661129 ถือศีลให้รู้รูปนาม ให้เกิดปัญญาจนอวิชชาหายไป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1xs1p_jAsrK3fCSX-YNrv6A63Szefet_5/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1V2oP6gCK2Gy1j_aVM2guhjvWiJ2aGPde/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oCR6nwHSfP/
และ https://youtu.be/SOhTYEQlkDc
มีซับ
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เดือนพฤศจิกายนก็ใกล้จะจากเราไปอีกแล้วเราก็จะได้ต้อนรับเดือนธันวาคมไปตามลำดับ
วันที่ 20 ที่ผ่านมาพ่อครูบอกว่าจะเทศเป็นวันสุดท้าย แต่ทุกอย่างก็เป็นอนิจจัง ที่ชาวอโศกเราจะเรียกว่ามหาอนิจจัง ก็เกิดปาฏิหาริย์ พ่อครูดูร่างกายแล้วรู้สึกว่าร่างกายขนาดนี้ กล้ามเนื้อแน่นขนาดนี้ คงจะไม่ไปง่ายๆ พ่อครูก็เลยเอาใหม่ ไปลองของที่ศีรษะอโศก เขาจัดงานวันบุญลอมข้าว ก็ให้ปิดข่าวไว้ กะว่าจะไปเซอร์ไพร้ส์ที่ศีรษะอโศก ก็ไม่มีใครรู้หรอก แต่เขาพูดต่อๆกันไปว่าไม่ให้บอกใครนะ ก็เลยรู้กันทั่วหมู่บ้าน บอกต่อๆกันว่าบอกแล้วเหยียบไปนะ
ก็มีญาติธรรมเทวดาขับรถมาจากกรุงเทพฯเลย มาขับรถให้พ่อครูเพื่อไม่ให้กระแทกกระเทือน ท่านแสนดินบอกว่า เดินทางไปขาไปไม่ได้พักเลย ซึ่งถ้าร่างกายแย่ คงจะต้องพัก แต่นี่เครื่องติดตลอด ไปที่ศีรษะอโศก เขาก็เลยให้ของที่ระลึกมาเป็นมะละกอลูกยาว ยาวครึ่งเมตร ดูแล้วเหมือนแตงกว่าลูกโต สู่แดนธรรม… ตั้งชื่อให้ว่า ลองกอ
พ่อครูว่า… นี่พันธุ์อะไร ลองกอ
สมณะเดินดิน… ที่ศีรษะอโศก ปีนี้ปลูกข้าวได้ 37 ตัน พ่อครูว่า 37 ตันน้อยไปน่าจะได้สัก 100 ตัน เขาก็เลยบอกว่าปีหน้าจะเอาตามที่พ่อครูบอก ชาวที่โน่นก็เลยบอกว่า จะได้คนมาช่วยทำนาแล้วก็ เอามาจากบ้านราชนี่แหละไปช่วย
พ่อครูไปวันนั้น ก็อธิบายเรื่องเศรษฐศาสตร์ ว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องนำโลก เศรษฐศาสตร์ทั้งโลกยิ่งจะเอาจะกอบโกย แต่ของเรามีแต่จะให้จะแจก แจกจนหมดแจกจนศูนย์ มีคนเรียนถามว่าถ้าเราเป็นศูนย์แล้วเราจะเอาอะไรไปแจก คนถามคงจะมีภาพว่าเราคงจะต้องแจกทั้งหม้อทั้งไหทั้งอะไรไปหมด พ่อครูคงไม่ได้มุ่งหมายให้แจกจนหมดอย่างนั้น แต่มุ่งหมายให้ทำอย่างไรเราจะเป็นศูนย์จากกิเลสได้ 0 จากอบายมุขเป็นศูนย์จากโลกธรรม ไม่ใช่ใครจะแจกก็เรียกช่างภาพมาถ่ายภาพเหมือนคุณหญิงคุณนายที่ต้องให้รู้ว่าเราแจก หรือจะต้องสลักชื่อเอาไว้ไม่สลักชื่อไม่แจก ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่ทำอย่างไรเราจะแจกแล้วเป็น 0 เหมือนที่เราเห็นภาพของคุณชัช อุบลจินดา นอนให้ฝรั่งเหยียบขึ้นจากโคลน แต่ภาพที่น่าประทับใจยิ่งกว่าตอนฝรั่งเหยียบหลังก็คือ เมื่อเสร็จแล้วเขาก็เดินขึ้นเรือไปโดยไม่หันมามองว่าฝรั่งจะให้รางวัลไหม จะขอบคุณไหม เป็นภาพที่ทุกคนก็ประทับใจแล้วก็รับกันได้
ทำให้เห็นว่าเขาทำความดีเพียงไม่ถึง 5 นาทีแต่เป็นภาพจำที่ทุกคนจำได้ แต่ในหลวงสร้างความดีอย่างนี้มาตั้ง 70 ปีโดยไม่ได้คิดทวงบุญคุณไม่ได้คิดโฆษณาหาเสียง ถ้าเอาหลักเศรษฐศาสตร์ที่พ่อครูบอกนี้มาจับก็จะเห็นว่าในหลวงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุด โลกเขาก็ยกย่องมากมายเขามองเห็นว่าในหลวงเป็นบุคคลสำคัญของโลก เป็นเศรษฐศาสตร์ของพุทธที่ พ่อครูอธิบายว่า ศูนย์นี้ยิ่งให้มากเท่าไหร่ยิ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สะพัดช่วยโลกได้อย่างมาก พ่อครูเคยเขียนบทความไว้ว่า 0 มีค่ามากกว่าล้าน เป็นความลึกซึ้งในเศรษฐศาสตร์ของพุทธ คิดว่าพ่อครูจะกลับมาหมุนธรรมจักรต่อเราก็คงจะได้เห็นความลึกซึ้งอะไรได้มากยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกคน มาเริ่มต้นที่ SMS ก่อน
SMS วันที่ 20 – 22 พฤศจิกายน 2566
ถือศีล 2 แบบ แบบโลกีย์กับแบบโลกุตระเป็นอย่างไร
_กฤษณ์ไกรวิชย์ เบญจเจริญกุล . ศีล 5 มี 2 แบบ 1.แบบโลกีย์ 2.แบบโลกุตระ ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ ศีลแบบโลกียะก็คือ ถือศีลแบบมิจฉาทิฏฐิท่านเรียกว่าถือศีลแบบ สีลัพพตุปาทาน คือยึดศีลยึดพรต ปฏิบัติไปตามจารีตประเพณีที่มันเสื่อมแล้วทุกวันนี้ปฏิบัติกันส่วนมาก ไม่ได้เป็นศีลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิปฏิบัติกันไป
เขาก็มีศีล ศีลก็ของพระพุทธเจ้าจริงๆศีล 5 เป็นต้น ศีล 8 เขาก็ยังมีศีล 10 เขาก็มี อย่างศีล 5 ถือศีล ไม่ฆ่าสัตว์ 2 ไม่ลักทรัพย์ 3 ไม่ผิดผัวเขามีใคร ศีล 4 ไม่พูดปด 5 ไม่ดื่มสุรา เขาก็ปฏิบัติตามนั้น ถึงขั้นไปวัดไปนอนวัดแล้วปฏิบัติศีล 8 อุโบสถศีล มันก็ได้ผลเกิดความชินของมันเกิดความชำนาญ ก็ได้บ้าง
แต่มันไม่เป็นศีลอีกแบบหนึ่งคือแบบโลกุตระ แบบโลกุตระเป็นอย่างไร ก็คือแบบจรณะ 15 วิชชา 8 เดี๋ยวนี้ไม่รู้เรื่องกันแล้วว่าคืออะไร ก็ปฏิบัติแบบโลกีย์อย่างที่อธิบายไปแล้ว
แบบโลกุตระหรือแบบตามคำสอนพระพุทธเจ้าตามพระอนุสาสนีคือ เมื่อถือศีลแล้วก็รู้ว่า ศีลนี้ท่านให้กำหนดเรื่องอะไร เช่น ศีลข้อ 1 ก็แปลชัดๆง่ายๆว่าไม่ฆ่าสัตว์
ที่จริงเนื้อหาบาลีว่าปาณาติปาตา มันลงลึกไปถึงขั้น ปาณะ ไม่ตกร่วงทางจิตวิญญาณถึง ปาณะ วันนี้จะไม่ลงลึก
แบบโลกุตระ เมื่อปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ เราก็ต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 เราก็ต้อง สำรวมสังวร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีความเกี่ยวข้องอะไรในชีวิตอย่างตื่นอยู่ก็ต้องมีโพชฌงค์ มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ ที่จะให้รู้ตัวทั่วพร้อม
เมื่อไปสัมผัสแตะต้องกับสัตว์ โดยเฉพาะคน คนนี้แหละคือสัตว์ตัวสำคัญที่ต้องเกี่ยวข้องกัน วันๆหนึ่งเราถือศีลข้อที่ 1 เกี่ยวข้องกัน เมื่อสัมผัสกับคนแล้วเราเกิดกิเลส เราก็ต้องมี ชาคริยานุโยคะ อ่านวิจัยสติปัฏฐาน 4 กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ต้องรู้ตัวทั่วพร้อมร่างกายภายนอกเราสัมผัส สัมผัสคนนี่แหละ เกิดกิเลสกาม เกิดกิเลสปฏิฆะ ก็ต้องให้รู้ตัวทั่วพร้อม รู้แล้วเราก็ปฏิบัติ โภชเนมัตตัญญุตา คุณต้องได้ประโยชน์โภชนะ ไม่ใช่คุณได้แต่กิเลส ไม่ใช่คุณได้โกรธได้กาม ได้ประโยชน์คุณสัมผัสแล้วจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันจะต้องกินหรือใช้
ถ้าเป็นอาหารกินก็ว่าไป ถ้าเป็นสิ่งที่ต้องใช้ประโยชน์ ร่วมกันใช้ประโยชน์ ร่วมกันทำประโยชน์ โภชเน โภชนะ แล้วมันจะเกิดกิเลสอะไรขึ้น ลองอ่านจิตอ่านใจ อ่านกิเลสในเวทนา กิเลสในสัญญาในสังขาร รู้จักแล้วแยกกิเลสได้ ธัมมวิจัย แล้วก็ชัดเจนว่า
ไอ้กิเลส ถ้ารู้ที่มีปฏิภาณรู้จักหน้ากิเลส กิเลสมันเห็นตัวรู้ ฝึกไปเถอะ ใหม่ๆคุณเห็นกิเลส กิเลสมันจะยังไม่หนีแต่ฝึกไปเถอะแล้วกิเลสมันตัวเก่าอย่างเก่านี่แหละ ตัวใหม่ที่กระทบเมื่อไหร่คุณก็อ่านออกกิเลสตัวนี้เห็นหน้าอีกแล้ว พลังงานของปัญญา พลังงานของปฏิภาณที่รู้แค่ว่ามันเป็นกิเลสนี่แหละ จะมีอำนาจ เรียกว่าตัวปัญญาตัวธาตุรู้ มันจะมีธรรมฤทธิ์สูงขึ้นๆ สักวันหนึ่งถึงขีดกิเลสไม่อยู่แล้วไม่รอหน้า ธรรมฤทธิ์จะเกิด อธิบายเป็นรูปธรรมจริงให้เห็น ฝึกไปเถอะแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นเลย
เพราะฉะนั้นคำว่าปัญญา ความโง่หรือกิเลส อวิชชา ก็ตาม ปัญญามากิเลสไป อวิชชาหาย ภาษาพูดได้อย่างนี้ แล้วสภาวะธรรมปฏิบัติแล้วจะเกิดผลอย่างนี้ คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ยิ่งอธิบายสัทธรรม 7 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา
ยิ่งปฏิบัติไปเจอหน้ากิเลสลักษณะนี้อีก ฉีดตอนแรกหน้าด้านไม่เคยอายเลยว่าเราจะมีกิเลส ไม่อายเลย ดีไม่ดีกอดคอกิเลสไปด้วยกัน ด้วยกันเลวด้วยกันโง่ด้วยกันเสพด้วยกันไปใหญ่เลย พอมารู้ตัวแล้วเฮ้ยผิดแล้วนะ ไปคบผีคบมารคบอะไรนี่ จะรู้สึกตัวละอาย เราแสดงออกแสดงกิเลสออกไป แต่ก่อนไม่เคยรู้สึกตัวไม่เคยสำนึกไม่เคยขายขี้หน้าไม่เคยรู้สึกว่าน่าละอาย แต่พอเกิดปฏิภาณปัญญาขึ้นมาจะรู้สึกว่าน่าอาย ติดตามดูพวกเราเคยผ่านมาแต่ก่อนไม่ค่อยได้มีหิริ หิริมันไม่ได้มีตัวตนที่อายอย่างเหนียมๆเป็นรูปหยาบ แต่มันอาย ถ้ามันขึ้นถึงมีคุณธรรมความอายต่อสิ่งที่เราเคยทำมา เคยประพฤติมาแสดงกิเลสโลภ แสดงกิเลสโกรธ แสดงกิเลสราคะ แสดงกิเลสโคตรจัดจ้านอะไรก็แล้วแต่จะรู้สึกเลยว่า แต่ก่อนนี้เราหยาบคาย แสดงกิเลสราคะก็หยาบคาย แสดงกิเลสโทสะก็หยาบคาย เราก็จะรู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวความเกิดญาณปัญญาเราเกิดเราก็ พลังงานของปัญญามันมีฤทธิ์ที่จะหยุดยั้ง ความไม่ดีความชั่วขึ้นมาได้จริง ปฏิบัติไปมันก็จะยิ่งมีพลังมีฤทธิ์มีอำนาจของปัญญา กิเลสก็ยิ่งไม่เกิด ความเฉลียวฉลาดที่เป็นปัญญายิ่งสูงถึงขีดเลย มีพลังฤทธิ์ที่จะ ไม่มีอาการของกิเลสเกิดทางกายวาจา โดยเฉพาะจิตก็มีพลังอำนาจสูง สัญญาเป็นปัญญาที่สูงส่ง มีพลัง อาการเหล่านั้นไม่ทำทางกายวาจาและใจนี่แหละเป็นตัวประธานทั้งศรัทธา ทั้งปัญญาเต็มสภาพคู่ สมบูรณ์แบบ เรียกว่าพหูสูต เป็นผู้สูงสุดตั้งแต่หิริโอตตัปปะตั้งแต่ละอายจนกระทั่งเกรงกลัว พลังงานของความรู้พลังงานของสำนึกมันเป็นความเจริญ
เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีตัวสำนึก โอ้โห แต่ก่อนนี้ไม่รู้จริงๆมันโง่มันทำตามเหมือนกันหมดปุถุชนทั้งนั้น พอมาเป็นอาริยะชนแล้ว ของพระพุทธเจ้านี้อาริยชนสูงสุด
แล้วพลังงานศรัทธา มีหิริ โอตตัปปะ พหูสูต แล้วก็เพียรทำสัทธรรม 7 คือคุณธรรมของฌาน
ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ลักษณะจิตของ สัทธรรม 7 เกิดขึ้นเรื่อยๆเป็นคุณธรรมของ ฌาน
ฌาน จะไปนั่งหลับตาเข้าออกลมหายใจ นี่คือ ฌาน สภาพวิจัยวิจารณ์แล้วแยกกิเลส ลดกิเลส เราลดได้เก่งขึ้น ดีขึ้น กิเลสดับได้มากขึ้นก็เป็นอุเบกขาเป็นพลังสูงสุดมีพลังอำนาจ ทำความบริสุทธิ์แห่งจิตได้เรียกว่าอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คือพัฒนาการของจิตก้าวหน้าขึ้นถึงขั้นบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบ อุเบกขา 5 นี่คือการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงขั้นฌานที่ 4 ก็สมบูรณ์แบบ
ทั้งหมดจรณะ 15 มีวิชชา 8 หรือถ้าจะขยายความ 1.วิปัสสนาญาณ 2.มโนมยิทธิญาณ 3.อิทธิวิธญาณ 4.โสตทิพย์ญาณ 5.เจโตปริยญาณ 6.บุพเพนิวาสานุสติญาณ 7.จุตูปปาตญาณ 8. อาสวักขยญาณ
มันจะรู้ด้วยวิปัสสนารู้ด้วยการเห็นไม่ใช่ไปหลับตา ผัสสะคือเห็น ลืมตาปฏิบัติจะรู้ด้วยญาณแล้วแยกแยะวิจัยวิจารณ์กิเลสออก ทำให้กิเลสลดได้ก็คือมีฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธิ เป็นวิชชาข้อที่ 2 กิเลสมันก็ลดขึ้นเรื่อยๆเก่งขึ้นเรียกว่า อิทธิวิธญาณ หลากหลาย อิทธิฤทธิ์ทางใจที่ทำให้กิเลสมันลด ไม่ใช่เป็นฤทธิ์ที่ทำให้เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ ที่เป็นฤทธิ์ของอิทธิปาฏิหาริย์
แต่ต้องใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่ทำให้กิเลสลด กิเลสลดก็คือ เจโตปริยญาณ 16 เป็นมาตรวัดกิเลส 6 คู่ ในญาณข้อที่ 5 ทำได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นโสตทิพย์ อิทธิวิธญาณ เก่งขึ้น
ตรวจสอบด้วยเตวิชโช เรามีการสิ้นอาสวะหรือยังไม่สิ้นอาสวะ เรามีปัญญา มีความรู้ในการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปงมงายดับจิตเฉยดื้อดื้อทื่อ ไปหนีไปอะไรกันยังไม่มีภาษา ตาอีกต่างหากมันเป็นโมฆะจริงๆมันออกนอกรีตศาสนาพระพุทธเจ้า นี่คือสิ่งชี้บ่งความเสื่อมศาสนาพุทธ ไปทำออกนอกรีตแล้ว อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี กระเตื้องที่ไหน ยังหลับหูหลับตางมงาย ศรัทธาอาจารย์ที่พาไปเป็น เดียรถีย์ ซึ่งไม่ใช่พุทธแล้วไป
อาตมาพูดความจริงนี่ก็ สงสารอย่างไม่รู้จะสงสารอย่างไรแล้ว แต่เขาก็จะต้องว่าอาตมาว่า ไปว่าไปด่าเขาแล้วตัวเองถูกหรือเปล่าไม่รู้ตัว แล้วก็มีคณะน้อยเดียวแล้วทำเป็นเบ่งทำเป็นใหญ่ทำเป็นถูกต้อง ใครรับรอง เถรสมาคมไม่ได้รับรองจะเอาตายด้วยซ้ำมาทำเบ่ง มันก็น่าเห็นใจ น่าเห็นใจเขาเพราะเขาต้องถือมวลใหญ่ถือที่สืบทอดกันมานานๆแล้วต่างๆนานา จนกระทั่งอดีตที่สืบทอดมามาได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ว่าจะเป็นสายบ้านหรือสายป่า
สายป่านั่งหลับตา คนก็นิยมชมชื่น สายบ้านนั่งหลับตา คนก็นิยมชมชื่น สายที่สัมมาทิฏฐิอย่างโพธิรักษ์ คนก็ว่าอะไรวะ มันมีแต่จืดชืดสายโพธิรักษ์อันนี้มันจืดชืด เขามีแต่ชมชื่น ไม่เป็นไรยิ่งจืดชืดยิ่งสบาย ที่จริงไม่ใช่จืดชืดหรอก พวกเรานี้จืดชื่นยิ่งจืดยิ่งชื่น กิเลสนี้จืดลงไปยิ่งชื่นเป็นจิตจืดชื่น ไม่ใช่จืดชืด
อธิบายถือศีล 2 แบบแล้วไม่อธิบายต่อ โลกียะโมฆะ ไม่ได้ประโยชน์ โลกุตระถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ถือศีลเป็นอย่างนั้น เห็นไหมว่ามันเสื่อมมีที่ไหนศีลตามจรณะ 15 แม้แต่พระก็ไม่มี พระมีแต่วินัย ผิดวินัยก็ปลงอาบัติกัน สุดท้ายก็สังฆาทิเสสกันเยอะโดยเฉพาะเรื่องเงิน ปาราชิกด้วยเรื่องเงิน เยอะแยะไม่ปลงอะไรหรอก พูดไปก็ไปว่าเขา ผ่าน
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ วันจันทร์ที่ ๒๐ พ.ย. เป็นวันที่ลูกทำงานหนักจากการเกี่ยวข้าว กินข้าวก็กินได้น้อย พอตกเย็นลูกรู้สึกเพลียและหิวข้าวมาก แต่ครั้นมาฟังพ่อครูเทศน์ สภาวะของความหิวก็อันตรธานไปสิ้น เรี่ยวแรงกำลังกายก็กลับคืนสดใสค่ะ สภาวะนี้เกิดมาได้อย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่บอก ให้งง ไม่บอกเสียก็ไม่ได้เรื่องต้องบอกหน่อย
สภาวะนี้ได้เพราะว่าเรามันเป็นเรื่องจริงในจิตเรา เราเห็นคุณค่าของธรรมะยิ่งใหญ่สูง เพราะฉะนั้นได้ฟังธรรมะแล้วโอ้โห มันได้อาหาร เป็นธรรมรส เป็นรสชาติที่น่าดื่ม ดื่มแล้วก็ชื่นใจมีกำลังวังชา พลังงานของธรรมะเป็นธรรมฤทธิ์ มันได้
ขนาดโลกีย์เราไปหลงโลกๆ เรายังลืมกินลืมเหนื่อยเลย โลกีย์บางทีเราก็ชอบใจชื่นใจก็ลืมกินก็มี ยิ่งธรรมรสที่เป็นธรรมะมันก็ยิ่งกว่ากันด้วย อธิบายแล้ว
บุญจะฆ่ากิเลสได้อย่างไร
_ซึ้งซื่อ วิเชียร . การปฏิบัติศีล อปัณณกปฏิปทา ๓ และสัทธรรม ๗ ฌาน ๔ ขั้นสุดท้าย คือบุญ บุญจะฆ่ากิเลสยังไงครับ ขอสัมมาทิฏฐิด้วยครับ ผมเคยได้ยินพ่อครูพ่อท่านสอนว่า ปฏิบัติศีล ๕ อย่างละเอียดและจริงจัง สามารถจะบรรลุอรหันต์ได้ ผมขอให้ท่านช่วยอธิบายถึงขั้นตอนว่าต้องทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า… บุญเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถ้าบุญได้ลงมือ ตายแน่ไอ้หวัง ถามว่าบุญจะฆ่ากิเลสอย่างไร อธิบายผ่านมาเมื่อกี้นี้หยกๆ ก็ขอทวนอีก
ข้อปฏิบัติศีล ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 จะเกิด สัทธรรม 7 อธิบายไปเมื่อกี้ไง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… มีประเด็นหนึ่งที่พ่อครูพูดถึงว่า การเห็นกิเลสเป็นตัวสำคัญ การถือศีลแต่ละข้อก็เป็นข้อที่ทำให้เราเรียนรู้กิเลสได้มากขึ้น แล้วเหตุปัจจัยที่ทำให้นักปฏิบัติธรรมไม่เห็นกิเลส อาตมาก็นึกถึงว่าอย่างพวกเราทำงานแล้วไม่เห็นกิเลสเพราะอะไร ประเด็นหนึ่งก็คือเอาพลังงานที่มีอยู่ไปจมอยู่กับกิเลสของเพื่อน ก็เลยทำให้ไม่มีกำลังที่จะมามองกิเลสตนเอง ขยันทำนาผู้อื่น
เวลาเราไปทำงานกัน เราก็เกิดขัดแย้งกัน สุดท้ายจะเป็นแบบ ฮามาสกับอิสราเอล เห็นแต่ความผิดของเพื่อนอย่างเดียวเลย แล้วก็ไม่มีพลังงานที่จะกลับมาเห็นกิเลสของตัวเอง พวกเราอยู่ในวัดเกิดอย่างนี้จะไปหาเลขาธิการสหประชาชาติที่ไหนมาหยุดการรบได้ ถ้าเราทำงานเชื่อมโยงกับคนภายนอกแล้วเกิดความขัดแย้ง ทุกคนก็หวังดีมากจะให้งานพ่อครูไปได้ แต่ว่าอาตมาไปฟังทีไรกรรมการก็โดนลูกหลงทุกทีว่าไม่เป็นกลางฟังความข้างเดียว เห็นเลยว่าถึงจุดหนึ่งพอเกิดการรบพุ่งขัดแย้ง เราจะเอาพลังงานไปจมอยู่กับกิเลสของเพื่อน ไม่สามารถกลับมามองเห็นกิเลสตัวเองได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องหาทางหยุดก่อนจนกว่าจะมีกำลังที่จะมาไล่เลียงอย่างที่พ่อครูเห็นว่าเห็นมันบ่อยๆซ้ำๆซากๆแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมา
พ่อครูว่า… ก็เกิดปัญญานั่นแหละคือฌาน คุณซึ้งซื่อถามมาอีกถามมาก็วนนั่นแหละ มันไม่เข้าถึงจิต ไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงก็จะวนเอาพยัญชนะมาถามใหม่อีกเรื่อยๆ ถ้าปฏิบัติได้แล้วก็จะไม่วนสงสัยมาถามใหม่ ถามใหม่แสดงว่ายังไม่เข้าถึงจิต
อปัณณกปฏิปทา 3 แปลว่าการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่ผิดเพราะมี 3 ข้อนี้ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ จำไว้เลย ศาสนาพุทธอยู่ตรงนี้ ถ้าถูกต้องอยู่ตรงนี้ไม่ผิด ถ้าออกนอกนี้ผิด ไปหลับตาเผินไปเรื่องอื่นผิดหมด สำรวมอินทรีย์ 6 แล้วก็เกี่ยวข้องกัน เกี่ยวกับการบริโภค โภชเนมัตตัญญุตา จะได้ผลอย่างไรต้องตื่นรู้อย่างมีภูมิปัญญา มีสติสัมปชัญญะปัญญาของพระพุทธเจ้ารู้เท่ารู้ทันในชีวิต ที่ดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็ปฏิบัติธรรมได้เพราะรู้จักกิเลสละอายต่อกิเลสแล้วกิเลสมันหนี
อธิบายทวนอีก กิเลสมันสู้ปัญญาเราไม่ได้ กิเลสมันเกิดมาปั๊บจนปัญญามันเก่งจริงๆกิเลสไม่รอหน้า เจอปัญญาแล้วมันหายไปก็คือความเก่งของฌาน 1 2 3 4 ที่มีฤทธิ์จนถึงขั้นสุดท้าย..บุญ นี่ทวนอีก
บุญจะฆ่ากิเลสยังไง อธิบายจบแล้ว อาจจะสั้นๆสรุปๆ ขอสัมมาทิฏฐิ นี่คือสัมมาทิฏฐิ หากเข้าใจผิดไปไม่ตรงอย่างที่อาตมาพูดก็ขอยืนยันว่าผิด อย่างที่อาตมาพูดนี้จึงจะเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ถูกต้อง ปฏิบัติศีล 5 อย่างละเอียด อธิบายขนาดนี้ก็พอละเอียดแล้วนะ
ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อ 2 เกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืชอะไรต่างๆนานาแล้วก็จะมีทุจริต มีอย่างโน้นอย่างนี้ ศีลข้อที่ 1 นี่ก็ถึงกับฆ่าเลย รุนแรง ศีลก็ 2 ก็ทุจริตสารพัด ศีลข้อที่ 3 ก็เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศีลข้อ 4 ก็เกี่ยวกับวาจา
ศีลข้อที่ 5 ก็เกี่ยวกับจิตที่เกี่ยวกับกิเลสเหล่านี้
อธิบายใหม่มีปฏิภาณปัญญาอธิบายใหม่ก็ติดตามฟังไปเรื่อยๆ
บุญมีฤทธิ์ทำให้คนนิพพาน ในทานสูตร
_หลวงพ่อซันเต๋อ ข้าวมีคุณ . เป็นการเข้าใจผิดในภาษาหรือไม่? การที่บุตรทำบุญอุทิศให้พ่อแม่นั้น บุญนั้นที่บุตรทำไปแล้วนั้น ย่อมมีผลแก่บุตรนั้นแล้ว ด้วยบุญที่มีความหมายเป็นชื่อแทนคำว่า สุข
พ่อครูว่า… ขออธิบายตรงนี้คำว่าบุญไม่ได้มีฤทธิ์ทำให้คนสุข บุญมีฤทธิ์ทำให้คนนิพพาน บุญนั้นฆ่าสุขฆ่าทุกข์ หลวงพ่อซันเต๋อ คงเป็นพระเป็นเจ้า ฟังให้ดีสอนกันมาอย่างนั้นมันไม่ได้เป็นโลกุตระ สายพุทธศาสนากระแสส่วนใหญ่ก็จะสอนมาอย่างนี้
ความทุกข์ความสุขมันเป็นสภาพเทวะ ฆ่าอันใดอันหนึ่งก็หมดทั้ง 2 อันเหมือนกระดาษ 1 แผ่น ทำลายข้างหน้าหรือข้างหลังก็ทำลายทั้งหมดได้อันเดียวกันศึกษาดีๆ
_ก็เมื่อบุตรนั้นได้ปรารภเหตุที่พ่อแม่ตายจากไป
พ่อครูว่า…ยังงมงายอยู่เป็นเทวนิยม ยังทำทานเป็นมิจฉาทิฏฐิในข้อที่ 4 ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง คือ ทำทานแล้ว 1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ 3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
พ่อครูว่า… นั่นคือทำทานอย่างมิจฉาทิฏฐิ อันนี้จนกระทั่งศาสนาพุทธยุคนี้มันเสื่อม ไม่ได้มีอธิบายกันเลย ดีนะอยู่ในพระไตรปิฎกมีชัดเจนอยู่ในทานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่23 ข้อ 49
อธิบายซ้ำอีกก็ดี
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มากอะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย เครื่องให้ทานเช่นนั้นนั่นแล ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ , มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ , มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ ,ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ดูกรสารีบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ พึงให้ทานเห็นปานนี้หรือ ฯ
สา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ่อครูว่า… ก็ยังมีภพชาติอยู่ไม่เป็นนิพพาน จะไปเสวยผลชาตินี้ชาติหน้า เพราะฉะนั้นการทำใจในใจอย่างสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติให้ตรงเข้าใจให้ถูก ปฏิบัติให้ตรง ใช่มีผลเท่านั้นแต่เป็นอานิสงส์ อานิสงส์ก็มีผล แต่ว่าเป็นผลโลกุตระตามศาสนาพุทธเจ้า
นี่ก็ขยายความ หลวงพ่อซันเต๋อศึกษาดีๆ มาสนใจธรรมะ อาจจะขัดหูมากอยู่นะ เพราะว่าคงไม่เคยได้ยินอย่างนี้ อย่างที่อาตมาได้พูดนี่แหละ
_แล้วระลึกถึงคุณที่พ่อแม่มีแก่เรา เมื่อระลึกถึงท่าน จึงได้ทำบุญอุทิศ คือให้ไป บุญที่อุทิศให้พ่อแม่ จึงมีผลส่งถึงบุตรอันเป็นที่รัก จึงเกิดมีผลเป็นความสุข ที่บุตรได้ทำอุทิศให้ บุญ จึงเป็นชื่อ เรียกแห่งความสุข ที่บุตรนั้นได้ทำอุทิศให้พ่อแม่…ฉันคิดนะว่า คงเป็นการสื่อสารเข้าใจผิดในภาษามากกว่านะครับ
พ่อครูว่า… ถูกต้องแล้ว ท่านเข้าใจผิด ท่านสื่อสารผิดไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้แหละหลวงพ่อศึกษาใหม่ ศึกษาตามผมนี่ฟังดีๆหลวงพ่อ มาตั้งใจฟังดีๆ อยากไปมีอคติ ตั้งใจฟังด้วยดีจะได้ปัญญา จะได้ความเข้าใจที่ดี มาศึกษาก็คงจะอายุไม่ใช่น้อยแล้วล่ะพูดเป็น “ฉัน”นี่ยังกับแก่วัด คำว่า “ฉัน”นี่เหมือนกับหลวงปู่พุทธะอิสระ ไม่ฉันไม่ยอมใช้คำว่าอาตมาเพราะติดยึดคำว่าอาตมาเป็นตัวตนก็เลยใช้คำว่า “ฉัน”มาตลอด ใช้แทนตัวว่าหลวงปู่ เพราะว่าคิดว่าตัวเองระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นหลวงปู่เกิดชาติก่อนๆไปหลวงปู่ ก็เลยใช้แทนตัวว่าหลวงปู่พุทธะอิสระ เอ้า..ตั้งใจดีๆ..หลวงพ่อซันเต๋อ
รูปของอโศกปรับไปตาม กาละ เทศะ ฐานะ
_MoDel ดร.จําลอง.เผยแผ่ สื่อดีมีคุณ . คงทราบดีว่า..ในหลวงเป็นต้นแบบ ในพระพุทธศาสนา จุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชนชาวไทย ทำแบบในหลวงผิด ต้องถูกแบบพระครูโพธิรักษ์กระนั้นหรือ เมื่อก่อนใส่รองเท้าไม่ดี ตอนนี้ใส่เกิบโบกผ้าใบออกกำลังกาย ดีหรือ เมื่อก่อนไม่พิมพ์พระ ไม่หล่อพระ..ดี..ตอนนี้พิมพ์หล่อองค์พระใหญ่ๆ ครบทุกพุทธสถานหรือยังครับ
พ่อครูว่า… ครบหมดแล้ว โดยเฉพาะปางตรีลักษณ์ ในพุทธสถานทุกพุทธสถานมีหมด นอกพุทธสถานยังมีเลย มีปางตรีลักษณ์เล็กๆ อันนี้อธิบายกันดีๆ
อ้างในหลวง ในหลวงต้องอนุโลมไปตาม กาละ เทศะ ฐานะ ที่พอควร ต้องให้ฐาน ของคนที่ยังติดยังยึดไป คนที่ฐานสูงก็เข้าใจ คนที่ฐานเตี้ยก็ต้องให้เขามีฐานรองรับมีบันไดเป็นขั้นๆ
ในหลวงเป็นในหลวงฉันใด อาตมาก็ใช้อันนี้ร่วมกันอยู่ ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่มีฐานที่จะให้บุคคลขึ้น เริ่มแรกๆ อาตมาเคร่งจัดคัดหัวยอดมา คัดผู้ที่รู้ธรรมะเอาเพียวๆสะอาดๆบริสุทธิ์เป็นพุทธแท้ๆมาได้ แล้วก็ค่อยๆมีมวล ก็ลดบันไดลงมา อนุโลมขั้นต่อมาๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อนุโลมไปเยอะ จนอย่างที่ ดร.จำลองว่า อาตมานี่แหละ เดี๋ยวนี้นี่แหม มีพระหล่อพระอะไร จนกระทั่งมีพระองค์ใหญ่ อะไรต่ออะไรต่างๆ เมื่อก่อนใส่รองเท้าไม่ดี เดี๋ยวนี้ก็ใส่รองเท้าแล้ว
มัน กาละ เทศะ ฐานะ มันไม่ได้เที่ยง มันไม่ได้อยู่กับที่อะไร อย่าหาว่าแก้ตัวเลย อาตมาอายุมากขึ้น อาตมาต้องใส่รองเท้าบ้าง ต้องทำเพื่อสุขภาพบ้าง จะต้องมีอะไรที่ใช้สมควรกับอายุขัยสรีระร่างกาย
อย่างที่อาตมาเคร่งจัดก็มีมาแล้วในฐานะที่อาตมามีเหตุปัจจัยพร้อม กาละ เทศะ ฐานะ อาตมาก็ทำเต็มที่ แล้วก็ไปตาม กาละ เทศะ ฐานะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่นโดยไม่รู้แม้แต่สิ่งที่ควร เหตุปัจจัยองค์ประกอบที่มันเปลี่ยนแปลงไป คุณก็ยังยึดมั่นถือมั่นจุดเก่าแบบเก่าอย่างเก่าอันเดียว ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปัจจัยอะไรเลย พาซื่อถือหนึ่งเดียวเป๊ะๆๆถือหนึ่งเดียว คุณจะเคยเคร่งอย่างอาตมาหรือ
อย่างในหลวงท่านจะมาเคร่งอย่างอาตมาก็ไม่ได้ เพราะท่านเป็นในหลวงต้องอนุโลมให้คนเยอะ เพราะฉะนั้นในหลวงท่านจะมาสอนธรรมะเคร่งครัด จนกระทั่งถึงขั้นที่อาตมาเหมือนอย่างอาตมาพาทำไม่ได้ ในหลวงก็ต้องทำตามฐานะของพระองค์ ตาม กาละ เทศะ ฐานะ นี้
อาตมาก็เคยพูดแล้วว่าในหลวงก็คือธรรมิกราชองค์หนึ่ง อาตมาก็คือ ธรรมิกราชองค์หนึ่งมาในยุคนี้ ขออภัยที่ต้องพูดความจริงใครไม่เชื่ออาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร อธิบายความจริงไป ซึ่งเป็นความจริงที่เกิดอยู่ในประเทศไทยนี่แหละ อันนี้ก็เป็นของพุทธ ธรรมิกราช 2 องค์ก็มีตำนานอยู่ชัดๆไม่มีปัญหาอะไร แต่คุณไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาแต่ใครเชื่อก็ยืนยัน
ตัวสำคัญก็คือ ผลทำงาน ในหลวงท่านก็ทรงงานของท่านไปจนท่านสวรรคตไปแล้ว อาตมาก็ทำตามหน้าที่ของอาตมา ทำหน้าที่ของอาตมา แต่มันอันเดียวกัน มันเป็นโลกุตระเหมือนกัน แต่โลกุตระของในหลวงอธิบายเหมือนอย่างอาตมาไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นรูปธรรมมันหยาบ อาตมาค่อยๆอธิบายสู่ฟัง ทวนกระแส อย่างรูปธรรมง่ายๆ พาคนมาจน ขาดทุนของเราคือ กำไรของเรา ซึ่งเป็นธรรมะทวนกระแสของในหลวง เป็นต้น แล้วในหลวงก็ทำได้เท่านั้น ท่านจะพาคนมาจนแบบโพธิรักษ์พาทำไม่ได้ ตายเลย ต้องอนุโลมปฏิโลมมาตามขั้น ตามตอน แต่ท่านก็ตรัสว่าให้มาจน แบบคนจน ขาดทุนของเราคือ กำไรของเรา ท่านก็ตรัสได้ พอลำเนา เอามาลงลึกลงแรงจนกระทั่งเป็นรูปธรรมอย่างโพธิรักษ์นั้นไม่ได้ โพธิรักษ์ทำได้อย่างนี้เป็นต้น
พอเข้าใจไหมล่ะ ถ้าพอเข้าใจก็อนุโมทนาสาธุด้วย ถ้ายังไม่เข้าใจก็ขออภัยที่อาตมาไม่เก่งที่จะทำให้เข้าใจได้ ก็ขอผลัดไปก่อน นี่ก็เป็นด็อกเตอร์จำลอง เผยแผ่ดี อาตมาก็ไม่ใช่นักศึกษาไม่ใช่คนมีความรู้ก็เลยไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร มีคนเดา del ว่า เดลิเวอรี่
ที่ว่า ในหลวงเป็นต้นแบบพุทธศาสนา จุดธูปเทียนเป็นแบบอย่างที่ดี ขออภัยขอยืนยันว่าไม่ดีหรอก แต่ท่านต้องจำนน เหมือนโพธิรักษ์ต้องจำนนหลายอย่างที่จะต้องทำในหลายสิ่ง ต้องทำอย่างนี้แต่พูดไปแล้วมันก็จำนน จำยอม จำใจ จำต้อง ในหลวงท่านก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งถ้าคุณทำได้ก็ถูกอย่างพระโพธิรักษ์ ดี เข้าหลักธรรมพระพุทธเจ้าชัดเจนด้วย ศึกษาดีๆอาตมาไม่ได้ยกตนข่มใครหรอก
คุณยึดมั่นถือมั่นเกินไป ไม่มี กาละ เทศะ ฐานะ ไม่รู้จักองค์ประกอบของเหตุปัจจัยต่างๆ ก็ศึกษาดีๆนะ เอาละก็ขอบคุณ ฟังกันดีๆนะฟังดีๆจะได้ปัญญาได้ปฏิภาณปัญญากันไป ยินดีมาก ดร.จำลอง
_ม่านพร ขวัญสำราญ . ดีมากเลยประทับใจมากๆ แม้จะฟังมาแล้ว 2 รอบ เพราะขึ้นตัวอักษรให้อ่านตามด้วย มีสมาธิตั้งมั่นดีมาก กราบขอบพระคุณค่ะ
_Mrs. Aoranee . นางอรณีย์ กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยความเคารพเหนือเศียรเกล้า พร้อมจะเดินตามพ่อครูไปทุกภพทุกชาติเจ้าค่ะ มั่นใจในหนทางพ่อครูและมั่นใจในตนเองที่จะเดินตามให้จงได้ค่ะ แม้อยู่นอกวัด ยังต้องทำงานรอเกษียณ แต่ไม่เคยตกเรื่องเนื้อสัตว์เลยค่ะ ทำตามพ่อครูสอนอย่างมั่นใจว่าทำตามพ่อครูได้ในขั้นต้น คือถือศีล 5 ละอบายมุข และงดเนื้อสัตว์ ทำได้มั่นคงมานานกว่า 15 ปีแล้วค่ะ
พ่อครูว่า… พากเพียรพยายามศึกษาต่อแล้วก็ปฏิบัติตามต่อไปอีก
SMS วันที่ 23 – 29 พฤศจิกายน 2566
ตัวอย่างหิริโอตตัปปะในสัทธรรม 7
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ ลูกขอรายงานการปฏิบัติธรรมค่ะ ฤดูกาลเกี่ยวข้าวมาถึงแล้ว สามีเดินทางกลับจากงานเป็นลูกจ้างขนขยะที่กรุงเทพ มาช่วยงานเกี่ยวข้าวที่บ้านเสลภูมิ พอมาถึงบ้าน เขาออกไปนา ลูกไปเห็นเขานั่งกินลาบเลือดสดกับพี่ชายของลูก ลูกเกิดความไม่พอใจเขาอย่างมาก อยากเข้าไปเอาลาบเลือดสดเททิ้งค่ะ แต่ลูกได้ระงับใจแล้วไปปรึกษาญาติธรรมค่ะ
ญาติธรรมบอกว่า ทำไมลูกเอาแต่ใจตนมากอย่างนี้ เขาเลิกเหล้า บุหรี่ การพนัน อนุญาตให้ลูกถือศีล 8 แต่ลูกต้องการจะให้เขามาเป็นอย่างลูกทั้งหมดจึงจะถูกต้อง
พ่อครูคะ ลูกขอกราบขอบพระคุณพ่อครูที่สร้างมิตรดี สหายดีให้ลูกๆ ได้เป็นที่พึ่ง ลูกได้เห็นความโง่ที่ออกมาจากอำนาจกิเลสของลูกค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… เห็นไหมหิริโอตตัปปะที่รู้ว่าเราได้แสดงออกความโง่ออกไป เข้าหลักหิริโอตตัปปะพหูสูตไปเรื่อยๆนี่แหละปฏิบัติธรรมะจะเข้าเนื้อหาธรรมะของพระพุทธเจ้ามีสัทธรรม 7 เกิดชัดเจนที่ตัวเองได้แสดงออก บุพเพสันนิวาสานุสติ ญาณระลึกได้ ว่าตัวเองกระทำผ่านมา มันน่าละอายหิริโอตตัปปะอย่างนี้แหละคือเข้าหลักธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ได้วิจัยอะไรไม่รู้เรื่องอะไรแล้วเมื่อไหร่มันจะรู้จักกิเลส เมื่อไหร่มันจะเกิดปัญญา
จะรู้พ้นอัตตวาทุปาทาน ต้องอ่าน รูปนามให้เป็น
_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ช่วยอธิบายคำว่า นามกับรูป มีลักษณะเป็นอย่างไรครับ ช่วยอธิบายคำว่า จบลงที่ศูนย์ด้วยครับ ขอกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ถามทั้งต้นทั้งปลายเลย แสดงว่าซึ้งซื่อนี้ฟังธรรมมาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถามตั้งแต่ต้นกับจบเลย มันยังไง มันรู้แต่พยัญชนะ เอาดีๆฟังดีๆ อย่าเอาแต่พยัญชนะ แล้วเหตุผลของพยัญชนะเป็นตรรกะนี่แหละมันชวนเราชื่นใจนะ ชวนเรา โอ้โห เราเข้าใจ เราฉลาด ที่แท้คืออัตตวาทุปาทาน ยึดได้แต่แค่วาทะภาษาพยัญชนะเป็นอัตตาอยู่นี่คืออัตวาทุปาทาน เขาแปลกันว่ายึดอัตตาแต่เขาไม่รู้ว่าไม่ได้ไม่เข้าใจว่าอย่างไร ส่วนใหญ่เถรสมาคมผู้เรียนรู้เปรียญ 9 ทางศาสนาล้วนแล้วแต่เป็นอัตตวาทุปาทานทั้งนั้น ยึดได้แต่แค่วาทะ พยัญชนะเรื่องราว ความหมาย ความรู้เท่านั้น เป็นอัตตายังไม่ได้เข้าถึงสภาวะเลย เป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ทางศาสนาเยอะแยะ มีอุปาทานข้อที่ 4 หนัก
เพราะฉะนั้นอุปาทาน 1 2 3 4 ไม่ต้องพูดถึงยังมีครบพร้อม เพราะในตัวที่ 4 นี้ยืนยัน ว่าได้แต่ผิวเผิน มีอัตตาอยู่แต่แค่วาทะ นี่คือตัวสุดท้าย อัตตะวาทุปาทาน รวมความโง่เป็นอุปาทานยึดอยู่เต็มคราบเลย นี่แหละ
ทีนี้มาอธิบายคำว่า นามกับรูป ถามมาก็ตอบไป
นามคือธาตุรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้นี้จะต้องรู้ ภายนอกเราเรียกว่ากามาวจร ภายในเราเรียกว่ารูปาวจรหรืออรูปาวจร
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตามลำดับต้องเอากามาวจรก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้ทางข้างนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นรูปข้างนอกแล้วปฏิบัติกิเลสที่เกิดจากข้างนอกให้ลดลง
กิเลสลด กิเลสดับข้างนอกได้แล้ว เหลือกิเลสเข้าไปข้างในเรียกว่ารูปาวจร ก็ต้องค่อยไปล้างกิเลสตัวนั้นต่อ ถ้าไม่สามารถดับกิเลสในกามาวจร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้แล้ว หลับตาไปจะดับกิเลสในรูปาวจร อรูปาวจร นั้นเป็นการลัดขั้นตอน ไม่เป็นไปตามลำดับอย่างอัศจรรย์ มันเป็นการทำที่ผิดขั้นตอน
หยาบ มันยังไม่ได้ แล้วจะไปทำละเอียด คุณจะบดทุเรียน
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยยกว่า เจาะทุเรียนกินเนื้อใน
พ่อครูว่า… มันต้องทำข้างนอกก่อนถึงจะไปถึงข้างใน อันนี้ก็ทำไมถึงดันทุรังก็ไม่รู้ ไปทำข้างในก่อนข้างนอกมันได้ยังไง ศาสนาพระพุทธเจ้า ข้างนอกมันหยาบ ข้างในมันละเอียด จะไปทำละเอียดมาหาหยาบ มันจะได้ยังไง ไประเบิดข้างในแล้วข้างนอกก็พังด้วยหรือท่านสอนอย่างนั้นจริงๆ เนาะ สู่แดนธรรมเขาเคยไปเรียนไปบวชมาทางโน้นเขาก็เลยรู้ผ่านมา อาตมาก็รู้ก็ผ่านมาเคยอยู่กับพระทางที่นั่งปฏิบัติแบบนี้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นนามกับรูป ก็ง่ายๆ เป็นเบื้องต้นที่รู้ว่านามคืออาการของจิต รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเกี่ยวข้องกันเรียกว่านามรูป คือกาย ปฏิบัติธรรมต้องมีกาย สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องมีนามมีรูป ต้องมีภายนอกภายใน อธิบายซ้ำซาก
เข้าใจคำว่ากายคำว่า นามรูปหรือภาวะ 2 เทวะไม่ได้ ไปแยกส่วน โมฆะ ไปเข้าใจว่ากายเป็นสรีระ ผิด กายเป็นสรีระไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเรียนมา จะเป็นเปรียญ 9 จะเป็นด็อกเตอร์ จะเป็นปราชญ์ทางธรรมขนาดไหน ทางพุทธนี่แหละ ขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังแปลคำว่า สรีระ แปลว่า ร่างกาย ผู้นี้แสดงว่ายังเข้าใจกายยังไม่ได้ ยังไม่พ้น สักกายทิฏฐิ เพราะสรีระไม่มีกายเป็นแต่เพียงร่าง รูปร่าง เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณ อสรีระ มโนวิญญาณนี่ อสรีรัง ไม่มีสรีระ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ท่านตรัสไว้ชัด
เพราะฉะนั้นคำว่า จิตวิญญาณ ไม่มีสรีระ แต่สรีระก็ไม่มีจิตวิญญาณ สรีระไม่มีวิญญาณ ใครยังแปลสรีระว่าร่างกาย แสดงว่ายังไม่พ้น สักกายทิฏฐิ หรือไปแปลกายว่า ร่างก็ไม่ได้ สรีระนั้นท่านมีแปลในพจนานุกรมว่า สรีระท่านแปลว่า ซากศพ ถูกต้อง สรีระคือซากศพ สรีระไม่มีจิตวิญญาณประกอบ สรีระคือ ซากศพถูกต้อง
เพราะฉะนั้นคำว่า กาย คำเดียว เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมมาก จนกระทั่งกาย ก็กลายมาเป็นภาษาไทยสนิทแล้ว แล้วก็เข้าใจกันผิดสนิทด้วย พากันเข้าใจในภาษาไทย “กาย”แปลว่า สรีระ.. ผิด สรีระไม่มีกาย
สรีระคือ ถ้ามีกาย มีสรีระด้วยได้ มีภายนอกด้วยได้ มีร่างร่วมด้วยได้ แต่จะไปแปลสรีระว่า ร่างกายไม่ได้ สรีระต้องแปลว่าร่างคำเดียว เพราะสรีระคือซากศพ อสรีรัง จิตวิญญาณไม่มีสรีระ เข้าใจชัดขึ้นไหม นี่คำตรัสพระพุทธเจ้า อสรีรัง
มี อนิทัสสนัง ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้
อนันตัง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด
สัพพโต ปภัง แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง
ทูรังคมัง ไปได้ไกล (เดินทางไวกว่าแสง)
เอกจรัง ไปแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับใคร
อสรีรัง ไม่มีรูปร่าง หน้าตา หรือรูปทรง
คูหาสยัง อาศัยกายเป็นขอบเขตคูหากำบังอยู่
เพราะฉะนั้นต้องศึกษาดีๆไม่ใช่ง่าย นี่ศาสนาพุทธมันเสื่อมมากแล้วก็เข้าใจผิดกันเยอะ
เรื่องนามกับรูปก็ไปด้วยกันแต่แยกกันได้ อธิบายให้ชัดเจนแต่ไม่แยกกันในเวลาปฏิบัติ ปฏิบัติต้องไม่แยกกัน แต่จะแยกมาเป็นความรู้ได้ หรือแม้ที่สุดแยกได้ในการทำใจในใจสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ ทำใจให้เป็นอุตุก็แยกได้ ทำใจให้เป็นพีชะก็แยกได้ ใจทำเป็นจิตนิยามให้เป็นพีชะอุตุได้ ผู้ทำอย่างนี้ได้ก็จบกิจ เป็นพระอรหันต์
ฟังดีๆนะอธิบายธรรมะพุทธเจ้าเป็นอภิธรรมต่างๆพวกนี้ อธิบายอย่างภาษาอาตมาไม่ได้อธิบายอย่างภาษาที่ท่องมาตามตำราแล้วก็ไป ออกนอกตำราไม่ได้นะ เพราะว่าเขาเป๊ะๆเลย ยิ่งนักวิชาการ คำนี้ต้องแปลอย่างนี้เลยนะ อย่าไปแปลอย่างอื่นนะ ถ้าแปลอย่างอื่นไปไม่ถูกเลยทีนี้เดี๋ยวหลงทางพากันเข้าป่าเลย
แต่ที่อาตมาพูดนี่ พูดภาษาสภาวะเป็นหลัก ไม่ได้ติดยึดในภาษา โดยเฉพาะภาษาสมัยนี้ภาษาของพวกเราสมยุค สมสมัย ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล ยุค ดิจิตอล wallet เอาละไปเรื่อย พอ
เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้จักสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้ด้วยตั้งแต่มันเป็นอุตุ ข้างนอก ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น
พืชที่ตัดออกมาจากเชื้อชีวิตมันแล้วนั่นแหละ อย่างผลหมากรากไม้ ต้นไม้อันนี้ยังไม่ได้ออกจากดินยังอยู่เป็นชีวะ เราก็รู้มันมีชีวะหรือไม่มีชีวะ เราก็จะเข้าใจธรรมะนิยาม 5 มันตาย โดยเฉพาะธรรมะนิยาม 5 ถ้าไม่เข้าใจสภาวะธรรมนิยาม 5 อย่างถูกต้อง ไม่มีทางเป็นอรหันต์
เพราะฉะนั้นธรรมะนิยาม 5 นี้ ท่านเรียกว่าเป็นกรรมฐาน 5 มาบวชแล้วจะต้องไปนิพพาน ผู้ที่จะไปนิพพานได้ต้องเข้าใจแยกกายแยกจิตในธรรมนิยาม 5 ให้ได้ ถ้าแยกกาย แยกจิตในธรรมะนิยาม 5 นี้ไม่ถูก ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอรหันต์ อาตมาก็อธิบายไปจนไม่รู้กี่ ตลบแล้ว
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะเอาอะไรมาจะอธิบายก็ได้ เมื่อไหร่มันเป็นกาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย เมื่อไหร่เป็นจิต เมื่อไหร่จิตทำให้เป็นกาย เมื่อไหร่ จิตที่ทำให้ไม่มีกาย เป็นอุตุ เป็นพีชะ จิตต้องรู้ จิตต้องทำได้ ทำได้ในปัจจุบันนี้จึงจะเป็นอรหันต์
อุตุไม่ใช่จิตไม่ใช่ชีวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ต้องแยกให้ชัดเลยว่าจิตของคุณที่จะมีลักษณะอุตุ เป็นอย่างไร
ลักษณะของอุตุคือ มันไม่มีความรู้สึก มันเป็นพลังงานฟิสิกส์เป็นพลังงานทางวิทยาศาสตร์โลกเขาเข้าใจ เป็นพลังงานของสสารกับพลังงานเท่านั้น ไม่มีชีวะอะไร อุตุดินน้ำไฟลมเป็นต้น
พอเริ่มเป็น พีชะ มีชีวะขึ้นมา มีธาตุรู้ในตัวมัน เรียกว่ามีสัญญากับสังขาร เป็นพลังงานสัญญากำหนดรู้สังขาร สังขารตัวมันเองแล้วมันก็เลือกธาตุที่จะมาสังขารร่วมกันในชีวะ แต่มันไม่ไปรบกวนใคร ไม่เป็นโทษภัย ไม่จองเวรจองกรรม ไม่เป็นภัยกับใคร ไม่มีวิบาก
เพราะฉะนั้นถ้าคนเข้าใจไม่ได้ว่า ต้องทำพลังงานจิตให้เป็นพืช นั่นคือฐานไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์ พืชไม่มีเวทนาไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ มีแต่สัญญากับสังขาร อาตมาก็อธิบายมาหมดแล้ว เมื่อมันมีจิตนี่แหละ จะเป็นจิตที่มีตัวรู้ครบ รู้ภาวะที่มีลักษณะที่เป็นอุตุ ที่เป็นพืช แล้วทำจิตในจิตของเราเป็นพวกนี้ได้อาศัย คุณทำให้อาศัยเป็นพืช คุณก็ไม่ทุกข์ไม่สุข จนสามารถทำจิตนี่ให้เป็นอุตุได้ ก็แยกธาตุจิตเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมได้ คุณจะตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิต ไม่ให้จิตมันเกาะกุมกัน แม้แต่เป็นพืชก็ไม่เหลือแยกปล่อยวางหมดเลย คุณก็หมด ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลย
อาตมาก็อธิบายไปหมด ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอีกอันหนึ่งก็คือ ไม่มีใครในยุคนี้อธิบายแบบอาตมาได้ จบเปรียญ 9 จบ Post Doctor มา ในทางศาสนาพุทธนี่แหละ คุณจะไปเอา post Doctor มาจากเทวนิยมอีกกี่ใบก็ตาม แม้แต่ในเมืองไทย ขออภัยที่ต้องพูดความจริงอย่างนี้ อาตมาได้พูดไปหมดแล้ว ในหนังสือเรื่อง เกิดมาชาตินี้ สารภาพพวกนี้ไว้หมดแล้ว ไว้ค่อยอ่าน เขียนจบไปแล้วล่ะ ให้เขาไป Edit แล้ว
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านจะพูดความจริงอย่างไรเขาก็เถียงไม่ได้นะครับ โดยเฉพาะที่บอกว่าไม่มีใครอธิบายแบบอาตมา ถ้าใครสงสัยก็ให้ถามว่าคุณอธิบายอย่างนี้มาก่อนหรือไม่
พ่อครูว่า… เถียงมาก็เอาพระไตรปิฎกยื่น อาตมาเอาจากไหนมาอธิบาย ถ้ามันไม่มีในความรู้ของอาตมา แล้วอาตมาจะเอาความไม่รู้มาอธิบายความรู้มันก็ไม่ได้ มันไม่ได้ มันก็ต้องมีความรู้ แล้วความรู้อาตมาเอามาจากไหน ก็เรียนมาพระไตรปิฎกก็อ่านภาษาไทยได้ทั้งนั้นเหมือนกันหมด หลายคนอาจจะอ่านภาษาไทยเก่งกว่า อาตมา อาตมาอ่านยากอ่านช้า อาตมาไม่ใช่นักศึกษา แต่อาตมาเป็นนักมีความจริง อาตมาไม่ใช่นักศึกษา
มาชาตินี้ไม่ได้เป็นนักศึกษายิ่งใหญ่อะไรเลยแล้ว ก็ไม่ค่อยจะได้ศึกษาไม่ถนัดการศึกษา ถนัดการแสดงออกเอาความจริงมาเปิดเผย ขนาดนั้นเวลาก็ยังไม่พอ ทำงานมาขนาดนี้ก็ยังได้แค่นี้ ไม่เก่ง
จบลงที่ 0 คือความสมบูรณ์ในการจบกิจ 4
เพราะฉะนั้นถามอีก คุณซึ้งซื่อถามว่า จบลงที่ศูนย์ด้วย ให้อธิบายคำว่าจบลงที่ศูนย์ นามกับรูปก็เป็นเรื่องของ 2 สภาวะตั้งแต่อุตุพีชะไปถึงข้างในเป็นรูปจิต อรูปจิต ด้วย ก็อธิบายไปแล้ว ส่วนจบลงที่ศูนย์นั้นก็คือมันสมบูรณ์แบบ สูญการเขียนอย่างสันสกฤต ถ้าเขียนอย่างบาลีก็ ศูนย์ เอามาเป็นภาษาไทยก็เลยแยกเป็น 2
ศูนย์ ก็เอาไปเป็นเรื่องของรูป ศูนย์กลาง
สูญ กลายเป็นนามธรรม คนไทยก็ฉลาดเอามาใช้ ภาษาสันสกฤตบาลีก็อธิบายเป็นอันเดียวกันแต่คนไทยเอามาใช้เป็นสภาวะ 2 ได้
_สู่แดนธรรม… เหมือนตึกเรา
พ่อครูว่า… ตึกเรามี2ชื่อ ทั้ง 2 0 เลยคือ ศูนย์สูญ จบลงที่ 0 ก็คือสภาพที่สมบูรณ์แบบ มันหมดไม่มีตัวติดขัดแล้ว มันลงตัวหมดแล้ว ผู้จบลงที่ศูนย์นี้ เป็น 1 ก็ได้ เป็น 2 ก็ได้ เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 Infinity ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถไม่มีอะไรข้องติด ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ เข้าใจสภาพจบ จบเป็นรอบๆ อาตมาก็อธิบายความจบกิจมาแบ่งเป็น 3 หรือ 4 ส่วน 4 แบบใหญ่ๆ
-
จบกิจจากความดีความชั่ว ทำความดี ไม่ทำความชั่วอีกเลย ถ้าแบบของพระพุทธเจ้าแล้วดีมันเป็นนิยตะ ดีถาวร ไม่ไปทำชั่วอีกเด็ดขาด แต่ของโลกียะเขาดีได้ อย่างเก่งก็ดีได้ชาติหนึ่ง ตายชาติหน้านี้ก็หมุนเวียนตกต่ำทำชั่วได้อีก แต่ของพุทธดีแล้วตายชาติหน้าก็ยังดี ตายไปอีกกี่ชาติก็ดี จึงเรียกว่าดีอย่างนิยตะ ดีอย่างเที่ยง นี่คือจบกิจขั้นที่ 1 อธิบายดีชั่วแบบโลกีย์
-
จบกิจสิ้นทุกข์สิ้นสุข นี่เทวนิยมหรือทางโลกศาสนาเทวนิยมไม่รู้เรื่องทุกข์แต่เป็นสุขนิยมติดสุขแต่ของพุทธนี้ ล้างสุขล้างทุกข์จบกิจล้างสุขล้างทุกข์ได้เป็นอรหันต์ ที่นี้จบกิจอันที่ 3
-
เรียนรู้เรื่อง สูงกว่านั้นมากกว่านั้น เกี่ยวถึง กาละ เกี่ยวถึงกรรม เป็นภพภูมิของอรหันต์ของโพธิสัตว์เพราะฉะนั้นอรหันต์มีอีกหลายขั้นที่อธิบายไปแล้ว เป็นโพธิสัตว์ที่จะรู้ถึงเกี่ยวข้องกับภพภูมิอื่น ชาตินี้ภพภูมินี้ ชาติหน้าเป็นภพภูมิที่กว้างขึ้น เป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นภพภูมิก็ยิ่งสูงขึ้น เกื้อกูลรู้จักสิ่งเป็นองค์ประกอบต่างๆนานาทั้งรูปทั้งนาม ก็ช่วยมนุษยชาติ ช่วยเรื่องสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่ในโลกได้พิสดาร ได้กว้างขวางมากขึ้นๆ นี่คือจบกิจ อันที่ 3
-
ทำกาละ รู้จักกาละ ทำกาละแปลว่าทำความตาย ที่จริงแล้วทำกาละ โดยที่ยังไม่ตายก็ได้ จึงเป็นผู้ที่อยู่เหนือ เหนือกาละ เหนือกรรม เพราะทำกรรมด้วยกรรม กรรมเป็นที่สุดของอัตตา ตัวคนก็มีกรรมเป็นที่สุด โดยทำกรรม โดยทำใจในใจของตัวเอ ง เป็นต้น ทำที่สุด ยังอยู่ในกาละหรือไม่อยู่ในกาละ ทำตัวเองเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย หมด คนนี้ไม่เหลือเชื้อของความเป็นตัวตนที่จะอยู่ในกาละ