661231 พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1WW4AICfEam7ahEBl7IfYTe0j_RSYtAFz/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Myn_mlDgiICrMQZm8N3DIeqNvDhp9W-C/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/iN1A1OeCmqw
และ https://fb.watch/ph1A8zqLdx/
มีซับ
53 ปี อโศกโมเดล เพื่อมวลมนุษยชาติ
พ่อครูว่า…เจริญธรรมส่งท้ายปีเก่า วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
มีผู้สรรเสริญส่งท้ายปีเก่ามาหลายราย แต่ขออ่านคนเดียว
กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่ง
เนื่องในวาระปีใหม่ ๒๕๖๗ ที่จะย่างเข้าสู่ ๙๐ ปี ของพ่อท่าน และ ๕๔ ปีโพธิกิจ
ขอนอบน้อมสำนึกยิ่ง ในกรุณาธิคุณของ ผู้กอบกู้ ที่ทุ่มเทแก่มวลมนุษยชาติ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… อธิบายเนื้อหาในอาณีสูตร ที่ว่าด้วยกลองอานกะ ที่เวลานานต่อมา ไม้ก็ผุ หนังก็ขาด ต้องเปลี่ยนไม้ เปลี่ยนหนัง เสียง ก็เปลี่ยน แต่ชื่ออานกะดังเดิม เช่นเดียวกับศาสนาพุทธที่เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว
พ่อครูว่า…
_บ้านเล็กเมืองน้อย…เมื่อ “อาณีสูตร”เป็นจริงในยุคกึ่งพุทธกาล
…สาวกภาษิตได้ยึดครองกลองอานกะ
…พวกชอบนอน ในท่านั่ง
…นักท่องอนาคตระลึกอดีต ด้วยการ ignore ปัจจุบัน
…ผู้หวังนิโรธ แต่ปิดสวิทซ์การรับรู้
…พวก Choir ประสานเสียงบาลี
พ่อครูว่า… คำว่าผ้าป่า คือผ้าผืนนี้ เป็นไตรจีวรหรือผ้าที่ภิกษุจะเอาไว้ใช้ เป็นผ้าที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นผ้าบังสุกุละ เป็นผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้ เสร็จแล้วผู้ที่เห็นว่าของนี้เป็นของทิ้ง เช่น พระบางรูป ก็มาขอไปเถอะเอาไปใช้ จะไม่เป็นบาป ไม่เป็นหนี้อะไร ซึ่งเป็นผ้าที่เลอะเทอะไปหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นพวกที่ทำงานศาสนาอยู่ก็กลายเป็นพุทธพาณิชย์ไปหมด กฐินก็พาณิชย์ ผ้าบังสุกุลก็พาณิชย์ ทำกิจกรรมอะไรต่างๆนานาก็พาณิชย์หมด สวดมนต์สวดพรก็พาณิชย์ทั้งนั้น
_บ้านเล็กเมืองน้อย…สายมู ติ่งพุทธพาณิช และพวกวุ้นตาเสื่อมชอบเห็นแสงทั้งหลาย จึงครองพุทธจักร ! …แล้ว “ฆ่าพุทธศาสนาด้วยเจตนาที่แสนดี”
บุคคลในข้อ 10 ของสัมมาทิฏฐิ 10…
พ่อครูว่า… คนนี้เชื่อว่าอาตมาเป็นบุคคลข้อที่ 10 นี้ เป็นผู้ที่มายืนยันธรรมะเอง ไม่มีใครเป็นครูบาอาจารย์ สิ่งที่นำมาเทศน์มาบรรยายออกไปแล้ว มันค้านแย้งกับกระแสหลักด้วย มันค้านแย้งกับที่เขานับถือเป็นครูบาอาจารย์ เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธกันอยู่ทั้งโลก ขออภัยกันทั้งประเทศ มันค้านแย้งเลย มันก็ต้องเป็นของอาตมาอย่างหนึ่ง ของทางโน้นอีกอย่างหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน คนละอย่าง เพราะฉะนั้นก็ต้องของคนใดคนหนึ่งถูก ของใครอีกคนหนึ่งผิด แล้วอาตมาก็เอามาบรรยาย ขยาย ประกาศ บอกว่าอย่างนี้ๆ โดยพระพุทธเจ้าท่านตรัส ชี้บ่งลงไปถึงความหมายของสิ่งที่จะเอามาเป็นหลัก ชี้บ่งว่าเป็นพุทธ ก็คือเป็นผู้ที่รู้โลกนี้โลกหน้า อธิบายโลกนี้โลกหน้า ให้เข้าใจด้วย ได้อย่างลึกซึ้ง
เอาคำว่าโลกนี้โลกหน้ามาถามพวกเรา โลกนี้คือขณะนี้ โลกหน้าคือขึ้นไปจากนี้ โลกที่ไม่ใช่โลกที่ขึ้นไปจากนี้ หรือโลกที่ต่างไปจากโลกนี้ โลกที่ต่างไปจากโลกนี้
สรุปง่ายๆก็คือ โลกนี้คือโลกียะ โลกหน้าคือโลกโลกุตระหรือโลกที่ต่างไปจากโลกนี้ โลกนี้คือโลกียะทั้งนั้นเทวนิยมหมดทั้งโลกหรือแม้แต่ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิเองเขาก็คือคนโลกนี้ แต่คนที่เข้าไปสู่โลกหน้าคือโลกโลกุตระได้คือคนโลกอื่นคนต่างดาวที่เป็นโลกใหม่โลกอื่นไม่ใช่โลกไอ้ที่เคยอยู่แล้ว นี่อาตมาเอามาอธิบาย เอามาแยกแยะ โลกนี้โลกหน้า แล้วพิสูจน์กันด้วย
เอาโลกหน้าไปได้ไหม … ได้ โอ้โห! พวกนี้ออกนอกโลกได้ โอ้โห!..เก่งกว่าพวกนาซ่านะเนี่ย
_สู่แดนธรรม… พวกเราก็คอยฟังอยู่ว่าเมื่อไหร่ก็พ่อท่านจะถามครับ
พ่อครูว่า… ก็ถามไปแล้ว ก็ตอบมาแล้วด้วย ถามไปตั้งหลายประเด็น วันนี้งงๆเมาๆยังไง
_บ้านเล็กเมืองน้อย…พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ จึงจำเป็นต้องทวนกระแสอันเชี่ยวกรากอย่างไม่ย่อท้อ “ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส” เพื่อกอบกู้พุทธศาสนา …รื้อขนสัตว์อย่างไร้อลังการ ด้วยโลกุตระธรรมเพียวๆ จนเกิดเป็นธรรมฤทธิ์
พ่อท่านเริ่มหงายของที่คว่ำ ให้รู้จักว่า “คนคืออะไร?”…ให้มนุษย์รู้จักดีชั่ว….ซึ้งใน “รหัสกรรม” …เข้าใจ “สัจจะชีวิต”
ด้วยการ “คั้นออกมาจากศีล” โดยเน้นปฏิบัติจรณะ 15 ที่มีอปัณกะปฏิปทาเป็น “ทางเอก” ให้หิริโอตตัปปะ จนเกิดสุจริต 3 จึงจบกิจโลกีย์ เป็นคนมี “วรรณะ 9” …รวมหมู่ร่วมกลุ่มอยู่กันใน “บวร” ด้วยระบบ “พอเพียงแบบพุทธ”
แล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจจนสำเร็จด้วย “เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ” โดยการ “เปิดโลกบุญนิยม” แทน “ทุนนิยมแย่งชิง” (โลกาธิปไตย)
ทั้งแจกฟรีและต่ำกว่าทุนใน “ตลาดอาริยะ” …ช็อกเศรษฐีด้วย “ขาดทุนคือกำไร” !
พ่อครูว่า… การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเขาจะแก้ให้คนไปรวยนั้นมันจะไปแก้ปัญหาได้ยังไง เพราะมันจะแย่งกันไปรวย แล้วทรัพย์สินเศรษฐศาสตร์ เขาก็อธิบายว่า เป็นของที่มีอยู่จำนวนหนึ่งในโลกแล้วเอามาแบ่งกัน ก็มันแย่งกัน ยุให้แย่งกัน แล้วจะบอกว่าแบ่งกัน พูดยังไงแล้วมันทำยังไง นักเศรษฐศาสตร์ มันเป็นคนวิปลาสหรือเปล่า ก็บอกว่าเอามาแชร์แบ่งกัน แต่เขาก็ยุให้แย่งกัน ต่างคนต่างยุให้รวยไง แล้วมันก็จะต้องแย่งกันแย่งกันแย่งกัน เขาพูดอย่างหนึ่งนะ แล้วคนก็จะต้องทำอย่างที่เขาพูด แล้วมันจะได้ผลตามที่เขาพูดไหม
เขาสับสนหรือเปล่า เป็นคนสับสนหรือไม่ จัดอยู่ในวิปลาสนะ มันเห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่มีตัวตนว่าเป็นตัวตน เห็นความไม่น่าได้ ไม่น่ามีว่าเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามี วิปลาส 4 ครบเลย
นี่แหละเห็นแล้ว เห็นคนนักเศรษฐศาสตร์ก็เรียนตำรามาอย่างนี้ เรียนตำรามาอย่างวิปลาส 4 สับสน จะให้คนได้รับส่วนก็ต้องให้คนเข้ามาลดส่วนได้เอาไปแบ่งปันกันมันก็จะสำเร็จ
ถ้าเผื่อว่าตอนนี้สมมุติง่ายๆ มีเงิน 100 บาท มีคนอยู่ 4 คน แล้วคุณก็มายุกันว่า เอ้า..ทุกคนจงรวย จงรวย คนก็จะแย่งกันไป ไอ้คนเก่งจะได้ไป 99 บาท อีกบาทหนึ่งมาแบ่งกัน 3 คน
_สู่แดนธรรม… ได้คนละ 33 สตางค์
พ่อครูว่า… มันไม่ลงตัวด้วยจะต้องมาแย่งกันตีกัน เหลืออีก 1 บาทมาแบ่งกัน 3 คน นี่สมมุติให้ฟังง่ายๆ
และเขาทำไม่สำเร็จหรอก จะแบ่ง เอาน่ะ แบ่งคนละ 25 สตางค์ให้ 4 คน เขาจะทำสำเร็จหรือ ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ล้างกิเลส ไม่ทำให้คนนี่ เฮ้ย อย่าไปแย่งกัน มาจนเถอะ ทุกคนไม่มีตัวตน มันก็เลยได้เท่ากัน แล้วเขาก็พูดนะว่าเขาจะต้องเสมอภาค จะไม่เหลื่อมล้ำ จะต้องเท่ากัน ขี้หมาแน่ะครับ มันเป็นไปไม่ได้ มีแต่พูดโวยๆๆๆ แต่มันปฏิบัติจริงไม่ได้
เพราะฉะนั้นต่างคนต่างไม่เอา ก็เหลือ ก็แบ่งเท่ากันได้อย่างสบาย เพราะต่างคนต่างศูนย์ก็ได้แล้ว หรือเรามีน้อยก็ได้แล้วเราขาดทุนก็ได้ เรามีไม่เท่าพวกคุณหรอก คุณเอาไปได้มากก็ได้ แต่เราศูนย์ก็ได้ มี 100 คุณเอาไปเลย คุณเอาไปแบ่งกัน 3 คน เราเอาน้อยที่สุดก็ได้ ทุกคนก็เอาไปคนละ 30 บาท เราได้เหลือ 10 เราเอา 10 ก็ได้ คุณเอาไป 30 มันก็สงบ มันก็เรียบร้อย มันก็ลงตัว
อย่างพวกเรานี้มาเรียนจนกระทั่งศูนย์ นี่เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ของโลกที่ทำให้คนมาอยู่รวมกัน แล้วทุกคนไม่แย่งชิงเอาเข้าส่วนกลางแบ่งกินแบ่งใช้อยู่ในนี้ ไม่ต้องเอาเงินเป็นตัวตั้งด้วย ต่างคนต่างมาสร้าง
โอ้โห ปีนี้ เขาไม่ได้ขุดดิน ปลูกผักกาดหัว ปีนี้เลยออกมาเป็นพญานาค ผักกาดหัวพญานาค ถ้าเป็นผักกาดที่อื่นเขาไปจุดธูปจุดเทียนบูชากันไปแล้ว ทั้งหมด 7 เศียร โอ้โห! ยอดเยี่ยมเลย
นี่คือผลผลิตในที่นี่ ไม่ได้ขุดดินมันเลยจุ้มปุ๊ก ไอ้นี่ก็ออกแยกเลย 7 เศียร พญานาค 7 เศียร ถ้าเป็นที่อื่นก็จุดธูปจุดเทียนกันแล้ว ขอหวย
พูดถึงเรื่องชาวพุทธไปเที่ยวได้จุดธูปจุดเทียนบูชาของประหลาดอะไรบูชาเคารพ ขอให้เจริญอย่างโน้นอย่างนี้ นี่มันแสดงถึงความเสื่อมของความรู้ศาสนาพุทธกันชัดๆเลย โอ้ ไปนับถือไอ้ที่ลึกๆลับๆ มีพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าเรื่องเข้าราว มีพลังบันดลบันดาลพลังอะไรต่ออะไร
ศาสนาพุทธไม่ได้สอน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องเหล่านี้เลยพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรม กรรมอันเป็นปัจจุบัน กรรมหรือการกระทำทางกาย วาจา ใจ นี่นะ การกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นปัจจุบัน แล้วมันเป็นผลอะไรขึ้นมา มันเกิดอะไรตามจากการกระทำนั้นขึ้นมา อันนั้นต่างหากล่ะคือของจริง ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเกิดจากเหตุปัจจัยของกรรมทางกายที่คุณทำได้ กรรมทางวาจาที่คุณทำได้ มาจากมโนเป็นประธาน
ทำออกมาแล้ว เป็นผลผลิต เสร็จแล้วคุณก็บริหารผลผลิตนั้น นี่พึ่งอันนี้
อย่างผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์ขึ้นมาเลยอย่างกสิกร ทำงานของกสิกร ก็กสิกรรม กสิกรรมก็คือ ทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร เมื่อทำแล้วก็เกิดผลผลิตขึ้นมา เมื่อเกิดผลผลิตขึ้นมาแล้วก็อาศัยผลผลิตนั่นแหละยังชีพไปเลย ชั้นเดียวไม่ต้องหลายชั้น
พวกมาซื้อพืชพันธุ์ธัญญาหารกินคือพวกคนชั้น 2 คนกสิกรที่สร้างกสิกรรมผลผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นมานี่เป็นคนชั้น 1 พวกที่ทำไม่เป็น ต้องมาอาศัยพืชพันธุ์ธัญญาหารของคนชั้น 1 สร้างขึ้นมาให้ แล้วคุณก็ทำทีเป็นซื้อ แล้วเขาก็ไม่ขายแพงด้วย
กสิกรจะทำตั้งแต่ข้าว ขายแพงไม่ได้ ขายแพงคนจนตาย คนรวยนั้นมันไม่ต้องห่วงหรอก ขายแพงไม่ได้ มันจะขึ้นราคาเหมือนอุตสาหกรรม เหมือนเพชร เหมือนทองไม่ได้ ไอ้นี่ต้องขายถูก นี่เป็นข้อจำกัดเลย
เพราะฉะนั้นคนที่ทำ คนชั้น 1 ที่เป็นกสิกร เป็นคนชั้น 1 ของโลก คนที่มาซื้อกินเป็นคนชั้น 2 ยิ่งคนทำไม่เป็นเลย ก็ทำอะไรต่ออะไรไปจนกระทั่งไปหาวิธีการซับซ้อนอะไรในสังคม วิธีการเล่นหุ้น วิธีการเล่นธนบัตร วิธีการประกันชีวิต เขาเรียกอะไรกันไม่รู้ที่เขาเรียกว่าเป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง เรียนกันซับซ้อนแล้วผู้ใดสามารถที่จะให้คน หมุนเงิน ซึ่งเอาไปเป็นตัวกลาง หมุนธนบัตรเป็นตัวกลาง แล้วเอาธนบัตรนี่เป็นพระเจ้าใหญ่เลย สามารถซื้อได้หมดเลย แม้แต่ซื้อชีวิต ซื้อความเป็นทาส ได้เลย
ทุกวันนี้อย่านึกว่าความเป็นทาสไม่มีนะ มันมีแต่มันซับซ้อนลึกซึ้งเหมือนกับวิธีการหากินของเขาพวกนี้ ซับซ้อนลึกซึ้งมากเลย นั่นน่ะ เพราะฉะนั้นคนเหล่านั้นเขาจะซับซ้อนจะเฉลียวฉลาด แล้วเขาก็มาประพฤติปฏิบัติกับมนุษยชาติเอาเปรียบอาศัยหากินกับมนุษยชาติเอาเปรียบ บาปทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นกสิกรนี่เป็นคนชั้น 1 นี่ ยังไงๆก็ไม่มีบาปเหมือนคนเหล่านั้น กสิกรไม่บาปเท่าคนที่มีอาชีพไม่ใช่กสิกร เพราะเป็นคนชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ยิ่งพวกที่ได้ความได้เปรียบ มีการเอาเปรียบด้วยเชิงคิดที่สูงหลายชั้น ยิ่งบาปมหาศาลเลย ยิ่งบาปหลายชั้น ยิ่งบาปหลายชั้น เป็นคนบาปหลายชั้น
นี่คือความไม่เข้าใจสัจธรรม เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจสัจธรรมอย่างพวกเราชาวอโศกจึงเข้าใจแล้วว่ามาเป็นกสิกรนี้ดีที่สุด แต่มันได้เรื้อมานานหลายชาติจริงๆ ชาวอโศกนี่แหละ อยากมาเป็นแต่มันไม่ถนัด มันก็เลยเกิดความไม่ค่อยชอบไม่ถนัดไม่ค่อยชอบ แต่เข้าใจแล้วชัดเจนขึ้นแล้ว
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญา เหมือนอย่างหมอฟากฟ้าหนึ่ง เห็นไหม เรียนหมอเสร็จแล้วบอกว่ารู้อย่างนี้ไม่เรียนแล้ว เกิดมาเป็นกสิกรดีกว่า เห็นไหมหมอฟากฟ้าหนึ่งก็พูดตรงๆเลย นี่อย่างนี้เป็นต้น นั่นคือปัญญาปฏิภาณของเขาที่มี เข้าใจจริงเห็นจริง นี่ของเรามีคนจริงเอามายืนยันพวกเราก็รู้อย่างหมอฟากฟ้าหนึ่ง เขาก็บอกโอ้โหอุตส่าห์เอาชีวิตมาเป็นกสิกร ทำฟันก็มาทำให้พวกเราฟรีอย่างเดียวไม่ได้หาเงินหาทองอะไร หรือคนอื่นมาก็ทำให้ฟรีอย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจจะที่มันลึกซึ้งซับซ้อน
เมืองไทยอาตมาก็เคยพูดไปบ้างแล้วและก็อยากให้เป็นจริงๆด้วย พยายามเถอะ ถ้าเมืองไทยเราเป็นเมืองกสิกรรม อาตมาไม่กล่าวถึงปศุสัตว์เท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นประมง ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ แต่เอาเถอะเขาก็มีไปตามประสาเขา ไปตัดทิ้งไม่ได้หรอก แต่อาตมาก็จะมาเน้นให้มีกสิกรให้มาก คนจะได้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารกันได้มากๆ แล้วมันจะถูก ถูก..คนก็มากินพืชพันธุ์ธัญญาหารมากกว่าไปกินเนื้อสัตว์ใช่ไหมโดยปริยายแล้ว ทำให้มีคุณภาพดีๆเหมือนอย่างพวกเราทำ เป็นพืชพรรณธัญญาหารทั้งคุณภาพก็ดีปริมาณก็มากขายถูกไล่แจกเลย เราก็แจกแล้วทุกวันนี้เราก็แจกอยู่แล้วพืชพรรณธัญญาหาร จนกระทั่งเราปลูกเผื่อ ตามข้างถนนเราก็ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารที่กินได้ให้เขาเก็บกิน เขาก็เก็บกินกันจริงๆ
เราทำแล้วเราจึงมาพูด ไม่ใช่ว่าเรามาพูดเหมือนอย่างกับพิธาเหมือนอย่างกับเศรษฐา เห็นแต่ได้แต่พูด แต่ไม่ได้ทำสักเท่าไหร่ แต่ของพวกเราทำแล้วค่อยเอามาพูด ไม่ใช่พูดหาเสียงเท่านั้น ไม่ใช่ ไม่ได้หาเสียงอะไร เราก็ไม่ได้อยากได้ชื่อได้เสียง ไม่ได้อยากได้เเสงอะไรหรอก เราก็ว่าของเราไปอย่างนี้
ขาดทุนคือกำไร ไม่ใช่ภาษาเล่นลิ้น ไม่ใช่ภาษาตลกหรือเท่ๆโก้ๆแล้วมันทำได้จริงๆไหม …ทำได้ ขาดทุนได้จริง แล้วเราก็อยู่อย่างขาดทุน พวกนักเศรษฐศาสตร์ของโลก เขาก็เข้าใจไม่ได้ว่า เอ็งมาขาดทุนแล้วเอ็งจะเอาชีวิตรอดได้ยังไง ธรรมดาเขารักษาทุนให้มันเหลืออยู่นะอย่าให้มันขาดทุน มันยังพร่องเลย มันยังไม่เหลือเลย แล้วนี่มาขาดทุนเอ็งจะเอาอะไรมา ตู๊ไว้ได้ ชีวิตที่อยู่อย่างขาดทุนจะเอาอะไรมาสู้ไม่ได้ เขาคิดไม่ออก คิดไม่ออกไม่เป็นไร
โพธิรักษ์เป็นนักเศรษฐศาสตร์แท้ๆจะบอกให้ คนเหล่านี้อยู่ได้เพราะแรงงานและสมรรถภาพ อยู่ได้ด้วยการขยันหมั่นเพียรและความสามารถ ความรู้ ทำ เขาไม่เอาแต่พูด เขาทำ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำ
เพราะฉะนั้นถนัดอะไรในสิ่งที่ควรจะทำ เช่นพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นต้น เขาก็ลงมือทำและศึกษาความรู้ทำให้มันมีผลผลิตออกมา เสร็จแล้วเขาก็เรียนรู้เรื่องโลก มอมเมาให้ไปติดหลงเรื่องขี้หมูขี้หมาอะไรก็แล้วแต่หลอกต้องไปจ่ายเงิน เราก็ฉลาดรู้ทัน ไปหลอกให้ต้องไปเสียเงิน เสียเงินไปดูฟุตบอล เสียเงินไปดูเต้นรำเต้นร้อง เสียเงินไปอะไรต่ออะไร จนกระทั่งไปเสียเงินซื้ออะไร ที่มันเป็นแฟชั่นอะไรต่ออะไร เราก็ไม่ เราก็รู้จักสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยแก่ชีวิต ข้าว ผ้ายา บ้านเป็นต้น หรือเครื่องใช้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเล็กๆน้อยๆหรือบริขารที่จำเป็น แว่นตาต้องใส่ ปากกาต้องใช้ เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ก็ต้องอนุโลมทำงานได้ ทุ่นแรงหรือสร้างสรรค์อะไรได้ทันโลกเขา เราก็ซื้อบ้าง สิ่งที่จำเป็นสมควร นอกนั้นเราก็เอาแรงงานมาสร้างสิ่งที่กินที่ใช้
แล้วเราก็รู้ว่าสิ่งจำเป็นของชีวิตข้าวผ้ายาบ้าน เราต้องกินต้องใช้ เราไม่ไปหลงโลกที่มันครอบงำมอมเมา เราอุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ เพราะฉะนั้นเทียบกับไอ้คนทางโลกที่เขาถูกมอมเมาครอบงำติดยึด อะไรก็ไม่พอ อะไรก็ไม่มีไม่ได้ อะไรก็ต้องมี อะไรก็ต้องเอา ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม เท่าไหร่ก็ไม่ค่อยพอ ไม่รู้จักพอ
พอมาลดเหลือชีวิตก็แค่ข้าว ผ้า ยา บ้าน มีบริขารเป็นเครื่องทำงาน แว่นตา ปากกา เครื่องคอมพิวเตอร์ อะไรที่นิดหน่อย เครื่องใช้ที่สำคัญที่จำเป็นอะไร เราก็อยู่รอดแล้ว
เอาล่ะเราปลูกไม่เป็น เราก็ทำในสิ่งที่เราทำเป็นเอามาแลกกันกินแลกกันใช้ นี่ก็สำเร็จเรื่องเศรษฐศาสตร์แล้ว
เพราะฉะนั้นอาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จแล้ว อาตมายืนยันว่าสำเร็จแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ นี่พูดในวันสิ้นปีเก่า กำลังจะขึ้นปีใหม่ พูดให้สำคัญ
อาตมารู้ อาตมาเข้าใจเหมือนกันว่าปัญหาเศรษฐกิจนี่มันสำคัญนะในสังคม เราก็พอเข้าใจกับเขาล่ะ แล้วเราก็แก้ปัญหานั้นได้แล้ว
อาตมาเคยย้ำว่าชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เหมือนกันกับชาวประชาธิปไตยเขาต้องการ เหมือนกับชาวคอมมิวนิสต์เขาต้องการ ต้องการอะไรเคยพูดมาแล้ว
ต้องการให้คนเอารายได้ที่เขาทำได้นั้น มาเสียภาษีให้แก่ส่วนกลางมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์นั้นเป็นการบังคับให้เสียภาษี ใครหาได้มากเป็นพวกที่มันมีรายได้มากเขาบังคับเลย กฎหมายก็ใส่เลยประชาธิปไตยมาอิสระก็เลยเป็นนายทุนที่มันได้เปรียบ คอมมิวนิสต์กับได้แก้ปัญหานายทุนได้เปรียบก็พยายามที่จะไปแชร์ แต่มันก็กลายเป็นหมู่อีก เป็นหมู่ที่ร่ำรวยกันไปแทนที่จะร่ำรวยเดี่ยว ตอนนี้ร่ำรวยเป็นหมู่ อะไรอย่างนี้
ส่วนพระพุทธเจ้าสอนนั้นทฤษฎีของท่าน มาลดกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่เปลือง ไม่ผลาญ ไม่ทำลาย มีแต่สร้างสรรค์เกินกว่ากินกว่าใช้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนไม่เปลืองไม่ผลาญเกินกว่ากินกว่าใช้ ทำงานคุ้มที่ตัวเองกินใช้ แล้วไม่ไปขูดที่จากผู้อื่นมา เอาสิ่งที่เราเกินกินกันใช้นี่ เฉลี่ยออก นี่คือเศรษฐศาสตร์บทจบของพระพุทธเจ้า
นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่จบ ยากไหม…ยาก แต่ทำได้ไหม…ได้ แม้ในยุคนี้ยุคทุนนิยม สามานย์ ยุคอมมิวนิสต์ ไม่เป็นทุนนิยมแต่เป็นคอมมิวนิสต์ที่เหี้ยมโหด เราก็ยังทำได้เลยแก้ปัญหานี้สำเร็จ
_ในขณะที่ยังคงพัฒนาจิตวิญญาณมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ไปสู่ขั้นโลกุตระ ให้บุญชำระกิเลสออกจากจิต เกิดผลเป็น “สมาธิพุทธ” จนจิตอิสระเป็นอนัตตาด้วย “ปัญญา 8” ได้สำเร็จครบสมณะ 4 ที่แจ้งจริงวิชชา 8 จบกิจพ้นจากสุขทุกข์ เป็น “คนจนที่มีแบบ” สุขสำราญในระบบ “สาธารณโภคี” และเบิกบานตามพุทธพจน์ ของพระพุทธองค์
ท่านยังได้นำพาไปชุมนุม ตามหาญาติ – ประท้วงการเมือง สามานย์ฉ้อฉล (อัตตาธิปไตย) ด้วย “Neo Protest” พร้อม “การลอกคราบเป็นการเมืองใหม่” ที่เสียสละทำอายะ 3 อย่างไร้ตัวตนได้จริง อันเป็นแบบอย่างประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า (ธรรมาธิปไตย)
กระทั่งมีผู้สืบสานหน้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ….“ถ้าไม่ออกรบจะไม่พบสัจจะ”
เมื่อมีความมั่นคงในชีวิต และหลักประกันภายภาคหน้าครบพร้อม จึงบำเพ็ญโพธิสัตว์ได้อย่างไม่หวั่นไหว สั่งสมมุทุภูตธาตุ เพิ่มอภิภู จบกิจต่อภพภูมิใหม่ที่ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ
และสามารถ ทำกาละ….จัดการกับกาละ….จนอยู่เหนือกาละ จะอยู่ หรือสิ้นไปจากเอกภพ เป็นปริโยสานได้ตามต้องการ
พ่อครูว่า… ผู้เขียนมาเข้าใจที่อาตมาทำงานศาสนาจนเกิดผลได้อย่างแท้จริง
_บ้านเล็กเมืองน้อย… ตลอด 53 ปี ของการสถาปนาโลกุตรธรรมขึ้นใหม่ ให้เหมาะสมกับยุคเสื่อม พ่อท่านจึงเน้นให้ “ย่อยใบไม้ในกำมือ เพื่อเป็นปุ๋ยแก่ป่า” ให้เป็น ผู้แพ้…ผู้รับใช้…ผู้ให้…ผู้เสียสละ…ผู้ผลิตอาหารไร้สารพิษ…ผู้เกื้อกูลช่วยเหลือสังคม ด้วยความเบิกบานยินดี
“อโศกโมเดล” จึงสำเร็จเป็น อนุสาสนีปฏิหาริย์ของพ่อท่าน ที่พิสูจน์ธรรมฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริง
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ และกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง ในความเมตตากรุณา ที่พ่อท่านทุ่มเทให้แก่พวกเรา
ในอนาคตอันใกล้นี้ ….
ชาวอโศกผู้มี “อีคิวโลกุตระ” (ผู้มี “จิตอหิจฉัตตกธาตุ” รู้ความเหมาะควรในการปรับสมดุลของระบบนิเวศน์อย่างไร้ตัวตน)
พ่อครูว่า… เห็ดคือมันเริ่มผสมหน่วยของความเป็นตัวมันเองในความเป็นชีวะ อหิจฺฉตฺตก
จาก มหาภูติ มาเป็น อหิจฺฉตฺตก ภูตคาม พีชคาม เจตภูต ปาณะ เจตสิก สัตต
รายละเอียดตอนนี้เป็นเรื่องที่เดาไม่ได้ เอาแพะมาชนแกะไม่ได้ประเดี๋ยวเละสับสนหมด แต่มันเป็นของจริงที่เป็นสภาวะ อาตมาพูดนี่ตามสภาวธรรมหรือมีบัญญัติพระบาลีต่างๆ เอามาใส่เข้าไป
ผู้ไม่รู้ก็อาจจะบอกว่าเอาอะไรมาต่อเล่นเละเทะซึ่งมันไม่ใช่ของเล่นนะที่พูดไป
_ และเครือข่าย “วิถีพุทธ” (“ชุมชนเห็ดมหัศจรรย์” ที่เกื้อกูลป่าทั้งป่าอยู่ใต้ดิน) คงงานเข้า อย่างแน่นอน…
พ่อครูว่า… พวกเราไม่ต้องกลัวคนแปลกปลอมเข้ามา คนปลอมเข้ามาอยู่ในหมู่นี้ไม่ได้หรอก มันเป็นสัจจะเลย ไม่ได้ไล่คุณนะ คุณอยู่ไม่ได้เอง คุณมาอยู่ไม่ได้เอง เดี๋ยวคุณก็ตัวเองนั่นแหละจะต้องออกไป
_ เมื่อบทวิเคราะห์ทั่วโลก ต่างสรุปตรงกันว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ จะเกิด Great Chaos (การเคลื่อนย้าย อพยพประชากรโลกครั้งใหญ่ จากภัยพิบัติมหาสงคราม และความอดอยาก) อันเป็นผลมาจาก Great Reset (ล้างไพ่ วางเทคนิคใหม่ เพื่อ control มนุษย์ by unit ด้วยระบบนิเวศน์ AI ให้ติดกับใน Smart city)
อโศกโมเดลของพ่อท่านคงต้อง …เตรียมจัดหนัก ทำอายะ 3 อภิบาลมนุษย์ อนุเคราะห์โลก …ทั้งจัดเต็ม สืบสานพุทธศาสนา สร้างสมดุลแก่มวลมนุษย์ชาติ เพื่อให้โลกสุขเย็น อย่างเช่นเคย
พ่อครูว่า… พูดแล้วเหมือนเรานี่เท่มาก อย่าพูดให้อาตมากลัวเลยเขามาไม่ได้หรอก เขาเข้ามาไม่ได้ ก็เคยเห็นไหมเหตุการณ์ไม่ต้องยิ่งใหญ่เหมือนที่กำลังพูดนี้ จตุพรกับนกเขา มาในนี้ อาตมาก็บอกว่าเชิญคุณมาวุ่นในนี้สิ มาวุ่นเลยทำให้ป่วนในนี้ เห็นไหม พูดเหมือนท้าทายเขา มันไม่ใช่ท้าทายแต่มันทำไม่ได้ มันเป็นสัจจะที่ สิ่งที่เป็นสัจธรรมที่เป็นโลกุตระที่ยิ่งใหญ่ อะไรจะมาหักล้างไม่ได้ อสังหิรัง ภาษาบาลี ของพระพุทธเจ้ามันมีคุณภาพถึงขนาดนั้น มีคุณธรรมถึงขนาดนั้นไม่มีอะไรมาหักร้างได้ พระบาลีบอกว่า อสังหิรัง
_ขออาราธนาให้พ่อท่านอยู่ดูไป ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง และเป็นมิ่งขวัญของพวกเราต่อไปอีกนานๆ …จะได้ชื่นชมผลงาน และติดตามเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมวลมนุษย์โลก ที่จะเกิดเร็วๆนี้ไปด้วยกัน
พ่อครูว่า… โอ๊ย…อาตมาว่าคนที่เขียนมานี่ ฝันหวานด้วยลมกระซิบมากนักนะ อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีนี้ย่างเข้า 54 ปีมาเรื่อยๆ ได้ผลเท่านี้นี่อาตมาก็พอใจแล้ว ถ้าได้มาอีกก็แน่นอน ถ้าได้เพิ่มอีกมากๆ แต่อย่าไปคิดว่ามันจะได้ อาตมาไม่เคยหวังอันนั้นเลย แค่อาตมาได้ขนาดนี้อาตมาบอกแล้วว่าอาตมานอนตายตาหลับแล้ว
ปฏิจจสมุปบาท โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตอน 1
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอวิชชา 8 อวิชชาสวะ 8 เอ้าใครบ้างรู้มีอะไรบ้าง อวิชชาสวะ 8
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง)
-
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
พ่อครูว่า… อาตมาสรุปภาษาสั้นๆเป็น 3 ก
-
เป็นกิจ ทำอริยสัจให้จบกิจสำเร็จ
-
อดีตอนาคตคือ ก. 2 คือ กาละเวลา
-
เหลืออีก ก. คือกรรม ทำปฏิจจสมุปบาททำให้ชาติดับ เมื่อชาติดับแล้วอะไรดับต่อ ภพดับ ภพดับอุปาทานดับ อุปาทานดับ ตัณหาดับ เวทนาดับ ผัสสะดับ อายตนะดับ นามรูปดับ วิญญาณดับ สังขารดับ สังขารดับ อวิชชาก็ดับ
ความดับพวกนี้ ยิ่งดับยิ่งเกิดวิชชา เพราะว่าพวกนี้ดับ ไอ้เจ้าพวกนี้โง่ทั้งนั้นอวิชชา เพราะอวิชชาโง่ จึงไม่รู้จักสังขาร เพราะมันโง่ไม่รู้จักสังขาร จึงไม่รู้จักวิญญาณ จึงไม่รู้จักนามรูป จึงไม่รู้จักอายตนะ จึงไม่รู้จักผัสสะ จึงไม่รู้จักเวทนา จึงไม่รู้จักตัณหา จึงไม่รู้จักอุปาทาน จึงไม่รู้จักภพชาติ จึงเต็มไปด้วยโศกะหรือโศก แล้ว อ้อยสร้อยสร้างปริเทวนาการ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ
พวกเราพ้นโศกะ
_สู่แดนธรรม… พ้นอุปายาสะ พ้น ความคับแค้นใจด้วยครับ
พ่อครูว่า… ก็พูดแล้ว อุปายาสะ คุณทำเป็นงง
เราพูดนี้เหมือนเรื่องของสนุกขึ้นแล้ว ซึ่งยากนะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเรานั้นพูดธรรมะขั้น โอ้โห นี่เป็นขั้นโลกุตระ ขั้นลึกซึ้งขนาดนั้น
เพราะฉะนั้นพูดไปแล้วเราจึงพิสูจน์ความจริงได้ ทำไมพวกเรามาชื่อว่าพวกอโศกเห็นไหม นี่เป็นอจินไตย ทำไมพวกเราจึงมาได้ชื่อว่าพวกเราชาวอโศก มันไม่มี โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ โดยเฉพาะอาตมาไม่มีเลย ไม่ใช่พูดเล่นมันไม่มี โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ มันไม่มีเพราะมันบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า มันจึงไม่มีอย่างนี้จริงๆ ที่มันได้อย่างนั้นไม่มีทั้งหมดเป็นผลมีแต่ความเบิกบานร่าเริง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ เห็นไหม นี่มันเกิดจากสภาวะจริงทั้งนั้นไม่ใช่มานั่งเอาพยัญชนะมาพูดเล่นกันขึ้นมาเท่านั้น
พวกเรานี่ กว่าคนทั้งโลก ไม่ต้องไปพูดถึงต่างชาติเทวนิยมทั้งหลาย ชาวพุทธในเมืองไทยนี่แหละไม่ต้องไปอื่น จะรู้ที่อาตมาพาทำแล้วประสบผลสำเร็จนี้ ยืนยันเป็นหลักฐานเป็นตำนานให้เขามา โอ้โห..เมืองไทยยุคที่พอสืบสาวราวเรื่องนี่ มีชาวอโศก โอ้โห เดินตามรอยพระพุทธเจ้าได้จริงเนาะ เขาจึงจะค่อยๆลืมตาอ้าปาก แต่ตายไปแล้วนะ 100 ปีแล้วนี่ เขาก็ตายไปหมดแล้ว อีก 100 ปีตายไปหมดแล้ว ค่อยๆลืมตาอ้าปากเพื่อที่จะรู้ว่า อ๋อ! พระพุทธเจ้าอันนี้คนไทยเราทำได้หรือ ทำได้จริงๆหรือคุณจะอย่างนี้ขึ้นมา
อาตมาเขียนเรื่องนี้มาว่าจะอ่านให้ฟัง คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละ
ปฏิจจสมุปบาท
คนหรือมนุษย์ทั้งหลายไม่ว่าชาติใดศาสนาใด ถ้าสามารถทำ“ปุญญาภิสังขาร”เป็น คือ ทำ“บุญ”เป็น เพราะทำ“ปุญญาภิสังขาร”หรือ“สังขารได้อย่างเก่งวิเศษ”ถึงขั้นกำจัดกิเลสได้ จนกิเลสตาย และหมดไปจากจิตจริงนั่นเอง
คนผู้“ทำใจในใจ”ได้ผลปานฉะนี้ เรียกว่า “อภิสังขาร”
คนผู้ทำ“บุญ”เป็น หรือทำ“อภิสังขาร”มีธรรมฤทธิ์ขั้น“บุญคือ ทำใจในใจตนให้เกิดพลังงาน“ฌาน”สามารถกำจัด“กิเลส”ได้ ผู้นั้นคือ ผู้จัดการกับ“ชาติ”หรือ“การเกิดทางจิตวิญญาณ”ของตนได้อย่างเก่งวิเศษ เป็นอุตตริมนุสสธรรม
เพราะมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปฏิจจสมุปบาท”จึงจะสามารถจัดการกับความเป็น“ชาติ”ของตนให้เป็นการเกิดแบบ“นิพพัตติ” จนกระทั่งที่สุดเป็น“อภินิพพัตติ”สำเร็จ
การเกิดแบบ“นิพพัตติ”เป็น“โลกุตรธรรม”
การเกิดถึงขั้นเป็น“อภินิพพัตติ”สูงสุดก็เป็น“อรหันต์” และ“โพธิสัตว์”สูงขึ้นๆไปตามลำดับ ที่สุดเป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ทำ“ปุญญาภิสังขาร”หรือ“ทำบุญ”ได้สำเร็จกิจ ก็คือ ผู้มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสามารถกำจัด“เหตุ”คือ ความเป็น “กิเลสาสวะ”ไปทั้ง“กามภพ-รูปภพ-อรูปภพ”ได้ ไปตามลำดับ ความเป็นลำดับไม่สับสน จึงสิ้น“ชาติ”ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์
และเพราะสามารถทำ“กิจ”ด้วย“สัจจญาณ-กิจจญาณ-กตญาณ”ได้จริง จึงจัดการกับ“การเกิด 5”คือ “ชาติ -สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ”ได้สัมบูรณ์สิ้นด้วย“นิพพาน 3”ในตอน“ทำกาละ”ซึ่งเป็น“การตายครั้งสุดท้าย จิตนิยาม”หรือ“จิตวิญญาณ”ของตนจึงสลายแยกธาตุเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป เป็นการ“จบกิจ” จาก“กาล”
ด้วย“กรรม”ที่ตนเองทำเอง ด้วยประการฉะนี้
ฟังเข้าใจและทำให้ได้ แล้วคุณจะมีปัญญาไม่มีปัญหา คนมีปัญหานั้นมีความทุกข์ คนหมดปัญหาแล้วไม่มีปัญหาเลย มีแต่ปัญญา ไม่มีทุกข์ แต่อาตมาไม่มีปัญหา ไม่มีเลยไม่มีปัญหา ทุกวันนี้ก็มีกุ๊กไก่มาถามอาตมา ถามปัญหานั่นปัญหานี่แล้วเขาก็ช่างหาคำถาม แล้วไปอ่านพระไตรปิฎกมาถามด้วยนะ
ใหม่ๆนี้มาถามว่า ปรินิพพานนี่ถอนได้ไหม ช่างหาคำถามมาถาม อะไรถอน อาตมาก็บอกงงๆเขามาถาม ถอนได้ไหม เราก็ยืนยันอย่างนั้นปรินิพพานถอนได้ไหม อะไรไปถอนอะไรปรินิพพาน อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องบอกว่า เธอถามเลยปัญหาไปแล้ว ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ตรัสกับสาวกอย่างนั้น แต่นี่จะไปพูดกับกุ๊กไก่เขาคงจะไม่รู้เรื่อง เธอถามเลยปัญหาไปแล้ว เอาปัญหาที่ไม่เป็นปัญหา หรือมันเป็นปัญหาที่จะไปตอบยังไง ปรินิพพานถอนได้ไหม นี่ก็เป็นอันหนึ่งที่ก็เอาเรื่องจริงมาพูด
แต่ชาวพุทธทุกวันนี้ เสื่อมไปจาก“ความรู้”ขั้น“วิชชา” หรือขั้น“ญาณ” หรือขั้น“ปัญญา”ของพุทธที่เป็นโลกุตระนี้
“ปฏิจจสมุปบาท”และ“ปุญญาภิสังขาร”นี้เป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระองค์เอง
“ปุญญาภิสังขาร”เป็น“อภิสังขาร”ซึ่งเป็น“ธรรม”ขั้น “โลกุตระ” ไม่ใช่“ธรรม”แค่ขั้น“โลกียะ”เท่านั้น
“อภิสังขาร”มี“3 ขั้น”ได้แก่ (1)ปุญญาภิสังขาร” (2)อปุญญาภิสังขาร (3)อเนญชาภิสังขาร
(1) “ปุญญาภิสังขาร”คือ “การจัดการปรุงแต่งจิตตนให้กิเลสหมดสิ้นไปได้สำเร็จ
(2) “อปุญญาภิสังขาร”คือ ผู้กิเลสหมดแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ “การปรุงแต่งจิตตนอยู่”ของอรหันต์ขึ้นไป จึงไม่มี“บุญ”แล้ว และไม่ใช่“บาป”แน่
เพราะ“ปุญญปาปปริกฺขีโณ”คือ“สิ้นบุญสิ้นบาป”แล้ว
“กรรม”ของ“อรหันต์ขึ้นไปจึงมีแต่“กุศล”ถ่ายเดียว สะสมลงในจิต ไม่มี“บาป”เลย เพราะ“จิตสะอาดจากกิเลสยั่งยืนตลอดไปแล้ว “กรรม”จึงมีแต่“อเนญชาภิสังขาร”
(3) “อเนญชาภิสังขาร”คือ “กรรม”มีแต่“กุศล”ที่ตกผลึกผนึกกันเป็น“ความควบแน่น”ยิ่งๆขึ้น ไม่หวั่นไหวแท้
ตามคำตรัสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “สัพพปาปัสสะ
อกรณัง-กุสลัสสูปสัมปทา-สจิตตปริโยทปนัง”
ซึ่งเป็น“ความรู้”ที่ผู้ทรงค้นพบ เป็นเจ้าของการค้นพบ ที่ต้องนับว่า เป็น“นักวิทยาศาสาตร์”ผู้ใหญ่ยิ่งยอดเยี่ยมสุดจะหาใครเท่าเทียมได้ยากเกินกว่ายาก โดยแท้
สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้ ไม่ใช่“วิทยาศาสตร์”ทางวัตถุเท่านั้น แต่เป็น“วิทยาศาสตร์อันครบพร้อมทั้งวัตถุและจิตวิญญาณ”หรือทั้ง“รูปและนาม”กันทีเดียว
นั่นคือ หลักธรรม“ปฏิจจสมุปบาท”
“ปฏิจจสมุปบาท”นั้นคือ “ภาวะ 11 เหตุที่เป็นปัจจัยกันและกัน” ซึ่งทำใหัเกิด“โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส” หรือคือ เกิด“ทุกข์”นั่นเอง ให้แก่ผู้“อวิชชา”อยู่
ภาวะ 11 เหตุที่เป็นปัจจัยกันและกันนั้น ได้แก่
-
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร