670115 ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1P31r34RgJaF3TKAykU1L4x2NaaJVh7zS/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ZL-teoC0aRt8tPlvqaNyQHot2WCAziHd/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/pAPf1SLoJT/
และ https://youtu.be/p9ux9E86HDA
(มีซับ)
_สู่แดนธรรม… วันนี้วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม มีพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เป็นผู้บรรยาย
ผมเองได้เรียนรู้จากพ่อท่านมาหลายปี แล้วจะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของศาสนากระแสหลัก ท่านจะเห็นว่า ถ้าหากสิ้นทุกข์หมดทุกข์แล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกเลย และฟันธงว่าหากพวกท่านยังมาพูดถึงอรหันต์เกิดได้อีก ถือว่าพูดผิดตำรา เขาถือว่าอรหันต์ตายแล้วต้องสูญสนิทอย่างเดียว ซึ่งเป็นความเห็นสุดตรงไปทางอุเฉททิฏฐิ ซึ่งเป็นความเห็นที่สุดโต่งตัดขาดไปเลย ผมก็รอฟัง เวลาพ่อท่านอธิบายเรื่องมีภูมิตรัสรู้ของเก่ามาก็ดี อรหันต์ จะตาย 0 หรือจะต่อก็เป็นเจตนาของท่าน ดูว่าจะมีใครความเห็นค้านมาไหม ซึ่งวันนี้ก็มีมาทาง SMS แล้ว ทำไมพ่อท่านจึงกล้าอธิบายว่าอรหันต์ตายแล้วจะมีสิทธิ์ตัดรอบปรินิพพาน หรือจะกลับมาเกิดอีกก็ได้
ความเห็นว่าอรหันต์ตายแล้วสูญเป็นบาปกว่าอนันตริยกรรม
พ่อครูว่า… เอาข้อนี้ก่อนเลยก็ได้ ที่เกริ่นนี้ มันมีใน sms วันนี้
_ประทัศ เชยเกิด Pratas Chuaygird . ผมไม่เชื่อในคำพูดของสมณะโพธิรักษ์ที่พูดว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปเกิดอีกไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและจะไม่เชื่อว่าการเป็นพระอรหันต์แล้วไปเป็นพระโพธิสัตว์อีกท่านจะไปตรัสรู้อะไรไม่เหมือนกับธรรมจักรกัปวัฏนสูตรหรือที่ท่านจะไปตรัสรู้แล้วจะได้ตรัสรู้ในกัปที่เท่าไร
และผมไม่เชื่อในคำพูดของสมณะโพธิรักษ์ในเรื่องที่พูดว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาก่อนแล้วก่อนที่จะออกบวชถือว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธเจ้าโพธิรักษ์จะแต่งเติมคำสอนของพระพุทธเจ้าสมณโคตมะผมไม่เคยได้ยินโพธิรักษ์พูดถึงธรรมจักรกัปวัฏสูตรตวามจริงผมไม่อยากคัดค้านแต่ก็ต้องคัดค้านเมื่อมีผู้มาพูดบิดเบือน
พ่อครูว่า… ตั้งจิตว่าจะไม่เชื่อเลยนี่มันเป็นการปิดจิต อาตมาขออย่าคิดตั้งจิตอย่างนั้นเลยมันไม่ดี
แค่นี้อาตมาก็ว่า คุณพูดค้านแย้งในตัวเอง คุณบอกว่า อาตมาสมณะโพธิรักษ์พูดว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มาก่อนที่จะออกบวช คุณบอกว่าโพธิรักษ์ไปพูดอย่างนี้ ถือว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธเจ้า อาตมาว่า อาตมาพูดว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อนออกบวช แล้วคุณบอกว่าอาตมาไปลบหลู่ ที่จริงอาตมาชมเชยพระพุทธเจ้าต่างหาก ไปลบหลู่ตรงไหน อาตมาขยกย่องต่างหาก
คุณคิดดีๆอาตมาว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อน ก่อนมาบวช ก่อนที่จะออกมาเป็นพระพุทธเจ้า หมายความว่าตรัสรู้มาตั้งแต่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะว่างั้นเถอะ คือก่อนออกมาบวช แล้วบอกว่าอาตมาพูดผิด ค่อยๆอธิบายกันไป มันก็มีพยัญชนะและสภาวธรรม มันจะแย้งกันมันจะขัดแย้งกันเป็นสิริมหามายา ใครก่อนใครหลังกันแน่ ถ้าคนที่ยังสับสนก็จะบอกว่า เอ้า!ตรัสรู้มันก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้ได้อย่างไร คุณก็เอาแต่เฉพาะรูปร่างของพยัญชนะหรือว่าของตัวตนบุคคล เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นฆราวาสแล้วจะตรัสรู้ได้อย่างไร ต้องมาเป็นพระพุทธเจ้าสิ ถึงจะเป็นคนตรัสรู้แล้ว อะไรอย่างนี้ นี่เกริ่นไว้ตรงนี้ก่อน
เขาว่าโพธิรักษ์จะแต่งเติมคำสอน อาตมาว่า อาตมาไม่บังอาจแต่งเติมคำสอนพระพุทธเจ้าหรอก
คุณมั่นใจว่าคุณถูกต้องเข้าใจถูก อาตมาพูดไปนี้มาบิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า เอ้าฟัง อาตมาว่าอาตมาไม่ได้บิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า หรอก
พูดแล้วย้ำอีกขยายความมามากแล้ว ถ้ามันของตื้นๆธรรมะพระพุทธเจ้าหรือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าของมนุษยโลก โลกทั้งโลกไม่ว่าจะกี่ยุคกาล ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครที่จะมีความรู้เท่านี้อีกแล้วในมหาจักรวาล..ว่างั้นเลย
เพราะฉะนั้นคำสอนที่อาตมาบอกว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปเกิดอีก ไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้านั้น คุณก็ติดแต่บัญญัติแล้วคุณก็มีความคิดอย่างที่คุณสู่แดนธรรมได้พูดผ่านไปก่อน ว่า ผู้ที่เข้าใจว่าพระอรหันต์ตายแล้วต้องไม่เกิด ถ้าพระอรหันต์ตายแล้วไปเกิดอีก บอกว่าไม่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ตายแล้วต้องไม่เกิด นี่เป็นความเห็นนี่แหละเป็นความเห็นที่ อาตมาถือว่ายิ่งใหญ่กว่าบาปอนันตริยกรรม ถ้าเข้าใจอย่างนี้มันเป็นบาปอนันตริยกรรม
อนันตริยกรรมเป็นบาปที่ยาวนานหนักหนา ถ้าไปปักใจว่าการเกิดของพระอรหันต์ อรหันต์เกิดมามีชีวิต คือ เป็นคนยังไม่บรรลุอรหันต์ พอมาปฏิบัติธรรมและบรรลุอรหันต์ คนที่บรรลุอรหันต์ปุ๊บทุกคนตายลงไป ก็ต้องสูญหมด ไม่มีใครที่จะเป็นพระอรหันต์ตายแล้วเกิดต่อได้อีกเลย ถ้าเป็นเช่นนั้น ศาสนาพุทธจะด้วน ศาสนาพุทธจะสั้น จะถูกคนที่มีความคิดอย่างนี้ทำลายศาสนาพุทธลงยิ่งกว่าครึ่งของศาสนาแต่ละกัปๆ
เช่นศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะมีอายุถึง 5,000 ปี ถ้าคุณมีความคิดอย่างนี้ หรือต้องพระอรหันต์เก๊ถึงจะคิดอย่างนี้ คิดว่าอรหันต์ตายแล้วแล้วก็เป็นความจริงตามที่เขาคิดว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ พระอรหันต์ก็ไม่มีใครมาสืบทอด ไม่มีอะไรมาบรรยายต่อ คนเป็นอรหันต์แล้วเสร็จอายุจะเท่าไหร่กันล่ะ 100 ปี 200 ปี 500 ปี ไม่ถึงหรอกยิ่งยุคนี้อายุยิ่งสั้นลงๆ อายุศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถูกคนที่เข้าใจอย่างนี้ทำลาย ไม่ถึงเต็ม กัป ถ้าเป็นอย่างนั้นนะ
แต่ความจริงมันเป็นเช่นนั้นไม่ได้ เป็นอย่างที่คุณคิดไม่ได้ คุณคิดเป็นความคิดวิตถาร เป็นความคิดมิจฉาทิฏฐิ ผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ความคิดอย่างที่คุณพูด เพราะความเป็นจริงธรรมะของพระพุทธเจ้า ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นมันต้องสืบทอดไปตามสัจจะ อย่างของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 5,000 ปี แต่จะต้องมีอย่างอาตมามาสืบทอด ไม่ว่าอาตมาตายแล้วถ้าเผื่อว่าธรรมะดียังไม่มีคุณภาพปริมาณเพียงพอ อาตมาเกิดมาสืบต่ออีก และมีโพธิสัตว์อื่นมาช่วยกันอีกนี่เป็นสัจจะ
การเวียนเกิดเวียนตายเป็นความตรัสรู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ เชิญคุณติดตามและทำความเข้าใจรายละเอียดให้ดี
ถ้าพระอรหันต์มีรอบเดียว จบอรหันต์แล้วก็ไม่มีอีกแล้วต่อ ความรู้อรหันต์มีแค่เป็นอรหันต์ อรหันต์ที่จะสูงขึ้นไปอีก เป็นอรหันต์ที่มีภูมิธรรมสูงไปกว่านั้นอีก เอางี้อีกที อรหันต์คืออะไร? ก่อน
เพราะฉะนั้น ความรู้พระพุทธเจ้าตีกรอบความจบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมจบกิจรอบที่เรียกได้ว่าเป็นอรหันต์ เช่น ปฏิบัติ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผู้จบอรหันต์คนนี้ มีคุณธรรม ตนเองพ้นสุขพ้นทุกข์ ความสุขความทุกข์ไม่มีแล้วก็สบายความเป็นอรหันต์ท่านนี้
- พ้นสุขพ้นทุกข์แล้ว
- รู้จักความเกิดความดับ รู้จักการตายสูญ หรือจะตายเกิด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์รู้จักตายสูญ ได้ ตายลงในชาตินั้นจะไม่เกิดอีก ตายแล้วจะสูญได้
ความเข้าใจของคุณว่าพระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญก็ตรงนี้แหละพระอรหันต์สูญได้ แต่พระอรหันต์ก็จะเกิดอีกได้ นี่คุณไม่รู้ คุณไม่เข้าใจ ถ้าคุณเข้าใจว่าอรหันต์ทุกองค์จบอรหันต์แล้วต้องตายสูญหมด ก็มีอรหันต์ที่เป็นอรหันต์ อรหันต์ที่เป็น อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถามอีกทีที อรหันต์ทุกองค์มีความรู้เท่ากันกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมคุณว่า …ไม่มีทางเป็นไปได้
ผู้จบอรหันต์ ซึ่งมีอรหันต์สาวกเยอะแยะ ผู้จบอรหันต์แล้ว สามารถที่จะตายสูญ เพราะจบอรหันต์ตายสูญได้หรือจะตายเกิดอีกก็ได้ หมดสุขหมดทุกข์ หมดกิเลส แต่อรหันต์นี่ เมื่อทุกองค์ตายสูญหมดแล้ว ผู้ที่จะเป็นอรหันต์ต่อๆๆมา จนสูงมา จนสูงที่สุดเป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีได้อย่างไร ก็มีอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวในโลกและก็จบสิ้นสุดเลย ไม่มีอรหันต์อีกแล้ว หรือ อรหันต์ คุณธรรมของอรหันต์ขั้นแรก อรหันตสาวกธรรมดา ก็เท่ากันกับ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ แล้วคุณว่าเท่ากันไหม
อรหันต์เท่ากันที่สามารถทำตายทำเกิดสูญได้เท่ากันและหมดทุกข์เท่ากัน แต่ความรู้ ความรู้เรื่องโลก ความรู้เรื่องอัตตา ความรู้เรื่องคนต่างๆที่มีกรรมมีวิบาก มีอะไรต่ออะไรอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ มันเท่ากันที่ไหนคุณ
อย่างอาตมามีความรู้โพธิสัตว์ระดับ 7 หรืออรหันต์ระดับ 4 อรหันต์ของพระพุทธเจ้ามี 6 ระดับ
1.อรหันต์โพธิสัตว์ 2.อนุโพธิสัตว์ 3.อนิยตโพธิสัตว์ 4.นิยตโพธิสัตว์ 5.มหาโพธิสัตว์ 6.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 กำลังจะบำเพ็ญเป็นอรหันต์ระดับ 5 จบระดับที่ 6 แล้วไม่มีสูงกว่านี้อีกแล้ว ท่านก็ต้อง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไป จบศาสนาของท่านเสร็จ
_สู่แดนธรรม… เค้าโครงเดิมที่เขาเชื่อเช่นนั้นยังมีอีกว่า พระโพธิสัตว์จะเป็นพระอริยะไม่ได้
พ่อครูว่า… จากฆราวาสเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ จะเป็นฆราวาสก็บรรลุเป็นอรหันตสมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เป็นความเข้าใจผิด เดาเอา
คนที่เข้าใจจะเห็นว่าเขาไม่มีความรู้เรื่องศาสนาพุทธเลย ความเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า คุณไม่เข้าใจเลย แม้แต่ ระดับโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ คุณก็จะเข้าใจไม่ได้ คุณไม่เข้าใจลำดับที่มีขั้นมีตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไม่ได้เลย คนไม่มีลำดับต่ำกลางสูง นี่แค่ 3 ระดับนะ ยังมีอีกที่แบ่งระดับหมุนรอบเชิงซ้อนอีกมากมาย คุณก็ไม่มีทางจะเข้าใจได้เพราะคุณเอาซื่อๆ ซื่อๆแค่ระดับธรรมดา 1 2 3 ต้นกลางปลาย แค่นี้คุณก็เข้าใจไม่ได้แล้วว่ามันต่างกัน คุณไปเอาเท่ากันหมดต้นกลางสูงก็เท่ากันหมด มันก็อั้นตู้เท่านั้นเอง
_สู่แดนธรรม… บางทีเขาก็บอกว่าอยากจะให้เอาหลักฐานมายืนยัน ผมเห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นเพียงสภาวธรรม ในมูลสูตร ข้อที่ 8 ก็คือวิมุติ คือสภาวะอรหันต์แล้ว ส่วนข้อที่ 9 คือหลักฐานยืนยันว่าอมตะบุคคลมี สอุปาทิเสสนิพพาน ท่านย่อมเป็นพระโพธิสัตว์ไปอีกกี่ชาติก็ได้ เพราะท่านยังไม่ทำข้อที่ 10 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน นิมนต์พ่อท่านขยายความข้อ 8 9 10
พ่อครูว่า… แถม ให้คนฟัง ว่า ถ้าเข้าใจอย่างคุณประทัด ทุกอย่างถูกตัดหั่นแหลกเลย ศาสนาพระพุทธเจ้าสั้นกุดเสียหายหมด อย่างที่คุณสู่แดนธรรมพูดนำไปว่า มูลสูตร เป็นผู้อมตะ จริงๆแล้วอรหันต์ถือว่าเป็นอมตะบุคคลแล้ว อมตะ แปลว่า จะรู้ความเกิดความตาย เป็นผู้ไม่เกิดไม่ตาย หรือเป็นผู้ที่จะทำการเกิดการตายได้เอง ทำการเกิดการตายได้เอง หมายความว่าจะตายโดยที่ไม่เกิดอีก สลายตัวเอง เป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุจิตตัวเองเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเลย ไม่ต้องเกิดอีกได้
พอเป็นอมตบุคคลได้ ทำปริโยสาน อันที่ 10 ตายอย่าง ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จบในอัตภาพนั้น หรือจะอรหันต์ชนิดไหนก็ตาม ชนิดเบื้องต้นง่ายๆที่ 1 หรือพระพุทธเจ้าก็ตาม ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานแล้ว หมด แล้วพระพุทธเจ้าทุกประองค์ ปรินิพพานเป็นปริโยสานเลย ทุกพระองค์ หมด ส่วนอรหันต์นั้น องค์ใดจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็มีสิทธิ์ทำเองได้เลย หรือไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ตายสูญ ตายแล้วจะยังเกิดอีก มาบำเพ็ญสืบทอดพระศาสนาต่ออย่างนี้เป็นต้น อย่างอาตมานี่ต้องรู้เพราะอาตมาทำอยู่เป็นเอง รับผิดชอบเรื่องนี้ จึงเอาเรื่องนี้มาพูดได้ละเอียดละออ ไม่ใช่เดา เดาพูดไม่ได้ขนาดนี้
_สู่แดนธรรม… ก็ในเมื่อพระอรหันต์ดับอวิชชา ดับความเกิดแล้ว จะเอาอะไรมาเกิดเล่า
พ่อครูว่า… เอา ก็เอาชีวะ เอาความเป็นชีวะมาเกิด ธาตุชีวะ หรือธาตุวิญญาณ เป็นธาตุรู้ที่สะอาดแล้วก็เอาธาตุรู้ที่สะอาดเป็นตัวเกิด และธาตุรู้ที่สะอาดจะรู้อะไร ก็รู้โลก รู้บุคคล รู้พฤติกรรมของมนุษยชาติ รู้สัตว์โลกไปอีกเยอะแยะ แล้วก็จะช่วยโลกจริงๆด้วยว่า รื้อขนสัตว์ โพธิสัตว์คือผู้รื้อขนสัตว์ ช่วยสัตว์อื่นๆต่อไปอีก พูดได้ละเอียดละออ แต่มันก็จะอยู่ที่คุณประทัดคนเดียว คุณประทัดเรียกว่ามีโชคมากเลยได้รับก่อนเพื่อนเลย ทั้งๆที่อยู่ในระดับเกือบปลายของ SMS
SMS วันที่ 12 – 14 มกราคม 2567
ทำดีอะไรอย่าไปเรียกร้องเป็นอัตตาตัวกูของกู
_ผ่องใส . กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงค่ะ ขอโอกาสกราบขอสัมมาทิฏฐิจากพ่อครูค่ะ ปัญหามีอยู่ว่าดิฉันมีความทุกข์ใจที่ไม่สามารถล้างความคิดเหล่านี้ออกไปได้ คือว่าดิฉันทำงานร่วมกับเพื่อนๆ แล้วมีบางครั้งดิฉันเกิดความรู้สึกน้อยใจเพื่อน มองว่าเพื่อนไม่ค่อยเห็นความสำคัญ จนบางทีดิฉันมีความรู้สึก ว่าดิฉันไร้ประโยชน์ ไร้ค่า มีอาการของคนที่มีความรู้สึกเรียกร้องสูง ทั้งที่โดยรูปนอกดิฉันก็มีความสมบูรณ์ ครบพร้อมทุกอย่าง 🙇🏻 กราบขอบพระคุณพ่อครูที่เมตตาตอบปัญหาของดิฉันค่ะ
พ่อครูว่า… ดีที่รู้ว่าตัวเองเกิดความรู้สึกน้อยใจ ที่ว่าเพื่อนไม่เห็นความสำคัญก็คือไม่เห็นความสำคัญของคุณ พูดให้ชัดเลยว่าไม่เห็นความสำคัญของตัวข้าเลย เอาให้หนักก็คือไม่เห็นความสำคัญในตัวกู มันเกิดตัวกูของกูขึ้นมาแล้ว
อันนี้ตัวเองเข้าใจดีตลอด คุณพูดของคุณนะ เห็นไหมคุณเข้าใจตัวเองได้ตลอดมาทีเดียว ดีจังเลยเรียกว่าเต๊ะท่าข้างนอกครบพร้อมทุกอย่างแต่ในใจตัวเองอ่านใจตัวเองมีอาการไม่ค่อยจะบริบูรณ์
คุณรู้ของคุณทุกอย่างอย่างนี้ดีแล้ว มันเป็นความบกพร่องคุณก็เข้าใจในความบกพร่อง น้อยใจ นี่มันบกพร่องใช่ไหม
คุณก็รู้ว่าคุณไร้ประโยชน์หรือมีประโยชน์ ไร้ค่าหรือมีค่า ที่ว่ามีอาการของการเรียกร้องสูง คุณก็รู้ว่าคุณเรียกร้องสูง ก็อย่าไปเรียกร้องสิ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าไม่มีตัวตน ทำอะไรอย่าไปเรียกร้องเอาอะไรมาให้ตัวเรา เราจะมีคุณค่า เราจะทำงานเก่ง เราจะมีประโยชน์อะไรแค่ไหน เราก็ให้ใครๆไป พระพุทธเจ้าก็สอนไว้จบแล้ว ไม่ต้องมี สาเปกโข ไม่ต้องมีอะไรจะไปคิดต่อว่า ให้ตนต่อว่าจะต้องอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรให้แก่ตัวเอง นี่พูดตัดจบ
ถ้าคุณคิดอยากจะมีอีก สาเปกโข ก็มี แล้วหวังจะมีอะไรต่อยังไม่พอ อาการหนักไปถึง ปฏิพัทจิตโต ตั้งกองจิตผูกพันว่าจะต้องได้อีกมีอีกมี หนักเข้าตั้งเป็นกองสะสม กองทุน กองคลัง สันนิธิเปกโขต่อไปอีก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทานสูตรมันก็ใหญ่เลย
ยังไม่พอเป็นตัวของกู เกิดชาติหน้าจะมีกินมีใช้ของตัวเองไม่รู้จักจบ คุณก็ไม่มีทางจะสิ้นกิเลส ตัวกูของกูอัตตาของคุณจะต่อไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้วจะไปกินไปอยู่ในสิ่งที่เป็นของคุณดี มันก็ซวย ไม่มีทางที่จะสิ้นกิเลส ไม่มีทางจบสุดได้เลย มันก็มีแต่อัตตาตัวตนตัวกูของกูไปยาวไม่รู้จักจบ
_สู่แดนธรรม… ไปดูชาวบ้านราชที่เขาแล้วแต่ให้ไม่มีอะไรเรียกร้องคืน
(ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว 1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ 3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ 4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส))
เริ่มต้นศึกษาสังโยชน์ 3 จนอ่านสภาวธรรมให้เป็น
_กระบี่พุทธ . ผมมีคำถามคือ ตามพระไตรปิฎกบอกว่า พระโสดาบันเกิดอีก 7 ชาติจะได้เป็นพระอรหันต์ แต่พ่อครูอธิบายว่า เกิดตัวนี้คือการเกิดแบบโอปปาติกะโยนิ 7 รอบ ผมอยากทราบว่า 7 รอบที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ขึ้นเป็นโสดาบันนี่ก็นับเกิดเป็นรอบที่ 1 แล้วใช่ไหมครับ อาริยะบุคคลเหลืออีก 2 ระดับ ก็จะเป็นอรหันต์แล้ว จะแบ่งการเกิดในแต่ละระดับยังไงครับ ทำอย่างไรจะเกิดอีก 7 รอบ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้จบรอบไหนแล้ว มีอะไรเป็นสัญญาณบอกไหมครับ
พ่อครูว่า… แหม อาตมาก็สงสารกระบี่พุทธนะ แสดงว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย อ่านสภาวธรรมอะไรไม่ออกเลยในความเป็นคุณธรรม เป็นคุณธรรมที่เป็นอาริยะคุณ แม้ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่เข้าใจ ไม่รู้
ก็ เอ๊.. จะทำอย่างไง ก็เห็นใจนะ กระบี่พุทธ ก็คือคนพวกเราลูกหลานจบอยู่ในอโศกแท้ แต่ก็ไปสนใจในเรื่องข้างนอก สนใจในเรื่องงาน เรื่องเงินจนไปเป็นหนี้เป็น 10 ล้าน ได้ข่าวได้คราวเช่นนั้น ซึ่งมันหนักหนาสาหัสเสียเวลากับเรื่องพวกโน้น มาสนใจทางนี้ดีกว่าไม่อย่างนั้นก็จะจมอยู่กับทุกข์อย่างนั้นไม่รู้แล้ว อย่าไปยินดีกับมันเลยโลกียะพวกนี้มันหลอกเรา เมื่อได้เข้ามาในนี้แล้วเอาตัวเองเข้ามาทางนี้เถอะ อาตมาไม่รู้จะอธิบายยังไงเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
เพราะพูดคำว่า รอบ คำว่า ชาติ รอบ สภาวะ ถ้าจะบอกว่าสภาวะโสดา คือ พ้น สังโยชน์ 3
- พ้น สักกายทิฏฐิ แน่นอน กระบี่พุทธก็ไม่เข้าใจแน่
- พ้น วิจิกิจฉา
- พ้น สีลัพพตปรามาส
เมื่อพ้นสักกายทิฏฐิ อย่างไม่วิจิกิจฉาไม่ได้ แล้วคุณจะต้องพ้นศีลพรตหรือข้อปฏิบัติประพฤติ ต้องสัมมาทิฏฐิในศีลพรตด้วย คุณถึงจะสามารถปฏิบัติธรรมไปได้ใน 3 ข้อแรกของ โสดาบัน
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถมี 3 ข้อนี้ในบุคคลใดก็ตามไม่พ้นสังโยชน์3 ข้อนี้ ปิดประตูที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้าเลย ตั้งแต่ ไม่เข้าใจ กาย กายะ ไม่เข้าใจตัวตน สักกะ ไม่เข้าใจตัวเอง ไปเข้าใจแต่อันอื่น ไปเข้าใจแต่บัญญัติความรู้ข้างนอกต่างๆนานา โดยเฉพาะ คุณไปเข้าใจความรู้ข้างนอกนี่แหละ น่าสงสารสุดๆ
อาตมาเคยพูดแล้วผู้มีความรู้ทางศาสนาพุทธเป็นปราชญ์เอก เป็นผู้ที่รอบรู้ทั้งหมดแต่ไม่เข้าถึง สักกายทิฏฐิ ก็เลยไปหลงอยู่กับ ให้ความรู้ข้างนอกที่เป็น โอฬาริกอัตตา เป็นอัตตาตัวใหญ่
จริงๆแล้วอาตมาเคยอธิบายซ้อนให้ฟังแล้วว่า เป็นอัตตาทั้งๆที่ตัวเองนั่นน่ะ ยังเข้าไม่ถึง อัตตา ได้แต่วาทะ ได้แต่ ความรู้บัญญัติภาษา วาทะ คำพูด เท่านั้น มากเลยนะ เป็น ปทปรมบุคคล
เพราะฉะนั้นในชาตินั้นๆของผู้นี้ ไม่บรรลุธรรม แม้แต่สัมมาทิฏฐิก็ สักกายทิฏฐิ สัก ที่จะต้องเข้ากับจิตเจตสิกรูปของตัวเอง แล้วต้องปฏิบัติจัดการกับจิตเจตสิกของตัวเอง ไม่ได้เข้ามาเลย เพราะแยกกาย แยกสภาพ 2 ภายนอก ภายในไม่ออก
เข้าใจว่า กาย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ เช่นเข้าใจว่า กาย มีแต่สภาพภายนอกอย่างเดียวหรือ กาย คือ สภาพหนึ่งเดียว ที่จริง กายต้องมีสภาพ 2 เสมอ มีหนึ่งเดียวไม่ได้นะ ต้องมีรูปกับนามด้วย ซึ่งลึกซึ้งมากอันนี้ถ้าเขาใช้อันนี้ไม่ถูก ปฏิบัติธรรมไปไม่ออก ไม่มีการเจริญต่อไปเลย
เอาละ ก็ขอ ก็น่าเห็นใจ ตั้งใจศึกษาตามลำดับ เข้ามาข้างในนี้ อย่าไปเที่ยวตะลอนๆ วุ่นวายกับข้างนอกมาก ถ้าอยากจะบรรลุธรรมให้เข้ามา ถ้าไม่อยากบรรลุธรรมก็แล้วไป
_สู่แดนธรรม… ผมก็เห็น สังเกตอยู่เรื่อยๆว่า คุณกระบี่พุทธ ตอนนี้เขาก็พยายามสนใจศึกษาธรรมะ แล้วก็ชอบคิด ชอบวินิจฉัยธรรมะอยู่เรื่อยๆ แสดงว่าเขาก็อยากจะเจริญ อยากพ้นทุกข์ในเรื่องนี้จริงๆ
พ่อครูว่า… ก็ดี ก็มีเยอะ น่าสงสารแบบนี้อย่างพวกปราชญ์ทางศาสนาพุทธมีเยอะ ไม่เข้าใจจิตเจตสิก ความหมายของการรู้จักจิตเจตสิกคือต้องผ่านพ้น สักกายทิฏฐิ ถ้าไม่เข้าถึงจิตเสียแต่สิ่งโดยเฉพาะการรู้จิตแล้วแยกเจตสิกต่างๆ อย่างน้อย
เจตสิก เคหสิตะ เวทนา 18 กับ เนกขัมสิตะ เวทนา 18 แยกกัน แตกต่างกันนะ ต้องเข้าใจเจตสิก 18 พวกนี้อย่างถูกสภาวะ สัมผัส มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็อ่านออก จับได้ แล้วเอามาแยก แล้วทำให้เกิด เนกขัมสิตะ
แยกเวทนาในเวทนาที่เคยใช้ภาษาง่ายๆว่า เวทนาแท้กับเวทนาเก๊ หรือ เวทนาเก๊ ก็คือมีกิเลสปรุงแต่งผสมแล้วเป็นสุขเป็นทุกข์ก็ดีเป็นของเก๊ทั้งนั้น อย่างนี้เป็นต้น ต้องแยกต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิต ให้ออก อุเทส หรือคำที่อาตมาอธิบายนี้แล้วออกแล้วไปเรียนรู้อาการ ลิงค นิมิต อาการของเวทนาหรือนิมิตของเวทนา มันมีอาการต่างกัน มีความต่างกัน
เวทนา 2 ต่างกัน เวทนาในเวทนา เป็นต้น กายกับเวทนาก็ต่างกัน เวทนากับจิตก็ต่างกัน อันหนึ่งเป็นเจตสิก อันหนึ่งเป็นจิตอะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องพยายามอ่านสภาวธรรมให้ได้ให้ออก ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะวนอยู่อย่างนั้นแหละ ต้องมาเริ่มต้นตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ง่ายๆกระทบกับสัตว์แล้วเกิดกาม เกิดโกรธ อย่างนี้เป็นต้น ต้องไล่ไปตั้งแต่ตื้นๆหยาบๆ อย่าไปนึกว่าตัวเองเก่งตัวเองสูง
เข้าใจว่าตัวเองต้องเริ่มต้นจาก หยาบไปก่อน แล้วหยาบๆ จะเป็นฐานของคุณตลอด แล้วคุณจะรู้ว่าคุณพ้นหยาบแล้วสูงขึ้นอีกแล้วก็พ้นหยาบอีกแล้ว มีหยาบ มีละเอียดสูงขึ้นแล้วก็พ้นอีก เราก็จะรู้ว่า หยาบ มันก็ยังหยาบอยู่นะ แต่เราลอยตัวเหนือหยาบไปอีก เราทิ้งหยาบไม่ได้หรอก มันจะอยู่ให้เราสัมผัสแล้วเราก็ยิ่งรู้ว่า โอ้…เราลอยอยู่บน เป็น อุตริมนุสธรรม สูงลอยพ้น หลุดพ้น เรียกภาษาท่านจะใช้คำว่าหลุดพ้น ลอย หลุดพ้นไปเรื่อยๆๆ จะเห็นความจริงของสัจธรรมอันนั้น อ้าว.. เอาใจช่วยกระบี่พุทธ นายจืดๆ ชื่อเล่นเขานายจืด
_สู่แดนธรรม… ตอนแรกผมคิดว่าพ่อท่านจะเมตตาบอกเขาว่าอีก 7 รอบที่เหลือคืออะไร
พ่อครูว่า… ให้รู้รอบแรกก่อน เอารอบแรกให้ได้ก่อน อย่าไปตามวุ่นอยู่กับ 7 รอบ
นมเป็นของให้ ไข่เป็นของหวง
_เมตตา โพธิสุทธิ์ . ได้ฟังคลิป 210604 ตอบปัญหาผ่าเปรี้ยง ครั้งที่ 4 นาทีที่ 3.46.07-3.54.43 มีคำถามว่า “พระหรือฆราวาสที่ถือศีล 8 ทานอาหารมังสวิรัติตลอดไป จะทานนมสดหรือนมข้นได้ไหม” พ่อครูตอบว่า “ได้ นมเป็นของให้ ไข่เป็นของหวง”
ขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า ถ้าได้รับคำถามนั้น ณ ขณะนี้ พ่อครูจะตอบคำถามนั้น เหมือนเดิมไหมคะ เคยดูคลิป ที่คนเลี้ยงวัวนม ทำให้วัวมีลูก เมื่อคลอดลูกออกมา คนก็แยกลูกวัวออกจากแม่วัว แล้วทำการรีดนมวัวออกมาเพื่อให้คนกิน มันมีความทุกข์ทรมานอยู่ในคลิปนั้นค่ะท่าน
พ่อครูว่า…ได้ ไม่เป็นพิษเป็นน้ำกรดกัดตายหรอก ได้สิ คนที่ชอบอยู่ก็ทานแหละ
อาตมาตอบไว้นานแล้วว่า นมเป็นของให้ ไข่เป็นของหวง
อาตมาอนุโลมตามฐานานุฐานะ ของแต่ละคนที่ถามมาตามควรและไม่ควร ก็ตอบไป จะทำบาป นมเป็นของให้ ไข่เป็นของหวง ก็หมายความว่า อย่างน้อยที่สุด ไข่นั้นน่ะ คือตัวลูกของสัตว์ ส่วนนมนั้นเป็นอาหารของสัตว์ มันต่างกัน
เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่า บาป คุณไปกินไข่ มันก็บาปกว่ากินนม นี่คือประเด็นของความหมาย
ถ้าคุณจะทานนม นมเป็นของให้ แต่ไข่นี่ เป็นลูกสัตว์นะ มันบาปกว่ากัน ก็ต้องตอบว่าได้ ก็ต้องอนุโลมเขาไปก่อน เพราะเขายังติด
จะตอบเหมือนเดิมก็ได้ คุณอ่านใจสัตว์ได้เลยนะว่า ลูกวัวมันทุกข์หรือว่าแม่วัวมันทุกข์ ทุกข์พวกนี้ละเอียดไม่ต้องอธิบาย มันก็ทุกข์ทั้งนั้น แต่มันจำนน มันเป็นสัตว์ต้องมีวิบากก็รับวิบากไปมันเป็นวัวนมก็ต้องให้รีดนมไปตลอด ระวังเถอะเกิดไปกินแต่นมสดจะไปเกิดเป็นวัวนมให้เขารีดกินไปตลอดเวลา ยิ่งไปกินเนื้อสัตว์ กินลูกวัวอีกจะเกิดไปเป็นลูกวัวอีก ระวังเหอะ เลิกได้เลิก
สรุปนมก็ตาม นมวัวก็ตาม นมพืชมันมันมีอยู่แล้วให้กินเยอะแยะ นมวัวก็ตามลูกวัวก็ตามไม่ต้องไปกินมันหรอก สรุปแค่นี้ก็แล้วกัน
นิกายนั้นร้ายแรงกว่านานาสังวาสมาก
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ ลูกได้ฟังมาว่าในศาสนาพุทธนี้นานาสังวาสสามารถมีได้ไม่บาปแต่การทำนิกาย ทำแล้วเป็นบาปมหันต์ลูกขอกราบเรียนถามว่าต่างกันอย่างไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…นานาสังวาสกับนิกาย นานาสังวาสคือความแตกต่าง ส่วน นิกายนั้นคือความแตกแยก เอาคำว่าแตกต่างกับคำว่าแตกแยก คือทำความเข้าใจคำว่าแตกต่างกับแตกแยกให้ได้
เพราะฉะนั้นคนที่ทำนิกายนี่คือทำความแตกแยก แตกอย่างสบายจากกัน แตกอย่างพูดให้ชัดๆก็คือแตกกันอย่างฉิบหายจากกัน ไม่ดูดำดูดีกัน ไม่นำพา กันอีก
ส่วนนานามันเป็นสมานสังวาส ยังเชื่อมโยงกันอยู่ ยังเอื้อเฟื้อกัน ยังมีใจที่ไม่เกิดจิตที่จะเป็นนิกาย ไม่เกิดจิตที่จะแยกด้วยถือว่าต้องเป็นผู้ที่เอื้อเฟื้อ ยังเกี่ยวข้องกัน ยังเป็นลูกพระพุทธเจ้าด้วยกันว่างั้นเถอะสมานสังวาสกัน แม้เขาจะทำตน
เขาทำตนเองเป็นนิกาย แต่เขาก็ยังมาอยู่ในชื่อคำว่าพุทธ เขาทำตนเป็นแล้วนะตัวเขาเองเป็นนิกายแล้ว เป็นบาปส่วนตัวเขาไปแล้ว เป็นอนันตริยกรรมส่วนตัวเขาไปแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ในชื่อว่าพุทธ นิกายก็ไม่ว่าอะไร นอกจากผู้ที่ทำนิยายนี้ 1.ปาราชิก อสังวาส เราก็ไม่นับว่าเป็นพุทธ
ถ้าไม่เป็น อสังวาส ไม่เป็นปาราชิกเลยเราก็ถือว่าร่วมเป็นนานาสังวาสได้ทุกคน ถ้าคนนี้ปาราชิกแล้วเลิก คนนี้ไม่ร่วมด้วยไม่เป็นพุทธ ไม่เป็นสังวาสเดียวกัน อย่างนี้เป็นต้น ก็ตัดรอบทิ้งตรงนั้น นานาสังวาสกับนิกาย แต่นัยยะ จิตของผู้ที่ทำนิกายเป็นอนันตริยกรรม
เพราะนานาสังวาสยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่อนันตริยกรรมของนิกายนั้นมันก็ยิ่งหนัก เพราะฉะนั้นนานาสังวาสคือคนถูกต้องของธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ผิดธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ส่วนนิกายมันผิดพระพุทธเจ้าห้ามทำ อย่าทำ แต่ตัวเองไปทำเข้า เพราะฉะนั้น นิกายจึงคือผู้ผิด นานาสังวาสจึงคือผู้ถูก
เมื่อมี 2 ฝ่ายนี้เมื่อมีคนหนึ่งนิกาย คนหนึ่งนานาสังวาส คุณก็จะเลือกทำความเข้าใจให้ได้ ถามคุณกลับไปว่า แล้วคุณจะสนใจศึกษากับคนนิกายหรือสนใจศึกษากับคนนานาสังวาส เอาแค่นี้ก็แล้วกัน จบ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ด้วยกันได้ นานาสังวาส แต่นิกายเป็นอนันตริยกรรม มันผิดมากกว่ากันเยอะ
สาธารณโภคี คือ ยินดีเสียภาษี 100%
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม . กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูง ชุมชนเราเป็นชุมชนสาธารณโภคี ได้อย่างสมบูรณ์ เกิดขึ้นเองทำขึ้นทีละนิด ชุมชนแข็งแรง แล้วช่วยผู้อื่นได้ง่าย เศรษกิจพอเพียงโดยมีชุมชนอโศกรองรับอยากถามพ่อท่านว่า ในประเทศไทยเรา ที่เป็นชาวพุทธสามารถทำได้ไหมคะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ก็คุณเป็นคนไทยอยู่ในประเทศไทยไหมล่ะ ชาวพุทธนี่แหละ แม้แต่ข้างนอกก็สามารถจะทำได้ ถ้าศึกษาให้ดีๆสัมมาทิฏฐิเข้ามาฟพากเพียร
ถ้าไม่ใช่ชาวพุทธเป็นชาวข้างนอก ยังยากมาก สาธารณโภคี นี่ ยิ่งใหญ่มาก สูงสุด
เพราะฉะนั้นจะมาเป็นแค่ คอมมิวนิสต์ หรือ จะเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์แบบ 2 ขามันยิ่งยากเข้าไปใหญ่
เพราะฉะนั้นประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย 2 ขา ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ประธานาธิบดีที่ไม่มีจิตวิญญาณเป็นหลัก อันนั้นยากเลยที่จะทำ สาธารณโภคี ทำไม่ได้ ทั้งๆที่เขาอยากเป็น สาธารณโภคี ใจจะขาด ไม่ว่า
หมายความว่าอะไร สาธารณโภคี พูดให้สั้นๆ สาธารณโภคี คือเป็นสังคมคนที่เสียภาษี 100% จบ ให้สั้นเท่านี้ นอกนั้นไม่มี ประชาธิปไตยอิสระก็ไม่มีเสียภาษี 100% คอมมิวนิสต์ก็ไม่มีเสียภาษี 100% ไม่มี
แล้วเสียภาษี 100% อย่างสมัครใจด้วย ไม่ได้ถูกบังคับเลย อย่างมีปัญญาเต็มใจเสียสละเสียภาษี 100% เพราะมั่นใจในระบบในระบอบ ในระบอบสาธารณโภคี มั่นใจใน สมาชิกของชาวสาธารณโภคี นั้นเองที่มีจิตวิญญาณไม่มีตัวตน สรุปจบตรงนี้
_สู่แดนธรรม… แม้แต่ในประเทศไทยผู้นำที่จะสามารถทำให้สมาชิกทุกคนยินยอม
พ่อครูว่า… ไม่ใช่ยินยอม แต่ยินดี ยินยอมกับกินดียังห่างกัน
_สู่แดนธรรม… คนจะทำได้ต้องมีบารมีมากนะครับ ต่อให้เขามาศึกษาก็ทำยากนะครับ
พ่อครูว่า… อันนี้ขอขอบคุณที่ชมอาตมาแต่เป็นเรื่องจริง อยากจะให้ทั้งโลกเป็นกัน และไม่ใช่ของอาตมาแต่เป็นของพระพุทธเจ้า
อยู่วัดแบบมีคุณธรรมกับไม่มีคุณธรรมต่างกันอย่างไร
_กระถิน . กราบนมัสการเจ้าค่ะ ดิฉันมีข้อสงสัย พ่อครูช่วยอธิบายให้ฟังเจ้าค่ะ เรื่องคือว่า มีคน 2 แบบ
แบบที่ 1 จะมองว่าอโศกเป็นเมืองสวรรค์น่าอยู่ แม้เจอผัสสะก็ยังมองว่าอยู่แล้วรู้สึกมีความสุขมาก ไม่อยากจากไปไหนขอตายที่นั่น
คนแบบที่ 2 รู้สึกว่าอโศกงานหนักมาก ครั้นจะไปอยู่ที่นั่นฉันจะไหวไหม ผัสสะก็เยอะ อากาศก็ร้อน น้ำก็ท่วม เวลาหนาวก็หนาวสุดๆ ไม่น่ารอด ขอแค่ไปๆ มาๆ ก็แล้วกัน
พ่อครูว่า…คุณตั้งเป้าไว้อย่างนี้ เจออุปสรรคทุกอย่างในนี้ คุณไม่สู้ คุณมาไม่ไหวหรอก ไม่รอดแน่ ถ้าคุณตั้งเป้าไว้อย่างนี้ นี่คุณเลือกที่จะไปๆมาๆ
_คำถามคือว่า ทำไมคนสองแบบนี้จึงรับรู้ความรู้สึกต่างกัน ทั้งๆ ที่ สถานที่ก็ที่เดียวกัน สิ่งแวดล้อมก็เหมือนกัน และเราก็มีพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ก็องค์เดียวกัน แล้วเราควรทำอย่างไรหากเราตัดสินใจไปบ้านราชฯ พ่อครูว่า…ขอบคุณที่เอาความรู้สึกที่เป็นอย่างนี้คุณเองเป็นคนไหนล่ะ อาตมาว่ากฐินนี้อยู่ในพวกเราหรือเปล่า เรามีคนชื่อกฐินอยู่ในอโศกนี้แล้วคนที่ถามมานี้คนเดียวกันหรือเปล่าคุณเป็นคนไหน คุณเป็นคนทั้งๆที่เป็นคนอยู่ในอโศกและหัวใจคนอื่นมาถามคุณปานถามทำไม ถ้าคุณอยู่ในชาวอโศกแล้วจะไปสมมุติขึ้นมาทำไม
_สู่แดนธรรม… มันเป็น เหมือนที่เขาเปรียบเทียบว่าสภาวะเดียวกัน หม้อต้มน้ำร้อน เอาไข่ใส่ในหม้อต้มน้ำร้อนแล้วเอามันเทศกับมันฝรั่งเข้าไปในหม้อน้ำร้อน น้ำเดือดเท่ากัน แต่ทำไมไข่มันแข็ง แล้วทำไมมันฝรั่งมันนุ่ม เขาบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งแวดล้อม แต่มันเป็นที่ตัวตนของมัน คำตอบนี้ดี
พ่อครูว่า… ก็ใช้ได้ เอาละผ่าน
_แล้วจะอยู่อย่างมีความสุข แม้เจอผัสสะมากระทบก็ตาม โดยเฉพาะผัสสะที่เกิดมาจากผู้คน เพราะต่างคน ต่างมีกิเลส และก็แสดงภูมิออกมาตามกิเลสของตน(ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอรหันต์ ยังหันซ้าย หันขวาอยู่) ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่เราจะหล่อเลี้ยงใจเราให้อยู่ได้อย่างมีความสุข เหมือนกับคนแบบที่ 1 กราบนิมนต์พ่อครูช่วยอธิบายคลายความสงสัยด้วยเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ตอบได้ว่าคนแบบที่ 1 เขามีคุณธรรมคนแบบที่ 2 ยังไม่มีคุณธรรมคุณก็หันซ้ายหันขวา ก็ลองๆดูจนกว่าจะมีภูมิธรรม มาลองแล้วไม่ไหวคุณก็ต้องขยับขยับไปก่อน แล้วมาศึกษาตามจนกระทั่งพอเข้ามาได้ก็ไปๆมาๆ แล้วภูมิธรรมก็ย่อมเจริญตั้งใจศึกษาให้สัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ ก็ย่อมเกิดสัมมาปฏิเวธ เกิดคุณธรรมไปตามลำดับแน่นอน ตั้งใจให้ดีๆก็แล้วกัน
บุคคลขั้นไหนถึงจะละเมถุนได้
_ดอกไม้ไฟ . บุคคลขั้นไหนถึงจะละเมถุนได้ครับ
พ่อครูว่า…คำว่าเมถุนแปลว่าคนคู่ คนคู่ขยายความอีกก็หมายความว่าคุณยังมีเพศสัมพันธ์กับคนคู่ คุณยังมีพฤติกรรมของเพศสัมพันธ์ นี่เรียกว่าเมถุน คนที่ละเมถุนคือไม่มีเพศสัมพันธ์ได้แล้ว ก็เริ่มตั้งแต่ สกิทาคามี มาเรื่อยๆ เริ่มฝึกตน ละมาๆ จนกระทั่งมาเข้าเขตอนาคามี คุณก็จะลด ลดการสัมผัสแตะต้องทางกาย กายไม่ไปสัมผัสกับเพศอีกเพศหนึ่งแล้ว
สัมผัสนั้นก็หมายถึงมีเพศสัมพันธ์แล้วด้วย คุณก็ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กับอีกเพศหนึ่ง แต่คุณไม่มีเพศสัมพันธ์กับอีกเพศหนึ่งแล้วคุณยังมีอารมณ์กาม อารมณ์เพศ อารมณ์ราคะของคุณ มันไม่เป็นกามราคะที่จะต้องไปแสดงภายนอกกับเพศอีกคนนึงแล้ว อีกเพศต่างเพศ ไม่แล้ว
แต่คุณยังมีอาการ จะมีอาการหรือการกระทำอย่างไรก็แล้วแต่ ที่คุณยังมี ราคะ เรียกว่า รูปราคะ อรูปราคะ อยู่ คนนี้ถือว่า ถ้าคุณไม่มีแล้วเรื่องเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่ 2 เรียกว่าเมถุนนี้มี 2 คน คุณไม่แล้วคุณมีความละอายต่อโลก แน่นอนคนที่มีเพศสัมพันธ์คุณไม่อายหรอกแต่คุณจะอายต่อโลกเรียกว่ามีหิริโอตัปปะ
ละอายมากจนถึงขั้น โอตตัปปะ คุณก็เด็ดขาด คุณก็ไม่มีแล้วคู่เพศสัมพันธ์ แต่คุณยังมีราคะ คุณก็อาจจะทำเฉพาะตน จะวิธีใดก็ตามแต่ คุณก็ทำ ชัดๆก็คือคุณจะต้องมีอารมณ์กามแฝงด้วยความใคร่ว่างั้นเถอะ สำหรับตนอยู่ คุณก็ต้องเรียนรู้ความใคร่อยาก อาการราคะพวกนี้ต้องเรียนรู้ลด ละละนะ รู้รสมันด้วยคุณจะไปลงวัดทำไม
จนกระทั่งคนไม่มีอาการกรรมกิริยาของความหยาบที่เรียกเป็นภาษาว่าตัณหาก็ตามกามก็ตามความใคร่อยาก มันไม่มีกามตัณหาอันนี้ กามตัณาคุณลด รูปราคะ กามตัณหรือกามราคะลดรูปราคะ
หรืออยู่ข้างในก็ลดละเหลือบางเบา คุณก็ไม่ต้องไปทำ ไม่ต้องมีอารมณ์หรือไม่ต้องมีอาการ อรุปราคะนี้ มันเป็นเฉพาะ อารมณ์อาการเต็มอยู่ในสัญญาฟุ้งเฟ้อไป แล้วสัญญานี่แหละหลอกคนเก่งนักเพราะมันเป็นความจำ ยิ่งคุณมีประวัติมีเหตุปัจจัยที่คุณเคยผ่านมาอะไรต่ออะไร คุณก็ฝัน สัญญา เอาสัญญามาคิดมาวน นี่แหละตัวร้ายที่พระพุทธเจ้าเคยปรารภกับพระอานนท์ว่า สัญญานี่มันเรื่องละได้ยาวนานเหลือเกิน เรียนรู้ดีๆ
ความเห็นต่อการปฏิบัติของครูบาบุญชุ่ม
_อนาคาริก Anaka Rik . ปรารถนาให้พ่อครูแสดงธรรม หรือแสดงทัศนะเกี่ยวกับครูบาบุญชุ่ม ที่มีผู้คนเผยแพร่และแชร์คลิปการออกจากบำเพ็ญในถ้ำ3ปี 3เดือน 3วัน ในช่วงนี้ให้ฟัง
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้ติดตามข่าวครูบาบุญชุ่มเท่าไหร่แต่ก็เคยผ่านตา เพราะจะมาถือว่าการบำเพ็ญจากครูบาบุญชุ่มเป็นมิจฉาทิฐิ ขออภัยที่พูดตรง เป็นมิจฉาทิฏฐิคือยังเป็นลูกศิษย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส คือไปนั่งสะกดจิตหลับตาเป็นพระป่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่มันเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ แล้วคนไทยก็ยังนับถือความเสื่อมอันนี้กันอยู่เยอะ มันก็ยังแก้ไขมาได้ อาตมาพยายามนำพาให้สัมมาทิฏฐิให้เจริญขึ้นมาได้บ้าง ไม่มากเลย
ยังมีผู้ยังไปหลงจมอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ อยู่ในเรื่องของลัทธิ ที่มันเป็นลัทธินอกรีต นั่งหลับตาสมาธิออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ มันเป็นลัทธิของพระป่า ศาสนาพุทธไม่มีพระป่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาพระบ้านเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาแห่งมวลมนุษยชาติไม่ใช่ศาสนาคนเถื่อน ไม่ใช่ มิลักขชน แต่เป็น อาริยกชน เป็นคนอาริยะ ไม่ใช่คน มิลักขะ
ขออภัยที่พูดนี้ไม่ใช่ข่มหรือทำความแตกแยก แต่พูดเพื่อแจกแจงสัจธรรมให้ฟัง ว่ามันมีลักษณะแตกต่างกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… พ่อท่าน เป็นผู้กล้ายืนยันสัมมาทิฏฐิของพุทธ ไม่ค่อยจะได้อนุโลมกับเขาท่านที่ว่า มันเป็นผลแบบมีฤทธิ์แล้วไปให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม อันนี้ พ่อท่านก็ไม่ได้ชมแต่ก็ว่ามีส่วนดีนะครับ แต่กลับมาว่าเป็นสูญเสียมากกว่า
พ่อครูว่า… ใช่ มันเป็นการไม่ตรงทาง มันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ มันเป็นอาทิตย์ละหาริย์ที่มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า มันไปหลง ในความเก่งแบบนั้น มันก็ช่วยคนแต่มันไม่ไปนิพพาน มันเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางทางนิพพาน แต่คนจะเข้าใจง่ายเพราะเห็นเป็นรูปธรรม แต่อาตมาพูดไปเป็นนามธรรมอันลึกซึ้ง เข้าใจยากแต่มันก็เป็นไปตามสัจจะ มันก็ค่อยๆไป ไปเร่งรัดมันก็ยาก ความลึกซึ้งก็ต้องเป็นไปตามสัจธรรม อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ตามคำสอนพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมตามคำสอนพระพุทธเจ้าให้ได้ อันนี้เป็นสัจธรรมที่ควรสนใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ มันยากนะที่จะ มันเป็นรูปธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) จริงๆ
ยิ่งสวรรค์ยิ่งเก๊เท่าไหร่ นรกยิ่งจริงมากเท่านั้น
_อุทัย ประถม Uthai Patom . กราบเรียนถามพ่อครูว่า
- ภาษาคำว่า สุข และทุกข์ ที่บัญญัติขึ้นพูดกัน บัญญัติ ขึ้นพร้อมกันกับการเกิดขึ้นของสุขและทุกข์ใช้มั๊ย ?
พ่อครูว่า…ใช่ เพราะว่า สัตว์ที่เกิดมาทุกตัว ..เกิดมาเป็นสัตว์ ตั้งแต่เซลล์เดียวนี่มันคือเกิดเป็นทุกข์และสุขแล้ว เซลล์เดียวมันก็เกิดสภาวะคู่อันนี้แล้ว จนกระทั่งมันหลงสุขนะ สัตว์เซลล์เดียวก็หลงสุขจนกระทั่งกลายเป็นสัตว์หลายเซลล์ ล้านๆเซลล์จนกระทั่งมาเป็นคน แต่สัตว์เดรัจฉานมันเรียนรู้ไม่ได้ มันแยกสุขแยกทุกไม่ได้ มันจะเอาแต่สุขตามที่มันชอบ สุขคืออารมณ์ที่ตัวเองชอบ ตัวเองใคร่อยาก ทุกข์คืออารมณ์ที่ไม่ชอบ มันก็จะผลักทุกข์อยากได้สุขทั้งนั้น คนทุกคนก็เหมือนกัน ที่ยังไม่มีคุณธรรมทางโลกุตรธรรม
แม้กระทั่งศาสนาเทวนิยม ก็ไล่แย่งสุข แม้แต่ทักษิณ ชินวัตร ก็ไล่แย่งสุข แม้แต่ธัมมชโยก็ไล่แย่งสุข ไม่ได้เข้าใจทุกอริยสัจที่จะเลิก
เพราะฉะนั้นเขาก็พยายามที่จะเลี่ยง แต่เขาก็ยิ่งทุกข์ซับซ้อน โดยอาศัยทั้งทรัพย์สิน เงินทอง อิทธิพล บริวารอะไรต่างๆนานา รองรับเขาไว้ เหมือนกับเขานอนอยู่บนฟูกที่หนาตั้งไม่รู้กี่ชั้น คล้ายๆอย่างนั้น แล้วก็นึกว่า เขาเองเขาพ้นทุกข์
เปล่า ยังไม่ได้ดับเหตุแห่งทุกข์ตามปรมัตถสัจจะอะไรเลย เพราะฉะนั้นพวกนี้ยังอีกนานหลายชาติ แล้วก็วิบากที่เขาก่อ ไปเป็นของตนที่เอาไปใช้บำเรอตัวเองนั้นอีกนาน ขออภัย ต้องบอกเป็นล้านๆชาติที่เขาจะต้องรับวิบากพวกนี้ต่อไป ถ้าเขาไม่จบอันนี้นะเขายังจะสะสมสิ่งที่เขานึกว่าหลงว่าเป็นสุขอีกนาน เขายิ่งสะสมชาติที่จะเกิดลงไปนรกอีกไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น มันซับซ้อนอย่างนี้คุณว่าคุณได้สวรรค์เก๊แล้วนรกมันยิ่งจริง สวรรค์มันยิ่งเก๊ นรกมันยิ่งจริง คุณก็จะยิ่งได้มัน..คู่กันนะ สวรรค์ยิ่งเก๊ นรกยิ่งจริง สวรรค์ยิ่งเก๊ขึ้นไปมากเท่าไหร่นรกยิ่งจริงมากขึ้นเท่านั้น เลิกเถอะสภาพคู่พวกนี้สภาพสองพวกนี้เลิก
ถ้าไม่เลิกคุณจะยิ่งแยกสวรรค์โลกห่างกันไปเรื่อยๆ มันหลอกเราอย่างนั้นจริงๆ เขาภาคภูมิใจรู้สึกว่ายิ่งยินดีมันจึงเป็นสัจธรรมที่คนรู้ตัวไม่ใช่ง่าย ถ้ามันง่ายมันก็มาเป็นอย่างพวกเราหมดน่ะสิ
_สู่แดนธรรม… เขาน่าจะถามว่า สุขทุกข์มันเกิดพร้อมกันหรือไม่ ถ้าเอาคำตอบพระพุทธเจ้าตรัสมาตอบข้อนี้ ความสุขความทุกข์เกิดพร้อมกันไม่ได้
พ่อครูว่า… แม้แต่ตัวไม่สุขไม่ทุกข์มันก็ไม่ได้เกิดพร้อมกันมันคนละลักษณะ
_สู่แดนธรรม… ถ้าเขาถามอย่างนี้จะได้คำตอบอย่างนี้ แต่ผมยังตีความว่าเขาถามอย่างนี้หรือเปล่า
พ่อครูว่า… ขยายความให้นิดหน่อยว่า สุขกับทุกข์มันคนละอย่างกัน แม้ไม่สุขไม่ทุกข์มันก็คนละอย่างกัน แต่สุขกับทุกข์มันแยกกันไม่ได้ ถ้าจะแยก ต้องเอาทิ้งทั้งหมด ทิ้งทั้งสุขและทุกข์ก็จะเกิดความไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นคุณจึงมาหาทางไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยวิธีเดียรถีย์เขาทำได้ เขาก็ไปดับสัญญาไม่พิจารณาอะไร เป็น อสัญญีสัตว์ เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะสุข จะทุกข์ เขาก็หลง อาฬารดาบส อุทกดาบส ทำ ซึ่งแบบมิจฉาทิฏฐิในศาสนาพุทธทุกวันนี้มีเยอะนั่งสะกดจิตทำ ซึ่งไม่ใช้วิธีที่จะเรียนรู้ดับเหตุคือดับกิเลส ตัณหาอุปาทาน ดับจนหมดสิ้นอาสวะและหมดสิ้นสุขทุกข์ไม่ได้มาเรียนรู้ตรงนี้มันก็เลยไม่หมดได้
ตีทิ้งบัญญัติภาษาหมดเลยก็ไม่มีทางบรรลุ
- อริยสัจสี่ มรรคมีแปดโพชฌงค์ 7 โพธิปักขิยธรรม 37 การพ้นทุกข์ เราไม่ต้องเรียนษาภาจะพ้นทุกข์ได้มั๊ย คือไม่รู้คำสอนเลย
พ่อครูว่า… คุณจะต้องเข้าใจความหมายของภาษา ถ้าคุณจะไม่ใช้ไม่อาศัยพยัญชนะไม่ใช้ภาษาเลยอ่านเข้าไปที่อารมณ์เอง เข้าใจเองนั้น มันเป็นไปได้ยาก
เพราะฉะนั้นในคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงต้องมีคำตรัส ต้องมีคำพูดมีคำกล่าวสื่อเข้าไปถึงสภาวะ เพราะฉะนั้นคุณตีทิ้งคำตรัสคุณตีทิ้งคำพูดคุณตีทิ้งภาษา แม้แต่ภาษายังมีภาษาใบ้ภาษามือภาษาอาการ ไม่ได้ คุณไม่ใช้ภาษาไม่ใช้สื่อพวกนี้ไม่ได้ แต่สภาพ 2 ทิ้งไม่ได้ ต้องมีพยัญชนะและสภาวะธรรม 2 อย่าง เอาน่า อย่าไปตีทิ้ง ไม่เห็นน่าาตีทิ้งตรงไหน ศึกษาดีๆอย่าไปตีทิ้ง
_สู่แดนธรรม… แม้แต่ครูก็ต้องมี
พ่อครูว่า… ใช่ ครูก็ต้องมีอีกคุณจะศึกษาไปเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องมีภาษาบัญญัติเลยอย่าไปพูดสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ไม่รู้จะพูดยังไงกับคุณเอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาถามมันตอบไม่ได้
- เพราะมีคำตรัสไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ๆมีอยู่แล้ว ตถาคตจะบังเกิดขึ้นหรือไม่บังขึ้นก็ตาม
พ่อครูว่า…สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วนั้นหมายความว่า พระพุทธเจ้ามีมาแล้ว สิ่งที่ตรัสรู้ต่างๆมีอยู่แล้ว เพราะฉันมีพระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสรู้อีกหรือไม่ตรัสรู้อีกสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมีมาแล้ว เพราะไม่มีใครสามารถรู้จักพระพุทธเจ้าองค์แรก ไม่มี แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะ ความจริง
เอาอย่างนี้ คุณพยายามปฏิเสธภาษาด้วยอาตมาก็ต้องพยายามใช้ภาษาอีก คุณว่า 0 มีไหม
_สู่แดนธรรม… ผมตอบแทนครับว่า มี
คุณก็ต้องเข้าใจอาการของศูนย์ให้ได้คุณจะใช้ภาษาหรือตีทิ้งภาษาก็แล้วแต่แต่อาตมาจำเป็นต้องใช้ภาษาอธิบายว่า 0 ก็คือ 0 คุณทำอาการอารมณ์ของความ 0 ให้ได้ แล้ว คุณก็ต้องอ่านสภาวะด้วย สภาวะ 0 คือศูนย์อะไร
0 เวิ้งว้าง มันก็ไม่ได้เรื่อง 0 จากกิเลส พระพุทธเจ้าสอนให้มีลำดับ กิเลสหยาบ คุณก็ 0 ได้แล้วแม้มันมีอยู่ในโลกนี่แหละคือธรรมชาติมันเกิดอยู่มันมีในโลกมันกระทบสัมผัสอะไรเราก็0 0 0 หยาบ ละเอียดยิ่งขึ้นคุณ 0ได้อีก 0 ได้อีกจนกระทั่งละเอียดสุดเลย เป็นอรูป ขั้นสุดท้ายคุณก็0ได้ คุณก็เป็นอรหันต์เอาแค่นี้ก็แล้วกันเดี๋ยวมันจะยาวไปอีก
_สู่แดนธรรม… ที่บอกว่าคำตอบตอนนี้สิ่งเหล่านี้แม้จะมีตถาคตจะเกิดหรือไม่ก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่มันก็ถูกนะครับ อวิชชาก็มี พระพุทธเจ้าไม่เกิดอวิชชาก็ยังอยู่ คุณจะไปพ้นอวิชชาโดยไม่พึ่งพระพุทธเจ้าเลยคุณจะทำได้ไง
พ่อครูว่า… ดี ตีหัวเข้าบ้าน
ลดละจากมหามาสู่จุละ จึงพาบรรลุธรรม
_หนุ่ม กาลัญญู Num Kalunyu . สวัสดีครับ กระผม (กาลัญญู) ขออนุญาต ส่งข้อความในนี้นะครับ
เนื่องจากกระผมได้มีโอกาสฟังธรรม และคำถามของคุณเดชา ในคลิปวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เนื่องว่าพ่อท่านคือพระสารีบุตร กลับมาสืบทอดพระพุทธศาสนาในฐานะพระโพธิสัตว์ทำงานนั้น กระผมมีคำถามเพียงไม่กี่ข้อซึ่งอาจจะอิงกับพระสูตรของทางฝ่ายมหายาน
กราบสวัสดีพ่อท่านและผู้บำเพ็ญในสันติอโศกทุกท่าน
- คำถาม.. รบกวนพ่อท่านอธิบายขยายความว่าด้วยเรื่อง ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร (ซึ่งว่ากันว่าเป็นพระสูตรที่ พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรอรรถาธิบายให้พระสารีบุตรในเรื่องการบำเพ็ญซึ่งปรัชญาปารมิตา)
***ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงปรัชญาปารมิตาอันประเสริฐ (ผู้ทรงมีปรัชญาอันเป็นเหตุให้ข้ามถึงฝั่งแห่งนิพพาน)
ครั้งนั้น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ผู้ประเสริฐ กำลังปฏิบัติปรัชญาปารมิตาอันสุขุมลุ่มลึก มองลงลึกเข้าไปในขันธ์ ๕ แล้วเห็นว่า ขันธ์ ๕ ว่างจากสวภาวะ (ภาวะที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง)
ดูก่อนสารีบุตร ในที่นี้ รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป รูปไม่เป็นอื่นจากความว่าง ความว่างไม่เป็นอื่นจากรูป แม้เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
ดูก่อนสารีบุตร ในที่นี้ ธรรมทั้งปวง มีความว่างเป็นลักษณะ ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีความเศร้าหมอง ไม่มีความไม่เศร้าหมอง ไม่มีความบอกพร่อง ไม่มีความเต็มบริบูรณ์
ดูก่อนสารีบุตร เพราะฉะนั้น ในความว่าง จึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย ไม่มีใจ ไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่สัมผัส ไม่มีธรรมารมณ์ ไม่มีจักษุธาตุ ฯลฯ ไม่มีมโนวิญญาณธาตุ ไม่มีอวิชชา ไม่มีความดับอวิชชา ไปจนถึงไม่มีชรามรณะ ไม่มีความดับชรามรณะ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสมุทัย ไม่มีนิโรธ ไม่มีมรรค ไม่มีญาณ ไม่มีการบรรลุถึง ไม่มีการไม่บรรลุถึง (นิพพาน)
ดูก่อนสารีบุตร เพราะไม่มีการบรรลุถึง(นิพพาน) ดังนั้น พระโพธิสัตว์ ผู้ดำเนินตามปรัชญาปารมิตา จึงไม่พบอุปสรรคขัดขวางในจิตของตน (อจิตตวรณะ) เมื่อไม่มีอุปสรรคขัดขวาง พระโพธิสัตว์จึงข้ามพ้นความกลัว ข้ามพ้นความเห็นคลาดเคลื่อน (วิปัลลาส) แล้วบรรลุถึงนิพพานอันสมบูรณ์
พระพุทธเจ้าทั้งปวง ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เมื่อทรงดำเนินตามปรัชญาปารมิตาอันนี้แล้ว ต่างก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น บุคคลควรทราบว่า ปรัชญาปารมิตา เป็นมหามนตร์ เป็นมหาวิทยามนตร์ เป็นมนตร์อันยอดเยี่ยม เป็นมนตร์อันหาสิ่งใดเสมอเหมือนมิได้ เป็นมนตร์อันเข้าไปสงบระงับซึ่งทุกข์ทั้งปวง เป็นความจริงที่ไม่ผิดเพี้ยน มนตร์แห่งปรัชญาปารมิตา จึงสมควรประกาศไว้ ดังนี้-คเต คเต ปรคเต ปรสมฺคเต โพธิ สฺวาหา, ไป ไป ไปฝั่งโน้นกันเถิด ไปฝั่งโน้นพร้อมกันเถิด โอ้โพธิ
- คำถาม.. พระสูตรของทางมหายานว่าด้วยเรื่องของพระโพธิสัตว์ ทำไมถึงไม่ได้รับการยอมรับมากนักในไทยเรา พระสูตรเหล่านี้เป็นคำจากพระคถาคตหรือไม่อย่างไร เช่น วิมลเกียรตินิเทศสูตร, วัชรปรัชญาปาริมตาสูตร, สัทธรรมปุณทริกสูตร
พ่อครูว่า…ตอบตรงนี้ก่อน เพราะไทยนั้นฉลาดกว่าทางมหายาน ไม่ได้รับการยอมรับเพราะคนไทยฉลาด
พระสูตรเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของพวกที่ยืดยาดยาวจากอาจารย์ที่อธิบายทั้งหลาย มหาทั้งหลาย ก็เลยทำความมหามากๆต่อกันมาไกลแสนไกล ตัดทิ้งได้เลย เพราะฉะนั้นมาก็คืออวโลกิเตศวร มหายานคือมหาที่ไม่เคยจบ ไม่มีบรรลุหรอก
_สู่แดนธรรม… การลรรลุ ต้องมาลดละให้เหลือจากมหามาเป็นจุล
พ่อครูว่า… ใช่ มหาต้องมาลดเป็นจุล
- พุทธเกษตร มีอยู่จริงหรือเปล่าครับ ถ้าจริงนับเนื่องเป็นสวรรค์หรือนิพพานได้รึเปล่าครับ
พ่อครูว่า…มีอยู่จริงไอ้คนโง่หลงภพชาติ ก็สร้างพุทธเกษตรขึ้น นั่นนับเป็นนรกของผู้ที่หลงพุทธเกษตร แล้วนรกนั้นมันหลอกว่าเป็นสวรรค์
_สู่แดนธรรม… ช่วยอธิบายคำว่าพุทธเกษตรด้วยครับ
พ่อครูว่า… หมายความว่าเป็นดินแดนของพุทธะที่มีพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่พระองค์กองอยู่ตรงนั้น ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปทุกพระองค์ ไม่มีภพ ไม่มีชาติแต่คุณไปสร้างพุทธเกษตรด้วยบัญญัติภาษา ไปสร้างนิรมานกายเป็นภพภูมิขึ้นมาเอง แล้วคุณก็เอามาอธิบายหรอกคนโง่ หลอกคนไม่รู้เท่านั้นเอง
เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ จนที่สุดจึงเห็นด้วย
_กระผมพอจะได้มีโอกาสศึกษาพระสูตรทางมหายานมาบ้างเล็กน้อย ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของพระโพธิสัตว์ ซึ่งกระผมไม่มีความสงสัยเลยที่ว่าสัตว์ทั้งหลายในวันนึงจะต้องลุถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และในสัทธรรมปุณทริกสูตร พุทธองค์ก็ได้แสดงพยากรณ์แด่พระสาวก (พระอรหันต์) หลายพระองค์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลเบื้องหน้า
กราบขอบพระคุณสำหรับความรู้ครับ
พ่อครูว่า…ก็พยากรณ์สำหรับอนาคตของผู้ที่มีอนาคตอยู่ได้
สรุปแล้ววันนี้ SMS ที่มาให้วันนี้ดี ก็มีอะไรดีๆหลายประการอยู่นะ อาตมาก็เหลือเวลาอีก 4 นาทีก็จะขอสรุปเล็กน้อยว่า
ความรู้ทั้งหลายแหล่ มันมีกรอบมีรอบของมัน ถ้าไม่มีกรอบไม่มีรอบของมันเปิดโล่งไปเลยมันจะกลายเป็นมหายาน เปิดโลกแต่ไม่มีที่คั่นที่ขีดเลยมันจะกลายเป็นมหายานนี่แหละอาตมาถึงสงสารคนที่ลงความรู้ วุฒิลงความรู้ความรู้มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอกเพราะฉะนั้นถ้าไม่ไปตัดกรอบสำหรับตนเองว่า เราจะต้องจบกิจของเราในกรอบนี้เช่น 1 กรอบที่ความดีและความชั่ว แล้วจบกิจได้หรือยัง
ความดีคืออะไร ความชั่วคืออะไรตามสมมุติแล้วสมมุติที่ว่านั้นความดีความชั่วที่เป็นความผิดความถูก แม้แต่เรื่องของธรรมะ เราก็จะต้องตัดกรอบของธรรมะที่เป็นความผิดความถูก ให้ได้
ถ้าคุณยังเข้าใจความดีที่คุณยึดแล้วมันขัดแย้งกับอีกฝ่ายหนึ่งว่า อย่างนั้นไม่ดีหรอกอย่างนั้นมันยังโง่ อย่างนั้นมันยังชั่ว อย่างนั้นมันยังหลง อย่างนั้นมันไปไม่รอด มันจะเป็นอย่างนี้ บวกกับลบที่ภาษาสุดท้ายแล้วมันก็จะอย่างนี้ทั้งนั้นกัน เป็นสิริมหามายา
เพราะฉะนั้นถ้าไม่สามารถเข้าใจชัดเจนว่า มาเอาสิ่งที่คุณเองคุณไม่เห็นด้วยสิ มาศึกษาสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยให้ได้ จนเข้าใจสิ่งที่ไม่เห็นด้วยนี้ ว่า อ๋อคุณเห็นได้ ไม่เห็นด้วยนี้จนคุณเห็นได้ คุณก็จะรู้ว่า นี่เราไปข้องอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าเราไม่เห็นด้วยนี่เลยเราไม่เห็นได้
“ถ้าคุณเห็นได้โดยการเห็นด้วย จบ”
ใช้พยัญชนะ 2 ตัวได้เท่านี้พอแล้วประเดี๋ยวจะวนอีก
_สู่แดนธรรม… จบมาศึกษาสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยจนทิฐิของคุณแทงทะลุจนกระทั่งมาเห็นได้ด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกัน
- พ่อครูว่า… จบเลย
_สู่แดนธรรม… ถ้าหากเขาเรียกร้องให้พ่อท่านเห็นด้วยกับเขาล่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาเห็นด้วยกับคุณอยู่แล้วว่าคุณเองคุณยังผิด แต่คุณไม่เห็นด้วยอาตมาว่าอาตมานี้ถูก คุณก็มาเข้าใจอาตมาถูกให้ได้ อาตมาเข้าใจพูดว่าคุณถูกของคุณด้วยนะ ถูกของคุณที่มันผิดจากอาตมา อาตมาไม่ได้เมานะ
_สู่แดนธรรม… สรุปจบ