุณก็เลิกเลย ก็จบ ถ้าตายด้วยนิพพาน 3 แต่ถ้าคุณยังไม่ตายด้วยนิพพาน 3 คุณจบแล้วนะ เป็นอรหันต์อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาพูดได้ เพราะอาตมามีธรรมะอันนั้นแล้วจึงเอามาอธิบายได้ ยืนยันไว้ไม่ผิด สุญญตนิพพาน อาตมาทำได้ แต่อาตมาตั้งจิตยังไม่ตาย ยังไม่จบ อาตมาตั้งปณิธานเพิ่มอย่าว่าแต่ 0 เลย จะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นจริง อาตมาก็พูดความจริงสู่ฟัง นี่ก็อธิบายขยายความไปไกลลึกนะ _ลักษณะของเมืองที่เวลานอน ไม่ต้องใส่กลอนประตู เวลาไม่อยู่บ้านก็ไม่ต้องล็อคกุญแจ พ่อครูว่า… เป็นเมืองพรหมจริงๆ _สู่แดนธรรม… สมบัติบนบ้านไม่ค่อยหายหรอกครับแต่จอบนี่หายบ่อย ซื้อแล้วซื้ออีก พ่อครูว่า… แสดงว่าพวกเราเป็นกสิกรกัน _เวลากินก็มีอาหารลอยมาเต็มตู้ เหมือนเป็นอาหารทิพย์ อยากกินเผือกๆ ก็มา อยากกินมันๆ ก็มี เหมือนเป็นแก้วสารพัดนึก มีให้กินทุกอย่าง อุดมสมบูรณ์ พ่อครูว่า… ไม่ได้มีทุกอย่างหรอก อยากกินเย็นตาโฟคุณก็ต้องไปซื้อข้างนอก ก๋วยเตี๋ยวยังทำบ้างแต่เย็นตาโฟไม่ได้ทำ หรืออยากกินฮอทดอกไม่มี ฮอทดอกที่นี่ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น ไม่ทุกอย่างหรอก แต่เราเห็นว่าขนาดมีเท่านี้ก็มากมายเหลือหลาย อุดมสมบูรณ์ _อยากอาบน้ำ ดื่มน้ำ น้ำ ก็ไหลมา เทมา ไม่ต้องไปซื้อ ไปหา ไปหาบ ไปคอน ชีวิตแสนสุขสมนั่งชมวิหค พ่อครูว่า… อาตมาเคยพูดถึงเรื่องน้ำ ที่บ้านราชไม่เดือดร้อนเรื่องน้ำเลย ต่อท่อตั้งแต่ตรงโน้นถึงตรงนี้ กิน อาบดื่มน้ำแร่เลย จริงๆไม่ใช่น้ำธรรมดา เพราะว่ามันมีบ่อน้ำแร่ เขาต่อสายสูบลงไปถึงใต้ดินต้นทางที่น้ำมา ที่เราเอาน้ำนี่มาใช้ ไปตรวจได้เลยเอาไปตรวจ _สู่แดนธรรม… เข้าห้องน้ำก็เป็นน้ำล้างส้วม พ่อครูว่า… น้ำล้างส้วมก็เป็นน้ำแร่ น้ำก๊อกที่ส้วมดื่มได้สบายเพราะเป็นน้ำแร่ นอกจากน้ำที่จะใช้รดพืชผักพืชพันธุ์ธัญญาหาร เราต้องดูดเอามาจากคลอง เพราะน้ำแร่มันไม่เหมาะสมเพราะธาตุอาหารมันสู้น้ำคลองไม่ได้ ถ้าจะทำกสิกรรมจะต้องมีท่อน้ำดูดมาจากคลองต่างหาก มันมีใช้สมบูรณ์แบบว่างั้นเถอะ คิดละเอียดๆดูดีๆอย่างใบแพรเขาร่ายมานี่ มันสุดยอดเมืองพรหม เมืองสวรรค์จริงๆนะ _เหลือแต่อยากเป็นอรหันต์ให้กันไม่ได้ ต้องปฏิบัติเอาเอง เวลาอยู่เงียบๆ จะเห็นภาพพระโพธิสัตว์ ที่มีแต่ความเบิกบาน แจ่มใส แม้กายสังขารของท่านจะเกิด เวทนา บ่อยๆ จนต้องเอ่ยออกมาทางวาจา ว่าไม่ไหวแล้ว หลายครั้ง แต่ด้วยท่านเป็นผู้ที่อยู่เหนือโลกแล้ว (โลกอบาย โลกธรรม โลกอัตตา) ท่านจึงไม่มี ธุลีหมอง มีแต่ความเบิกบาน แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา แม้กายธรรมท่านก็สอนลูกๆ อยู่เสมอ ให้เป็นผู้รู้ ตื่น เบิกบาน พ่อครูว่า… กายขันธ์ของอาตมาจะว่าไปแล้ว มันหมอง มันเหี่ยว มันเสื่อม มันโทรม มันเสื่อม กาย ร่างกาย ร่าง บอดี้ สรีระไม่ใช่ “กาย” ต่างกันนะ สรีระกับ กาย กายหมายถึงจิตเป็นหลักแต่มีภายนอกด้วย ถ้าร่างไม่มีจิต สรีระไม่มีจิตร่วม ต้องเข้าใจให้ชัดถ้าสัมมาทิฏฐิไม่ได้ มิจฉาทิฏฐิร่างปนอยู่กับกาย โดยเฉพาะทุกวันนี้ยืนยันได้เลยแม้แต่พจนานุกรมบาลีก็แปล สรีระร่างกายผิด ต้องเป็นสรีระร่างอย่างเดียวไม่ใช่มีกาย กายต้องมีจิตร่วมด้วย เพราะฉะนั้นพจนานุกรมบาลีผู้ที่แปลสรีระว่าร่างกายนี่ คนผู้นี้ยังไม่สัมมาทิฏฐิแม้แต่คำว่ากาย ผิดตั้งแต่คำว่ากาย แปลไม่ได้ สรีระไม่ได้แปลว่าร่างกาย สรีระแปลว่าร่างเท่านั้น เอากายเข้าไปต่อ แสดงให้เห็นเลยว่า คุณยังไม่สัมมาทิฏฐิคุณยังไม่พ้นมิจฉาทิฏฐิใน สักกายทิฏฐิ กายคำแรก _สู่แดนธรรม… เขาอาจจะหมายถึงร่างของคนเป็นอยู่ก็ได้ครับ พ่อครูว่า… ไม่ๆๆ ร่างคนเป็นก็ช่าง ร่างของคนเป็นก็ต้องแสดงถึงความเป็นร่างเท่านั้น สรีระไม่มีจิตร่วม ต้องชัดเจนตรงนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็เลอะเทอะกันไปใหญ่เลย มี insert พจนานุกรม สรีระเขาแปลว่าร่างกาย สรีระต้องแปลว่าร่างเฉยๆ , สรีรยนต์ เครื่องยนต์คือร่างกาย นี่ก็ผิดอีกเพราะเข้าใจกายผิดแล้วก็เลยขยายความต่อจากสรีระเป็นกายหมด ผิดหมด จะใช้คำว่ารูปร่างก็ได้ ในรายละเอียดพวกนี้มันมีความยาก _ขอจบด้วย ปัจฉิมโอวาท ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปรินิพพานว่า สังขาร ทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลาย จงยัง ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ ประมาทเถิด ขอกราบค่ะ พ่อครูว่า… เป็นคำตรัสที่รวมให้รู้ทุกอย่าง สังขารเป็นตัวที่ 1 ของอวิชชาในปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาท เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร เพราะฉะนั้นสังขารที่เกิด เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร เพราะฉะนั้นสังขารที่เกิดเพราะอวิชชา หรือด้วยอวิชชา คนผู้นี้ก็คือผู้ที่ยังไม่รู้จักสังขาร เป็นผู้ที่จัดการกับสังขารไม่ได้ ไม่รู้จักเหตุที่จะดับสังขาร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้จักเหตุที่จะดับสังขาร สังขารก็เป็นปัจจัยมีปัจจัยเป็นวิญญาณ ก็คือจิต วิญญาณหรือจิตหรือธาตุรู้ของคน เพราะฉะนั้นอวิชชาอยู่ สังขารก็มีอวิชชาไม่รู้ มันก็มาเป็นวิญญาณ วิญญาณด้วยอวิชชา วิญญาณที่ยังไม่มีความรู้ วิญญาณก็เข้าใจเละเทะไปหมด วิญญาณคือธาตุรู้ที่ต้องมีกาย วิญญาณคือธาตุรู้ต้องมี 2 สภาวะเป็นอย่างน้อย ปรุงแต่งกันเรียกว่าสังขาร ต้องมีอย่างน้อยมี 2 มีภายนอกภายในหรือมีกายกับจิต จะเรียกว่ามีร่างกับจิตก็ได้ แต่เป็นคู่กันจริงๆนะ คือหมายความว่ามี Body แล้วก็มีจิตที่รู้ร่วมกัน Body คือร่าง สรีระ เพราะฉะนั้นแยกวิญญาณให้ได้เป็น 2 คือนามกับรูป เป็นปัจจัยของวิญญาณ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ศึกษาเรื่องนามรูป ก็จะอาศัยซึ่งกันและกันไปตลอด นามรูปอาศัยกันเป็นวิญญาณ ฉะนั้นพอเป็นวิญญาณ ก็มีร่าง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอกเรียกว่า กายภายนอก กายภายนอกก็จะมีกาม มีกามเป็นกิเลสเจ้าเรือน ผู้อวิชชาทั้งหมดไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักภายนอก กายหรือกามภายนอกไปหลงว่ากามมีคุณ เสพกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) 5 เสพกามติดกาม ไม่รู้จริงๆหรือแม้รู้แล้วด้วยพยัญชนะรู้ด้วยบัญญัติ รู้ด้วยคำสอน แต่จิตของเราก็ยังติดอยู่ เสพติด มีอัสสาทะ มีรสอร่อย มีต้องได้ ต้องมี ต้องเป็นอยู่ เช่น มหาบัวเป็นต้น ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ภายนอก แค่ติดในรสของสิ่งเสพติด ไม่ใช่กวฬิงการาหารด้วยซ้ำ กินหมากพลูไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ กวฬิงการาหาร แล้วก็เสพติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) มันโดยเฉพาะ ไม่ใช่อาหาร ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปกิน แต่ไม่มีความรู้ถึงการเสพติด ไม่มีความรู้เรื่องกาม ก็มีกามคุณ 5 นี่อยู่ ตลอดชีวิต ตั้งแต่ติดมาจนกระทั่งตาย ไม่รู้ว่าตอนตายเขาใส่พานใส่อะไรไปให้ไหม (โยมว่า..เขาทำอยู่แล้ว) คุณไปเดา เขาอาจจะไม่ทำก็ได้ แต่เชื่อกันว่าน่าจะทำ นี่เป็นความไม่รู้ แม้แต่แค่ กาม เป็น กามาทีนวะ เป็นโทษไม่ใช่เป็นคุณ มันก็ไม่รู้ยังเสพยังติดอยู่ในชีวิตตลอดจนตาย ก็ไม่รู้แล้วก็ไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะว่าเราเสพเราติดกิเลสพวกนี้ ไม่มีเลยหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่อายต่อกิเลส เสพกาม ต่อหน้าต่อตาพวกคุณเฉย เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ขออภัยนะที่อาตมาต้องเอามหาบัวมาอธิบายใช้เป็นเหตุปัจจัย ที่จะขอเป็นตัวอย่าง เพื่อที่จะยืนยันอธิบายธรรมะ ก็ขอบคุณมหาบัวที่ไม่ได้อนุญาตหรอก แต่อาตมาบังอาจเอาเองหยิบมา เพราะมาอธิบายแล้วเป็นคน Popular เป็นคนที่รู้จักกันดีไง แต่ท่านก็ทำสิ่งที่ผิดถือว่าหลอกก็หลอก คือเป็นความไม่ถูกต้องก็ทำให้คนเข้าใจผิด เสียหายไปถึงศาสนาไปถึงคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะท่านเป็นตัวแทนท่านเป็นนักบวช ของพุทธศาสนา เป็นภิกษุและสอนผิด หลอกให้คนหลงผิดตาม แล้วมันก็พาให้ เต็มเลยนี่ ลูกศิษย์ลูกหา ผิดตามไปกันมากกว่าอาตมา อาตมามีลูกศิษย์น้อยกว่ามหาบัวเยอะ ก็เป็นการทำลายศาสนา เป็นการทำลาย เพราะท่านไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ชัดเจนท่านไม่มีเจตนาทำ ถ้านึกว่าท่านมีเจตนาจะสร้างสรรค์ความถูกต้องแต่ท่านไม่ถูกต้อง อาตมาก็บอกไปไม่รู้กี่ทีแล้วว่า อาตมาไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ความถูกต้อง แล้วท่านก็กลบเกลื่อนความถูกต้องนั้น อย่างติดยาติดหมากพลู อาตมาไม่เชื่อว่าท่านรู้ว่ามันเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ ก็พูดมาหลายทีแล้ว ซึ่งหน้าที่อาตมาพูดเพื่อให้รู้ว่าคนในโลกนี้มันหลอกกันได้หลอกกันสนิท คนก็ยังหลงใหลมาเชื่อถือ อาตมาไม่ได้ไปลบหลู่ไม่ได้อยากให้คุณต้องไปชังมหาบัวเลย มันไม่มีชังหรอกมีแต่สงสาร สงสารมหาบัว ฟังให้ดีนะอาตมาพูดสัจธรรม จิตอาตมาไม่ได้มีความชังมีแต่สงสาร สงสารมากก็ตรงที่ว่า ถ้าสมมุติว่าท่านเข้าใจผิด ท่านเข้าใจว่าท่านไม่ได้มีกิเลสจริงๆท่านเข้าใจผิดอย่างนั้นจริงๆ อย่างนี้ยิ่งสงสารมากที่สุด เพราะว่าถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่เป็นกิเลสอยู่ แล้วท่านก็มีกิเลสอยู่เต็มๆรูป แล้วท่านก็หลงว่าท่านไม่มีกิเลส แล้วมันจะทำความสว่างให้เขาได้อย่างไร มันมืดสนิทนะใช่ไหม โอ้ย…อาตมาหมดทางที่จะช่วย _สู่แดนธรรม… ท่านมีความรู้เกินนั้นอีกครับ ท่านเคยพูดว่ามันไม่ได้เป็นอันตรายต่อนิพพาน พ่อครูว่า… ถูกท่านพูดถูก เพราะท่านยังไม่รู้จักนิพพานเลย เพราะฉะนั้นท่านก็บอกว่านิพพานมันเป็นอย่างนี้สิ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็ฉะนั้นอันนี้ไม่ใช่กิเลส ท่านก็เห็นว่า นิพพานมันก็ต้องเป็นอย่างที่ท่านสร้างภาพเอาไว้ ซึ่งมันไม่ตรงกับพระพุทธเจ้าหรอก นิพพานก็คือคุณต้องเลิกติดหมาก เริ่มต้นหยาบๆเลย ท่านก็ยังไม่เลิกเลย นิพพานของท่านก็คือวิมานอะไรอย่างหนึ่ง วิมานโง่ๆ เป็นนิพพานรูปอะไรก็ไม่รู้ มิจฉาทิฏฐิ _สู่แดนธรรม… ท่านบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องของขันธ์ในการเคี้ยวหมาก พ่อครูว่า… นี่ก็คือปฏิภาณความฉลาดแกมโกงหรือ เฉโก ของมหาบัว อธิบายใช้โวหารวาทกรรม หลอกลูกศิษย์ลูกหาให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของขันธ์ ขันธ์จากอะไร รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ คือขันธ์ 5 ก็ไม่รู้จักขันธ์ 5 _สู่แดนธรรม… นิพพานเป็นสมมุติท่านว่าอย่างนั้นครับ พ่อครูว่า… พอ พูดไปมันยิ่งกินลึก ว่า ไปว่ามหาบัว ถ้าไม่ว่าแล้วอาตมาก็ไม่รู้จะเอาสิ่งที่ไม่ถูกมาเป็นตัวอย่างพูดตรงไหน ไอ้นี่มันเป็นของชัดเจนก็เอามายืนยัน จริงๆนะ อาตมาก็ขอบอกอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า อาตมาไม่ได้เกลียดชังมหาบัว ไม่ได้ข่มมหาบัว แต่สงสารมหาบัว สงสารลูกศิษย์มหาบัว ที่พลอยงมงายไปตามมหาบัว แล้วมันไม่สุดสงสารได้ยังไงใช่ไหม มันไปหลงผิดกันไป ตามกัน โอ้โห..เป็นกระบวนเลย จ่าโคนำหน้าลูกโคก็โง่ ลูกฝูงก็โง่ไปตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส นำทางไปร้อง งัวๆๆๆ มาจากคำว่าโง่ งัวๆๆๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่อาตมานำเอาวรรณะ 9 มายืนยันอธิบาย ซึ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อม เขาไม่รู้เรื่องแล้ว วรรณะ 9 นี่อาตมาเอามาจากใน พระวินัยปฐมปาราชิกกัณฑ์ ท่านตรัสไว้อยู่ในนั้น ซึ่งไม่ค่อยรู้กันหรอก ท่านเอามาสอนภิกษุทั้งหลายเพื่อให้เป็นไปอย่างวรรณะ 9 วรรณะ คือขั้นชั้น ภาษาอังกฤษว่าคลาส ชั้นวรรณะ 9 คือความเป็นคนคลาสสิค 9 ชั้น เป็นคนชั้น 1 ไม่ใช่ไฮโซนะ คลาสสิคนี่ต่างจากไฮโซ ไม่ใช่คนชั้นสูงแบบไฮโซ แต่นี้เป็นคนคลาสสิค 9 อย่าง เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) 2 ข้อสุดท้าย 8 กับ 9 ชาวอโศกเรามี ผู้ที่ไม่สะสมแล้ว ขยันทำงานไป ถ้าจะว่าไปแล้วอาการ 2 อย่างนี้ เป็นเครื่องชี้บ่งถึงความเป็นอรหันต์ได้ ไม่มีตัวตน อยู่กับหมู่ สร้างสรรค์ ไม่สะสม เอาเข้ากองกลางหมด มั่นใจในกองกลาง อยู่กันอย่างแบ่งแจกกันกิน ร่วมกันกิน ร่วมกันใช้ ร่วมกันสร้าง ตัวเองหมดความขี้เกียจ ความ กุสีตะโกสัชชะอะไรไม่มี มีแต่ความขยัน รู้พัก รู้เพียรให้แก่ชีวิต เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์สมบูรณ์แบบเลย ข้อ 8 ข้อ 9 นี้ สรุปง่ายๆ ไม่สะสม ไม่มีอะไร มันก็ไม่มีตัวตน ไม่มีของของตนแล้ว แต่ขยันสร้างสรรค์ เราสร้างสรรค์ เรามีสิทธิ์ในสิ่งที่สร้างสรรค์ เราทำงาน เราผลิต เราทำไอ้โน่นไอ้นี่อะไรก็แล้วแต่ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อมที่พวกเราจะต้องมีกินมีใช้ คุณไม่ได้ปลูกผัก แต่คุณเป็นคนไปเก็บผลเอามาทำกับข้าว มันก็สร้างสรรค์ ร่วมกันทำกันคนละจุด คนละหน่วยที่มันจะต้องเกิดผล ที่จะต้องอาศัยในชีวิต _สู่แดนธรรม… ถ้าอย่างนั้นวรรณะ 9 นี้ ทั้งหมดทั้ง 9 ข้อมันเป็นคำตอบที่คุณช่อทิพย์ หนูทองถามไว้ตั้งแต่แรกว่า จะรักษาศาสนาพุทธต่ออีก 2,500 ปีได้อย่างไร พ่อครูว่า… เออ ได้ๆ ก็เอาดูที่ว่ามีวรรณะ 9 นี้ไหมอยู่ในคน คนมีวรรณะ 9 มีไหม มี อยู่ที่ไหน อยู่ที่อโศกหรือ อยู่ที่คนเดียวหรือ หลายคนหรือ 2 คน 3 คน เขาบอกว่า ไม่ถึงแสน อยู่ในชาวอโศกไม่ถึงแสน เราก็ไม่รู้ว่าถึงหรือไม่ถึงแสน ก็คนที่จะปฏิบัติตามแบบอโศก มีอย่างอ่อนอย่างจางมันก็มีไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปได้เยอะ _สู่แดนธรรม… เพราะว่าในวรรณะ 9 บอกว่าจะมีเศรษฐกิจแนวใหม่ พ่อครูว่า… พูดไปหมดแล้ว เป็นเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบเป็นคุณสมบัติของผู้ที่มีเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว เป็นคนไม่สะสม ก็ต้องเป็นคนจน อัปปิจฉะ ก็เป็นคนจน เป็นคนมักน้อยกล้าจน ไม่สะสม เป็นคนใจพอ อธิบายไปหมดแล้ว แต่มี 0 ไม่มีสมบัติ ไม่มีเงินทองเลย อยู่ไหน ก็อยู่กับหมู่กองกลาง อยู่กับหมู่ สาธารณโภคี อธิบายชัดเจนทุกอย่างเป็นเครื่องยืนยัน เราก็ปฏิบัติธรรมตรงตามพระอนุสาสนี ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าสำเร็จผล นี่คือมรรคผลที่ แท้จริง ชาวอโศกเป็นอยู่แล้ว ชีวิตที่เป็นอยู่จริง เป็นชีวิตที่มีมรรคผลของคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องยืนยัน เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่เชื่อ เขาไม่รู้ เขาดูไม่ออก เพราะเขาไม่มีปัญญา เขาไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไปถูกล้างสมองเป็นมิจฉาทิฏฐิไป แล้วก็ไปหลงยึดติดสิ่งที่ผิด ไปนับถือสิ่งที่มิจฉา จนกระทั่งสมองเสียหมด พอสัมมาทิฏฐิมาประกาศตัวก็ไม่รู้ได้ นอกจากไม่รู้ได้แล้วหาว่า จะไปทำลายสิ่งที่เขาติดอยู่ถืออยู่ หาว่าเราจะไปทำลายเพราะเราไปพูดเป็นปฏิปักษ์ หรือตรงกันข้ามหรือว่าของเขาผิดว่าของเราถูก เขาก็เลยยิ่งเห็นว่าเราจะไปเป็นกบฏ เรากำลังจะทำลาย ที่จริงเรากำลังจะล้างสิ่งผิด จะทำลายให้สิ่งที่คุณยึดถือผิดให้ออกต่างหาก แต่เขาไม่เข้าใจ ฟังไม่รู้เรื่อง นี่เป็นเครื่องชี้บ่งถึงความเสื่อมของคนส่วนใหญ่จริงๆเลย อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีนี้ ได้ผลมาประมาณนี้ อาตมาบอกหลายทีแล้วว่าได้ผลขนาดนี้ก็ภูมิใจพอใจ แต่น้อยๆ แต่น้อยก็เป็นหัวเชื้อที่จริง เป็นสัจธรรม อรหันต์มีจริงในที่นี้ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มีจริงในที่นี้ มีโพธิสัตว์ในชาวอโศก นี่แหละ คนที่เขาไม่ศรัทธา ไม่มีปัญญาเป็นมิจฉาทิฐิ เขาก็หาว่าพวกเราหลงตัวเองก็พูดไป ก็ไม่มีปัญหาก็เป็นจริงเขาก็ต้องเข้าใจอย่างนั้นเพราะความจริงของเขาๆเห็นอย่างนั้นจริงๆ ความจริงของเขาเขาเห็นอย่างนั้น เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ มันจะไปบังคับกันได้ยังไง เพราะฉะนั้นจบมันก็จบด้วยนานาสังวาส อันนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดคำว่านานาสังวาส มันเป็นหลักการตัดสินของพระพุทธเจ้า ที่ตัดสินความสุดวิสัยของคนแล้ว ความเห็นของเธอก็อย่างหนึ่ง ความเห็นของอีกคนหนึ่งก็อีกอย่างหนึ่ง ขัดแย้งกันแล้ว ลงกันไม่ได้แล้ว ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็เมื่อไปด้วยกันไม่ได้แล้วก็อยู่ด้วยกันเถอะ มาอยู่ด้วยกันก็คือคำว่าสังวาส อยู่ร่วมกันเถอะ ร่วมกันอย่างไร ก็ร่วมกันอย่างนานา ต่างคนก็ต่างเข้าใจกันคนละอย่าง เพราะฉะนั้นการประกาศด้วยปัญญาว่า คุณมีความเห็นของคุณอย่างนั้นเราไม่บังอาจ อย่างที่อาตมาประกาศแยกเป็นนานาสังวาสกับเถรสมาคม เถรสมาคมเขาไม่รู้เรื่องเพราะประกาศตอนแรกเขาก็รู้สึกว่ามันงั้นๆ อย่างไรก็ไม่รู้ พ.ศ.2518 จนถึง 2532 วันร้ายคืนร้ายผีเข้า กลับมาเล่นงานเราทั้งๆที่มาเล่นงานก็เป็นอาบัตินะ อธิกรณ์อะไรเราไม่ได้จะมาวุ่นวายกับเราก็ไม่ได้แต่ ปฏิกโกสนา ตำหนิกัน ว่ากันแรงๆว่ากันอย่างชัดๆอธิบายแรงๆอย่างที่อาตมาพูดทำอยู่นี่ได้ อย่าให้มีการฟ้องร้อง เขาก็ฟ้องร้อง อย่าให้มาทำเป็นคดีขึ้นมา ถ้าเป็นคดีขึ้นมาผิด อย่างนี้เป็นต้น เขาก็ทำอย่างผู้ไม่รู้จริงๆ น่าสงสาร เถรสมาคมทำกับอาตมาทำกับอโศก ทำผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าตลอด อย่างที่อาตมาเขียนอยู่ใน ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส สาธยายอ้างอิงหลักฐานธรรมวินัยไว้เห็นชัดเจน ว่าน่าสงสารความเสื่อมของศาสนานี่ เขาทำแล้วเหมือนเด็กๆไม่เดียงสา ทำไปแล้วก็นึกว่าตัวเองถูกต้องยืนยัน นี่มันเป็นการแสดงเป็นเครื่องชี้บ่งว่า หมู่ใหญ่เสื่อมจริงๆเลย ฉะนั้นอาตมาเอาสัจธรรม เอาโลกุตรธรรม เอาสิ่งที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาอ้างอิงยืนยันหลักฐานต่างๆพูดความจริง มันเป็นความจำนน เป็นความจำเป็น เป็นความจำใจ จำต้อง บอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์อาตมามีมาเอง อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมานี่แหละเอาโลกุตระจริงๆมาประกาศถูกต้อง เพราะมันสูญไปแล้วหมดแล้ว อาณิสูตร อะไรต่างๆยกอ้างอ้างอิงทั้งนั้น อาตมาไม่ได้พูดลอยลม อาตมามีสิ่งที่อ้างอิงยืนยันทั้งนั้น ไม่ได้พูดปากเปล่า โชคยังดีที่อาตมาก็พูดแล้วว่ายังมีพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้ายังอยู่ แล้วก็นับถือกันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน อันนี้โชคดีมากเลย อาตมาก็อ้างอิงยืนยันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็จึงอยู่รอด ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่รอด รักษาอยู่ได้ ทำงานมาตลอดจนกระทั่ง จะตายอยู่แล้ว อายุขัยก็แย่เต็มทีแล้ว อ่านกวี วรรณะ 9 ต่อท้ายก็แล้วกัน วรรณะ ๙ (ปฐมปาราชิกกัณฑ์) ๑เลี้ยงง่าย ๒บำรุงง่าย มีเป้าหมาย เพื่อหลุดพ้น ด้วยจิต ๓ผู้กล้าจน บังเกิดผล เป็นใจพอ๔ ๕ทรงสัล-เลขธรรม บุญหนุนค้ำ ฌานหลอมหล่อ ๖ให้ศีล-เคร่งหากพอ- กะเทินก็ บ่เป็นตา ๗อาการ น่าเลื่อมใส น้อมนำใจ ผู้ศรัทธา ให้เกิด ด้วยปัญญา ใช่ลีลา มายาวี อยู่อย่าง ๘ไม่สะสม พฤติพรหม-(ม)จารี งามพร้อม ด้วยจิตพลี ตามวิถี ผู้ดำรง ๙วิริ-ยารัมภะ ยังฐานะ ให้มั่นคง เสฏฐ-ศาสตร์ผู้ทรง สัทธรรมองค์ สัพพัญญู นี้แล วรรณะเก้า ที่ชนชาว พุทธต้องรู้ ชีวิต ความเป็นอยู่ ของวิญญ ผู้เจริญ อโศก สัมปวังโก (นักศึกษาวิชาพุทธศาสนาตามภูมิ) พ่อครูว่า… ก็อ่านกลอนอ่านกาพย์เท่านั้น ไม่ขยายความแล้วเพราะเวลาหมดแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin20 พฤศจิกายน 2023 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:661117 นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกNextNext post:หนังสือ รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่อาตมาตั้งใจจะไม่เขียน “คำปรารภ” อะไรให้มากความ เพียงจะขอบอกว่า อาตมาเขียนหนังสือมาในชีวิตนี้ ก็ รู้สึกว่าตนเอง ตัวเราก็เป็นคนแค่นี้ ได้เขียนหนังสือมา ถือว่า มากพอสมควรแล้วสำหรับคนแค่นี้ในสังคมไทยยุคนี้Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024